Sunday, December 6, 2009

คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”

คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 27
โดย จักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง ๒๕๕๒...เปลี่ยนศักราช-เปลี่ยนประวัติศาสตร์ไทย?
ใครรู้สึกสับสนว่าการเมืองไทยจะเดินไปในทิศทางใด สงบสันติหรือจะเกิดอลหม่านรุนแรง กลไกเดิมๆ ที่ช่วยระงับวิกฤติการณ์มาแล้วหลายครั้งหลายหนจะยังได้ผลอยู่หรือไม่ ขอได้โปรดรู้ว่าท่านมิได้สับสนอยู่คนเดียวในราชอาณาจักรแห่งนี้ คนอีกหกสิบกว่าล้านก็สับสนเช่นเดียวกับท่าน รวมทั้งคนอีกสองสามคนที่ท่านอาจนึกว่าเขามีอำนาจมากกว่าท่านในการชี้นำประเทศนี้ด้วย
ครับ ท่านอ่านไม่ผิดหรอก แม้แต่บุคคลที่ใครๆ นึกว่าเป็น “หัวหน้าขั้วอำนาจ” ของแต่ละฝั่งก็ไม่รู้จะเดินต่อไปอย่างไรจึงจะไม่ขุดหลุมฝังตัวเองให้ลึกยิ่งกว่าเดิม
จนต้องถึงคราวของ “ปฏิบัติการแหวกวงล้อม”
เมืองไทยปัจจุบันแบ่งออกเป็น ๒ ขั้วคือ ขั้วเผด็จการอำมาตยาธิปไตย กับ ขั้วประชาธิปไตย

ขั้วเผด็จการอำมาตยาธิปไตย ประกอบด้วย

๑) เหล่าศักดินาและข้าทาสบริวารผู้ได้รับประโยชน์จากระบอบศักดินา

๒) ขุนนางข้าราชการ (ทหาร ตุลาการ และพลเรือน) ขุนนางธุรกิจ ขุนนางนักวิชาการ ขุนนางสื่อมวลชน ขุนนาง NGOs ที่เรารวมเรียกว่าฝ่ายอำมาตย์

๓) มหาอำนาจนอกประเทศไทยที่มีข้อตกลงร่วมผลประโยชน์กับฝ่ายศักดินาไทย

ขั้วประชาธิปไตย ประกอบด้วย

๑) ประชาชนรากหญ้า

๒) ประชาชนที่สร้างฐานะด้วยตัวเอง (ไม่มีมรดกหรือชาติตระกูลเป็นตัวช่วย)

๓) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย นปช.แดงทั้งแผ่นดิน และเครือข่าย (ผู้ต้องการการเลือกตั้ง)

๔) ประชาชนปฏิวัติ (ผู้ต้องการการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างการเมือง)

๕) มหาอำนาจและประเทศต่างๆ ที่ปรารถนาจะร่วมมือกับประเทศไทยหลังความเปลี่ยนแปลง

ปัญหาเกิดจากขั้วทั้งสองต่างก็วิตกจริต กลัวถูกทำลายจากอีกฝ่ายหนึ่ง

ขั้วเผด็จการอำมาตยาธิปไตยเชื่อมั่นว่าระบอบทักษิณมีตัวตนจริง พร้อมพรั่งทั้งอำนาจ เงิน แผน และการบริหารจัดการ ถ้าปล่อยให้โงหัวได้อาจทำให้ผู้กุมอำนาจเดิมถดถอยอย่างหนักจนอาจล่มสลาย หรืออย่างเบาะๆ ก็ต้องเผชิญเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง กลุ่มนี้พยายามจะเขียนฉาก “สุดท้าย” ของฝ่ายประชาธิปไตยที่นำโดยคุณทักษิณ แต่ความคิดยังแตกต่างกันมาก บางคนให้ไล่เด็ดหัวคุณทักษิณและคณะด้วยอำนาจตุลาการและอำนาจขององค์กรอิสระไปเรื่อยๆ บางคนแนะให้ฆ่าคุณทักษิณทิ้งเสีย เหมือนสิ่งที่ท่านผู้หญิงที่เป็น ม.ร.ว. ด้วยคนหนึ่งเคยปรารภกับนายทหารระดับพลตรี (ขณะนี้เป็นพลโท) ว่า “ฆ่าคนที่อังกฤษทิ้งเสียคนเดียว ปัญหาก็จบหมด” ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้วิ่งเต้นให้อังกฤษยกเลิกวีซ่า

ฝ่ายนี้เชื่อว่าเวลาของตนเหลือน้อยลงทุกขณะ กลัวว่าถ้ากำจัดทักษิณไม่ทันยมทูต อาจจะฉิบหายกันได้ทั้งบาง เพราะฉะนั้นหากไม่ทันเข้าจริงๆ การรัฐประหารก็จะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมืออีกครั้ง โดยเอาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาขึ้นมานำ และเตะพลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดาขึ้นข้างบน เพราะยังเข็ดเขี้ยวกับความอ่อนด้อยสมัย คมช. อยู่

ถ้าคราวนี้ทำ ก็ต้องทำกองทัพบกให้เป็น hardcore ด้วย ทำใต้ดินให้รุนแรงชนิดเลือดนอง แต่บนดินเรียบร้อยราบรื่นเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ฝ่ายอำมาตย์ส่วนที่ยอมรับว่าคุณทักษิณมีอำนาจมวลชนขนาดหักกันไม่ลงก็แนะให้เปิดเจรจากัน คืนเงินเจ็ดหมื่นกว่าล้านให้เขาและ (อดีต) ภรรยาไปทั้งหมด หรือหักไว้เสียสองหมื่นคืนให้ห้าหมื่น เพื่อแลกกับการถอนตัวจากการเมืองโดยเด็ดขาด พูดง่ายๆ ว่าให้คุณทักษิณเลิกสู้ จนทุกอย่างกลับสู่สมดุลเดิม หากคุณทักษิณละเมิดข้อตกลงก็จะเรียก hardcore เข้ามาจัดการในภายหลัง
แต่ฝ่ายนี้ก็ยังสับสนอยู่ว่าจะยอมให้คุณทักษิณกลับมามีอำนาจผ่านการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าจะถูกล้างบางจนฝ่ายอำมาตย์อ่อนกำลังลงไปหรือเปล่า เผด็จการอำมาตย์จึงยังขัดขืนที่จะให้อภิสิทธิ์ยุบสภาและประกาศการเลือกตั้งใหม่ ฝ่ายเสื้อแดงที่ทำท่าฮือฮาว่าจะผลักดันการเลือกตั้งให้จงได้ จู่ๆ ก็ประกาศเลื่อนการชุมนุมอย่างกะทันหันด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับการถวายพระพร จนเกิดสงสัยกันไม่น้อยในหมู่คนเสื้อแดง

ทีนี้พูดถึงฝ่ายประชาธิปไตยบ้าง

ครอบครัวและที่ปรึกษาใกล้ตัวของคุณทักษิณเชื่อมั่นว่า ขบวนการประชาธิปไตยจะอ่อนล้า จึงมุ่งมั่นที่จะเลือกตั้งและคว้าเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรให้ได้ อย่างน้อยเพื่อสร้างอำนาจต่อรองบ้าง หากโชคดีไปกว่านั้น บ้านเมืองเกิดกลับตาลปัตรขึ้นมาพอดี รัฐบาลเพื่อไทยในวงล้อมของอำมาตย์อาจกลายเป็นรัฐบาลตัวจริงขึ้นมาได้อย่างไม่คาดฝัน

ตัวคุณทักษิณก้าวหน้าทางความคิดไปกว่านั้น ในขณะที่ปล่อยตัวไหลตามน้ำไปบ้างก็มีสติระลึกรู้อยู่ว่าจะต้องเริ่มว่ายน้ำสวนทางหรือเปลี่ยนทิศ อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่และโดยเครื่องมือใดเท่านั้น
ฝ่ายประชาชนเริ่มเข้าใจว่าเป้าหมายเดิมๆ ที่แกนนำประกาศไว้ คงไปไม่ถึงดวงดาว แต่ในขณะที่ทุกอย่างยังรวนเรไม่ชัดเจนอยู่ ให้ทำอะไรก็ยังทำ และเอาอกเอาใจกันไว้อย่างคนเห็นใจกัน น่าชื่นชมที่ฝ่ายประชาชนเป็นฝ่ายนำตัวจริง จึงไม่ต้องห่วงว่าการนำที่ล้าหลังจะทำให้มวลชนล้าหลังไปด้วย เพราะมวลชนเดียวกันนี้แหละที่จะกลายเป็นมวลชนที่ก้าวหน้าเมื่อได้เวลาอุดมมงคลฤกษ์ ขณะนี้ไม่ต้องขัดคอกัน ไม่ต้องดิ้นรนกระวนกระวาย และไม่ต้องขอร้องให้แกนนำทุกคนเข้าใจในสถานการณ์

มวลชนเสื้อแดงเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยที่มากกว่าเงินเจ็ดหมื่นกว่าล้าน มากกว่ารัฐบาลที่ตั้งไปให้เขาโค่นทิ้ง รู้ดีว่าต้องทำอะไรมากกว่ากราบกรานขอร้องหรือชุมนุมกันไว้ก่อน
ความทรงจำในวันหาบหามฎีกากันอย่างเท่ เอาเสียงคนหลายล้านคนไปขอความเป็นธรรมยังแจ่มชัดอยู่

คนระดับนำด้วยกันย่อมเข้าใจว่าหมดระยะเมื่อไหร่ก็ให้กลับบ้านไปอย่างเงียบๆ อยากเป็น ส.ส. หรือรัฐมนตรี หรือประธานพรรคสาขาภาคไหน ก็ตกรางวัลให้แก่กันในความเหนื่อยยากและในความกล้าหาญอย่างสมควร

ส่วนประชาคมระหว่างประเทศนั้น มีความเข้าใจฝ่ายประชาธิปไตยของไทยและเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมของอำมาตย์ไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ประเทศไทยในมือของอำมาตย์มีความแปลกประหลาด (bizarre) เอาตัวเองเป็นความถูกต้อง (self-righteous) และใช้สองมาตรฐาน (double standard)

ความหลงยุคของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยในเมืองไทยทำให้เขาลำบากใจยิ่ง ไม่เฉพาะในกรณีกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ที่แสดงออกอย่างชัดเจน และมาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียที่แสดงออกอย่างเบาะๆ ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปก็เริ่มมองหาวิธีการจะแสดงออกอย่างเหมาะสมเช่นกัน

การเมืองไทยก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย เหลือกันอยู่แค่สองขั้วนี้เท่านั้นล่ะครับ

ไม่น่าเชื่อว่าเกิดมาชาติหนึ่งจะได้เห็นอะไรดีๆ และทันใจเช่นนี้เลย"

คอลัมน์ “ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 27
โดย จักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง ใครจะคบ?

รอบอาณาจักรไทยมีสี่ทิศ ล้อมประชิดติดอิงเป็นมิ่งขวัญ
เคยกรำศึกฮึกโหมเข้าโรมรัน เมื่อนานวันผันผายก็คลายลง
เพราะสงวนจุดต่างสร้างจุดร่วม จึงต่างรวมพลังแสงเพิ่มแรงส่ง
เศรษฐกิจคิดนำก็ดำรง เลิกเดินหลงในพนาป่าการเมือง
ประวัติศาสตร์ที่สร้างให้คลั่งชาติ เลิกหวั่นหวาดเลิกอิจฉาเลิกหาเรื่อง
ร่วมใจหวังสร้างกรุงให้รุ่งเรือง ประชาชนถ้วนทุกเมืองได้กินดี
นั่นล่ะคือความสุขก่อนทุกข์เข็ญ เมืองไทยเด่นสุกสว่างวางวิถี
นโยบายขยายมิตรด้วยจิตดี เลิกชวนตีกลองสงครามตามชายแดน
ไทย-พม่ารบกันนักกลับรักใคร่ ทางลาว-ไทยใครจะนึกเป็นปึกแผ่น
กัมพูชากลับสงบครบทั่วแดน มาเลเซียแน่นแฟ้นใกล้แดนไทย
แล้วไฉนจึงทำลายจนวายวอด เครียดตลอดปลอดสุขเพลิงลุกไหม้
เริ่มจากรัฐประหารในบ้านใคร แล้วรุกไล่เพื่อนบ้านเป็นพาลชน
เพื่อนสี่ทิศกลายสภาพทราบหรือไม่ ประกายไทยไฟเผาเขาฉงน
นโยบายบ้านเมืองหรือเบื้องบน ที่ร่วงหล่นจากสวรรค์ลงคันคู
เงินซีเกมส์ช่วยลาวเขาไม่รับ กัมพูชาก็ขยับไม่รับกู้
ขอไปเยือนเมียนมาร์ไว้เขาไม่ดู มาเลเซียก็ไม่อยู่เปิดอาเซียน
เขารวมกันในวันนี้ก็ชี้ชัด เหมือนมาตรวัดอำมาตย์ล้วนควรเกษียณ
อารมณ์เหนือเหตุผลมวลชนเอียน เพราะเขาเรียนมาสามปีมีเวลา
พอหลงตัวว่ายิ่งใหญ่ใครต้องกราบ ก็สร้างภาพสวยนักรักษาหน้า
เมื่อบ้านเมืองติดขัดด้วยอัตตา มัวบูชาตัวเองไม่เกรงใจ
นโยบายต่างประเทศไม่เข้าท่า เห็นโลกาภิวัตน์สะบัดใส่
เมื่อเงยหน้ามาอีกทีจะมีใคร ผู้โดดเดี่ยวเดียวดายในสากล
เผด็จการอำมาตย์ร้ายทำลายชาติ สะพานขาดน้ำแรงทุกแห่งหน
ผลประโยชน์ของมหาประชาชน ไม่เคยสนใจใครเอาใจตัว
ขอประณามอำมาตย์ชาติตกต่ำ ฉายหัวใจสีดำให้เห็นทั่ว
ปวงประชาชนไทยได้เลิกกลัว ไฟสลัวเปิดสว่างกลางแผ่นดิน.

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.