Sunday, March 29, 2009

ทำไมต้องจงรักภัคดี?

ทำไมต้องจงรักภัคดี?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในระบบประชาธิปไตยการมีประมุขไม่ว่าจะเป็นกษัตรย์หรือประธานาธิบดี ไม่ได้แปลว่าพลเมืองจะต้องจงรักภัคดีต่อประมุขแต่อย่างใด ตรงกันข้ามประมุขจะต้องจงรักภัคดีต่อประชาชนผู้เป็นพลเมือง เพราะในระบบประชาธิปไตยประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินและมีอำนาจอธิปไตยสูงสุด ในกรณีที่ประเทศมีระบบประธานาธิบดีประมุขจะต้องได้รับการเลือกมาจากประชาชน ประชาชนจึงเป็นเจ้านายแท้ของประธานาธิบดี ในกรณีที่คนส่วนใหญ่อยากมีประมุขเป็นกษัตรย์ กษัตริย์จะต้องเข้าใจว่าเขาต้องรับใช้ประชาชนและเขาจะต้องสะท้อนความคิดของประชาชนส่วนใหญ่และของประชาชนที่เป็นส่วนน้อยอีกด้วย จึงจะเป็น “จุดรวมศูนย์ของชาติ” ได้ ในกรณีกษัตริย์ยุโรป ถ้าประชาชนเลือกพรรคสังคมนิยมมาเป็นรัฐบาล กษัตริย์จะต้องสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลนั้น



ถ้ากษัตริย์ผู้เป็นประมุขเพียงแต่เข้าข้างคนส่วนน้อยที่มีอำนาจนอกกรอบรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ต้องถือว่ากษัตริย์ละเมิดอธิปไตยแท้ของพลเมือง และไม่เคารพประชาธิปไตย



รัฐธรรมนูญต่างๆของประเทศไทยหลัง 2475 กำหนดไว้ว่ากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่กษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้นกษัตริย์ต้องถือว่าเป็นผู้รับใช้ประชาชน ถ้าไม่เช่นนั้นก็ต้องถือว่าเรามีระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ทำไมเล่า...ชนชั้นปกครองไทยถึงชอบสร้างภาพว่ากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดและบังคับให้เราต้องจงรักภัคดีต่อเขา?



การสร้างภาพว่าเราต้องจงรักภัคดีต่อกษัตริย์ โดยไม่มีการอธิบายเหตุผลว่าทำไมในระบบประชาธิปไตยที่ถือว่าพลเมืองมีอำนาจสูงสุด เราจะต้องไปจงรักภัคดีต่อคนๆหนึ่งที่บังเอิญเกิดมาในตระกูลหนึ่ง เป็นการพยายามล้างสมองประชาชนอย่างไร้ปัญญา และด้วยเหตุที่มีการสร้างกระแสความเกรงกลัว คนไทยจำนวนมากจึงไม่กล้าตั้งคำถามอย่างเปิดเผยกับข้อเสนอว่า”เราต้องจงรักภัคดี” ไม่กล้าตั้งคำถามกับข้อเสนอว่าสถาบันกษัตริย์มี “ความศักดิ์สิทธิ์” และไม่กล้าตั้งคำถามกับการยัดเยียดความคิดว่าสถาบันกษัตริย์อยู่เคียงข้างสังคมไทยมาตั้งแต่โลกเกิดและได้ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข



ทั้งวิภาษวิธีมาร์คซิสต์และศาสนาพุทธ เสนอว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นเวลาชนชั้นปกครองพูดว่าสถาบันกษัตริย์อยู่เคียงข้างสังคมไทยมาอย่างยาวนาน มันเป็นคำพูดที่ไร้วิทยาศาสตร์ เป็นคำพูดเท็จเพื่อให้พลเมืองเป็นไพร่...แต่เป็นไพร่ของใคร? คำตอบคือเป็นไพร่ของทหาร อภิสิทธิชน ประชาธิปัตย์และคนอื่นที่เกาะกินรวบอำนาจและขูดรีดประชาชน ในเครือข่าย “คนรักเจ้า”



ข้อเสนอว่าสถาบันกษัตริย์ไทยทำให้เราอยู่เย็นเป็นสุข เป็นข้อเสนอที่เหลวไหลเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่นำไปสู่การปฏิวัติ 2475 ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการทหารที่ครองเมืองมานานพร้อมกับการโกงกินมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์นองเลือด 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภา 35 หรือวิกฤติการเมืองปัจจุบัน และไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนคนรวยที่เห็นได้ชัดในสังคมไทย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ชี้ให้เห็นว่าสถาบันกษัตริย์ไม่มีประสิทธิภาพในการสร้างความอยู่เย็นเป็นสุขกับพลเมืองแต่อย่างใด คือเป็นอุปสรรคและกาฝากสังคมด้วย เพราะกษัตริย์ไม่ยอมปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่ยอมห้ามคนที่เอาเปรียบประชาชน และเครือข่ายพระราชวังใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อประโยชน์ส่วนตน ทั้งๆที่งบประมาณส่วนนี้ควรจะนำมาสร้างรัฐสวัสดิการ



เครือข่ายเจ้าพร้อมที่จะให้ประชาชนหมอบคลานกราบตีน และใช้ราชาศัพย์พิเศษอันแสดงความเป็นเทวดาเหนือคนอื่น นี่คือพฤติกรรมของผู้ที่ไม่รู้จักบุญคุณของประชาชนและไม่รู้จักการเคารพพลเมืองทั้งปวงในรูปแบบประชาธิปไตย



ดังนั้นผมขอฟันธงว่า ในระบบประชาธิปไตยแท้ พลเมืองจะต้องจงรักภัคดีและเคารพศักดิ์ศรีของเพื่อนพลเมืองด้วยกัน เราจะต้องไม่จงรักภัคดีต่อคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ นายพล นายกรัฐมนตรี หรือ ประธานาธิบดี และไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์นอกจาก “สิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย และความเสมอภาค” นักการเมืองหรือนักวิชาการคนไหนที่พูดว่าเราต้องจงรักภัคดีต่อกษัตริย์ในยุคนี้ต้องถือว่าไม่เข้าใจประชาธิปไตยอันแท้จริง



--
Giles Ji Ungpakorn
UK mobile:+44-(0)7817034432
http://siamrd.blog.co.uk/
http://wdpress.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
see YOUTUBE videos by Giles53

Wednesday, March 25, 2009

เราต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และตำรวจ/ทหาร

เราต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และตำรวจ/ทหาร

ใจ อึ๊งภากรณ์

ปัจจุบันนี้สังคมไทยขาดความยุติธรรม และขาดสันติภาพ การปฏิรูประบบยุติธรรมในสังคมแยกออกไม่ได้จากปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาความยากจนและปัญหาประชาธิปไตย เราควรมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ตำรวจ และทหาร ในลักษณะองค์รวม ซึ่งโยงไปถึงกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างมาตรฐานวิถีชีวิตด้วยรัฐสวัสดิการอีกด้วย

การปฏิรูปกฎหมาย

· พลเมืองทุกคนต้องเท่าเทียมกันจริง ต้องไม่มีใครอยู่เหนือใครเพราะเหตุว่าเกิดมาในตระกูลหนึ่ง ดังนั้นต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติ และต้องไม่มีระบบสืบทอดอำนาจทางสายเลือด เพราะระบบนี้ขัดต่อหลักวิทยาศาสตร์และประชาธิปไตย

· ควรยกเลิกกฎหมายสามกฎหมายหลัก ที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยคือ กฎหมายหมิ่นเดชานุภาพ กฎหมายหมิ่นศาล และกฎหมายว่าด้วยการเซ็นเซอร์อินเตอร์เน็ด เพื่อให้มีความโปร่งใสและเอื้อกับการตรวจสอบสถาบันต่างๆ โดยพลเมือง การ”ปฏิรูป”กฎหมายหมิ่นเดชานุภาพไม่เพียงพอ ต้องยกเลิกไปเลย

· ควรยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการตั้งสหภาพแรงงานและการนัดหยุดงาน เพื่อลดบทบาทของรัฐในการเข้าข้างนายจ้างในกรณีข้อพิพาทแรงงาน และเพื่อเพิ่มอำนาจให้พลเมืองจำนวนมากที่เป็นลูกจ้าง

· ต้องยกเลิกกฎหมายห้ามค้าประเวณี เพื่อไม่ให้ตำรวจรังแกผู้ให้บริการทางเพศ ปัญหาการซื้อขายเพศต้องแก้ไขโดยการให้ความเคารพกับทุกฝ่าย และผ่านการปฏิรูปหรือยกเลิกแนวคิดจารีตคับแคบเรื่องเพศ ไม่ใช่ผ่านการใช้กฎหมายและตำรวจ

· ต้องมีการเพิ่มอำนาจให้แก่ชุมชนในการตัดสินใจในเรื่องทรัพยากร หรือโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น เขื่อน โรงไฟฟ้า ท่อก๊าซ ถนน ฯลฯ โดยใช้ระบบไตรภาคีที่กล่าวถึงไปแล้ว รัฐบาลส่วนกลางไม่ควรมีสิทธิ์ใช้ตำรวจในการบังคับใช้นโยบายโครงการขนาดใหญ่ เช่นท่อก๊าซ หรือเขื่อน

· การใช้ยาเสพติด ควรเน้น “นโยบายลดความเสี่ยงต่างๆ ให้แก่ผู้ใช้ยาเสพติด” เช่น ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ยาเสพติดเพื่อให้หลีกเลี่ยงยาอันตราย ต้องแจกเข็มฉีดยาสะอาดฟรี ยกเลิกบทลงโทษผู้ใช้ยา เพื่อป้องการแอบซ่อนและลดราคายาในท้องตลาด ซึ่งก่อให้เกิดการเสี่ยงอันตรายยิ่งขึ้น ต้องมีการรณรงค์ป้องกันโรคเอดส์อย่างทั่วถึง ควรมีการทำความเข้าใจว่าการติดยามีหลายมิติ ไม่ใช่แค่มิติเคมี และควรมีการเปรียบเทียบภัยจากการใช้ยาชนิดต่างๆ เช่นสุรา บุหรี่ กาแฟ ยาอี กัญชา เฮโรอีน ฯลฯ ด้วยหลักการวิทยาศาสตร์

· ต้องมีการยกเลิกกฎหมายจากยุคเผด็จการ หรือคำประกาศฉุกเฉินต่างๆ ทุกฉบับ เพราะไม่สร้างความมั่นคงแก่ประชาธิปไตย

· ต้องถอนทหารและตำรวจออกจากสามจังหวัดชายแดน เพื่อยุติสงครามและลดความรุนแรง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการแก้ปัญหาด้วยการเมืองสันติ

· ต้องให้ประเทศไทยมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาในทุกรูปแบบ ศาสนาต้องแยกออกจากรัฐและเป็นทางเลือกส่วนตัวของพลเมือง ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะนิยามความถูกต้องของการนับถือศาสนาพุทธหรือศาสนาอื่นแต่อย่างใด

ปฏิรูประบบยุติธรรม

· ควรมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างถอนรากถอนโคน เพื่อให้ประชาชนเข้ามาควบคุมตามหลักการประชาธิปไตย ควรลดอำนาจของผู้พิพากษา ตุลาการ และเพิ่มอำนาจให้ประชาชนเพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน โดยให้มีระบบใหม่คือ คณะลูกขุนที่มาจากทะเบียนรายชื่อประชากรในเขตนั้นๆ หมุนเวียนกันมาเป็น เพื่อเป็นผู้ตัดสินคดี โดยที่ผู้พิพากษาเป็นเพียงผู้ชี้แจงประเด็นกฎหมายให้คณะลูกขุน

· พลเมืองควรมีสิทธิ์วิจารณ์ศาลได้ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตรวจสอบของประชาชน ดังนั้นควรยกเลิกกฎหมายหมิ่นศาลในรูปแบบที่ใช้ในปัจจุบัน

· เราควรจะร่วมกันพิจารณาวิธีเลือกตั้งผู้พิพากษาและตุลาการทั้งหมด ไม่ใช่ปล่อยให้อภิสิทธิ์ชนที่ไม่รักประชาธิปไตยเป็นผู้แต่งตั้ง

· สำหรับคดีย่อยๆ เช่นลักขโมยฯลฯ ไม่ควรมีการจำคุก ควรใช้นักสังคมสงเคราะห์ในการชี้แนะให้ผู้ผิดสามารถปรับตัวผ่านงานสาธารณะ แต่ที่สำคัญ เราต้องแก้ปัญหาอาชญากรรมที่ต้นเหตุ เพราะการลักขโมยส่วนใหญ่มาจากปัญหาความยากจนหรือการติดยา ดังนั้นต้องเน้นการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมผ่านการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน โดยการสร้างรัฐสวัสดิการ

· ควรมีการทบทวนปรัชญาในการจำคุก เพื่อเน้นความปลอดภัยของสังคมแทนการแก้แค้นลงโทษ เราต้องยกเลิกโทษประหารชีวิตในทุกกรณี ควรปฏิรูประบบคุกเพื่อลดจำนวนนักโทษ และเพิ่มศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักโทษ ในปัจจุบันคุกไทยเป็นพื้นที่ป่าเถื่อน มีการใช้ความรุนแรง มีการใช้อำนาจเกินขอบเขต และสภาพการขังนักโทษเป็นสภาพจากศตวรรษก่อน ทั้งหมดนี้ต้องปฏิรูปและต้องลดจำนวนผู้ถูกขังอีกด้วย

· ต้องสร้างมาตรฐานความเท่าเทียมและความยุติธรรมในสังคม โดยเริ่มจากเบื้องบน ต้องนำเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เคยทำผิดในคดีความรุนแรงกับประชาชน เช่น ในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๖ตุลา พฤษภา๓๕ กรณีตากใบ ฯลฯ มาลงโทษ และให้อำนาจแก่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเป็นผู้ฟ้องอาชญากรของรัฐให้ขึ้นศาล(แต่กรรมการสิทธิมนุษยชนต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน) อดีตอาชญากรของรัฐควรถูกกีดกันไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งสาธารณะอีก

· ต้องมีสำนักงานดูและสุขภาพและความปลอดภัยที่มีระบบบริหาร “สามส่วน” ประกอบด้วย (1)คนจากรัฐบาลส่วนกลางที่มาจากการเลือกตั้ง (2)คนที่ได้รับการเลือกตั้งจากชุมชนที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลได้ผลเสีย และ(3)คนที่เป็นตัวแทนของสหภาพแรงงาน โดยที่ทั้งสามส่วนมีผู้แทนเท่ากัน สำนักงานนี้ต้องมีอำนาจและทรัพยากรเพียงพอที่จะดำเนินคดีกับบริษัทหรือหน่วยงานของรัฐที่ละเมิดกฎระเบียบความปลอดภัยหรือทำลายสิ่งแวดล้อม



การปฏิรูปทหารเพื่อให้เผด็จการหมดสิ้น

· ประชาชนต้องสามารถตรวจสอบการทำงานของทหารได้ ควรลดงบประมาณทหารให้เหลือน้อยที่สุด ยกเลิกงบประมาณลับ เน้นกองกำลังอาสาสมัครของประชาชนแทนอุปกรณ์แพงๆ ในการทำสงคราม และการเกณฑ์ทหาร

· นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งควรเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทหารไม่ควรมีสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ทหารไม่ควรมีบทบาทอะไรทั้งสิ้นในการควบคุมหรือรักษาความสงบภายในประเทศ ควรลดจำนวนนายพลให้เหลือแค่จำนวนที่จำเป็น และเพื่อสกัดกั้นการใช้อำนาจในทางที่ผิด

· ทหารควรจำกัดบทบาทในการป้องกันประเทศ ไม่ควรมีตำแหน่งใดๆ ในรัฐวิสาหกิจ ระบบคมนาคม หรือสื่อ

· ต้องถอนทหารและตำรวจออกจากสามจังหวัดชายแดน เพื่อยุติสงครามและลดความรุนแรง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการแก้ปัญหาด้วยการเมืองสันติ



การปฏิรูปตำรวจ

· ควรนำระบบบริหาร “ไตรภาคี” เข้ามาใช้ในการบริหารและควบคุมตำรวจ ศาล และคุก ซึ่งกรรมการไตรภาคีดังกล่าวควรประกอบด้วย 1.คนจากรัฐบาลส่วนกลางที่มาจากการเลือกตั้ง 2.คนที่ได้รับการเลือกตั้งจากชุมชนที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับผลได้ผลเสีย รวมถึงนักสหภาพแรงงาน หรือผู้แทนขบวนการเคลื่อนไหวภาคเกษตร และ 3.ผู้แทนของผู้ที่ทำงานในองค์กรเหล่านั้น ดังนั้นตำรวจชั้นผู้น้อยควรมีสหภาพแรงงาน

· ตำรวจไม่ควรถืออาวุธ ควรทำหน้าที่หลักในการเป็นผู้ประสานงานกับชุมชนเพื่อสร้างความปลอดภัยแทนการปราบปราม ทุกวันนี้ชุมชนในเมืองหรือชนบทเป็นสิ่งที่สร้างความปลอดภัยมากกว่าตำรวจอยู่แล้ว

· คดีไหนที่มีหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่รัฐทรมานผู้ถูกกล่าวหาเพื่อให้สารภาพหรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ต้องยกฟ้องทันที และต้องนำเจ้าหน้าที่มาลงโทษ ทั้งนี้เพราะเป็นปัญหาร้ายแรงในปัจจุบัน

· ตำรวจไม่ควรมีหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจคนเข้าเมืองเพื่อไม่ให้กลั่นแกล้งพี่น้องที่เดินทางเข้ามาในประเทศเรา และควรยกเลิกตำรวจตระเวนชายแดนเพราะหน่วยงานนี้มีประวัติในการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในเหตุการณ์ ๖ ตุลา

· ตำรวจและทหารไม่ควรมีสิทธิ์ตั้งด่านตรวจคนบนท้องถนน ถ้าจะค้นบ้าน รถ หรือขอตรวจบัตร ต้องมีมูลเหตุชัดเจนว่าผู้ถูกสอบสวนแต่ละคนอาจกระทำความผิด

· ปัญหาจราจรต้องแก้ที่ระบบคมนาคมขนส่งมวลชน ไม่ใช่โยนภาระให้ตำรวจชั้นผู้น้อยต้องยืนข้างถนนเสี่ยงภัยต่อสุขภาพอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ ตำรวจชั้นผู้น้อยควรได้เงินเดือนในระดับที่พอเหมาะกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

· การดับเพลิงควรโอนไปเป็นหน่วยงานพลเรือนซึ่งขึ้นอยู่กับหน่วยปกครองท้องถิ่น แต่ควรได้งบประมาณจากส่วนกลางเพื่อให้ท้องถิ่นยากจนมีการพัฒนา



ใครควรจะเป็นผู้ปฏิรูปสังคมไทย?

คงไม่ใช่ คนอย่าง นายบวรศักดิ์ อุวรรโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า(ตั้งชื่อตามกษัตริย์ที่ขัดขวางประชาธิปไตย) ที่ได้กล่าวไว้ในปาฐกถาการประชุมประจำปี ของรพ.ราชวิถี๒๕๕๑ ว่า"ประชาธิปไตย นั่นเหมาะกับประเทศที่มีชนชั้นกลางมาก แต่ประเทศไทยไม่ใช่ เพราะมีแต่คนจนและชอบประชานิยมแบบ ลด แลก แจก แถม ไปเรื่อย"

คงไม่ใช่ สถาบัน “กระโปกเกล้า” ที่ทำการปฏิรูปสังคมไทยเพื่ออภิสิทธิ์ชนในอดีต หรือแค่พวกนักวิชาการหรือนักเอ็นจีโอ

คงไม่ใช่ สุจิต บุญบงการ นักวิชาการอนุรักษ์นิยมที่ให้ความสำคัญกับอภิสิทธิ์ชนในการสร้าง “ประชาธิปไตย”บนลงล่าง

ผู้ที่จะปฏิรูปการเมืองต้องเป็น พลเมืองธรรมดาที่รักประชาธิปไตยที่รวมกลุ่มกัน เช่นคนเสื้อแดง นักสหภาพแรงงาน หรือกลุ่มเกษตรกร และต้องมีผู้แทนของคนกลุ่มน้อยและผู้ถูกรังแกในสังคม

22 มีนาคม 2009



--
Ji Ungpakorn
+44(0)7817034432
http://siamrd.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
http://wdpress.blog.co.uk/

Saturday, March 21, 2009

นโยบายยึดครองประเทศไทย

นโยบายยึดครองประเทศไทย
(ปูเนาะออกันซีแย ปูเนาะไทยแลนด์)

กลยุทธ อัลกอฮ์ ฮู ฮัค บั๊ค ลาอีลลา ฮะ อีลลัลลอย์ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใด มีอัลเลาะฮ์องค์เดียว)
การฆ่าคนเพื่ออิสลามไม่ผิด

เราทำเพื่ออัลลอย์ดังต่อไปนี้

1. การทำ มีเด๊าะ มาอ๊ะ (การขอโทษ) ของพวกมันไม่ต้องไปสนใจ เพราะมันทำเหมือนพวกมากันซูซู (เด็กกินนม) ดูแล้วโจ๊ก สรุปความเห็นของมุสลิมเราคือ เดาะเซาะ มีเด๊าะมาอ๊ะ (ไม่ต้องมาขอโทษ) ยิ่งทำอย่างนี้มากเท่าไร พวกเราต้อง บูวะ วีซียะ (เก็บมันให้เรียบ) พื้นที่ใด ที่มันไม่ยอมให้ ดาวะจากจังหวัดอาเจะ ประเทศอินโดนีเซียเข้าไปปกป้องอยู่ด้วย ก็เตรียมจัดการเมื่อมันออกมาจากพื้นที่ เหมือนเก็บพวกอำเภอเบตง จังหวัดยะลา เก็บมันทั้งรถตู้เลยง่ายดี แต่ต้องส่งสัญญาณให้มุสลิมเรารู้ตัว ถ้าเป็นมุสลิมนอกกรอบก็เก็บไปพร้อมกันเลย

2. การเสนอให้ปลดย้ายซะคาดู(ตำรวจ) และพวกกาเฟรซียัม(ข้าราชการ) ทหาร ให้มันย้ายที่ทำงานใหม่ มันจะไม่ชำนาญพื้นที่ จะทำให้เราฆ่ามันได้เพิ่มขึ้น อีกประการหนึ่ง เป็นธรรมชาติของไทยพุทธ มันไม่รักกัน ชอบแย่งชิงอำนาจ อิจฉาริษยากันเองอยู่แล้ว ถ้าเรารีบแต่งตั้งทหาร ตำรวจ ข้าราชการอื่นขึ้นมาใหม่ จะได้หลอกใช้พวกมัน เพราะมันได้ตำแหน่งใหม่ๆ จะเหิมเกริม เราก็หลอกว่าจะให้ตำแหน่งมัน เพราะพวกมันบ้าอำนาจเห็นกันอยู่แล้ว ส่วนคนที่ถูกปลดไปก็จะน้อยใจ ก็จะเกิดการต่อต้าน จะทำให้มันไม่มีสติ จะทะเลาะกัน แตกแยกกันเอง

3. บอกคนของเราและคนไทยพุทธที่เราซื้อไว้แล้วให้ช่วยกันเสนอคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็น ส.ส. โดยให้กำหนดคุณสมบัติให้ต่ำกว่าปริญญาตรี พยายามต่อรองให้ใช้วุฒิ ม.3 หรือ ม.6 ก็ได้ เพราะวุฒินี้สามารถซื้อได้จากกระทรวงศึกษาธิการ เพียงหัวละ 5 พันบาท การณ์นี้คิดเผื่อไว้ให้คนมุสลิมในพื้นที่ และมุสลิมที่มาจากนอกประเทศมาอยู่ในไทย 4 ปี 5 ปี พอพูดภาษาไทยได้ เมื่อซื้อวุฒิแล้ว ก็ลงเลือกตั้งได้และต้องได้แน่นอนเพราะมีเงินซื้อเสียงมากพอ ฉะนั้นที่นั่งในสภาจะตกเป็นของมุสลิมเรามากที่สุดโดยขั้นแรก เราต้องพูดกรอกหูไทยพุทธว่า เพื่อช่วยคนจนต่างจังหวัดให้ได้ลงเลือกตั้ง ให้ดูว่าทำเพื่อคนไทยไม่ใช่ทำเพื่อมุสลิมเรา

4. เรื่องปิดกั้น โค่นล้มศาสนาพุทธ ต้องทำต่อเนื่อง ให้จ้างคนพุทธและอาจารย์มหาวิทยาลัยและซื้อตัวผู้มีอำนาจทางการเมืองให้ช่วยเชียร์อิสลาม ปิดกั้นพุทธศาสนา ไม่ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ อย่าลืม ขณะนี้อำนาจอยู่ในมือมุสลิมเรา ต้องรีบทำโดยจ่ายเงินซื้อคนพุทธ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ นักหนังสือพิมพ์ เลือกผู้มีฝีปากดี ๆ ให้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เอาศาสนาพุทธ ไม่ต้องบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เพราะจะสร้างความแตกแยก เราต้องใช้ความขี้เกรงใจของคนพุทธให้เป็นประโยชน์กับเรา

5. กรอกหูคนมุสลิมทุกคนที่นับถือศาสนาอิสลามและพูดภาษายาวีว่า เวลาพูดภาษาไทยต้องพูดให้เป็นเสียงเดียวกันว่า รัฐบาลไทยมาถูกทางแล้ว ให้สมานฉันท์กันต่อไป อดทนต่อไป ทั้งนี้ เพื่อดึงเวลาให้เราฆ่าคนพุทธและมุสลิมนอกกรอบให้สิ้นเสี้ยน ขณะเดียวกันเราก็ไปแทรกซึมทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอใน 6 จังหวัดภาคใต้ของไทย และจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทุกจังหวัด เพื่อมุสลิมเราจะได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจอีกด้วย

6. ให้แกนนำบอกกันเหล่านักรบมุสลิม เราแต่งกายเลียนแบบทหาร ตำรวจ แล้วไปก่อการโจมตีกับพวกไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่บ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจผิด เราก็โยนความผิดให้ทหาร ตำรวจ จากนั้นให้แกนนำมุสลิมลงไปในหมู่บ้าน จัดกลุ่มสตรี เด็ก ออกประท้วง ด่าตำรวจ ทหาร ในการประท้วงทุกครั้ง ต้องเขียนข้อความลงในแผ่นกระดาษแข็ง หรือเขียนลงบนผ้าขาว แล้วถ่ายลง CD หรือโทรศัพท์มือถือและส่งไปทั่วโลกว่า มุสลิมโดนรังแก

7. ทุกครั้งที่คนมุสลิมโดนจับ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะผิดหรือไม่ ให้ร่วมกันออกมาประท้วง โดยให้ผู้หญิงและเด็กออกมาประท้วงให้ปล่อยตัวผู้ถูกจับ ถ้าไม่ปล่อยก็ให้ก่อวินาศกรรม เผาสถานที่ราชการให้เสียหาย

8. การส่งคนอาหรับมาช่วยเราทำพาสปอร์ตปลอม เพื่อให้กลุ่มตาลีบันได้เข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทย เลือกดูจังหวัดที่สงบ เช่น สตูล เชียงราย อยุธยา สระบุรี นครสวรรค์นั่นแหละ เพราะพวกคนไทยมันโง่ มันไม่รู้หรอกว่าเป็นมุสลิมในพื้นที่หรือมุสลิมที่มาจากอัฟกานิสถาน อาหรับฯลฯ พวกคนไทยมันฟังภาษายาวียังไม่ได้เลย นับประสาอะไรจะไปฟังภาษาอื่น พวกมุสลิมที่มาจากนอก จะช่วยวางแผนด้านการก่อวินาศกรรมและโค่นประเทศไทยด้วย

9. เร่งประสานไปยังแกนนำควนโดนที่จังหวัดสตูล ให้หาคนกลุ่มหนึ่งไปประสานเรื่องโครงการแลกเปลี่ยนด้านความร่วมมือระหว่างอาหรับกับสถาบันราชภัฏทั่วประเทศ เราจะต้องอาศัยสถาบันราชภัฏเป็นที่ฝึกครูของพวกเรา ในทางกลับกัน เราก็ล้างสมองพวกอาจารย์ราชภัฏให้เห็นฝ่ายเดียวกับมุสลิมเรา ให้ซื้อตัวอธิการบดี แล้วเราจะได้ทุกอย่าง คิดดูว่าถ้าทุกราชภัฏในประเทศไทยมีคนมุสลิมได้เข้าเรียนมากและดำเนินตามแผนที่วางไว้ ประเทศไทยก็จะตกอยู่ในมือเราง่ายดาย มหาเดย์ สั่งว่า ให้เลือกไปติดต่อสถาบันราชภัฏในวันหยุดราชการ เพื่อพบอธิการบดีคนเดียว มุสลิมเราได้ ลงพื้นที่วางคนไว้ด้วย ตอนนี้ที่ราชภัฏ อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรีได้ผลดี อธิการบดีตกหลุมเราแล้วในโครงการธุรกิจการศึกษากับสถาบันในรัฐซาบา ประเทศมาเลเซีย

10. มหาเดย์ (มหาเดย์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย) ชมเชยกลุ่มนักรบฟาตอนีว่าทำงานได้ผลดีมาก จะได้เป็นใหญ่ทุกคน ให้เลือกแกนนำที่เข้มแข็งไปฝึกอาวุธ ให้คนมุสลิมเขมรช่วยเข้ามาจัดการกับคนพุทธที่จันทบุรีและตราด เราต้องการพื้นที่ 2 จังหวัดนี้เอาไว้ก่อการในเขมร เมื่อเรายึดไทยได้แล้ว เราจะยึดเขมร เราทำให้เหมือนทาง 3 จังหวัดใต้ของไทย คือเอาพวกมุสลิมจากอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซียและมุสลิมมาเลเซียมาก่อการร้ายในไทย เอามุสลิมเขมร,พม่าเข้ามาช่วยก่อการร้ายในไทย เมื่อได้ประเทศไทยแล้ว เราก็เอามุสลิมไทยที่เราฝึกไว้ไปรวมกับมุสลิมจากอาเจะห์, มุสลิมเขมร เข้าไปก่อการร้ายในพม่า เราก็ได้พม่า

11. มหาเดย์ ให้เลือกจังหวัดราชบุรีเป็นที่บัญชาการของเหล่านักรบ เพราะขณะนี้ทาง 3 จังหวัดใต้ อยู่ในมือเราแล้ว แย่งให้พวกแกนนำฟาตอนีลงมาแทรกซึมและแต่งงานกับคนไทยราชบุรี เพื่อดึงคนมาเป็นพวกมุสลิมในจังหวัดราชบุรี เราจะไม่ให้มีเหตุการณ์ร้าย แต่เราจะไปก่อการในจังหวัดนครปฐมและจังหวัดใกล้เคียงรวมทั้งในกรุงเทพฯ ขอสำทับว่าอย่าก่อการร้ายในจังหวัดราชบุรีเด็ดขาด เพราะใช้เป็นที่ซ่องสุมขุมกำลังและจะเอาเยาวชนมุสลิมมาลงที่ราชภัฏจอมบึง เหมือนกับที่เราไม่ก่อการร้ายในจังหวัดสตูล เพราะเราจะได้มีที่พบปะวางแผนกันในอำเภอควนโดนจังหวัดสตูล มหาเดย์จะมาพบพวกเราที่ จ.สตูล และพบกับเยาวชนกลุ่มหนึ่งที่เรียนดี จะให้รางวัลด้วยมือมหาเดย์เอง ไม่มีใครรู้หรอกว่า ชายแดนประเทศมาเลเซียที่ติดกับจังหวัดสตูลนั้น เราขนวัสดุและอาวุธกันมานาน ตั้งแต่ท่านอารีย์เป็นผู้ว่าฯ

12. ให้แกนนำที่มีสมองโต ไปบอกพวกมุสลิมกรุงเทพฯทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ให้ไปตีสนิทกับพวกหัวคะแนน ทั้งที่เป็น สก. สข. ถ้ามีโอกาสก็แต่งงานเอามาเป็นพวกเสียเลย เพื่อการเลือกตั้งในครั้งต่อไปมุสลิมกรุงเทพฯ จะได้รับเลือก ส่วนในต่างจังหวัดเลือกเอาจังหวัดที่มีเศรษฐกิจดี เป็นแหล่งท่องเที่ยวก่อน ให้มุสลิมแต่งงานกับพวก อบต. หรืออดีตผู้เคยเป็น ส.ส. ให้เลือกดูหนุ่ม ๆ อนาคตดีเหมือนที่เราได้อภิรักษ์มาเป็นพวก

13. การวางกำลังมุสลิมไว้ชายแดนไทย โดยกองบัญชาการในเขตภาคกลางของเราจะอยู่ที่จังหวัดราชบุรี เราจะวางคนมุสลิมเราไว้ 16 จุด เพราะราชบุรีเป็นจังหวัดเล็ก แต่เราจะเอาคนมุสลิมเราไปวางไว้ที่แหล่งท่องเที่ยวทั้งหมด 40 จุด เช่น อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เพื่อแพร่เข้าไปในพม่าด้วย โชคดีที่พระอุตมะที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของกระเหรี่ยงพุทธ มอญพุทธ เสียชีวิตแล้ว เอาคนของเราเข้าแต่งงานกับพวกนี้ แล้วย้ายกระจายไปที่อื่นด้วย กลืนมาเป็นมุสลิมให้หมด บริเวณไทรโยคให้เอาไปวาง 3 ครอบครัว อ.ทองผาภูมิ 3 ครอบครัว อ.ศรีสวัสดิ์ 5 ครอบครัว อ.สวนผึ้ง 5 ครอบครัว อ.บ้านคา 3 ครอบครัว อ.หนองปรือ 5 ครอบครัว อ.บ่อพลอย 5 ครอบครัว อ.พนมทวน 5 ครอบครัว อ.ท่าม่วง 3 ครอบครัว อ.ท่ามะกา 3 ครอบครัว จังหวัดสมุทรสาครและสมุทรสงคราม วางไว้ 42 จุด ตามชายฝั่งทะเล รายละเอียดดูตามแผนที่ประกอบ จังหวัดชลบุรี เน้นแหล่งท่องเที่ยวด้วย โดยเฉพาะศรีราชา หาดจอมเทียน บางละมุง แม้แต่ที่เกาะสีชัง เกาะยายเท้า เกาะค้างคาว เกาะขามเล็ก เกาะขามใหญ่ ฯลฯ คนมุสลิมที่จะเอาไปวางไว้ชายฝั่งทะเล ให้เลือกผู้ที่ชำนาญการประมงจาก อ.ปานาเระ อ.มายอ จ.ปัตตานี อ.เมือง จ.นราธิวาส และพวกเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเขาเหล่านี้จะได้ออกทะเล หาปลาด้วย คุมพื้นที่ด้วย จังหวัดจันทบุรี ให้วางไว้ 34 จุด และจังหวัดตราด 31 จุด จุดใหญ่ที่จะประสานคือ ที่ อ.แก่งหางแมว เป็นที่รู้กัน มุสลิมเราซื้อที่ดินไว้นานแล้ว นอกนั้นวางมุสลิมให้อยู่รอยต่อตะเข็บชายแดนเพื่อฝึกอาวุธในเขตเขมร

แกนนำมุสลิมในอยุธยา สระบุรี ลพบุรี ให้ช่วยจัดมุสลิมไปวางไว้ที่ จ.นครนายก จ.ปราจีนบุรี ให้วางไว้ 25 จุดพอ เพราะไม่ใช่ตะเข็บชายแดน แต่ให้ทำธุรกิจท่องเที่ยวด้วย จ.สระแก้ว ให้วางไว้ อ.โรงเกลือ เพื่อทำการค้าและแพร่ไปในเขมรได้ง่าย ทั่วจังหวัดสระแก้ว วางไว้ 28 จุด อ.กบินทร์บุรี วางไว้ 25 จุด ส่งคนทำงานในโรงงาน ๆ ละ 2-3 คน อย่าให้มาก คนพุทธจะไหวตัว เขตนครราชสีมาวางไว้ 32 จุด

ในภาคอีสานทั้งหมด เน้นจังหวัดท่องเที่ยวและรอยต่อตะเข็บชายแดน เพื่อซื้อคนเขมร มาฝึกและคนเขมรให้ลงใต้ ช่วยก่อการร้ายใน 4 จังหวัดภาคใต้ของไทย

ภาคเหนือ แหล่งใหญ่อยู่ที่เชียงราย 7 พันกว่าคน ให้ถอนผู้ที่สมรสใหม่ ไม่มีบุตร เอาไปวางไว้อำเภอดอยปุย จ.เชียงใหม่ 5 จุด ทำร้านขายโรตี 1 ร้าน ร้านขายกาแฟ 1 ร้าน ขายเสื้อผ้า 2 ร้าน ขายของที่ระลึก 1 ร้าน เป็นที่น่ายินดีที่ร้านนี้ได้แต่งกับผู้หญิงชาวม้งพื้นที่ และหญิงม้งผู้นี้กำลังตั้งครรภ์แล้ว นอกจากนี้ได้ติดต่อผู้หญิงม้งอื่น ๆ ให้กับมุสลิมเราด้วย เป็นการเพิ่มมุสลิมดีจัง ให้มุสลิมเราไปก่อเหตุฆ่าม้งพื้นที่ ให้ออกไปหาเรื่องครอบครองร้านค้าของคนม้งให้หมด คนไทยพุทธมันไม่รู้หรอกว่าดอยปุยใกล้พระตำหนักภูพิงค์ฯ ไม่ถึง 3 กิโลเมตร หรือเพราะพวกมันไม่คิดว่าเราจะล้วงคอ งูจงอาง ฐานกำลังฐานเสียงของเราส่วนใหญ่อยู่ใกล้พระราชฐานทั้งนั้น รอเวลาอีกนิด เมื่อเลือกตั้งอีก 2 ครั้ง มุสลิมเราจะได้ที่นั่งมากกว่าไทยพุทธที่เคยได้แน่นอน

14. เรื่องเงินสำหรับคนมุสลิมที่ย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในจังหวัดต่าง ๆ มหาเดย์บอกว่า ท่านมอบเงินให้ท่านวันนอร์มาแล้ว ให้จ่ายให้รายละ 3 แสน รวม 76 จังหวัด ถัวเฉลี่ยจังหวัด 30 ครอบครัว รวมเป็น 2,280 ครอบครัว รวม 684 ล้าน แต่ท่านวันนอร์ได้รับ 700 ล้าน ไม่เป็นไรส่วนที่เหลือเก็บไว้ก่อน เพราะเราจะเอามุสลิมไปวางไว้เพื่อทำการค้าที่เชียงแสนเพิ่มอีก เพราะมีร้านป้าเด๊ะร้านเดียว คนมาท่องเที่ยวมากมาย ต้องทำรายได้ทั้งหมดอยู่ในมือมุสลิมเราเท่านั้น

15. ในการประชุมที่เกาะลังกาวี ดร.วันกาเดร์ เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย ท่านพูดว่าคนไทย มันโง่จัง เราพูดอะไรมันเชื่อหมด ให้มัน compromise (สมานฉันท์) มันก็ทำลูกเดียว ไม่กล้าแม้แต่จะแตะโจรมุสลิม ถูกจับตัวได้ ให้ดูว่าไทยมันโง่ขนาดไหน ดูมันปล่อยพวกที่จับได้เหมือนปล่อยเสือเข้าป่าไม่มีผิด นี่ถ้าเป็นประเทศมาเลเซียเราคงฆ่าทิ้งทั้งหมด อย่างดีก็จำคุกตลอดชีวิตฐานปรานี ท่านยังบอกเลยว่า ท่านวันนอร์ประสานงานในประเทศไทยดีมากตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 เป็นต้นมา ประสานดึงนักศึกษามุสลิมทั้งประเทศมาประชุมกันที่จังหวัดสตูล ให้มารับเอาความรู้และโดนล้างสมองให้เกลียดประเทศไทย ต่อไปให้นักศึกษาไปประสานพ่อแม่ ญาติพี่น้องให้เดินทางมารู้จักแกนนำ จากสตูล ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และแกนนำประเทศมาเลเซีย ดูแล้วคนไทยมันโง่มาก ท่าน ดร.วันกาเดร์และมหาเดย์ (ดูสถิติ 2529-2530 จากรายชื่อนักศึกษามุสลิมในประเทศไทยที่ท่านวันนอร์หลอกลวงมาล้างสมองเพิ่มมากขึ้นระหว่างที่นายอารีย์ วงศ์อารยะ คุมกระทรวงมหาดไทย) ท่านชมว่าเก่งมาก ที่ท่าน วันนอร์ขอทุนจากรัฐบาลไทยได้ส่งเด็กมุสลิมเราจบด๊อกเตอร์จากอเมริกาหลายคน ตอนนี้อยู่ในมหาวิทยาลัยดัง ๆ ของไทย เป็นกำลังสำคัญช่วยเราวางแผนแบ่งแยกดินแดน เช่น อาจารย์ใน มหาวิทยาลัยศิลปากรใน ม.บางมด และม.อื่น ๆ ที่มากที่สุดที่ ม.สงขลานครินทร์โชคเข้าข้างมุสลิมดีจัง

16. ดร.วันกาเดร์และมหาเดย์ ขอให้แกนนำสมองโตไปเร่งให้ท่านสุรินทร์พิศสุวรรณ เร่งซื้อที่ดินชายทะเลเพิ่มมากขึ้น ที่ดินที่ซื้อไว้ที่ อ.ท่าศาลา ท่าแซะและอื่น ๆ รวมทั้งที่จะแนะ ให้รีบกั้นรั้วไว้ก่อน เพราะเมื่อลงมือทำโรงงานอาหารสัตว์และอาหารฮาราลจะได้รวดเร็ว ท่าน ดร.วันกาเดร์บอกว่า ให้ ดร.สุรินทร์ นำเงินส่วนที่เหลือจากซื้อที่ดินไปสร้างธนาคารอิสลาม (สาขา) เพิ่ม และเงินอีก 500 ล้าน ท่านให้แจกแกนนำมุสลิมในกรุงเทพฯ พวกเขายังไม่ได้รับ เพราะกลุ่มพิราบขาวไปสืบถามมุสลิมทุ่มครุ หนองจอก มีนบุรี คลองตัน อิสรภาพ รวมทั้งกลุ่มมุสลิมที่ อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ และมุสลิมเชียงราย 7,200 คน ยังไม่ได้รับเงินเพื่อสร้างสุเหร่า ท่านสุรินทร์ พิศสุวรรณ เดินทางไปเชียงรายจริง มุสลิมเชียงรายบอกว่า ท่านเดินทางไปก่อนที่มกุฎราชกุมารประเทศไทยจะขับเครื่องบินไปเชียงราย 2 วัน ท่านไปสั่งการแบบเร็ว ๆ คร่าว ๆ และงานก็ทำไม่สำเร็จ ขอให้รู้ว่า มหาเดย์รู้ทุกอย่าง ก่อนท่านสุรินทร์ฯ จะขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ยังแวะไปเที่ยวที่อูบคำใช่ไหม อูบคำเป็นที่แสดงวัตถุโบราณของคนไทยพุทธภาคเหนือ ท่านไปจริงไหม มหาเดย์ยังบอกว่าห่างกันเพียงอาทิตย์เดียว ท่านวันมูฮัมหมัด นอร์มะทา ได้ไปพบกับมุสลิมที่ อ.หางดง จังหวัดเชียงใหม่ และให้เงินไว้ 100 ล้านแรก เพื่อสร้างสุเหร่าให้ทั่วเชียงใหม่และ จ.ลำพูน แต่ท่านวันนอร์ก็ไม่ให้ครบ และเงินที่ให้จ้างคนพุทธโค่นล้มรัฐบาลก่อนก็ยังให้เขาไม่หมด ระวังเรื่องจะแดงขึ้นมา คนของท่านวันนอร์ก็ไปหลอกลวงขอเด็กหางดงลงไปปัตตานี ไม่สำเร็จเช่นกัน ขอให้เปลี่ยนตัวแกนนำโดยด่วน อย่าทำให้ไก่ไทยตื่น เพราะการณ์ข้างหน้ายังต้องทำต่อไป

17. ควรเพิ่มเงินในการซื้อฐานเสียงในภาคเหนือให้หมด คนภาคเหนือจะกลัวซะดาคู(ตำรวจ) จึงต้องซื้อตำรวจในภาคเหนือ อย่าลืมไปยุแหย่ผู้มีฐานะทางการเงินและ owner (เจ้าของกิจการ) ใหญ่ ๆ ให้เกลียดชังคนพุทธด้วยกัน และให้โค่นล้มรัฐบาลคนพุทธทุกครั้ง เช่น พูดให้เจ้าของ Outlet จ.เชียงใหม่ ซึ่งมี 4 สาขา เอาหนุ่มมุสลิมเข้าไปขอแต่งงานกับลูกสาว Outlet โดยด่วนแล้วดึงมาเป็นพวก เพราะเจ้าของ Outlet ฝีปากดีมาก คนเชื่อถือ ส่วนใหญ่ใน จ.ภูเก็ตและจังหวัดใหญ่ ๆ และต้องพูดให้เจ้าของโรมแรม เจ้าของกิจการไข่มุก เจ้าของกิจการภูเก็ตแฟนตาซี และกิจการก่อสร้างบ้านจัดสรรอื่น ๆ ให้เกลียดชังตำรวจ ทหาร เช่น ขณะนี้ ทหารไทยยึดอำนาจ และวางทหารเข้ามาสืบทอดอำนาจในทุกกิจการ เช่น เข้ามาเป็นบอร์ดในกิจการท่าอากาศยาน เป็นบอร์ดในการไฟฟ้า การประปา องค์การโทรศัพท์ บอร์ดในการสื่อสารโทรคมนาคม และอื่น ๆ ต้องกำจัดทหารออกไป ยุให้มันทะเลาะกัน แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไร เพราะทหารมุสลิมของเราเป็นใหญ่ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่รู้อะไรในกองทัพไทย แต่ถ้าเมื่อใดที่มุสลิมเราไม่ได้เป็นใหญ่ ก็ยุแหย่ให้มันทะเลาะกัน

18. มหาเดย์ สั่งให้แกนนำสมองโต (พวกฉลาดมาก) ไปพบทหารมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดของไทย ให้สร้างความหวัง และหลอกใช้อัศวินของไทย ทั้งตำรวจ ทหาร เป็นกระบอกเสียงให้ แต่เมื่อเวลาเสนอชื่อจริง ๆ ให้เป็นแม่ทัพทหารหรือเป็นอธิบดีต่าง ๆ ในเดือนตุลาคม 2550 ก็ให้เสนอชื่ออัศวินผู้อื่นที่มีอายุน้อยและถ้าเป็นมุสลิมก็ดีหรือที่ใกล้ชิด King Queen เป็นผู้รับตำแหน่งใหญ่สืบทอด (และให้โทษว่า King หรือ Queen เป็นผู้เลือก) เพื่อหวังการณ์ข้างหน้า เราจะได้พึ่งในการได้ข่าว และการดักโจมตีก่อการร้ายในจังหวัดอื่นๆของเรา ขณะนี้ได้ข่าวว่ามีอัศวิน 3-4 คน กำลังบ้าอำนาจมาก และเต้นตามลมปากของมุสลิมผู้เป็นใหญ่ของเรา ขอให้ผู้ประชุมทุกคนเก็บความลับ คอยดูคนไทยบ้าอำนาจตีกัน

19. เรื่อง Public Health Center (สถานีอนามัย) ใน 3 จังหวัดภาคใต้ เมื่อเผาแล้ว เรียกร้องให้ไทยมันสร้างใหม่ ให้มันเสียเงินมาก ๆ เราจะได้สถานีใหม่ ๆ และให้เลี้ยงเด็กมุสลิมเป็นอย่างดี ดูเรื่องอาหารการกิน ของคาวหวาน นม ต้องมีให้พร้อม จากการส่งสายลับไปดูเปรียบเทียบแล้ว เด็กมุสลิมเรากินอยู่ดีกว่าเด็กไทยพุทธมาก เด็กไทยพุทธกินข้าวราดแกงจืดอย่างเดียวไม่มีขนม เรื่องโรงเรียนก็เช่นกัน เมื่อเผาไปแล้ว เรียกร้องให้มันสร้างใหม่ให้ได้ ให้บอกว่าเพื่อเอาใจมุสลิมพื้นที่

20. ขอให้ผู้มีอำนาจของพวกมุสลิมเราส่งสัญญาให้กลุ่มแกนนำที่ไทยมันเรียกว่า โจรก่อการร้าย ได้รู้ว่า ทหารไทยมันมีจุดอ่อนอย่างไรบ้าง เช่น ไม่มีเสื้อเกราะ ไม่มีความชำนาญภาคสนามรบ จำนวนคนน้อย และไม่มีการวางแผนการสู้รบ โดยเฉพาะเมื่อเด็กมุสลิมเราถูกเกณฑ์ทหารไป ก็ขอให้มีการบรรยายพิเศษเรื่องยุทธศาสตร์การสู้รบของไทยมัน และหรือให้ผู้มีอำนาจของเราซื้อทหารคนพุทธ ให้มันเล่าวิธีการสู้รบของมัน เรารู้วิธีของมันมากแล้วก็จริง แต่มันอาจหลุดอะไรใหม่ ๆ ก็ได้ และการให้ข่าวทำลายขวัญของมัน เช่น มีทหารในพื้นที่ขอย้าย 6,000 นาย มีครู ข้าราชการอื่น ๆ ขอย้ายหมื่นคน และผู้สื่อข่าวที่เราซื้อตัวไว้นั่นแหละให้เป็นผู้ถามนำให้ประชาชนมุสลิมเราเป็นผู้ตอบ ดีต่อกลุ่มนักรบเรา แต่ผลเสียต่อนักรบไทย

ต้องพยายามผลักดันให้มุสลิมเรา โดยเฉพาะอารีย์ วงศ์อารยะ ได้ลงพื้นที่แล้วพูดให้สับสน ไม่ให้ทหารฟังแม่ทัพของไทยมัน เพราะตอนนี้มันเริ่มรู้ทางเรา ขอให้แกนนำใหญ่สุดของกลุ่มสมองโตลงประกบตัวแม่ทัพภาค 4 คนนี้ด้วย พยายามพูดให้มันไขว้เขวอีกคน และให้คนของเรา ไปบอกข่าวเท็จกับมัน เพื่อดึงความสนใจก่อนที่มันจะรู้ที่ซ่อนอาวุธของเรา สุดท้าย มหาเดย์ ตรีมอกาเซะ(ขอบคุณ) มาให้กับมุสลิมที่ดีทุกคน พร้อมย้ำคำว่า อาเมะ วีซียะ ซะลาลู (เก็บมันให้เรียบ)

21. เร่งให้ฝ่ายหญิงมุสลิมที่แต่งกายชุดสีดำให้หมดทุกคน ผู้ชายสวมหมวกทุกคน ไม่ให้ซ่อเกะหลุดจากหัว แม้แต่เวลาละหมาด ผู้หญิงสวมผ้าตาละโก่ง ผ้าฮิญ๊าบสำหรับโพกหัวก็ให้เป็นสีดำ เพราะสีดำเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลามนิยายซีอะของเรา ให้เข้ากับความดุร้าย ให้พิราบข่าวไปแจ้งผู้นับถือนิกายสุหนี่ให้ทั่วด้วยว่า มหาเดย์ สั่งมา ใครไม่ปฏิบัติ ให้ประสานไปที่ลูกเขยสกุลหิมะทองคำ เขารับเรื่องการแต่งกายที่เป็นเอกภาพอยู่ และเราต้องการให้ประเทศไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม เปลี่ยนเป็นนิกายชีอะทุกคน ให้เหมือนกับมุสลิมในประเทศอินโดนีเซีย บรูไนและมาเลเซีย เพราะเราต้องเอาใจผู้ให้เงินนิกายซีอะ และตอนนี้ มหาเดย์เองก็เปลี่ยนเป็นชีอะแล้ว

22. มหาเดย์ ขอให้แกนนำช่วยกันคิดในการสร้างปัญหาต่าง ๆ ให้เกิดกับทุกภูมิภาคของไทย เพราะการเสริมกำลังจากจังหวัดอาเจะ ประเทศอินโดนีเซีย จะหาช่องทางมาสมทบกับกลุ่มอาเจะเดิมในไทย ซึ่งถูกฆ่าตายไปบ้างนั้นยากขึ้น เพื่อให้การก่อการร้ายต่อเนื่อง จำเป็นต้องเคลื่อนกำลังจากอาเจะเข้ามา แต่ทหารไทยตรึงกำลังหนาแน่น ทำให้เคลื่อนเข้ามาไม่ได้ จะมาทางเรือจากเกาะลังกาวี มาเลเซีย เข้าจังหวัดสตูลก็ไม่ได้ เพราะทหารเรือและตำรวจจับตา ฉะนั้นขอให้เปิดฉากอะไรก็ได้ในจังหวัดอื่น ๆ หรือใน 3,4 จังหวัดของไทย เพื่อดึงความสนใจไปที่อื่น และอีกประการหนึ่ง ให้สร้างความเสียหายให้ประเทศไทยให้มากที่สุด ให้มันใช้จ่ายเงินในเรื่องที่ไม่สมควรจ่าย จะทำให้เงินที่มันจะให้ค่าเบี้ยเลี้ยงทหาร ค่าซื้ออาวุธปืน ลูกปืนไม่มีเงินซื้อ ต้องทำให้ไทยมันเลือดไหลหมดตัว ขอย้ำว่า ถ้าไม่มีอะไร ก็ให้เผาป่าก็ยังดี หรือทำให้น้ำเกิด pollution (เป็นพิษ) ทางน้ำ ทางอากาศ บอกมุสลิม ผู้เป็นใหญ่ของเรา อย่าเพิ่งจ่ายเงินพิเศษค่าตำแหน่งให้ครู เพราะเราจะยุยงให้พวกครูประท้วง ถ้ามุสลิมผู้เป็นใหญ่ของเราไม่ได้เป็นใหญ่ต่อไป ทุกอย่างต้องดึงเกมส์ไว้ก่อน

23. บริษัทเชฟรอนของเรา ได้สำรวจปิโตรเลียมในอ่าวไทยและอ่าวพม่า ยังมีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากมาย รวมทั้งแร่อีกหลายชนิด ถ้ามุสลิมเราได้ 3 จังหวัดใต้ คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ยังไม่พอ เราคนเอาคนมุสลิมเราไปวางไว้ในระนอง พังงา กระบี่ พัทลุง ตรังและสงขลา เพิ่มให้มากขึ้น แต่เดิม มหาเดย์ บอกว่าเอา 3 จังหวัด แต่ตอนนี้เปลี่ยนใหม่แล้วว่า เอาด้ามขวานประเทศไทยทุกจังหวัดก่อน และจะคืบคลานให้คนไทยเป็นมุสลิมทั้งประเทศ

24. แกนนำด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ทุก ๆ ด้านของมุสลิมเราได้ผลดีเยี่ยมทุก ๆ กลยุทธ และขอเน้นย้ำว่า กลยุทธใดที่มุสลิมเราจะเพลี่ยงพล้ำ ก็ให้ joint venture (เข้าร่วมเป็นมิตร) ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป อย่าให้คนไทยพุทธรู้ตัว แต่ในทำนองเดียวกัน ก็บรรจุสิ่งที่มุสลิมเราต้องการลงในรัฐธรรมนูญของประเทศไทยให้เต็มที่ให้มากที่สุด เราได้เปรียบไว้ก่อนหลาย ๆ ด้าน สมองของคนไทยพุทธเทียบเท่ากับสมองลือมูและกูบา (วัว ควาย) เท่านั้น จะสู้สมองนักวางแผนของมุสลิมเรา 300 กว่าคนได้อย่างไร เมื่อรวมสมองของ ดร.มหาเดย์และ ดร.วันกาเดร์ เข้าไปด้วยแล้ว การเข้าครอบครองไทยง่ายนิดเดียว เหมือนกระพริบตา

25. การเพิ่มคนมุสลิมให้เร็วและจำนวนมาก ต้องให้มุสลิมแต่งกับพม่า เขมร ลาวที่เข้ามาในประเทศไทย เป็นโอกาสดีของมุสลิมเราที่มีพวกนี้มากมายเข้ามาทำงานในประเทศไทย ให้มุสลิมชาย 1 คนแต่งกับพวกนี้ ภายในปีเดียวชายมุสลิม 1 คน จะมีลูกได้ถึง 4 คน รวมแม่อีกหนึ่งเป็น 5 คน ใน 1 ปี มุสลิม 1 ล้านคนจะเพิ่มพลเมืองได้ 5 ล้านคน ภายใน 10 ปี จะเพิ่มเป็น 50 ล้านคน หลังจากนั้น เร่งให้เด็กอายุครบ 12 ปี แต่งงาน เพิ่มเป็น 60 ล้านคน ภายใน 12 ปีเท่านั้น เราจะเพิ่มมุสลิมได้มากกว่าไทยพุทธอีกเท่าตัว เรื่องนี้เก็บเป็นความลับอย่าให้รั่วไหล ไม่ต้องจดบันทึกก็ได้ให้รู้กันในหมู่มุสลิมเท่านั้น

26. อาวุธปืนที่ได้จากอำเภอเจาะไอร้อง ทางเราได้กระจายกับครบ 4 จังหวัด แต่ที่ให้จังหวัดสงขลาน้อยเพียง 30 กระบอก เพราะมหาเดย์บอกว่า ทางปัตตานี 90 กระบอก นราธิวาส 90 กระบอก และยะลา 90 กระบอก มีความจำเป็นต้องใช้ และถ้าทางสงขลาต้องการอะไร ทั้ง 3 จังหวัดจะร่วมด้วยทันที เร็ว ๆ นี้แหละคงถึงเวลาที่มุสลิมใน จ.สงขลา จะได้แสดงให้เห็นว่า พื้นที่ของเราก็มีความเข้มแข็ง ให้เร่งสร้างคนเพิ่มให้มาก ๆ ขอให้สงขลาใจเย็น ๆ อาวุธจะเข้าทาง จ.สตูล รวมที่สะสมไว้ที่ อ.ควนโดน จะส่งมาให้พร้อม ๆ กับส่งไปจอมบึง จ.ราชบุรี

27. มหาเดย์ ขอแสดงความชื่นชมแกนนำมุสลิมในจังหวัดสงขลาที่เร่งสร้างสุเหร่าได้ถึง 145 สุเหร่า ภายในเวลาอันรวดเร็ว ดีมากที่ทำให้คนพุทธนึกว่า เรามีประชากรมุสลิมเยอะดี จริง ๆ แล้วสุเหร่า 1 สุเหร่า ต่อมุสลิมเราเพียง 20 คนเท่านั้น ขอให้เร่งขยายการสร้างสุเหร่าไปยังจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ทั่วไทย

28. ส่วนการเงินในการสร้างสุเหร่า มหาเดย์ จะมอบให้บุคคล 3 คน ที่มีอำนาจในประเทศไทยเป็นผู้นำไปมอบให้ เรื่องสร้างสุเหร่านี้ เงินช่วยจากยุโรปมีมาก โดยเฉพาะผู้นำมุสลิมในประเทศนอร์เวย์ สวีเดน ให้มาคราวละ 1,000 ล้านเหรียญมาเลเซีย หรือราว 10,000 ล้านบาท โดย ดร.วันกาเดร์แห่งรัฐกลันตัน เป็นผู้ดูแลเงิน โดยมอบหมายให้ท่านวันมูฮัมหมัดนอร์มะทา และท่านสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นผู้นำมาให้แกนนำสร้างสุเหร่าในประเทศไทย เรื่องนี้คนใกล้ชิดของผู้ว่าราชการที่มีนามสกุล “มินทราศักดิ์” ได้เงินเกินกว่าครึ่ง ในการสร้างสุเหร่าและที่ละหมาดทั่วประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า ใครเป็นมุสลิมที่ดีอยู่ในโอวาทมหาเดย์แล้ว จะได้รับการสนับสนุนให้มีเงินและมีอำนาจในประเทศไทย

29. ให้ลงมืออุ้มฆ่าอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เป็นมุสลิม เลือกดูอาจารย์มุสลิมที่มีนักศึกษารักและเคารพมาก และ (ทูวอ) มีอายุหน่อย แล้วโยนความผิดให้รัฐบาลไทย ขอให้ผู้ที่จะไปปฏิบัติการแต่งชุดตำรวจหรือทหารเข้าไป เพื่อจะให้ดูเสมือนว่ารัฐบาลไทยส่งคนมาอุ้มฆ่า นำศพเข้าไปไว้ในที่มิดชิด เช่น กูโบ แล้วจึงเคลื่อนย้ายเข้ามาในมาเลเซียต่อไป จะได้ไม่พบศพ อย่าลืมว่าก่อนเข้าไปชวนอาจารย์มุสลิมออกมา ให้ไปถามอาจารย์คนไทยพุทธและอาจารย์มุสลิมในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ให้พูดภาษาไทยอย่าพูดภาษายาวีเด็ดขาด ในขณะที่ถามให้มีพยานเห็นสัก 3-4 คน ระวังตัวด้วย พอลับตาพยาน 3-4 คนนั้น จึงดำเนินการตามการฝึกมาและเคยทำมาบ้างแล้ว

30. มหาเดย์สั่งว่า ขอให้มุสลิมเราที่เป็นนายอำเภอ ปลัดอำเภอ รองผู้ว่าฯ และผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อสบช่องโอกาสให้เปลี่ยนชื่อถนน ตรอก ซอก ซอย หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เป็นภาษายาวี ให้หมด และถ้ามีการจัดสร้างอาคารร้านค้า สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ให้ใช้ชื่อเป็นภาษายาวีเท่านั้น

31. ให้เรียกร้องให้ใช้ภาษายาวีเป็นภาษาทางราชการ จริงอยู่ ถึงแม้ภาษายาวีเป็นภาษาที่ไม่มีตัวอักษรเป็นภาษายาวี ก็ให้แจ้งรัฐบาลไทยไปว่า สามารถใช้อักษรภาษาอังกฤษแทนได้ แล้วมุสลิมเราจะใช้คำภาษายาวีทั้งหมด มาจากประเทศมาเลเซีย ขอให้เตือนพวกที่ทำใบปลิวแจกด้วย ให้ทำการเขียนเรียกร้องสนับสนุนให้มีการใช้ภาษายาวีควบคู่กับภาษาไทยไปก่อน ยังไงรัฐบาลต้องให้อยู่แล้ว เพราะเกรงใจบิ๊กสนธิ บุญยรัตกลินของเรามาก

32. เป็นที่ยินดีที่สุดของชาวมุสลิมมลายูที่เรามีองค์รัชทายาทขึ้นครองรัฐฟาตอนีของเราแล้ว อีกไม่นานองค์รัชทายาทที่เราเตรียมการกันไว้ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของมุสลิมแท้ ๆ ที่เกิดจากธิดาสาวของ ส.ส.ปัตตานี และเกิดจากเลือดเนื้อเชื้อไขของสุลต่านรัฐกลันตันของพวกเราไง สุตต่านเราจะอบรมให้ท่านอยู่ในศาสนาอิสลามยึดอัลเลาะเพียงองค์เดียว และจะให้ท่านมีจริยวัตรงดงาม นอบน้อมถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่งกับประชาชนมุสลิม เพราะถือตนว่าเป็นลูกเจ้า

33. แผนที่ประเทศไทยใหม่รัฐฟาตอนีดารุสซารามที่แจกให้ในวันนี้ เพื่อให้กลุ่มแกนนำได้นำไปแจกจ่ายให้มุสลิมทั่วประเทศไทยได้ดูกันไว้เป็นกำลังใจ กำชับพวกมุสลิมว่าเก็บเป็นความลับอย่างสุด ๆ ไม่เช่นนั้นถ้าเรื่องแตก การครอบครองประเทศไทยของเราจะช้าออกไปอีกมา

34. เรื่องปั๊มน้ำมันปิโตรนาสของมุสลิมเรา เราต้องช่วยกันสนับสนุนการข่าวบางอย่าง ก็ให้ติดต่อได้ที่ปั๊มปิโตรนาสของเรา แจ้งให้มุสลิมทุกคนรับรู้ อย่าเติมน้ำมันปั๊มอื่น ๆ

35. เรื่องการใช้ลำโพงและหอกระจายข่าวในสุเหร่าทุกแห่ง ขอให้ทำให้เหมือนกันทุกสุเหร่า ให้เปิดเสียงดังให้สุด ๆ ก่อกวนให้คนพุทธมันขายที่ดินย้ายไปที่อื่น ๆ มันทนไม่ได้แน่ ๆ เพราะเราทำละหมาดกันวันละ 5 เวลา ในตอนนี้มันยิ่งไม่กล้าพูดเพราะบิ๊กบังสนธิเราเป็นใหญ่ และโชคดีที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายห้ามส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้านเหมือนประเทศยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่นและจีน ประเทศไทยมันยังโง่มาก กฎหมายการสร้างสุเหร่าก็ยังไม่มี มหาเดย์สั่งว่า ให้มุสลิมที่เป็นใหญ่ออกกฎหมายห้ามสร้างวัดไทยเพิ่ม

36. เรื่องการสร้างโรงเรียนเอกชนของมุสลิมเราในกรุงเทพฯและจังหวัดใหญ่ ๆ ให้รีบสร้าง เพราะถ้าไทยมันปิดปอเนาะเราก็สอนตาดีกา ในโรงเรียนเอกชนของเราได้ตอนนี้ มหาเดย์ ชมมากเรื่องปอเนาะ ในอำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดอยุธยาที่ดึงเด็กพุทธและปลุกมุสลิมได้เก่งจริง ๆ และคนของเราได้เป็นครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการโรงเรียนกันมากมายในอยุธยา สระบุรี ลพบุรี ราชบุรี และจังหวัดอื่น ๆ อีกมากในกระทรวงศึกษาธิการมายาวนาน แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เกษียณราชการไปแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร เราค่อยหาทางเดินหมากวางคนของเราคุมกระทรวงอื่นต่อไป

37. ในกรณีที่คนไทยมันรู้ทางเรา รู้ไส้เรา ให้มุสลิมผู้เป็นใหญ่ของเราพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นแผนการ discredit (ทำให้เสื่อมเสีย) จะได้ดูว่าเป็นแผนการของกลุ่มอำนาจเก่าและทำให้มันรวมกันไม่ติดด้วยซ้ำ ทำอย่างไรก็ได้ให้มันแตกกันมาก ๆ การทำเช่นนี้จะเป็นผลดีกับอิสลามเรา โดยเฉพาะให้เงินปิดปากผู้มีอำนาจที่เป็นพุทธและให้เงินพรรคการเมือง ซื้อของกำนัลให้เจ้าใหญ่ นายโตของประเทศไทย เพื่อเก็บมาเป็นคนข้างเราให้หมด การเดินหมากใกล้ชิดคนมีฐานะและมีอำนาจเข้าไว้ดีที่สุด

38. เร่งส่งเด็กจบใหม่ของเราเข้าไปสู่วงการสื่อมวลชน โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ เราจะได้ลดวงเงินในการซื่อสื่อเพื่อเป็นกระบอกเสียงของเราให้ลดลง และจะได้เพิ่มการกระพือข่าวที่ไม่ดีของประเทศไทย ของราชวงศ์ไทย ก่อการร้ายในไทย การเขียนข่าวบิดเบือนว่ามุสลิมโดนรังแกให้เพิ่มมากขึ้น เป็นการตัดเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงไทยอยู่ทุกวันนี้คือการท่องเที่ยวจะได้เปลี่ยนนักท่องเที่ยวให้เข้าไปมาเลเซียและอินโดนีเซีย

39. ให้เข้าขัดขวางการร่วมมือสร้างถนนเชื่อมต่อประเทศจีนกับไทย ให้ไปยุแหย่ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ให้ทะเลาะกับไทย ขอให้ทำลายไทยทุกวิถีทาง

40. ต้องให้อาจารย์มุสลิมในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของไทย เปลี่ยนประวัติศาสตร์ โดยการเรียกร้องให้เปิดโครงการจัดตั้งสถาบันสมุทรรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา แล้วบิดเบือนประวัติศาสตร์ของประเทศไทยให้แสดงให้เห็นว่า เดิมดินแดนแถบนี้เป็นของมลายู ที่ต้องตั้งโครงการนี้เพราะต่อ ๆ ไป เมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ มันจะเป็นเรื่องจริงที่ปรากฏเป็นหลักฐาน เพราะคนไทยมันไม่เขียนหลักฐาน เราเขียนไว้ผู้อ่านเขาจะเชื่อเรา เมื่อมีชาวต่างชาติอื่น ๆ มาอ่าน ก็จะพากันเชื่อว่าเราถูกไทยรุกราน โกงแผ่นดิน ทั้ง ๆ ที่เราจะโกงมัน ถ้ามันมีหลักฐานอะไรก็ให้นักศึกษาเรายืมหนังสือประวัติศาสตร์นั้น ๆ ไปทำลายทิ้งเสีย ทุก ๆ ที่ที่มีประวัติศาสตร์ไทย

41. เรื่องอิหม่ามและอุสต๊าส ในไทยจะต้องมีวิชาความรู้ โดยส่งไปเรียนที่สถาบันราชภัฏจอมบึง ให้อุสต๊านและอิหม่ามทุกคนไปฝึกภาษามลายูที่รัฐซาบา ประเทศมาเลเซีย เพราะเป็นโครงการร่วมมือกัน อิหม่ามจะได้มีความรู้เอาไว้สู้กับพระสงฆ์ของไทย ถึงอย่างไรเสียพระสงฆ์ไทยก็มีช่องให้เราโจมตีอยู่แล้ว เพราะอิหม่ามของเรามีภรรยาได้ พระสงฆ์มีจุดอ่อนตรงนี้

42. วัดใดที่โดนเผาและทำลายไปแล้ว ให้ต่อต้านไม่ให้สร้างขึ้นใหม่ ให้เพิ่มการสร้างสุเหร่าของมุสลิมเราแทนที่วัดเท่านั้น ส่วนบริเวณที่ดินเดิมให้สร้างกูโบ (ที่ฝังศพของมุสลิม) ลงแทนที่วัดเดิม

43. การจ้างคนพุทธแต่งกายเป็นมุสลิมโดยเฉพาะในวันพิธีสำคัญของไทย โดยจ่ายค่าจ้างไปคนละ 2,000 บาท เพราะภาพที่ออกมาทางสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ จะทำให้เห็นว่าประเทศไทยก็เป็นมุสลิมทั้งประเทศ เป็นการข่มขู่คนไทยและประเทศที่เป็นคริสต์ศาสนาไว้ก่อน สำหรับเสื้อผ้าที่จะแต่งกาย ขอให้มุสลิมกลุ่มกรุงเทพฯและในจังหวัดต่าง ๆ ช่วยกันจัดหาให้ไปก่อนเพื่อดูดี การเงินเบิกได้ที่แกนนำมุสลิมประจำจังหวัด การจ้างคนเขมร ลาว พม่า มาทำงานในร้านอาหารของมุสลิมเรา ก็ให้แต่งกายแบบมุสลิม

44. ให้ทำวุฒิบัตร Transcript ปลอมให้กับผู้ที่จะเป็นอาจารย์อัตราจ้างหรืออัตราประจำ เน้นให้บรรจุลงใน 3 จังหวัดที่ขาดแคลนก่อน เพราะผู้ที่พิจารณาเป็นพวกเรา เสร็จแล้วก็ให้ขอย้ายไปประจำในมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั่วประเทศเพื่อช่วยมุสลิมเรา และเพื่อการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในสถาบันและจังหวัด

45. ให้ลงมือฆ่าผู้ที่ไปให้ความร่วมมือกับข้าราชการในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล หรือพวกที่ให้ความร่วมมือกับท่านผู้หญิงและทหาร ข้าราชการไทย ทำอย่างไรก็ได้ให้ Queen และ King ของประเทศไทย เดาะ ซูกอ ฮาดี (ไม่ชอบใจ, ไม่สบายใจ) จะทำให้ มหาเดย์ ซูกอ ฮาตี และเป็นการสกัดกั้นคนมุสลิมพื้นที่ให้ด้อยโอกาส ด้อยพัฒนาไปด้วย จะได้เชื่อฟังกลุ่มเราหมด

46. ให้แกนนำของเราไปควบคุมคนงานในโรงงานปลาป่น โรงงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ บังคับให้จ่ายให้กลุ่มแกนนำเราคนละ 200 บาทต่อเดือน ห้ามมันเปิดปากบอกกับฟาร์ซิยัม และซะคาดู ไม่เช่นนั้นจะโดนเก็บและแกนนำบังคับให้ทุกคนแต่งกายด้วยเครื่องแบบมุสลิม คือผู้ชายสวมหมวกซอเกะ ส่วนผู้หญิงให้โพกผ้าฮิญ๊าบ ถ้าเป็นพวกพม่า เขมร บอกด้วยว่าเสื้อผ้ามุสลิมเป็นเกราะป้องกันตำรวจ ทหารและข้าราชการไทยได้ ตำรวจไม่กล้าจับ และเงินที่ได้ในส่วนนี้จะเก็บรวบรวมไว้ก่อการร้ายต่อไป

47. ขอให้แกนนำด้านการศึกษา ไปลบชื่อ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีออกไป ขอให้ใช้ชื่อว่า มหาวิทยาลัยปัตตานีเฉย ๆ ถึงแม้จะเปิดเป็นมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 แล้วก็ตาม คณาจารย์เก่า ๆ ก็ตายไปหมดแล้ว และเพื่อให้ชื่อสมเด็จพระราชบิดาหมดไป ขอให้คณาจารย์มุสลิมแสดงท่าทีแข็งแกร้าว อย่างไรเสียไทยมันไม่กล้าแน่นอนต้องยอมเรา ที่เราต้องทำอย่างนี้เพราจะให้ต่างชาติเห็นว่า เราเป็นมุสลิมเก่งเป็นเอกภาพเดียวกัน คนไทยมันไม่รู้แผนการของเราหรอก เราซื้อท่านวิจิตร ศรีสะอ้านได้แน่ ๆ

48. ขอให้คณาจารย์มุสลิมทุกมหาวิทยาลัย ทำลายงานวิจัยและประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เน้นมากที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ให้เขียนและบิดเบือนประวัติศาสตร์รัฐปัตตานี ถึงแม้จริง ๆ มันเป็นของประเทศไทย เราต้องบิดเบือนให้ได้แล้วลง Internet ให้คนได้ได้อ่านกันให้ทั่วว่า ประเทศไทยโกงดินแดนของพวกเรา โดยให้เขียนประวัติราชอาณาจักรมลายูปัตตานี เรียกเป็นภาษายาวีว่า สยาเราะกือราญาอันมลายู-ปัตตานีขึ้นมา และให้แปลเป็นภาษาไทยด้วย โดยให้ผู้เขียนเป็นคนมุสลิมเรา ผู้แปลก็เป็นคนมุสลิมเรา ส่วนงานวิจัยทั้งเชิงประวัติศาสตร์ที่คณาจารย์ไทยทำไว้เดิมให้ทำลายทิ้ง เช่นเรื่อง 1) เหตุใดคนตากใบ จ.นราธิวาสและคนปานาเระ จ.ปัตตานี จึงพูดใช้คำราชาศัพท์เหมือนกัน 2) งานวิจัยเรื่องสาเหตุใดคนไทยในตำบลโต๊ะโมะ อำเภอแว้ง จ.นราธิวาส จึงรู้เรื่องการทำเหมืองทองเป็นอย่างดี 3) งานวิจัยเรื่องคนไทยในรัฐไทรบุรี ปะริด กลันตัน และตรังกานู รู้สึกอย่างไรเมื่อถูกแบ่งแยกดินแดนมาอยู่กับประเทศมาเลเซีย และงานวิจัยอื่น ๆ อย่าให้มีเหลือไว้ แม้แต่เล่มเดียวในหอสมุดเคเนดี้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

49. ในการลง Internet ทุกเรื่องให้มุสลิมเราที่มีความรู้ภาษาอังกฤษดี เขียนเป็นภาษาอังกฤษกำกับด้วย เพื่อให้ต่างชาติอ่านจะได้เคลือบแคลงและต่อว่าไทยว่า ยึดครองแผ่นดินเราจริง ๆ เมื่อมีการตัดสินหลักฐานทุกอย่างแสดงว่าเป็นของมุสลิมเรา เราก็ได้เป็นเจ้าของ ตอนนี้ต้องหลอกล่อมันทุกวิถีทาง ว่าทำเพื่ออัลลอฮ์ มันจะได้มีกำลังใจ จำไว้ว่า เราจะรับไว้กลุ่มเดียวเท่านั้นในดินแดนไทยคือ ธิดาของ ส.ส.ปัตตานีผู้ให้กำเนิดรัชทายาท ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับนายวันนอร์ นายเด่น โต๊ะมีนา นายนิฮูเซ็ม สุไลมาน กลุ่มมุสลิมกรุงเทพไม่เคร่ง เราไม่เอา แต่เราหลอกใช้มันไว้ก่อน



อัสลามูอาลัยกุม วาเราะห์ มาดุลลอ ฮีวา บารอกาคุหุ อัลฮัมคุลิยาฮุ

แท้จริงการสรรเสริญเป็นลัทธิของอัลลอฮ์เพียงผู้เดียว เราขอสรรเสริญพระองค์

Sunday, March 15, 2009

อภิสิทธิ์พูดที่ Oxford: คำโกหก คำแก้ตัว และการบิดเบือนความจริง

อภิสิทธิ์พูดที่ Oxford: คำโกหก คำแก้ตัว และการบิดเบือนความจริง

ใจ อึ๊งภากรณ์

คำพูดของอภิสิทธิ์ที่ออคซ์ฟอร์ดเต็มไปด้วยคำโกหกหลอกลวงและคำแก้ตัว แต่ทั้งๆที่เขามั่นใจคิดว่าคนทั่วโลกโง่ คนไทยส่วนใหญ่และคนต่างประเทศที่เข้าใจการเมืองไทยไม่มีวันเชื่ออะไรที่ออกมาจากปากเขา อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นคือนักวิชาการหอคอยงาช้างสองคน คืออธิการบดีออคซ์ฟอร์ดและประธาน St John’s College ที่ชมว่าอภิสิทธิ์เป็น “นักประชาธิปไตย” และสมุนเกณฑ์ของสถานทูตไทยหลายคน ที่พร้อมจะเชื่อทุกอย่างที่เจ้านายสั่งมา สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือทางรัฐบาลไทยกลัวประชาชนมาก มีการกีดกันคนไทยธรรมดาที่อยากเข้าไปตั้งคำถามจำนวนมาก



อภิสิทธิ์โกหกว่าเขาได้รับการ “เลือกตั้งมาเป็นนายก” และอวดว่าตนเองเป็น “ผู้ปกป้องประชาธิปไตยไทย” แต่กระนั้นเขายังยืนยันว่าต้องมีกฎหมายหมิ่นฯ “เพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศ” และมองว่าผมควรถูกลงโทษจากการเขียนหนังสือวิจารณ์รัฐประหาร 19 กันยา “เพราะไปดูหมิ่นกษัตริย์” เมื่อถูกถามว่าหมิ่นตรงไหนในหนังสือ อภิสิทธิ์บอกว่าจำไม่ได้ ทั้งๆ ที่อ้างว่าอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เลยแก้ตัวว่ามีคนเล่าให้ฟังว่าหมิ่น นอกจากนี้อภิสิทธิ์พูดว่าคดีคุณโชติศักดิ์ได้ยกเลิกไปแล้ว และการจับคุมผู้บริหารประชาไทเป็น “ความผิดพลาดของตำรวจ” ซึ่งเขาได้ “เคลียร์เรื่องนี้” โดยการโทรศัพท์ไปหาผู้บริหารประชาไทแล้ว หลังจากนั้นอภิสิทธิ์อ้างว่าแกนนำพันธมิตรที่ยึดสนามบินจะโดนคดีแน่ๆ และนายพลที่มีส่วนในการฆ่าคนที่ตากใบจะถูกลงโทษอีกด้วย หลังจากที่เราเอาเขาออกจากตำแหน่งอภิสิทธิ์ควรหากินเป็นนักแสดงตลก มั้ง?



ทั้งๆที่อภิสิทธิ์ขี่ขลาดไม่ยอมรับคำท้าของผมเพื่อโต้วาทีสดในรายการโทรทัศน์ไทย เขาหน้าด้านกล่าวหาผมว่าหนีคดีที่เมืองไทย โดยเสนอว่าศาลมีความยุติธรรม เขาพูดต่อว่า “อย่าดึงกษัตริย์มาในเรื่องการเมือง” แต่คงไม่กล้าพูดอย่างนี้กับเจ้านายของเขาในกองทัพหรือในพันธมิตรฯ ผมจึงแสดงความเห็นว่าทั้งอภิสิทธิ์และกษัตริย์ไทยอ่อนแอและไร้อุดมการณ์ประชาธิปไตย ในขณะที่เจ้านายแท้ของสังคมคือทหาร



ประชุมเสื้อแดงที่ Oxford

ในการประชุมเสื้อแดงที่ออคซฟอร์ดในช่วงบ่าย คนเสื้อแดงในอังกฤษยืนยันจุดยืนเพื่อประชาธิปไตยและตกลงกันว่าจะประชุมเป็นประจำทุกเดือน เราตกลงกันว่าเราจะเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศก่อนสิ้นปีภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญปี ๔๐ นอกจากนี้เรายืนยันจุดยืนว่ากษัตริย์ต้องไม่ยุ่งการเมือง ต้องไม่ถูกใช้โดยผู้ที่ทำลายประชาธิปไตยอีกด้วย และประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพในการวิจารณ์กษัตริย์



ในเรื่องการปฏิรูปการเมือง เราเสนอว่าประชาชนไทยต้องเป็นผู้ทำ ไม่ใช่ปล่อยให้สถาบันพระปกเกล้าที่ไม่เคยสนับสนุนประชาธิปไตยเป็นผู้เสนอการปฏิรูป



--
Giles Ji Ungpakorn
UK mobile:+44-(0)7817034432
http://siamrd.blog.co.uk/
http://wdpress.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
see YOUTUBE videos by Giles53




--
Giles Ji Ungpakorn
UK mobile:+44-(0)7817034432
http://siamrd.blog.co.uk/
http://wdpress.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
see YOUTUBE videos by Giles53


--------------------------------------------------------------------------------

R1.JPG
R2.JPG
R3.JPG

Monday, March 9, 2009

สองบทความเรื่องเพศสำหรับวันสตรีสากล

สองบทความเรื่องเพศสำหรับวันสตรีสากล
1. สิทธิสตรีและประชาธิปไตย

โดย สมุดบันทึกสีแดง



ก่อนอื่นต้องขอบอกดังๆว่า การสร้างความเสมอภาคทางเพศระหว่างหญิงชายหรือคนรักเพศเดียวกันในสังคม มันไม่ใช่งานอดิเรกหรืองานสังคมสงเคราะห์ของคุณหญิงคุณนายคนชั้นสูง เพราะพวกนี้ไม่เคยมีอุดมการณ์ที่ต้องการปลดปล่อยผู้หญิงอย่างแท้จริง พวกนี้เชิดชูคุณค่าของการเป็นผู้หญิงไทยๆ สะเทือนใจอย่างโรแมนติกกับความยากจนของเพื่อนร่วมชาติ แต่พวกนี้ลืมไปว่าพวกเธอนั่งอยู่บนคราบเหงื่อและน้ำตาของหญิงยากจนและหญิงทำงานมานานแค่ไหน ผู้หญิงไทยโดยส่วนใหญ่ต้องทำงานตลอดชีวิตไม่ว่าแก่ชราแค่ไหน แล้วพวกนี้จะมาเป็นหัวหอกในการเรียกร้องสิทธิสตรีได้อย่างไร



ในทางกลับกันเมื่ออุดมการณ์นี้มันถือกำหนดขึ้นมาจากคนจน จากคนงาน คนชนชั้นล่างของสังคมเพื่อเรียกหาสิทธิเสรีภาพ คนส่วนใหญ่เหล่านี้ในยุคปัจจุบันนี้แหละที่จะต้องมาผลักดันการต่อสู้นี้ต่อไป คำถามสำคัญของเราวันนี้เราจะสืบทอดอุดมการณ์ของสิทธิสตรีของเราอย่างไร โดยเฉพาะสังคมไทยในยามมืดบอดต่อประชาธิปไตยเช่นนี้ และก็ขอให้กำลังใจ คุณจีรนุช เปรมชัยพร webmaster ของประชาไท หรือ อีกท่านหนึ่งคือ คุณจิตรา คชเดช อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ คนที่ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ เธอเป็นคนเชิดหน้าถกเถียงและเรียกร้องเรื่องสิทธิทำแท้งตามความต้องการของผู้หญิง เธอสู้กับพวกที่อ้างศีลธรรมเน่าไทยๆ อย่างกล้าหาญ เพราะรู้ว่าศีลธรรมมันคือเครื่องมือในการควบคุมผู้หญิง อย่างชนิดที่ผู้หญิงชนชั้นกลางผู้มากการศึกษาไม่กล้าเอาอย่าง ภายใต้คำอธิบายว่าแนวทางแบบนี้ปะทะกับสังคมไทยมากเกินไป สังคมยังไม่พร้อมหรืออีกอย่างหนึ่งอาจจะเพราะเค้าไม่กล้าเป็นผู้นำความก้าวหน้ามาสู่สังคมนั่นเอง ทัศนะทางเพศที่ก้าวหน้าเช่นนี้ของจิตรา สอดรับกับทัศนะที่ก้าวหน้าด้านอื่น เธอไปออกทีวีเรื่องสิทธิทำแท้ง แต่เธอใส่เสื้อรณรงค์ “ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร คิดต่างไม่ใช่อาชญากรรม” เพื่อให้สิทธิเสรีภาพกับ คุณ โชติศักดิ์ อ่อนสูง ซึ่งโดยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะเธอมองว่ามันไม่เป็นธรรม ถ้าฝ่ายรัฐละเมิดสิทธิเสรีภาพด้านนี้ได้ ทำไมพวกนั้นมันจะละเมิดเสรีภาพด้านอื่นๆไม่ได้ ผู้หญิงธรรมดาเช่นนี้แหละที่จะเป็นผู้สืบทอดอุดมการณ์ของสิทธิสตรี ความเสมอภาคทางเพศ และประชาธิปไตย ผู้หญิงเช่นนี้แหละที่เราควรและต้องเคารพสรรเสริญ



ข้อเสนอเรียกร้องให้ผู้หญิงมีบทบาทในทางการเมืองก็ดี แต่บางทีเราต้องทบทวนกันหนักๆหน่อยๆ ว่าเราอยากได้ผู้หญิงแบบไหนเป็นตัวแทนของเรา เพราะบางทีผู้หญิงในรัฐสภานั่นแหละตัวดีในการทำลายประชาธิปไตย เช่น สว.รสนา โตสิตระกูล ที่มีส่วนในการสนับสนุนเพิ่มโทษร่างกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเธอก็ไม่ทำอะไร นอกจากกล่าวอ้างกับคนใกล้เคียงว่า ไม่รู้เรื่องพวก สว. 40 ซึ่งหนึ่งในนั้นมีสามีเธอร่วมวงอยู่ด้วย ฉะนั้นข้อแก้ตัวว่าพวกกลุ่ม 40 สว.ชอบเอาชื่อเค้าไปอ้างจึงไม่มีเหตุผล คำถามคือทำไมคุณไม่ออกมามีจุดยืนเพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ผ้หญิงแบบนี้เราคงไม่สามรถให้เป็นผู้นำในการปลดแอกสตรี เพราะนิ่งดูดายต่อการทำลายเสรีภาพด้านอื่นๆ ฉะนั้นการเรียกร้องให้ผู้หญิงมีบทบาททางการเมืองนั้น ต้องพูดต่อไปว่าต้องเป็นผู้หญิงที่มาจากคนรากหญ้าคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง และต้องดูจุดยืนทางการเมืองอีกด้วย



สองมือของเราสามารถทำอะไรได้บ้างในยามนี้ มือหนึ่งของเราต้องเรียกร้องประชาธิปไตย ความเสมอภาคไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าสังคมไร้ประชาธิปไตย การเคารพสิทธิทางเพศไม่สามารถงอกเงยออกมาจากศีลธรรมจารีตโบราณของเผด็จการได้ อนึ่ง อย่าลืมว่าหญิงชนชั้นสูงนั้นมีส่วนร่วมมากเพียงไรในการทำลายประชาธิปไตย เราต้องหาทางลงโทษและกำจัดบทบาทของหญิงชั้นสูงพวกนี้อย่าให้ไประรานคนอื่น มือที่สองของเราต้องสร้างโมเดลของสังคมใหม่ขึ้นมาแทนโมเดลสังคมเก่าที่เน่าเฟะ ท่ามกลางการเรียกร้องประชาธิปไตยคือช่วงเวลาหนึ่งที่ดีที่สุดในการพัฒนาสิทธิเสรีภาพในทุกๆด้าน สิ่งหนึ่งที่สำคัญในองค์ประกอบของโมเดลใหม่คือกรอบความสัมพันธ์ระหว่างเพศต่างๆในสังคม ที่แต่ละเพศมีความเคารพซึ่งกันและกัน คนเสื้อแดงต้องเปิดกว้างต่อความเสมอภาคในรูปแบบต่างๆ เช่น คนรักเพศเดียวกัน สิทธิทำแท้งเสรีสำหรับสตรี เราต้องเรียกร้องให้ผู้หญิงธรรมดาๆ เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้นอีก ในระดับต่างๆ จริงๆ แล้วคนเสื้อแดงหลายกลุ่มนำโดยผู้หญิงอยู่แล้ว เราควรเรียกร้องประเด็นที่เป็นประโยชน์ดังต่อไปนี้

ประเด็น
ข้อเสนอ
ข้อโต้แย้งของฝ่ายรัฐ
ความจริงที่แย้งเหตุผลฝ่ายรัฐ

สิทธิทำแท้ง
ให้ผู้หญิงสามารถทำแท้งได้ตามความต้องการ ภายใต้การดูแลของหมอ และค่าใช้จ่ายต้องมาจากรัฐ
-เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ฆ่าคนมันบาป

-ทำให้ผู้หญิงสำส่อนมากขึ้น ทำลายวัฒนธรรมอันดีงามของไทย
- ประเทศไทยยังคงมีโทษประหารชีวิต

- นายพลของประเทศไทย ฆ่าประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยยังไม่ถูกลงโทษ

-คนที่มีส่วนร่วมในการสั่งปราบปรามนักศึกษาที่เรียกร้องประชาธิปไตย ยังมีหน้ามีตาในสังคม

- การเลือกทำแท้งโดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่มีครอบครัวแต่ไม่มีเงินพอที่จะเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีจึงตัดสินใจทำแท้ง

-ผู้หญิงปลอดภัยที่สุดจากการทำแท้งถูกกฏหมาย การห้ามทำแท้งเพียงแต่ทำให้ผู้หญิงไปทำแท้งอันตราย

-ในประเทศที่มีสิทธิทำแท้ง การมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นไปตามความต้องการปกติ ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลง

-คนที่มีเมียเยอะที่สุดในสังคม ก็คือชนชั้นปกครอง

สองมาตรฐาน



ผู้ชายต้องมีสิทธิในการลาคลอด


ผู้หญิงต้องการกำลังใจหลังคลอดลูกและต้องการให้สามีช่วยเลี้ยงลูก ทั้งผู้หญิงและผู้ชายควรจะมีสิทธิลาคลอดในระยะเวลาที่เท่าเทียมกัน และควรจะขยายเวลาในการลาคลอด เพราะเด็กคือทรัพยากรต่อไปของสังคมที่สำคัญ
-สังคมไทยยังไม่พร้อม

-ไม่รู้มีเงินจ่าย

-ยังไม่เคยมีแนวความคิดเรื่องนี้
- พวกผู้มีอำนาจในสังคมไม่เคยกลุ้มใจเมื่อไม่มีใครช่วยเลี้ยงลูก เพราะพวกนี้มีพี่เลี้ยงเต็มไปหมด และมีเงินเหลือเฟือ

-พวกนี้เอาเงินไปใช้ทางอื่นเช่น งบประมาณทางการทหารและพิธีกรรม

-เด็กบางส่วนในสังคมมีทรัพยากรใช้อย่างเหลือเฟือในขณะที่เด็กกำพร้ามีจำนวนเป็นแสนๆ

ต้องลดชั่วโมงในการทำงานในแต่ละสัปดาห์ลง และ ต้องมีสถานที่รับเลี้ยงเด็กอ่อนใกล้สถานที่ทำงาน อย่างทั่วถึง
เพื่อให้พ่อกับแม่มีเวลาให้ลูกๆ ร่วมพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกๆ

และเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยทั่วไป
-ส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่

-สร้างศีลธรรมและบอกว่าหน้าที่ของพ่อแม่ต้องดูแลลูกให้ดีๆ โดยไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรมรองรับ

-เรามีแม่ของแผ่นดิน? แต่ชีวิตเขาไม่เหมือนเรา


-แรงงานหญิงสามารถลาคลอดได้ 3 เดือนเท่านั้น ฉะนั้นการให้นมลูกในช่วงระยะเวลาที่สำคัญๆอย่างต่ำ 6 เดือน จึงไม่สามารถทำได้

-ค่าแรงขั้นต่ำของไทยต่ำมาก ทำให้ไม่พอค่าใช้จ่าย ทั้งสามีภรรยาต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อให้เงินพอกับรายจ่ายที่จำเป็น

-แม่ของแผ่นดินไม่มี แต่ถ้าหากมีแล้วปล่อยให้เด็กๆอดอยาก มีคุณภาพชีวิตไม่ดีก็ควรถูกประณามไม่ควรมีเสียดีกว่า แต่ควรมีแม่ของเด็กที่สุขภาพดี มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน

ต้องท้าทายกระแสแนวความคิดอนุรักษ์นิยมทางด้านเพศของกระทรวงวัฒนธรรม ที่เน้นครอบครัวจารีต ซึ่งไม่ตรงกับโลกจริงของสังคมปัจจุบัน
เพื่อเพิ่มบรรยากาศเสรีภาพโดยทั่วไป
ปลุกกระแสอนุรักษ์นิยมอยู่ตลอดเวลา อ้างถึงความดีของครอบครัวจารีต แต่คนชั้นสูง นายพล นักการเมืองก็ไม่สามารถมีวิถีชีวิตตามที่เขาอ้าง
แนวจารีตทำให้ปัญหาการกดขี่ทางเพศ มีเพิ่มมากขึ้น ทำให้คนในสังคมประณามผู้หญิงที่ทำแท้ง, คนรักเพศเดียวกัน, หญิงบริการทางเพศ แทนที่จะตั้งคำถามว่าเงื่อนไขอะไรที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ อะไรธรรมชาติ อะไรไม่เป็นธรรมชาติ




การเฉลิมฉลองการเรียกก้องสิทธิสตรีทั้งในไทยและในระดับสากล ไม่สามารถและไม่เคยแยกออกจากการเรียกร้องร้องประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพทางด้านอื่นๆได้ ที่มาของวันดังกล่าวคือคนงานหญิงเป็นแกนนำแต่คนงานชายก็ร่วมสนับสนุนด้วย เพราะทั้งหญิงและชายชนชั้นล่างได้ประโยชน์ที่หนุนเสริมซึ่งกันและกัน ฉะนั้นศัตรูของผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย และเป้าหมายในการเรียกร้องสิทธิสตรีไม่ใช่เพื่อให้ถูกกดขี่เหมือนผู้ชาย หรือ ได้รับค่าแรงต่ำๆเท่ากับผู้ชาย มีความเสี่ยงในชีวิตเท่ากับผู้ชาย ปัญหาหลักอยู่ที่ความเหลื่อมล้ำทางสังคม เรื่องชนชั้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ปัญหาการกดขี่ทางเพศรุนแรงขึ้น คำขวัญของเราควรจะเป็น ปลดปล่อยทุกคนออกจากความอดอยาก ความกลัว และต้องมีการกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเพศอะไรหรือรสนิยมอย่างไร



2. เราต้องสู้กับจารีตประเพณีคับแคบเรื่องเพศ และศีลธรรมจอมปลอม

ใจ อึ๊งภากรณ์



ชนชั้นปกครองไทยโกหกเราเสมอว่าเขาต้องการปกป้อง “ประเพณีและศีลธรรมอันดีงามของไทย” จาก “อิทธิพลตะวันตก” มีการสร้างภาพเท็จว่าสังคมตะวันตกบ้าเซ็กส์ ในขณะที่มีการอ้างว่าสังคมไทยมีธรรมเนียมที่รักษาความเรียบร้อย แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ไทย เราจะพบว่าค่านิยมการแต่งกายปัจจุบันลอกแบบมาจากตะวันตกในช่วงรัชกาลที่ ๕ ที่มีการสร้างระบบทุนนิยมในไทย เพราะก่อนหน้านั้น ทั้งชายและหญิงไทยจะเปลือยหน้าอก การแต่งงานและระบบครอบครัวในรูปแบบที่เห็นอยู่ตามการเชิดชูของพวกจารีตนิยมก็เป็นเรื่องใหม่นำเข้าเช่นกัน ในสมัยก่อนครอบครัวมีลักษณะเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่ใช่แค่พ่อแม่ลูก และผู้ชายไม่ได้เป็นหัวหน้าครอบครัวด้วย นอกจากนี้การรักนวลสงวนตัวก็เป็นค่านิยมใหม่ในยุคทุนนิยม เพราะในยุคก่อนๆ ชายกับหญิงอาจอยู่ด้วยกันโดยไม่จดทะเบียนแต่งงาน และคู่รักจะมีการหนีไปอยู่ด้วยกันบ่อยๆ



นอกจากนี้ค่านิยม “รักนวลสงวนตัว” เป็นค่านิยมจอมปลอมที่เลือกปฏิบัติ เพราะมีการพยายามใช้กับหญิงอย่างเคร่งครัด แต่ในกรณีชายไม่ให้ความสำคัญ แถมบ่อยครั้งมีการเชิดชูการซื้อเพศสัมพันธ์โดยชายในสถานที่บริการอีกด้วย



ยิ่งกว่านั้นในอดีต ในหมู่คนใหญ่คนโตเบื้องบน นอกจากจะมีประเพณีการบังคับใช้แรงงานดุจทาสหรือไพร่แล้ว ชายชนชั้นปกครองมักจะมีเมียน้อยจำนวนมาก โดยมองว่าผู้หญิงเป็นทรัพย์สมบัติ ทั้งหมดนี้คือประเพณีอันเลวทรามเดิมๆ ของชนชั้นปกครองไทย และดูเหมือนชายคนหนึ่งในราชวงศ์ทุกวันนี้ก็มีทัศนะดูถูกผู้หญิงแบบนี้ด้วย โดยให้ภรรยาเปลือยกายหมอบคลานต่อตนเองในขณะที่จ้างช่างภาพมาถ่ายรูป เราต้องประณามพฤติกรรมกดขี่สตรีอย่างนี้



แล้วทำไมพวกจารีตนิยมในปัจจุบันมักเสนอมุมมองคับแคบต่อการมีคู่รักหรือเพศสัมพันธ์? สาเหตุหลักคือความสำคัญของสถาบันครอบครัวในระบบทุนนิยม ถึงแม้ว่าคนธรรมดาอาจหวังว่าครอบครัวเป็นแหล่งที่พึ่งแห่งความอบอุ่น และคนธรรมดามักจะรักสมาชิกของครอบครัวตนเอง แต่สำหรับระบบทุนนิยม สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่ใช้เลี้ยงลูกที่จะเป็นแรงงานในอนาคตในราคาถูก และผู้ที่มีภาระหนักในการเลี้ยงลูกจะเป็นผู้หญิง นี่คือสาเหตุที่ผู้หญิงถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง คือเป็นคนที่มีหน้าที่หลักในงานบ้านแทนที่จะมีหน้าที่หลักในเวทีสาธารณะ นอกจากตัวอย่างว่าชนชั้นปกครองมักเป็นชายแล้ว ถ้าดูองค์กรพันธมารเสื้อเหลือง ก็จะพบว่ามีการกีดกันไม่ให้ผู้หญิงเข้ามาเป็นแกนนำด้วย (แต่ผู้หญิงที่รักประชาธิปไตยและมีศักดิ์ศรีก็คงไม่อยากเข้าไปในพันธมารแต่แรก)



กฎระเบียบต่างๆ ที่พยายามควบคุมพฤติกรรมทางเพศของเรา โดยเฉพาะเพศหญิง ถูกออกแบบเพื่อสร้างระเบียบวินัยของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้ภาระการเลี้ยงลูกเป็นเรื่องปัจเจก แทนที่สังคมโดยรวมจะรับเป็นภาระนี้



การโยนภาระการเลี้ยงลูกให้เป็นเรื่องปัจเจกที่ผู้หญิงต้องทำในแต่ละครอบครัว เป็นวิธีสำคัญในการที่ชนชั้นนายทุนและกลุ่มธุรกิจต่างๆ จะหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพื่อสร้างสถาบันเลี้ยงลูกของสังคม หรือเพื่อให้รัฐสวัสดิการสำหรับการเลี้ยงลูกอย่างทั่วถึง มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ทางชนชั้นของกลุ่มคนที่ควบคุมระบบทุนนิยมอย่างชัดเจน เพราะรูปแบบครอบครัวเดี่ยวและวินัยครอบครัวที่มาพร้อมกัน ไม่ใช่รูปแบบการเลี้ยงลูกรูปแบบเดียวที่มนุษย์มีได้หรือเคยมีในอดีต



ผลในรูปธรรมคือพวกจารีตนิยมพยายามกล่อมเกลาให้เราคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสกปรกน่าอาย ต้องแอบทำในรั้วของครอบครัวเท่านั้น แทนที่จะมองว่ามันเป็นความต้องการพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์ที่แสนจะงดงาม ดังนั้นพวกศีลธรรมจอมปลอมก็พยายามเสนอว่าการไปมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องเสียหาย ในขณะที่การไปฆ่าคนในสงครามเป็นเรื่องดีงาม พวกนี้เสนอต่อไปว่าการมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะสนุกและก่อให้เกิดความสุขด้วย โดยเฉพาะในเพศหญิง ดังนั้นวัยรุ่นที่ชอบกันและมีเพศสัมพันธ์กันถูกตราหน้าว่าเป็นคน “ไร้ศีลธรรม”



ปัญหาคือในความเป็นจริง การมีเพศสัมพันธ์นอกกรอบจารีตเกิดขึ้นตลอดเวลา ในทุกระดับชนชั้น โดยเฉพาะในผู้ชาย และจารีตคับแคบทำให้การพูดคุยเรื่องเพศ และการเข้าใจวิธีป้องกันตัวเองจากโรคยากขึ้น สังคมถูกกดดันให้ปฏิเสธความจริงว่าวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงาน ดังนั้นมีการโกหกว่าการแจกจ่ายถุงยางฟรีเป็นเรื่อง “ไม่จำเป็น” หรือเป็น “การส่งเสริมการมั่วเซ็กส์” และผู้หญิงมักเสียเปรียบตรงที่ไม่กล้าบังคับให้คู่รักคู่นอนของตนสวมถุงยาง ทั้งๆ ที่แฟนของเขาอาจไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น เช่นในสถานบริการเป็นต้น



เกย์และกะเทย

การรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องปกติธรรมชาติในทุกสังคม และคาดว่าประมาณ 10% ของประชากรมีรสนิยมแบบนี้ แม้แต่นายพลชั้นสูงบางคนก็รักเพศเดียวกัน แต่ในระบบทุนนิยมมักมีการมองว่าพฤติกรรมรักเพศเดียวกันเป็นเรื่อง “บาป” สาเหตุหลักคือมันไม่ช่วยสนับสนุนวินัยจารีตของครอบครัวคับแคบที่พวกอนุรักษ์นิยมผลักดัน เพราะครอบครัวรูปแบบนี้ “ต้องมี” พ่อกับแม่ ชายกับหญิง ดังนั้นแนวจารีตนิยมจะอธิบายว่าชายฆ่าชายในสงครามมีศักดิ์ศรี แต่ชายกอดจูบชายเป็นเรื่องสกปรก



ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ คนเสื้อแดงจะเปิดกว้าง และเห็นใจ ปกป้องคนรักเพศเดียวกัน พรรคเสื้อแดงต้องยืนอยู่ข้างคนที่ถูกรังแก



ประชาธิปไตยที่เราเรียกร้อง ความเท่าเทียมที่เราแสวงหา ต้องรวมถึงสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในการเลือกวิถีชีวิตทางเพศด้วย



ผู้ที่ให้บริการทางเพศ

สังคมเราที่เต็มไปด้วยศีลธรรมจอมปลอม “มือถือสากปากถือศีล” พร้อมกับค่านิยมกลไกตลาดของทุนนิยม มีผลทำให้เซ็กส์เป็นเรื่องที่ซื้อขายกันได้ ซึ่งบ่อยครั้งทำให้ผู้ขายบริการถูกกดขี่ ถูกปราบปรามจากรัฐ และถูกดูหมิ่นอีกด้วย ผลที่ตามมาคือเขาถูกลดทอนอำนาจในการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ HIV ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนทัศนคติที่สังคมมีต่อคนบริการทางเพศ เราควรมองว่าเขาเป็นพี่น้องมิตรสหายร่วมสังคมของเรา เราต้องเคารพเขา



ในเหตุการณ์พฤษภาคม ๒๕๓๕ ขณะที่มวลชนกำลังต่อสู้กับทหารเผด็จการกลางถนนในใจกลางกรุงเทพฯ มีรายงานข่าวชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Far Eastern Economic Review บทความนี้เล่าถึงผู้หญิงบริการทางเพศที่ออกมาร่วมประท้วงขับไล่เผด็จการ ร.ส.ช. ผู้หญิงผู้รักประชาธิปไตยคนนี้อธิบายให้นักข่าวต่างประเทศฟังว่าเขาติดตามสถานการณ์ทางการเมืองมานานและทนไม่ไหวที่จะเห็นเผด็จการครองอำนาจต่อไป ทนไม่ได้ที่เห็นการใช้กำลังในการปราบปรามเพื่อนประชาชน และเขาเล่าต่อไปด้วยว่า ไม่ใช่เขาคนเดียวในหมู่ผู้ประกอบอาชีพแบบนี้ที่มีความรู้สึกเกลียดชังเผด็จการ ข่าวชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายกรอบความคิดคับแคบปฏิกิริยาของสังคมไทยเกี่ยวกับพี่น้องเราที่ประกอบอาชีพบริการทางเพศ เพราะการที่คนมองว่าเป็นเรื่องแปลกที่ผู้หญิงบริการจะมีจิตสำนึกทางการเมืองและออกมาร่วมเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการ แสดงว่าหลายคนในสังคมไทยไม่ค่อยมองพี่ๆ น้องๆ จากอาชีพนี้ว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ เพื่อนพลเมือง และเป็นคนที่สมควรได้รับความเคารพ ผมเชื่อมั่นว่าในหมู่คนให้บริการเพศ มีคนที่จิตใจแดงจำนวนมาก



ถ้าพูดถึงแนวความคิดดูหมิ่นผู้หญิงบริการทางเพศในสังคมไทยมันมีสองแนวหลัก และทั้งสองแนวไม่มองว่าเขาเป็นมนุษย์เต็มตัวเหมือนเรา แนวที่หนึ่งเป็นแนวความคิดไร้อารยธรรมของชนชั้นปกครองหัวอนุรักษ์ แนวนี้มองว่าผู้หญิงบริการทางเพศเป็นคนไร้ศีลธรรม เป็นหญิง"ไม่ดี" ในขณะเดียวกันพวกอนุรักษ์แบบนี้โกหกเราอย่างหน้าด้านๆ ในเรื่องเกี่ยวกับประเพณีไทย ในความเป็นจริงชนชั้นปกครองไทยกดขี่ผู้หญิงมาเป็นประเพณี "ประเพณีอันดีงามของไทย" เวอร์ชันชนชั้นปกครองในอดีต คือการมีวังเต็มไปด้วยนางสนม และในยุคจอมพลสฤษดิ์ นายกรัฐมนตรีเผด็จการของไทย ก็มีการซื้อสาวมาบริการทางเพศท่านนายกเป็นร้อยๆ แถมซื้อด้วยเงินที่โกงกินจากส่วนรวมอีกด้วย ยุคนี้มีนักการเมืองระดับสูงไม่น้อยที่ซื้อบริการทางเพศชั่วคราวเป็นประจำ บางครั้งจากเด็กด้วย และมีอีกส่วนหนึ่งที่ได้ผลประโยชน์ในรูปแบบกำไรหรือส่วยจากธุรกิจแบบนี้ พวกแนวอนุรักษ์จอมโกหกยังไม่ทันย่างออกมาจากซ่องก็เอ่ยปากด่าการมีเพศสัมพันธ์ของพวกเรา บางคนในแนวอนุรักษ์ที่ดูหมิ่นหญิงบริการมักจะด่าสตรีเหล่านั้นว่าเป็นคนโลภมากและขี้เกียจ "ไม่ยอมประกอบอาชีพบริสุทธิ์ดีๆ ไม่ยอมขยัน มัวแต่หาทางรวยเร็ว" สำหรับคนที่พูดแบบนี้เรามีคำตอบเดียวคือ ถ้าคุณคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าหลายคนต่อหนึ่งคืนเป็นเรื่อง "ง่าย" ก็ไปลองทำดูเองสิ…



แนวทางคับแคบเกี่ยวกับผู้หญิงบริการทางเพศแนวที่สองในสังคมไทยเป็นแนวที่หวังดีต่อสตรี ไม่เหมือนแนวอนุรักษ์ แต่เป็นการหวังดีแบบอุปถัมภ์ของเอ็นจีโอสิทธิสตรีบางกลุ่ม แนวนี้มองข้ามความเป็นมนุษย์เต็มตัวของพี่น้องขายบริการเช่นกัน แต่แทนที่เขาจะมองว่าหญิงเหล่านี้"เลว" เขามองว่า "เป็นเหยื่อ" ซึ่งก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด



มุมมองของเราชาวเสื้อแดงต่อเรื่องนี้ควรมีสองมิติ คือข้อเสนอระยะสั้นและข้อเสนอระยะยาว ในระยะสั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเคารพและฟังพี่น้องที่ประกอบอาชีพบริการทางเพศ ดังนั้นเราควรให้ความสำคัญกับข้อเสนอขององค์กรเอ็มพาวเวอร์ เราควรสนับสนุนการยกเลิกกฏหมายทั้งปวงที่เกี่ยวกับธุรกิจการขายบริการทางเพศ ไม่ต้องปราบ (ยกเว้นกรณีมีคนถูกบังคับ ฯลฯ ซึ่งจัดการด้วยกฏหมายอื่นๆ ธรรมดาๆ ได้) ไม่ต้องจดทะเบียน ไม่ต้องให้เป็นเรื่องของการควบคุมหรือเรื่องของตำรวจ ซึ่งแปลว่าต้องแก้ไขกฏหมายที่กดขี่แรงงานต่างด้าวด้วย เพราะหญิงบริการจากพม่า ลาว เขมร หรือแม้แต่หญิงรัสเซีย อาจถูกปราบโดยใช้ข้ออ้างว่าเป็นแรงงานต่างด้าวแทน นอกจากนี้เราต้องส่งเสริมอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจของหญิงบริการทางเพศ ควรเปิดโอกาสและช่วยเหลือให้เขาก่อตั้งสหภาพแรงงานและสหกรณ์เพื่อให้เขาปกป้องตนเองและมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น ควรแก้กฏหมายแรงงานสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกอาชีพ รวมถึงการขายบริการทางเพศ และนักสหภาพแรงงานในขบวนการแรงงานไทยควรยื่นมือแสดงความสมานฉันท์กับหญิงบริการด้วย



ในมิติระยะยาวเราน่าจะเข้าใจว่าทุนนิยมบิดเบือนและทำลายความงดงามของการเป็นมนุษย์ในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะในการทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสินค้า รวมถึงความรักหรือร่างมนุษย์ด้วย ดังนั้นในสังคมใหม่ที่เราต้องการสร้างจะไม่มีการซื้อขายทางเพศ จะไม่มีการใช้ร่างมนุษย์ในการโฆษนาสินค้าด้วย แต่เราจะเปิดกว้างในเรื่องเพศสัมพันธ์และการเปลือยกาย การซื้อขายทางเพศในสังคมไทยปัจจุบันผูกพันธ์กับค่านิยมอนุรักษ์นิยมที่ชนชั้นปกครองยัดเยียดให้เรา ผลคือสังคมคับแคบที่หญิง "ดี" ไม่สามารถมีประสบการณ์งดงามของเพศสัมพันธ์ภายใต้ความรักถ้าไม่อยู่ในกรอบการแต่งงาน และชายก็ไม่มีโอกาสเช่นกัน



สรุปแล้ว ศีลธรรมจอมปลอมคับแคบของชนชั้นปกครองที่ใช้แนวจารีตนิยมและมีต้นกำเนิดมาจากความต้องการที่จะสร้างระเบียบวินัยครอบครัว เพื่อตอบสนองการกอบโกยกำไรของกลุ่มทุนและการควบคุมประชาชนภายใต้แนวคิดเผด็จการ คนเสื้อแดงต้องให้ความสำคัญกับการเมืองทางเพศ และต้องสนับสนุนสิทธิสตรี สิทธิเกย์ กะเทย ทอม ดี้ และสิทธิของผู้ให้บริการทางเพศ และที่สำคัญเราต้องเปิดศึกทางความคิดกับแนวจารีตนิยมจากเบื้องบน

8 มีนาคม 2009-03-08

วันสตรีสากล

Tuesday, March 3, 2009

ความลับที่.สนธิลิ้มกำ..ทำให้กล้ายืนบนฟ้า...ท้าทั่วแผ่นดิน..เปิดอีกแล้วจ้า.!!!???

ความลับที่.สนธิลิ้มกำ..ทำให้กล้ายืนบนฟ้า...ท้าทั่วแผ่นดิน..เปิดอีกแล้วจ้า.!!!???
ท่าน ทักษิณ ชิณวัคร เป็นนายกที่มีความสามารถที่สุด

ท่าน ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกที่มีผลงานเป็นอันดับหนึ่ง

ท่าน ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกที่น่ายกย่องที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นนายกรัฐมนตรีใน

ประเทศไทยมาและอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ที่สนธิลิ้ม ได้ยกย่องในวันที่สัมภาษณ์

คุณ ทักษิณ ชินวัตร ครั้งแรกในรายการ"เมืองไทยวันนี้"ที่ช่อง 9 โมเดรินนายทีวี และแล้ว

สนธิลิ้ม ได้ติดต่อเข้าไปหานายก ทักษิณ เพื่อขอเงิน "สองพันล้านบาท"เพื่อเอามาปลดหนี

ที่ น.ส.พ ผู้จัดการและ DTac Network ของ"ตระกูลเบญจรงค์กุล"ที่สนธิทำไว้

การต่อรองได้เรื่มขึ้นคุณ ทักษิณ ให้ 500 ล้าน แต่สนธิลิ้ม ไม่เอา ถ้าจะเอาต้องเอาให้หมด

ก็คือ ถ้าจะเอา"เงินร้อยกับเงินล้าน"มันก็โดนด่าว่าชั่วเท่ากัน ดังนั้นสนธิลิ้ม จึงยืนการตามที่

ตัวเองเสนอ ส่วนทางคุณ ทักษิณ ไม่ให้เพราะว่าตัวเองบริสุทธิ์ไม่ได้ไปโกงกินอะไรทุกอย่าง

ให้ตรวจสอบได้ พอสนธิลิ้ม หมดทางจึงไปตาม"ชั่วสยาม"นามว่า จำลอง ศรีเมือง มือถือ

สากปากถือศิลมาเข้าก้วน ชั่วสยามจำลอง ติดต่อคุณ ทักษิณ ขอเงิน 500ล้านเพื่อไปเลียง

พวกโรคจิตบกพร่องใน"สันติอโศก"จ้าวลัดธิอุบาตว์และอีก 500 ล้านไปเลี้ยงหมาเรื่องมันก็เลย

ไปกันใหญ่ ทั้งนั้นและทั้งนี้ที่สนธิลิ้ม พยายามรวบรวมพวก"ชั่วสยาม"ก็เพราะว่าต้องการที่จะขู่

ให้ ทักษิณ กลัวนั่นเอง คุณทักษิณ ไม่กลัวใจเด็ดไม่ให้เพราะว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด

ส่วนไอ้พวก"ขี้กลากสังคัง"ตามมาที่หลัง นี่แหละต้นเหตุที่เกิด"ม๊อบ"

เมื่อม๊อบเกิดที่ สวนลุมพินีนี่คือต้นเหตุที่สนธิ กำความลับ"อย่ากระพริบตา"

วันหนึ่งมีงาน"สาวไฮโซ"ที่โรงแรมดุสิตธานีวันนั้นคุณหญิง สุธาวัลย์ เสถียรไทย ไปด้วย

ด้วยสนธิลิ้ม เคยรู้จักกันทางโทรศัพย์เพราะเคยโทรไปสัมภาษณ์"ป้าแมรี่"คุณสุรเกียรติ

เสถียรไทย คนขายนายขายเพื่อนและเคยพบกับคุณหญิงสุธาวัลย์ ที่วัดหลวงตาบัวมาก่อน

จึงทำให้ สนธิลิ้ม ข้ามถนนไปดุสิตธานีทันทีเปิดห้องที่นั่น แล้วโทรมือถือตามคุณหญิงสุธา

วัลย์ ขึ้นมาเพี่อขอคุยเรื่อง ป้าแมรี่ พอคุณหญิงและเพื่อนๆหลายคนมาถึง สนธิลิ้ม กันเพื่อน

ออกไปโดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ในขณะที่ตกตลึงสนธิ์ปิดห้อง ด้วยขณะนั้นสนธิ์ลิ้ม

เป็นบุคคลติดลบทั้งชื่อเสียงทั้งหนี้สินท้วมหัวเลยที่เดียว จึงทำให้สนธิ์กล้าทำอะไรบ้าๆลงไป

และจะคุยอะไรกันหรือทำอะไรกัน ผมไม่กล้ายืนยันเพราะผมไม่ได้อยู่ในนั้น นอกจากข่าว

วงในที่ได้เจาะหามาให้อ่านกัน"ตรงจุดนี้ที่ สนธิลิ้มมันกล้าประกาศยืนคู่ฟ้า ท้าทั่วแผ่นดิน"ว่า

มันไม่กลัวใครเพราะ"ความลับ"ที่มันกำไว้

คุณหญิงสุธาวัลย์ เป็นบุตรสาวของคุณหญิง บุษบา สธนพงค์ ซึ่งเป็นน้องสาวของใครคงไม่

ต้องบอกแล้ว "โชคไปตกอยู่ที่สนธิ์ลิ้ม กรรมไปตกอยู่ที่ ทักษิณ ชินวัตร"

จากนั้น"ผ้าสีฟ้า"ลอยหล่นลงมาผูกที่คอ สนธิ์ลิ้ม จนมันกล้าประกาศบนเวทีว่าเป็นราชบุตรเขย

ถ้าไม่จริงทำไมตำรวจไม่จับ สนธิ์ลิ้ม โทษฐานหมิ่นเบื้องสูง มันเข้าข่ายคิดไม้ครับ

จากนั้นเรื่องราวต่างๆที่มันเกิดขึ้นตั้งแต่ม้วนที่ 2 มันก็ได้บอกตัวมันเองแล้วว่ามีใครเข้ามาสมทบ

สนับสนุน สนธิ์ลิ้ม จนกระทั่งรวมหัวกัน ขับไล่รัฐบาล ทักษิณ ชนิดที่ไม่ตายไม่ยอมเลิกลา

ความลับไม่มีในโลกหรอกครับ มันขึ้นอยู่ที่ว่าคนพูดจะกล้าพูดหริอไม่ หรือคนเขียนจะกล้า

เขียนหรือเปล่าก็เท่านั้นครับ สวัสดีครับ




โพสต์โดย : citystraycat
ID # 1621376 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-03 15:28:10 _ แจ้งลบข้อความ


ความลับที่มีเฉลยใน T k N s รึปล่าว?
มันน่าจะพอรู้ก่อนจากหนังสือ เลยตามรอย..




โพสต์โดย : หัวเทียน
ID # 1621395 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-03 15:43:44 _ แจ้งลบข้อความ


เท่าที่ทราบมันถูกเรียกเข้าไปพบที่บ้านท่านผู้หญิง เสร็จแล้วมันกลับออกมา
ส่วนท่านผู้หญิงก็เข้าไปพบคนๆหนึ่ง

วันต่อมามันถูกเรียกเข้าไปพบที่บ้านหลังเดิมแล้วกลับออกมาพร้อมกับกระเป๋าใปใหญ่

ส่วนผ้าพันคอถูกเรียกให้ไปเอาทีหลัง




โพสต์โดย : regards
ID # 1621406 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-03 15:51:22 _ แจ้งลบข้อความ


นั่นแหละครับ ต้นเหตุแห่งความบรรลัยที่
มาจนถึงทุกวันนี้....
บ้านเมืองวิปริต ไม่ว่าบนล่างสูงต่ำดำขาว
หงอกหัวดำ ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า


เสื่อม....





โพสต์โดย : arpisit
ID # 1621506 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-03 16:58:37 _ แจ้งลบข้อความ


สนธิไม่กลัวเพราะมีคลิปเด็ด ในมือคนใกล้ชิดเขาพูดกันให้แซด




โพสต์โดย : กำนัน
ID # 1621515 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-03 17:02:53 _ แจ้งลบข้อความ


รุ่นนั้นยังมีรมณ์อีกเหรอ




โพสต์โดย : โจโฉ
ID # 1621528 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-03 17:14:14 _ แจ้งลบข้อความ


ยิ่งแก่ยิ่งร่าน ยิ่งเงี่ยน




โพสต์โดย : v1
ID # 1621623 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-03 18:08:16 _ แจ้งลบข้อความ


ความลับยิ่งปิด มันก็ยิ่งปลิ้น คับ




โพสต์โดย : Firass
ID # 1621650 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-03 18:27:10 _ แจ้งลบข้อความ


ไอ้เจ็กกบฎ ไหหลำ แซ่ลิ้ม มันเก่งเหมือนพ่อมัน เลวบริสุทธิ์
จอมหักหลังแบล๊คเมย์ สมัยพ่อมันทำหนังสือพิพม์จีน รีดไถ่
พ่อค้าคนจีน สอบถามได้จากพวกไหหลำ แก่ ๆ รู้ดีทุกคน ความระยำ
ของพ่อมัน ไอ้นี่มันลูกไม้หล่นใต้ต้น ไม่ได้หล่นไกลต้นแบบ ไกรศักดิ์




โพสต์โดย : deleted
ID # 1621657 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-03 18:31:56 _ แจ้งลบข้อความ


*****เฒ่ากับอีนางเฒ่าตัณหากลับ ร่านกันยิ่งกว่าหมาเดือนสิบสอง
เพียงแต่อีนังเฒ่ามียศถาบันดาศักดิ์ค้ำคอเลยไม่กล้าแสดงออก
นอกจากแอบๆซ่อนๆ ไม่เหมือนไอ้หมาบ้าแป๊ะเฒ่ามันหน้าด้านหน้าทนจอมลวงโลก อะไรมันก็กล้าทำทั้งนั้นแม้แต่จะสมสู่กับสัตว์เดรฉาน




โพสต์โดย : ios
ID # 1621737 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-03 19:22:04 _ แจ้งลบข้อความ


เอ่อ...นิยายนี้ เคยได้ยินมาหลายฝ่าย โอว....ราชบุตรเขย....




โพสต์โดย : ขอ-ขวด
ID # 1621781 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-03 19:51:24 _ แจ้งลบข้อความ


ฮา..สุดๆกับความคิดโจโฉ(ยิ่งแก่ยิ่งร่าน ยิ่งเงี่ยน)..กร๊ากกกก..




โพสต์โดย : ลิงลม
ID # 1621931 - โพสต์เมื่อ : 2009-03-03 21:06:12 _ แจ้งลบข้อความ


เรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน















แต่ผมเชื่อ ก็ลิ้มมันบอกเองเลยน่ะ

Sunday, March 1, 2009

เราควรเริ่มสร้างพรรค “แดง” อย่างไร?

เราควรเริ่มสร้างพรรค “แดง” อย่างไร?

ใจ อึ๊งภากรณ์

พรรคแดงต้องสร้างจากพลเมืองรากหญ้า เพื่อให้มีฐานที่มั่นคง เพื่อให้สะท้อนความต้องการแท้ของประชาชน และเพื่อให้สมาชิกพรรคร่วมกันนำ ที่สำคัญเราต้องสามารถ ควบคุมผู้แทนและนักการเมืองของเรา ตรงนี้หลายคนคงเข้าใจดี เพราะคนเสื้อแดงบางส่วนเคยตั้งความหวังและผิดหวังกับคนอย่าง เนวิน ที่ขายตัวเปลี่ยนข้าง หรือทุกวันนี้เราอาจมองว่าแกนนำเสื้อแดงในส่วนที่เป็นนักการเมืองเก่า อาจ “ไปไม่ถึง” “ย่ำอยู่กับที่” โดยที่ไม่มีข้อเสนอใหม่ๆ ตามความต้องการของมวลชน



ถ้าจะสร้างพรรครากหญ้าแบบนี้เราต้องให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องคือ

1. รายละเอียด เช่นการรวบรวมรายชื่อและที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ ของสมาชิกกลุ่มเสื้อแดงที่เราจัดตั้ง เก็บ “ค่าบำรุง” ในระดับพอเหมาะเพื่อให้เราพึ่งตนเองได้ในการทำงาน และที่สำคัญต้องสื่อสารติดต่อกับสมาชิกเป็นประจำเพื่อไม่ทิ้งใคร ในขณะเดียวกันต้องขยายสมาชิก และประสานระหว่างกลุ่มเสื้อแดงในเขตต่างๆ อีกด้วย

2. งานประจำ เราต้องมีกิจกรรมเป็นประจำเพื่อไม่ให้ขาดช่วง แต่ต้องเหมาะสมกับคนที่ต้องไปทำงาน มีครอบครัว หรือเรียนหนังสือด้วย สมาชิกเราไม่ใช่คนที่ทำงานเสื้อแดงเต็มเวลาได้ เขาเป็นพลเมืองธรรมดา วิธีที่ง่ายที่สุดคือการจัดกลุ่มศึกษาทุกอาทิตย์ เพื่อพัฒนาความคิดความเข้าใจ และเพื่อประสานการทำงาน ซึ่งแปลว่าต้องมีจดหมายข่าวออกไปสู่สมาชิกอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งข่าวและให้ความรู้

3. การศึกษา เราต้องพัฒนาสมาชิกให้เป็นผู้ที่นำตนเองได้ เป็นผู้นำในชุมชน ที่ทำงาน หรือสถานที่ศึกษาได้ ซึ่งแปลว่าสมาชิกต้องเข้าใจการเมืองไทย การเมืองสากล เศรษฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ ตรงนี้มันไม่ได้แปลว่าต้องเป็นศาสตราจารย์กันทุกคนภายในสองสามวัน แต่เราควรมองว่าการศึกษาเป็นเรื่องต่อเนื่องที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้ สมาชิกควรอาสาไปศึกษาอะไรสักอย่าง แล้วมาเล่าให้กลุ่มศึกษาฟังเพื่อแลกเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ



ทำไมเราต้องสร้างพรรคแบบนี้? ขอยกตัวอย่าง...

ในช่วงวิกฤตแบบนี้ เราจะเผชิญหน้ากับคำถามรูปธรรมตลอดเวลา เช่น... ถ้ามีการเสนอ “รัฐบาลแห่งชาติ” เราต้องมีจุดยืนอย่างไร? (ในความเห็นส่วนตัวของผม ควรคัดค้านเพราะไม่ต่างจากรัฐบาลบงการโดยทหารที่มีอยู่) หรือ จะมีคำถามว่าควรมีข้อเรียกร้องอะไรบ้าง? ควรเคลื่อนไหวยืดเยื้อหรือสั้นๆ? ถึงจุดไหนเราควรเลิกชุมนุม? ก้าวต่อไปควรเป็นอย่างไร?.... หรือเราควรมีข้อเสนออะไรบ้างเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจ ฯลฯ .... เรื่องแบบนี้เราปล่อยให้แกนนำไม่กี่คนกำหนดทิศทางการต่อสู้ไม่ได้ ถ้าแบบนั้นก็แสดงว่าองค์กรไม่มีประชาธิปไตยภายในและขึ้นอยู่กับความคิดของคนกลุ่มเล็กๆ เราต้องมีส่วนร่วมในการนำ และถ้าจะมีส่วนร่วมเราต้องศึกษาและถกเถียงกันถึงปัญหาเฉพาะหน้าตลอดเวลา บ่อยครั้งในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ คนที่เคยก้าวหน้าและสามารถนำ จะกลายเป็นคนที่ประนีประนอมไม่กล้าสู้ (หรือในกรณีคนของภาคประชาชนที่เข้ากับพันธมารฯ –เขาเปลี่ยนไปเป็นคนล้าหลังปฏิกิริยา) และคนที่เคยขาดความมั่นใจในการนำหรือการเสนออะไร เช่นคนเสื้อแดงธรรมดา อาจก้าวออกไปเป็นแกนนำใหม่... ทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่เราต้องจัดตั้งและพัฒนาคนของเรา ไม่พึ่งใครคนใดคนหนึ่ง (รวมถึงผมด้วย)



หากความแหลมคมของสถานการณ์มาถึงจุดหนึ่ง จนถึงขนาดที่ ฝ่ายทหาร พรรคประชาธิปัตย์และเส้นใหญ่ ต้องการประนีประนอม ซึ่งทำให้แกนนำเสื้อแดงบางส่วนที่ “ใจไม่ถึง” พะว้าพะวงไม่แน่ใจว่าจะไปอย่างไรดี จนต้องยุติการชุมนุมนั้น... คนเสื้อแดงธรรมดาจะมีส่วนร่วมในการออกแบบมาตรฐานใหม่อย่างไรเพื่อไม่ให้การเมืองไทยว่ายอยู่ในวงจรอุบาทว์แบบเดิม?



อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าการจัดตั้งเป็นเรื่องสำคัญ คือท่าทีต่อคนที่ถูกรังแกในสังคม พรรคแดงต้องเป็นปากเสียงของคนที่ถูกรังแก แต่น่าเสียดายที่กลุ่มเสื้อแดงบางส่วนที่เชียงใหม่ไปคัดค้านคนรักเพศเดียวกันที่อยากจัดงาน ทุกคนมีสิทธิ์ผิดพลาดได้ แต่เราต้องเปลี่ยนแปลงทัศนะคับแคบที่มาจากพวกอนุรักษ์นิยมเบื้องสูงในสังคม เพื่อปกป้องคนรักเพศเดียวกันหรือผู้ที่ถูกรังแกอื่นๆ เสื้อแดงต้องก้าวหน้าทันสมัยและใจกว้าง เราต้องตรงข้ามกับไดโนเสาร์เสื้อเหลืองที่ชื่นชมจารีตโบราณที่คับแคบ พวกเสื้อเหลืองโจมตี “แถลงการณ์สยามแดง” ที่กล่าวว่า “ตราบใดที่เราหมอบคลานต่ออำนาจเก่าเราจะไม่ยืนขึ้นเป็นมนุษย์” พวกเหลืองอ้างว่าการหมอบคลานคือ “วัฒนธรรมไทย” ซึ่งแปลว่าเขามองว่าคนไทยคือทาส หรือคนไทยไม่ก้าวหน้าไม่เป็นคน เสื้อแดงต้องก้าวหน้า เราไม่ใช่พวกมอบคลานเหมือนสัตว์ เราเป็นมนุษย์เราเป็นพลเมือง และในฐานะที่เป็นมนุษย์เป็นพลเมือง เราต้องมีเกียรติ์พอที่จะเลียวแลเห็นใจและปกป้องพลเมืองอื่นในสังคม เช่นคนรักเพศเดียวกัน ไม่ใช่ไปร่วมกระทืบเขาเหมือนที่ชนชั้นสูงต้องการให้เราทำ



ทุกวันนี้พวกเผด็จการหัวเก่ากำลังขาดความมั่นใจ เขากลัวเพราะประชาชนเสื้อแดงไม่ใช่ลูกน้องใคร นำตนเองได้ และกำลังคิดไปไกล ... กำลังตั้งคำถามกับโครงสร้างเบื้องบนเก่าๆ ของสังคมและอยากได้อะไรที่ใหม่และทันสมัย ฝ่ายเขาเริ่มแสดงท่าทีว่าอาจยอมประนีประนอม ในสถานการณ์แบบนี้เราต้องไม่หยุดสู้ แต่ต้องเดินหน้าเพื่อเอาชนะพวกนั้นอย่างสมบูรณ์



ที่อังกฤษสถานทูตไทยกังวลเรื่องการคิดเองของนักศึกษาไทย จนสถานทูตไทยประจำลอนดอนต้องโทรศัพท์ไปกดดันนักศึกษา และทูตไทยกำลังจัดงานปิดสำหรับคนไทย “เพื่ออธิบายผลงานของกษัตริย์” แต่เขาคงไม่กล้าเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างประมุขกับการเมืองเผด็จการแน่ และยังคงปกป้องการใช้กฎหมายหมิ่นเพื่อทำลายเสรีภาพในการแสดงออก ถ้าแน่จริงผมท้าทูตให้มาโต้วาทีวิชาการกับผมในที่สาธารณะ



การสร้างพรรคเป็นโครงการต่อเนื่องที่จะใช้เวลา เราต้องเริ่มทำวันนี้ และเราต้องไม่แสวงหาทางลัด เช่นให้ “ผู้ใหญ่” สร้างขึ้นแทนเราด้วยถุงเงินถุงทอง เราต้องสร้างพรรครากหญ้าของประชาชน และหน่ออ่อนของพรรคใหม่นี้คือกลุ่มเสื้อแดงที่ท่านกำลังสร้างอยู่ทุกวันนี้



แดงสยาม....เพื่อ....

เสรีภาพ ความเท่าเทียม และสมานฉันท์พี่น้องพลเมือง ด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

๑ มีนาคม ๒๕๕๒

อย่าลืม ดา ตอปิโด บุญยืน ประเสริฐยิ่ง และ สุวิชา ท่าค้อ อย่าลืม จักรภพ เพ็ญแข โชติศักดิ์ อ่อนสูง และบรรณาธิการวารสารฟ้าเดียวกัน ร่วมใจให้กำลังใจ เรียกร้องให้ปล่อยทุกคน!!! ยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯ!!!!! นำประชาธิปไตยและเสรีภาพกลับคืนมา!!!!



1677 คนที่รักประชาธิปไตย ทั้งในไทยและต่างประเทศ

ได้ลงชื่อให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯ



ทุกวันนี้ศาลไทยกำลังละเมิดสิทธิเสรีภาพในระบบยุติธรรมอย่างเป็นระบบ การอ้างว่าประกันตัวคุณ ดา ตอปิโด ไม่ได้ “เพราะสิ่งที่เขาพูดขัดกับความเห็นของสังคม” เป็นข้ออ้างผิดหลักกฎหมายโดยสิ้นเชิง ผิดหลักประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญด้วย และพิสูจน์ให้เห็นว่าระบบศาลไทยไม่มีความยุติธรรมและไม่ใช้หลักการของกฎหมายอย่างแท้จริง นี่คือสาเหตุที่เราต้องปฏิรูประบบยุติธรรมแบบถอนรากถอนโคน ซึ่งผมจะมีข้อเสนอในอนาคตเพื่อแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ต่อไป



เครือข่ายแดงนอกประเทศไทย



คำถามสำคัญเกี่ยวกับเสื้อแดงนอกประเทศคือ เราจะหนุนช่วยการต่อสู้ของคนเสื้อแดงภายในประเทศอย่างไร ในความเห็นของผู้เขียนคิดว่า เสื้อแดงนอกประเทศจะต้องพัฒนาทิศทางการเคลื่อนไหว ซึ่งจำเป็นต้องมีการรวมกลุ่มให้ได้มากที่สุดเพื่อพัฒนาแนวความคิดทางการเมือง และนำความสร้างสรรค์ดังกล่าวมาเป็นข้อเสนอรูปธรรมใหม่ๆ ในการปฏิรูปการเมือง รวมถึงการปฏิรูปโครงสร้างสังคมการเมืองไทยด้วย พร้อมๆกับวิจารณ์ปัญหาโครงสร้างสังคมไทยปัจจุบันที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ที่คนเสื้อแดงภายในประเทศไทยไม่สามารถพูดได้ สิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าเราสามารถพัฒนาเครือข่ายคนเสื้อแดงในยุโรป หรือ ในพื้นที่อื่นให้เป็นกลุ่มเป็นก้อน อาจมีการนัดพบกันในระดับประเทศเดือนละครั้ง เพื่อศึกษาการเมือง และเพื่อประสานการเคลื่อนไหว และทุกปีอาจมีสมัชชาเสื้อแดงระดับทวีป เช่นของยุโรปเป็นต้น.... อยากฟังความเห็นจากเพื่อนๆ นอกประเทศครับ



จดหมายถึงทูตไทยประจำลอนดอน

ผมยินดีที่สถานทูตไทยพร้อมจะแสดงจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างจากจุดยืนผม และผมยินดีที่มีการจัดประชุมที่สามัคคีสมาคมเพื่อให้ทูตไทยแสดงความเห็นของฝ่ายรัฐบาล

เพื่อพัฒนาการแลกเปลี่ยนและการใช้ปัญญาต่อไป ผมจึงขอเชิญทูตไทยประจำลอนดอน ร่วมโต้วาทีวิชาการ สองต่อสอง กับผมในเวทีสาธารณะ เรื่องปัญหาประชาธิปไตยไทย โดยมีผู้ดำเนินการที่เป็นกลาง อาจจัดที่ลอนดอนในเดือนเมษายน หวังว่าจะมีการตอบรับมาจากสถานทูต เพื่อแสดงความจริงใจและความเปิดกว้างทางวิชาการ

ร.ศ. ใจ อึ๊งภากรณ์ ๑ มีนาคม ๒๕๕๒



--
Giles Ji Ungpakorn
UK mobile:+44-(0)7817034432
http://siamrd.blog.co.uk/
http://wdpress.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
see YOUTUBE videos by Giles53

บทเรียนราคาแพงที่นักเขียนต้องจ่ายสำหรับการหมิ่นระบอบกษัตริย์ในประเทศไทย โดย แฮรี นิโคไลเดส

บทเรียนราคาแพงที่นักเขียนต้องจ่ายสำหรับการหมิ่นระบอบกษัตริย์ในประเทศไทย โดย แฮรี นิโคไลเดส
าก ห้องขังมีสภาพคล้ายนรกของคุกในกรุงเทพ แฮรี นิโคไลเดสนักเขียนได้เปิดเผยความน่าสพึงกลัวของเวลาแต่ละวันที่เขาต้อง ต่อสู้เพื่อความอยู่รอด

พวกเราต้อง ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าและถูกเรียกนับชื่อในคุก ห้องขังของผมมีขนาดกว้างมากกว่า 4 เมตร และยาว 12 เมตร จุนักโทษได้ 50-60 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย ส่วนใหญ่เป็นฆาตกรและนักข่มขืน ห้องขังมีห้องน้ำเพียง 1 ห้อง ซึ่งเป็นแค่รูที่เจาะลงพื้น แทบไม่มีระบบระบายอากาศ ผมต้องนอนใส่หน้ากากเพื่อป้องกันวัณโรคและปอดบวมซึ่งเป็นโรคที่แพร่หลายใน คุก ผมได้อยู่ในห้องขังมาได้ 5 เดือนตั้งแต่ถูกจับในเดือนกันยายนที่แล้ว

หนังสือ ที่ผมแต่ง “Verisimilitude” เป็นการพยายามเขียนทำนองนวนิยายแบบมือใหม่ครั้งแรกของผม ตีพิมพ์ออกมาเพียง 50 เล่ม และขายได้เพียง 7 เล่ม ผมรักเมืองไทยและเคารพราชวงศ์ ผมไม่เคยมีความตั้งใจจะโจมตีใคร

อาหารเช้าผมดื่มน้ำเต้าหู้และขนมปัง กรอบ นักโทษอาบน้ำและโกนหนวดรอบๆรางน้ำที่มีคราบสกปรกลอยฟ่อง น้ำถูกเปลี่ยนอาทิตย์ละครั้ง ต่อมาก็มีการประชุม พวกเราได้ยืนเคารพธงชาติ พวกเราได้ถูกสั่งให้สวดมนต์ต่อหน้าพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ ผมต้องใช้เวลาในการรวบรวมความคิดเพื่อคิดถึงคนที่ผมรัก

ผู้คุมได้พูดอบรมเป็นเวลานานเป็นภาษาไทย ผมเดาว่าเป็นการพูดถึงมารยาทในการอยู่ร่วมกันในคุก

ผมได้ถูกพาขี้นไปชั้นบนกับนักโทษต่างชาติคนอื่นๆ เพื่อทำความสอาดคุกอีกด้านหนึ่ง

หลัง จากนั้นก็เป็นเวลาพักเพียงครู่เดียว ผมใช้เวลาเดินดูรอบๆ แต่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ผมจะต้องพบกับนักโทษที่อ่อนแอกระปลกกะเปลี้ย นั่งอิดโรย เช่นนักโทษที่เป็นวัณโรค ผมรู้สึกถึงความตาย ผมพยายามที่จะใช้เวลาของผมตอบจดหมายที่มีมาหลายฉบับ จดหมายทำให้ผมมีชีวิตอยู่ได้

มีการอนุญาตให้เข้าเยี่ยมพวกเราได้วัน ละ 30 นาที เว้นวันสุดสัปดาห์และวันหยุด เป็นเรื่องที่ยากที่สุดของผมที่จะกลับไปห้องขังหลังจากหมดเวลาเยี่่ยมจาก ครอบครัวหรือเพื่อน ผมต้องร้องไห้เมื่อคิดว่าคนเหล่านั้นต้องเผชิญกับความทุกข์เพียงใด

ถึงเวลาเที่ยงจะมีสัญญาณกระดิ่ง อาหารเที่ยงส่วนใหญ่จะเป็นก้างปลาในน้ำร้อนที่เผ็ดมากกับข้าว ผมได้ลองทานดูและรู้สึกไม่สบาย

ผมไม่อาจจะล้มป่วยได้ แค่ความเครียดจากความคิดนี่ก็เหลือพอแล้ว ดังนั้นครอบครัวผมได้ส่งไก่และสลัดมาให้ผมทุกวัน

มี แมว 20-25 ตัวที่วิ่งไปมาในห้องโถงต่อหน้านักโทษทั้งหลาย นักโทษบางคนเอาบุหรี่ยัดปากแมวทั้งหลายหรือทำในสิ่งที่เล่าออกมาไม่ได้กับ แมวเหล่านั้น

ผมต้องเดินเท้าเปล่าเกือบตลอดวัน ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องการป้องกันความปลอดภัยเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเราปีน รั้วลวดหนามที่เดินกระแสไฟไว้ และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นธรรมเนียม แต่พื้นมีเศษก้างปลาเต็มไปหมด ทั้งน้ำลายและอ้วกแมว เท้าของผมจะดำปี๋

ผม ถูกพาไปขี้นศาลด้วยกุญแจมือและโซ่ตรวน เป็นแบบยุคกลางจริงๆ มันทำให้เรารู้สึกด้อยค่าและทำให้ข้อเท้าเกิดรอยช้ำและมีแผลฉีกขาด มันทำให้คุณรู้สึกว่าคุณได้กระทำความผิด

มีคนพูดว่าแบบนี้ทำให้ใครก็ได้เข้าถึงตัวได้ง่ายในคุก ดังนั้นผมจะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

ผมได้พบกับนักโทษที่มีสีสรรบางคน อย่างเช่น วิคเตอร์ เบ้าท์ ผู้ต้องสงสัยคดีนายหน้าขายอาวุธชาวรัสเซีย ไม่หยิ่ง พูดเสียงเบาๆ

วิ คเตอร์ให้กระเทียมผมในวันก่อนหน้า และให้ผมตรวจทานต้นฉบับของประวัติของเขา ผมยังไม่ได้อ่าน หลายๆคนได้ให้ต้นฉบับเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตและคดีของเขา พวกเขาคิดว่าผมคือนักข่าวของบีบีซีกระมัง

บ่าย 4 โมง พวกเราต้องถูกคุมขังไปจนถึง 6 โมงเช้า ที่นอนของผมขนาดกว้าง 1 ฟุต ขนาดยาวเท่าตัวผม ผมไม่สามารถพลิกซ้ายหรือขวาโดยไม่เบียดนักโทษคนอื่น ผมไม่สามารถยืดขาโดยไม่เตะนักโทษคนอื่น

ในวันเฉลิมพระชนมายุ 81 พรรษาของกษัตริย์ ผมมองเห็นพลุจากที่ไกลลิบๆ นักโทษบางคนร้องให้ และสรรเสริญบุคคลผู้ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นกษัตริย์ของพวกเขา แต่เป็นบิดาแห่งพวกเขาด้วย ผมอาจจะไม่ใช่คนไทย แต่ผมเป็นลูกชาย และผมรู้ว่าความรักที่มีต่อพ่อเป็นอย่างไร ผมร้องขอการอภัยโทษ ผมสวดมนต์ให้กษัตริย์ได้ทรงมองเห็นความทุกข์ทรมานของผม เพื่อผมจะได้ชื่นชมกับพระเกียรติของท่าน

เมื่อผมทานไก่เสร็จ นักโทษไทยคนอื่นขอเศษอาหารที่เหลือจากผม

ไฟ นีออนได้เปิดสว่างทั้งคืน ผมใช้กล่องหนุนหัวนอนหลับ ผมนอนพลิกซ้ายพลิกขวาบนที่นอนบางๆบนพื้นที่แข็ง และนักโทษต่างชาติได้บอกกับผมว่าแล้วมันจะผ่านไป ซึ่งเป็นภาษิตโบราณแต่เป็นเรื่องจริง แต่เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน

แปลและเรียบเรียง: Chapter 11
ที่มา:http://www.smh.com.au/news/world/the-cost-of-insulting-royalty/2009/02/06/1233423495127.html?page=fullpage#contentSwap1

สงครามประชาชน

สงครามประชาชน
หลังจากเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของฝูงชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างใกล้ชิดอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
บทสรุปของผลลัพธ์ที่ได้แน่นอนมันคือชัยชนะที่ฝูงชนเหล่านี้จะต้องได้รับ
หากแต่ไม่ใช่ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้
กลุ่มคนเหล่านี้กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆ
จนอีกฝ่ายหนึ่งเริ่มหวั่นวิตกแต่การเพิ่มจำนวนขึ้นของฝูงชนฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยนี้ก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาแต่อย่างใด
ยุทธวิธีสกัดกั้นหรือถึงขั้นทำลาย
ได้ถูกวางไว้เพื่อรับมือเรียบร้อยแล้ว โดยนักยุทธศาสตร์กว่าครึ่งพัน
ในขณะที่ฝ่ายผู้เรียกร้องประชาธิปไตยกลับไม่มีนักยุทธศาสตร์ที่แท้จริงมาคอยวางหมากแก้เกมที่แยบยลนี้
จะทำได้ก็เพียงแค่ขัดตาทัพนั่นคือการจำต้องยอมเสียหมากบนกระดานไปทีละตัวจนถึงขุน
แล้วก็ต้องท้าตีท้าต่อยใหม่ด้วยหมากกระดานใหม่ที่ไม่มีวันชนะ



การเสียอำนาจการปกครองประเทศไปในครั้งที่ผ่านมาของรัฐบาลสมชายคือหมากกระดานแรกที่ฝ่ายประชาธิปไตยต้องพ่ายแพ้จนถึงขั้นต้องเสียขุน
แต่ฝ่ายประชาธิปไตยกลับหันหลังให้ประวัติศาสตร์
การท้าตีท้าต่อยแบบมวยวัดด้วยหมากกระดานใหม่จึงได้วนเวียนเริ่มต้นขึ้นแล้วจบลงอย่างไม่รู้จบเพราะฝ่ายประชาธิปไตยยังคงใช้วิธีการแบบ
Braveheart ที่ไม่มีทางชนะอังกฤษได้ (
คือการสู้ที่ไม่มีกำลังทหารอยู่ในมือ )
ไม่มีสงครามประชาชนใดในโลกนี้ที่มีชัยชนะเหนือพวกคลั่งพ่ออำมาตย์ด้วยการใช้กำลังของตัวเอง
แต่การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะไร้ค่ากลับต้องบอกว่ามันถูกทางแล้วในสภาวะไร้นักยุทธศาสตร์เช่นนี้



การเคลื่อนไหวของฝ่ายผู้เรียกร้องประชาธิปไตยจะแพ้ไปเรื่อยๆ
แต่เป็นการแพ้เพื่อรอชัยชนะ
ดาบแห่งชัยชนะที่พวกเขาได้ช่วยกันตีช่วยกันหลอมเพื่อติดอาวุธให้จิตใต้สำนึกดีของคนไทยทุกคนกำลังขึ้นรูปเป็นเค้าโครงร่างของดาบชัดขึ้นทุกวัน
การตีดาบหยุดไม่ได้แม้เหนื่อยล้าโรยแรงแค่ไหนก็ต้องตีต่อไป
ยิ่งขึ้นรูปใกล้สำเร็จแล้วยิ่งต้องเร่งตีและเคาะถี่แรงขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
การเคลื่อนไหวของฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยคือการติดอาวุธให้จิตใต้สำนึกดีให้ลูกหลานของพวกเขาให้เติบโตขึ้นเป็นต้นไทรประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งเพื่อทำการปฏิวัติด้วยกำลังทหารเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อประชาธิปไตย
แน่นอนเมื่อถึงเวลานั้นพ่อแม่ของต้นไทรเหล่านี้อาจได้ลาลับโลกไปแล้ว



ไม่มีสงครามประชาชนครั้งใดในโลกที่ประชาชนหรือชาวรากหญ้าจะมีชัยเหนือพ่ออำมาตย์
เพราะปัจจัยสำคัญของชัยชนะคือพลังอำนาจแห่งชาติทางทหาร
การต่อสู้ของชาวรากหญ้าในสภาวะไร้นักยุทธศาสตร์จะไม่มีวันชนะจนกว่าลูกหลานชาวรากหญ้าของพวกเขาจะเติบโตและโดดเด่นจนทั่วกองทัพ
แต่แม้จะรู้ว่าต้องแพ้ชาวรากหญ้าก็ต้องสู้ต่อไป
สู้เพื่อรอให้เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยเติบใหญ่แข็งแรง
เมล็ดพันธุ์เหล่านี้คือกุญแจแห่งชัยชนะ
การปฏิวัติของทหารลูกหลานชาวรากหญ้าจะเป็นการปฏิวัติครั้งสุดท้ายของประเทศไทย



แน่นอนต้องรอนานเพราะไร้นักยุทธศาสตร์
แต่ก็ต้องสู้ต่อไปหยุดไม่ได้ จงยอมรับเสียว่าสู้ยังไงก็ต้องแพ้
แต่แพ้เพื่อชนะ และให้รับรู้ไว้ว่ายังไงก็ชนะแต่ผู้ชนะคือลูกหลานชาวรากหญ้าผู้เป็นผลิตผลของการเคลื่อนไหวของฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยนั่นเอง
เมื่อถึงวันแห่งชัยชนะเราจะปาร์ตี้กันในปรโลก



แต่.....

ถ้าฝ่ายผู้เรียกร้องประชาธิปไตยมีโชคได้นักยุทธศาสตร์ในวันนี้เกมจะเปลี่ยนไป
การปฏิวัติโดยคนรากหญ้าจะได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรกของโลก