Wednesday, December 28, 2011

UltraSurf สุดยอดโปรแกรมเข้าเว็บที่ถูกแบนจาก ICT

UltraSurf สุดยอดโปรแกรมเข้าเว็บที่ถูกแบนจาก ICT ไม่ว่าจะโดนเน็ต เครือข่ายไหนก็ตาม

สืบเนื่องจากสถานการทางการเมืองที่ไม่ปรกติ และการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ ซึ่งอนุญาติให้รัฐใช้อำนาจในการควบคุมการเผยแพร่ข่าวสารของสื่อมวลชน ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีการทยอยบล็อกเว็บข่าวสารที่อยู่คนละฝั่งจากรัฐบาล ไม่เว้ณแม้แต่แบนเว็บบล็อกของ Blogger บางเว็บที่เสนอเนื้อหาอยู่คนละฝั่งกับรัฐบาล ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซด์เหล่านั้นได้

[Image: ultrasurf9.jpg]

โปรแกรม UltraSurf เป็นโปรแกรมที่ต่อต้านการเซ็นเซอร์ ผลิตโดย UltraReach Internet Corp มันสามารถช่วยในเรื่องของการรักษาข้อมูลส่วนตัีวได้อย่างปลอดภัยโดยการใช้ ระบบ proxy เข้ามาช่วยซึ่งทำให้เราสามารถที่จะเข้าเว็บต่างๆได้อย่างอิสระ

จุดแข็งของ โปรแกรม UltraSurf
Privacy นโยบายการรักษาข้อมูลส่วนตัว

Protect Internet privacy with anonymous surfing and browsing — hide IP addresses and locations, clean browsing history, cookies & more
ปกป้องความเป็นส่วนตัวกับอินเทอร์เน็ตแบบนิรนามกระดานโต้คลื่นและการ เบราส์ – ซ่อนที่อยู่ IP และสถานที่ที่สะอาดเรียกดูประวัติการคุกกี้และอื่นๆ …
Security การรักษาความปลอดภัย

Completely transparent data transfer and high level encryption of the content allow you to surf the web with high security.
พร้อมมูลโปร่งใสและการถ่ายโอนข้อมูลระดับสูงเข้ารหัสของเนื้อหาช่วยให้ คุณสามารถท่อง​เว็บด้วยการรักษาความปลอดภัยสูง.

Freedom อิสรภาพ

UltraSurf allows you to overcome the censorship and blockage on the Internet. You can browse any website freely, so as to obtain true information from the free world. UltraSurf
ช่วยให้คุณสามารถเอาชนะการ censor และขัดขวางบนอินเทอร์เน็ต. ใดๆที่คุณสามารถเรียกดูเว็บไซต์อิสระดังนั้นจึงเป็นความจริงเพื่อขอรับ ข้อมูลจากฟรีโลก.

Function พิเศษของ โปรแกรม UltraSurf

[Image: ultrasurf.jpg]

(1) ปกป้องความลับส่วนตัว
UltraSurf จะปกป้องผู้ใช้โดยการซ่อน IP address, การลบ browsing history – cookie เป็นต้น

(2) การเข้ารหัสข้อมูลที่แข็งแกร่ง
UltraSurf นั้นสามารถใช้การเข้ารห้สโดย SSL ได้เช่น การ login เข้าไปดูเงินของธนาคาร, การซื้อ
ของผ่าน web ต่างๆ เป็นต้น ข้อมูลทั้งหมดที่ผ่านออกไปจาก UltraSurf นั้นจะได้รับการ
เข้ารหัสที่แข็งแกร่งเพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีใครสามารถเปิด packet เพื่ออ่านได้

(3) การ Support HTTPS
UltraSurf supports https ผู้ใช่สามารถเยี่ยมชม web site ที่ใช้ “https” ได้ เพราะว่าข้อมูล
มาอยู่ใน protocal https ได้ถูกเข้ารหัสไว้แล้ว

(4) Support ทุก Protocols พื้นฐานของ HTTP
UltraSurf Support ทุก Protocols พื้นฐานของ HTTP ยกตัวอย่างเช่น webmail,
javascripts, DHTML ฯลฯ

(5) Support Secure Data Uploading และ Downloading

และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโปรแกรม UltraSurf

1. มันจะปลอดภัยหรือไม่ถ้าใช้ UltraSurfเข้าไปที่ web site ต่างๆ? พวก third party software
สามารถตรวจจับได้ไหมเมื่อ web site ถูกเปิดขึ้นมา?
A: UltraSurf ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการเข้ารหัสข้อความเพราะฉะนั้นจึงไม่มี third party
อันไหนที่สามารถตรวจับได้ว่าเราทำอะไรที่ web site นี้ ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างแรก

2. ถ้าใช้ UltraSurf post ข้อความต่างๆที่ forums หรือเยี่ยมชม web sites มันเป็นไปได้ไหม
ที่ forum หรือ web site จะรู้ ip ที่แท้จริง?
A: เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

3. หลังจากที่ใช้ UltraSurfe แล้วประวัติการเข้า web site จะถูกบันทึกลงไปที่ computer ไหม?
A: ไม่หลังจากที่คุณออกจากโปรแกรมแล้วประวัติการเข้าเว็บรวมไปถึง cookieจะถูกลบออกไป

4. UltraSurf เป็น Trojan หรือ virus ใช่ไหม?
A: ไม่ใช่ทั้งคู่แต่อาจจะมี antivirus บางที่ๆจะแสดงข้อความขึ้นมาเตือนทั้งนี้เพราะว่าโปรแกรม
นี้สามารถฝ่า Firewall ได้จึงทำให้เกิดการเข้าใจผิดกัน ทางเราขอให้คำมั่นสัญญาว่าเราจะไม่แตะเอกสารใดๆของท่าน

5.บางที่ block port 9666 เอาไว้ต้องทำอย่างไรถึงสามารถใช้ UltraSurf ได้?
A: 9666 เป็น port พื้นฐานของโปรแกรม เพราะสาเหตุนี้เองจึงทำให้เราใส่ option เอาไว้ให้ set port เองได้

6. UltraSurf มี pop up ขึ้นมาถามเรื่องการ update มันหมายความว่าอย่างไร ?
A: UltraSurf มีระบบ auto-upgrade ทั้งนี้สาเหตุก็คือมี UltraSurf version ใหม่ออกมา
โปรแกรมจึงแตือนให้มีการ update

*หมายเหตุ แปลมาจาก help ของโปรแกรม

เรื่องน่ารู็เกี่ยวกับโปรแกรม UltraSurf

- UltraSurf ตั้งแต่เวอร์ชั่นแรกมีอายุครบ 6 ปีแล้วนะครับแล้วยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

- ถึงวันนี้มีผู้ใช้ UltraSurf เป็นล้านคน

- มีคนใช้ UltraSurf ใน 150 ประเทศทั่วโลก

- ใน 1 วันมีการเรียกใช้ข้อมูลบน UltraSurf มากกว่า 500 ล้านเว็บไซด์

- มีการใช้ทราฟฟิกบน UltraSurf มากกว่า 5000 กิกะไบต์ ใน1 วัน

Download UltraSurf ได้ฟรีจากเว็บไซด์ของผู้ผลิต

Download UltraSurf

ลิ้งดาวโหลด

Sunday, December 18, 2011

สารจาก phoenix griffin

สารจาก phoenix griffin
สำหรับ ผู้ที่กังวลกับ ระบบ Guilty til proven Innocent ของศาลไทย
ก็ขอถือโอกาสนี้มาแนะนำวิธีง่าย ๆ ที่ทำได้
1. ข้อแรก ลบไฟล์ รูปภาพ ทั้งหลายที่คุณคิดว่าสุ่มเสี่ยงทิ้ง หรือ
ย้ายไปยัง Flash Drive ให้หมด (แล้วซ่อนให้ดี ๆ หน่อย)
2. ลง OS ใหม่ ไม่ว่าจะเป็น windows หรือ ubuntu หรือ อะไรก็ตาม
(คนไม่มีความรู้ สามารถจ้างร้าน ให้เขาลงใหม่ได้ แต่ต้อง (ขอย้ำ)
ต้องย้ายไฟล์ หรือลบไฟล์ออกให้หมดก่อน)
จบ (ถ้าคุณสามารถลง OS ใหม่)
3. สำหรับผู้ที่ไม่สามารถ ลง OS ใหม่ได้ หลังย้ายไฟล์ ลบไฟล์แล้ว
ให้ delete history, cookie, form, password etc
(อย่าลืมจด password เก็บไว้ก่อนเผื่อลืม)
สำหรับ IE กด tool มองหา Internet Option (ล่างสุด)
หน้าต่างใหม่จะเห็น Browsing History กด delete
หน้าต่างใหม่ ติ๊กทุกอัน ยกเว้นอันแรกที่เขียนว่า Preserve Favorites Website Data
กดปุ่ม delete
สำหรับ Chrome กดปุ่ม กุญแจ ขวามือบน เลือก ตัวเลือก กดไป
หน้าต่างใหม่เปิด มองซ้ายมือ เลือก ตัวเลือก ชั้นสูง กดไป
เปลี่ยนหน้าต่างใหม่ อยู่บนสุดเลย เขียนว่า ล้างข้อมูลการท่องเวป กดไป
หน้าต่างเล็กจะเปิด ให้เลือก ลบรายการต่อไปนี้จาก (คลิกลูกศร)
ให้เลือก ตั้งแต่เริ่มต้น แล้ว ติ๊กทุกรายการด้านล่าง กด ล้างข้อมูลการท่องเวป
4. ทำ Disk cleanup และ Defrag เครื่อง (จะทำให้คอมคุณเร็วขึ้นด้วย)
5. Download โปรแกรมชื่อ Advance System Care
Download
เป็น ฟรีโปรแกรม ครับ จัดการดูแลเครื่องตามที่โปรแกรมมี
(แนะให้เลือก Deep care เสร็จแล้ว กด Toolbox ไล่ Fix ไล่ Clean)
6. สุดท้าย ทำหรือไม่ทำก็ได้ คือมองหาโปรแกรมพรางตัวมาใช้ครับ
(ข้อเสียคือทำให้คอมคุณทำงานช้า น่าหงุดหงิด)
หวังว่าคนไทยทุกคน จะโชคดีได้พบกับระบบ Innocent til proven Guilty
ภายในปีหน้านี้ หลังจากปีศาจตาเดียว ลงนรกไปฮะ

เครดิต จาก phoenix griffin

Saturday, December 10, 2011

ประวัติศาสตร์ "สาธารณรัฐจีน"

ประวัติศาสตร์ "สาธารณรัฐจีน"

(ซ้าย) หยวนซื่อไข่ กับ (ขวา) ซุนยัตเซ็น บนธงสาธารณรัฐจีนในยุคต้น
ภายหลังเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่อู่ชัง กระแสแห่งการปฏิวัติได้ลุกโชนลามเลียไปทั่วแผ่นดินจีน หลังจากที่กลุ่มปฏิวัติสามารถยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ ก็ได้เตรียมที่จะจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวเพื่อจัดสรรอำนาจปกครองอย่างเป็นทางการขึ้น ระหว่างการจัดตั้งกองกำลังแต่ละกลุ่มต่างเกิดความขัดแย้งกันอย่างหนัก ในการคัดสรรบุคคลที่จะก้าวเข้ามาเป็นผู้นำรัฐบาลชั่วคราว จนการจัดตั้งรัฐบาลต้องล่าช้าออกไป หน่วยงานกลางของสมาพันธ์ถงเหมิงที่อู่ฮั่นกับเซี่ยงไฮ้จึงได้ส่งโทรเลขไปยังกลุ่มปฏิวัติในแต่ละมณฑลเพื่อให้ส่งตัวแทนเข้ามาหารือในการจัดตั้งรัฐบาลกลาง

เครื่องแต่งกายที่แตกต่างในยุคสาธารณรัฐจีน
ช่วงเวลานั้นประจวบกับซุนยัตเซ็นได้กลับมายังมายังประเทศจีนพอดี ทำให้การหารือของตัวแทน 17 มณฑลในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ.1911 ได้มีการคัดเลือกเลือกให้ซุนจงซัน (孙中山)หรือซุนยัตเซ็นเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว และกำหนดชื่อของประเทศเป็นสาธารณรัฐจีน (中华民国)

จากนั้นในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1912 ซุนยัตเซ็นจึงได้เข้าพิธีรับตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราวคนแรกของสาธารณรัฐจีน และเมื่อถึงวันที่ 3 มกราคม จึงได้มีการเลือกด้วยมติเอกฉันท์จากตัวแทน 17 คนให้หลีหยวนหง (黎元洪) เป็นรองประธานาธิบดี ตัดสินใจใช้ธง 5 สีเป็นธงประจำชาติ และใช้ธงที่มีดาว 18 ดวงเป็นธงประจำกองทัพบก และธงฟ้าครามอาทิตย์น้ำเงินเป็นธงกองทัพเรือ

รัฐบาลใหม่ได้เลือกให้เมืองนานกิง เป็นเมืองหลวงชั่วคราว ส่วนตัวแทนจากมณฑลต่างๆก็ได้แปรสภาพมาเป็นสภานิติบัญญัติชั่วคราว มีการผ่านร่างรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐจีนขึ้น อีกทั้งมีการประกาศกฎหมายใหม่ๆเป็นจำนวนมาก มีการประกาศให้ประชาชนทุกคนมีฐานะเท่าเทียมกัน มีสิทธิในการเข้ารับการเลือกตั้ง พักอาศัย นับถือศาสนา ชุมนุม วิพากษ์วิจารณ์ และเผยแพร่ความคิดของตนได้อย่างอิสระ จากนั้นได้ยกเลิกการเก็บภาษีการเกษตรแบบรีดนาทาเร้นของราชวงศ์ชิง สนับสนุนให้ชาวจีนโพ้นทะเลกลับมาลงทุนในประเทศ ด้านการศึกษามีการสอนในเรื่องของอิสรเสรีความเสมอภาค สนับสนุนให้โรงเรียนมีทั้งชายและหญิง ยกเลิกคำเรียกขานแบ่งชนชั้นในอดีตเช่น “ใต้เท้า” “นายท่าน” และให้หญิงชายทุกคนตัดผมเปียทิ้ง หญิงห้ามมัดเท้า และห้ามไม่ให้ประชาชนเล่นการพนัน สูบฝิ่น หรือเพาะปลูกฝิ่น

หยวนซื่อไข่
ทว่าหลังสาธารณรัฐจีนได้ถูกสถาปนาขึ้นไม่นานก็ต้องพบกับแรงกดดันจากกลุ่มต่อต้านหลายกลุ่มที่ร่วมมือกัน โดยเฉพาะหยวนซื่อไข่ (袁世凯) ที่ใช้ทั้งกำลังกองทัพและการหลอกลวงทางการเมือง บีบให้คณะปฏิวัติต้องยอมส่งมอบอำนาจรัฐให้กับหยวนซื่อไข่

ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1912 ฮ่องเต้ผู่อี๋ได้ประกาศสละราชสมบัติ ต่อมาในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ดร.ซุนยัตเซ็น ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีต่อสภานิติบัญญัติ และทางสภาได้เลือกให้หยวนซื่อไข่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราวคนที่ 2 ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์

แม้ว่าหยวนซื่อไข่ จะสามารถแย่งชิงผลประโยชน์อันเกิดจากการปฏิวัติไปได้แต่เขาก็ยังมิได้พอใจ ยังคงฝันหวานอยากจะเป็น “ฮ่องเต้” อยู่ ดังนั้นเมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ.1913 เนื่องจากรัฐธรรมนูญใหม่ได้กำหนดว่าผู้ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีจะต้องได้เสียง 3 ใน 4 ทำให้หยวนซื่อไข่ส่งกำลังทหาร เข้าล้อมสภาฯ หลังจากการโหวต 2 ครั้งที่หยวนไม่ได้รับตำแหน่ง เขาจึงตัดสินใจใช้กำลังบีบให้สภาฯเลือกตนเองเป็นประธานาธิบดี และเข้าดำรงตำแหน่งในวันที่ 10 ตุลาคม

หลังจากนั้น หยวนได้ทำการยุบพรรคก๊กมินตั๋ง และสภาฯ จากนั้นได้ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แล้วจัดทำรัฐธรรมนูญที่ถูกเรียกขานเป็นฉบับหยวนซื่อไข่ขึ้น แล้วรวบอำนาจทางการทหารทั้งหมดมาไว้ที่ตน ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้หยวนสามารถเป็นประธานาธิบดีได้คราวละ 10 ปีไม่จำกัดวาระ ยังสามารถที่จะเลือดผู้สืบทอดได้เองอีกด้วย

แม้ว่าอำนาจของหยวนในขณะนั้น จะแทบไม่ต่างไปจากระบอบกษัตริย์แล้วก็ตาม ทว่าเดือนธันวาคมปีค.ศ. 1915 หยวนซื่อข่ายได้อ้างการเรียกร้องของประชาชน ในการประกาศฟื้นฟูระบบการปกครองระบอบกษัตริย์ขึ้น และตั้งชื่อปีรัชกาลของตนว่าหงเสี้ยน (洪宪) ทว่าการกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากซุนจงซันกับเหลียงฉี่เชา แม้แต่ต้วนฉีรุ่ย (段祺瑞) และเฝิงกั๋วจาง (冯国璋)ผู้นำกองทัพเป่ยหยางเองก็มีความไม่พอใจ จนกระทั่งวันที่ 25 ธันวาคมเช่อเอ้อ (蔡锷) และถังจี้เหยา (唐继尧) ได้ก่อตั้งกองทัพปฏิวัติขึ้นที่หยุนหนัน (ยูนนาน) โดยเริ่มต้นเปิดฉากสงครามพิทักษ์ชาติโจมตีหยวนซื่อข่าย โดยมีกุ้ยโจว กว่างซีที่ให้การสนับสนุน ในกองทัพเป่ยหยางเองก็ส่งสัญญาณต่อต้านมาไม่น้อย ทำให้ในที่สุดหยวนซื่อไข่จึงถูกบีบให้ยกเลิกระบอบกษัตริย์ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ.1916 หลังจากที่เพิ่งสถาปนามาได้เพียง 83 วัน และกลับมาใช้ชื่อสาธารณรัฐจีน

ภายหลังได้มีการแต่งตั้งให้ต้วนฉีรุ่ยให้จัดตั้งคณะรัฐบาลพร้อมควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในขณะที่ต้วนเองก็บีบให้หยวนต้องส่งมอบอำนาจของกองทัพให้กับตน แต่หลังจากนั้นกว่างตง เจ้อเจียง ส่านซี หูหนัน และซื่อชวน (เสฉวน) กลับได้ส่งโทรเลขประกาศตัวเป็นอิสระไม่ยอมขึ้นกับหยวนซื่อไข่อีกต่อไป กระทั่งวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1916 หยวนได้ป่วยตายด้วยโรคปัสสาวะเป็นพิษ และเสียชีวิตด้วยวัย 57 ปี

ขบวนการ 4 พฤษภาคม
หลังจากที่หยวนซื่อไข่ตายไปท่ามกลางเสียงก่นด่าของผู้คน หลีหยวนหงก็ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อ โดยมีต้วนฉีรุ่ยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทว่าในช่วงเวลานั้นได้เกิดความขัดแย้งขึ้นในกองทัพ ทำให้มีการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีกันบ่อยครั้ง โดยในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1917 ได้มีการแต่งตั้งให้เฝิงกั๋วจาง มาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีปักกิ่ง พอมาถึงวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1918 ก็แต่งตั้งสีว์ซื่อชัง(徐士昌)เป็นประธานาธิบดี กระทั่งในเที่ยงวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ.1919 ขณะที่สีว์ซื่อชัง กำลังจัดงานเลี้ยงอยู่ที่ทำเนียบประธานาธิบดีในจงหนันไห่ ก็เป็นช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่าขบวนการ 4 พฤษภาคมขึ้น

โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ตั้งแต่ปีค.ศ.1914 ญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับเยอรมนี แล้วบุกยึดเกาะชิงเต่าและเส้นทางรถไฟเจียวจี้ไว้ตลอดทั้งสาย ควบคุมและแย่งชิงสิทธิทุกอย่างของเยอรมนีในมณฑลซันตงเอาไว้ กระทั่งในปีค.ศ. 1918 เมื่อสงครามโลกสิ้นสุด เยอรมนีพ่ายแพ้สงคราม ประเทศที่ชนะสงครามจึงได้ชัดเจรจาสันติภาพขึ้นในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1919 ขึ้นที่ปารีส รัฐบาลปักกิ่งกับรัฐบาลทหารที่กว่างโจวได้ร่วมกันส่งตัวแทนไปประชุม และได้ยื่นข้อเสนอให้ยกเลิกสิทธิพิเศษของประเทศต่างๆในจีน รวมถึงยกเลิกสัญญาอยุติธรรมที่หยวนซื่อไข่ได้ทำไว้กับญี่ปุ่น อีกทั้งคืนสิทธิพิเศษต่างๆในมณฑลซันตงที่ญี่ปุ่นได้ชิงมาจากเยอรมนี แต่เนื่องจากการประชุมในปารีสนั้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจ ข้อเรียกร้องของจีนจึงไม่เพียงแต่ถูกปฏิเสธ แถมได้ระบุให้ยกเอาสิทธิพิเศษของเยอรมนีในซันตงโอนถ่ายมาให้กับญี่ปุ่น ทำให้ในขณะที่รัฐบาลปักกิ่งกำลังเตรียมจะลงนามในสนธิสัญญานั้น ประชาชนชาวจีนจึงลุกขึ้นมาประท้วงต่อต้านอย่างรุนแรง

นักศึกษาและประชาชนออกมาประท้วงในช่วงเหตุการณ์ขบวนการ 4 พฤษภาคม
ในวันที่ 4 พฤษภาคม นักศึกษาจาก 13 สถาบันการศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มัธยมปักกิ่ง มหาวิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยเฉาหยาง มหาวิทยาลัยหมินกั๋ว ราว 3,000 คนได้ไปรวมตัวที่บริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วร้องตะโกนว่า “ภายนอกชิงอธิปไตยชาติ ภายในปราบโจรแผ่นดิน” “ปฏิเสธการลงนามในสนธิสัญญา” “ยกเลิกสัญญา 21 ข้อ” “แม้ตายก็ขอเอาเกาะชิงเต่าคืน” โดยเป็นการแสดงให้เห็นถึงการยืนยันที่จะต่อต้านและขอให้ลงโทษเฉาหรู่หลิน (曹汝霖) ที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มขายชาติให้กับญี่ปุ่น โดยในครั้งนักศึกษาที่รักชาติได้พากันออกมาเดินขบวน แต่ก็ถูกทหารตำรวจกลุ่มใหญ่ทำการควบคุม และจับกุมตัวนักศึกษาไป 32 คน

วันต่อมานักศึกษาจากวิทยาลัยและมหาวิทายาลัยต่างทำการประท้วงหยุดเรียน และส่งข่าวการต่อต้านไปยังทั่วประเทศ แล้วจัดทั้งกลุ่มสมาพันธ์นักศึกษาขึ้น โดยการออกมาประท้วงของนักศึกษาในครั้งนี้ได้รับความสนใจและสนับสนุนจากผู้คนอย่างกว้างขวาง ในการช่วยกันกดดันให้รัฐบาลปักกิ่งทำการปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุม

วันที่ 19 นักศึกษาในปักกิ่งได้เริ่มต้นประกาศหยุดเรียนอีกครั้ง คราวนี้นักเรียนนักศึกษาในเทียนจิน เซี่ยงไฮ้ ฉางซา กว่างโจว ต่างก็ออกมาร่มเดินขบวน ในขณะที่นักศึกษาจีนที่ไปเรียนต่อในญี่ปุ่น ฝรั่งเศสก็เริ่มดำเนินกิจการสนับสนุนการประท้วง

ต่อมาในวันที่ 1 มิถุนายน รัฐบาลปักกิ่งจำต้องออกมาประณามกลุ่มคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกขายชาติ เพื่อที่จะยับยั้งกิจกรรมการประท้วงต่างๆ ทว่าหลังจากนั้นอีก 2 วันนักเรียนนักศึกษาก็ยังเดินหน้าออกกล่าวปราศรัย จนกระทั่งมีนักเรียนถูกจับไป 170 คน และถูกจับอีก 700 คนในวันต่อมา เมื่อถึงวันที่ 5 ก็ยังมีนักเรียนอีกกว่า 2,000 คนที่เดินขบวนอยู่บนท้องถนน การกระทำที่ใช้ความรุนแรงของทางการได้ทำให้บุคคลในวงการต่างๆไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง จนคนงาน 60,000 คนในเซี่ยงไฮ้ได้นัดหยุดงานสนับสนุนนักศึกษา แล้วลุกลามไปกลายเป็นมีการหยุดงานและเดินขบวนทั้งในปักกิ่ง ถังซัน ฮั่นโข่ว นานกิง เทียนจิน หังโจว ซันตง อันฮุยเป็นต้น นอกจากนั้นพ่อค้าในเซี่ยงไฮ้กับอีกหลายเมืองก็หยุดทำการค้าขาย การหยุดเรียน หยุดงาน และหยุดค้าขายได้แผ่ขยายไปกว่า 100 เมืองใน 20 มณฑลทั่วประเทศ

เจียงไคเช็คในวัยหนุ่ม
ในที่สุดท่ามกลางแรงกดดันมหาศาล ในวันที่ 10 มิถุนายน รัฐบาลปักกิ่งจึงยอมปล่อยตัวนักศึกษาที่ถูกจับกุม และปลดเฉาหรู่หลิน ลู่จงอี๋ว์ และจางจงเสียงที่ถูกระบุว่าขายชาติออกจากตำแหน่ง ในวันที่ 27 นักศึกษา แรงงานและชาวจีนในฝรั่งเศสหลายร้อยคนได้เดินทางไปยังที่พักของตัวแทนรัฐบาลจีนในฝรั่งเศส เรียกร้องให้ปฏิเสธการลงนามในสนธิสัญญา จนในวันที่ 28 ไม่มีตัวแทนจากจีนไปลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าว

การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์
หลังจากเหตุการณ์ขบวนการ 4 พฤษภาคม กระแสและแนวความคิดใหม่ๆ ได้ไหลบ่าเข้ามาสู่แผ่นดินจีน โดยเฉพาะแนวความคิดลัทธิมาร์กซ์ที่แต่เดิมมีอิทธิพลในจีนเพียงเล็กน้อย ก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จนมีการจัดตั้งเป็นกลุ่มคอมมิวนิสต์ศึกษาขึ้น และได้รับการสนับสนุนจากองค์การคอมมิวนิสต์สากล จนได้มีการรวมตัวแทนกลุ่มต่างๆและจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้น

เวลา 20.00 น.ของวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1921 การประชุมตัวแทนจากทั่วประเทศครั้งแรกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีตัวแทนจากกลุ่มต่างๆเข้าร่วมทั้งสิ้น 12 คนอาทิเหมาเจ๋อตง (毛泽东), เหอซูเหิง ,ต่งปี้อู่,หลี่ต๋า,จางกั๋วเทา และเปาฮุ่ยเจิง ซึ่งเป็นตัวแทนของเฉินตู๋ซิ่วเป็นต้น (陈独秀)เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีคนจากองค์การพรรคคอมมิวนิสต์สากลมาเข้าร่วมด้วย จนกระทั่งเมื่อเสร็จสิ้นการประชุมใหญ่ในวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ประชุมได้เลือกเฉินตู๋ซิ่วให้เป็นเลขาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ และประกาศตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นอย่างเป็นทางการ

ภายหลังเมื่อดร.ซุนยัตเซ็น ได้ทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรคกั๋วหมินตั่ง หรือก๊กมินตั๋ง โดยอนุญาตให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์มาเข้าร่วมด้วย จากนั้นภายใต้ความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย กับทางโซเวียตจึงได้มีการจัดตั้งโรงเรียนทหารและการปกครองหวงผู่ ซึ่งนับเป็นผลิตผลแรกของความร่วมมือระหว่างซุนยัตเซ็นกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน

โรงเรียนทหารและการปกครองที่จัดตั้งขึ้น มีซุนยัตเซ็นเป็นผู้อำนวยการ และเจี่ยงจงเจิ้ง (蔣中正) หรือเจียงไคเช็ค เป็นครูใหญ่ ดร.ซุนได้วางจุดประสงค์ไว้ที่การ “สร้างกองกำลังปฏิวัติ เพื่อช่วยจีนให้พ้นวิกฤต” มีการจัดสอนการใช้อาวุธ สอนแนวความคิดลัทธิไตรราษฎร์ และแนวความคิดของลัทธิมาร์กซ์ โดยให้ความสำคัญทั้งหลักสูตรทางด้านการทหารและการปกครอง จนสามารถสร้างบุคลากรชั้นนำในประเทศในภายหลังได้เป็นจำนวนมาก โดยระหว่างปีค.ศ. 1924-1949 มีนักเรียนที่จบทั้งสิ้น 23 รุ่น เมื่อรวมนักเรียนที่จบออกมาจากโรงเรียน และสาขาแล้วมีมากถึง 230,000 คน

เด็กในเซี่ยงไฮ้ในช่วงเวลาที่ถูกทหารญี่ปุ่นรุกราน
ต่อมา ซุนยัตเซ็นป่วยด้วยโรคมะเร็งในตับและเสียชีวิตในปักกิ่งวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1925 ด้วยอายุเพียง 59 ปี คำพูดสุดท้ายก่อนที่จะเสียชีวิตของเขาก็คือ “สันติภาพ.. ต่อสู้.. ช่วยประเทศจีน..” การเสียชีวิตของซุนยัตเซ็นได้สร้างความอาลัยโศกเศร้าไปทั่วประเทศ ในวันที่ 19 เมื่อมีการเคลื่อนศพจากโรงพยาบาล มีผู้คนที่ยืนไว้อาลัยอยู่รายทางนับแสนคน และหลังจากจัดพิธีฝังแล้ว ก็มีคนทยอยไปร่วมลงนามไว้อาลัยกว่า 2 ล้านคน ป้ายผ้าที่แขวนในงานศพของเขา ได้ระบุคำว่า “การปฏิวัติยังไม่สำเร็จ ขอสหายจงพยายามต่อไป”

สงครามปราบขุนศึกภาคเหนือ
หลังการเสียชีวิตของซุนยัตเซ็น พรรคก๊กมินตั๋งและกองทหารได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นที่กว่างโจว และในวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1926 รัฐบาลก็ได้แต่งตั้งเจียงไคเช็ค ให้เป็นผู้บัญชาการทหารปฏิวัติ เพื่อปราบปรามขุนศึกภาคเหนือ เริ่มต้นด้วยการบุกฉางซา เพื่อทำศึกปราบอู๋เพ่ยฝู (吴佩孚) สามารถเอาชนะได้ในศึกที่สะพานทิงซื่อ สะพานเฮ่อเซิ่ง จนกระทั่งเดือนกันยายน เจียงได้นำทัพบุกไปถึงฮั่นโข่ว ฮั่นหยาง แล้วบุกเมืองอู่ฮั่น หลังจากนั้นในศึกเจ้อเจียง เมื่อถึงยามคับขันเจียงถึงกับลงไปควบคุมทัพในการบุกเมืองด้วยตนเอง จากนั้นกองทัพได้เคลื่อนย้ายต่อเข้าไปในเจียงซี และมีคำสั่งให้กองทัพที่เฉาซ่าน บุกโจมที่มณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) หลังจากที่บุกยึดฝูเจี้ยน เจ้อเจียงแล้ว ก็ได้เปิดศึกกับอู่ฮั่นต่อ จนกระทั่งสามารถทำลายกองทัพของอู๋เพ่ยฝูในอู่ฮั่นได้หมดสิ้น

ต่อมาเจียงไคเช็คได้นำกองกำลังจากฝูเจี้ยน เข้าไปทำลายกองกำลังหลักของโจวอิน บุกตีจางซู่ เฟิงเฉิง เจี้ยนชัง เต๋ออัน หย่งซิว ฝูโจว จนกระทั่งซุนฉวนฟังผู้นำอีกกองกำลังหนึ่งต้องมาขอเจรจาสงบศึกกับเจียง แต่ก็ถูกเจียงปฏิเสธไป

เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน กองทัพของเจียงก็บุกเข้าไปถึงหนันชัง ซุนฉวนฟาง (孙传芳) ผู้บัญชาการทหารที่นั่นเลือกที่จะต่อสู้อย่างเต็มที่ เจียงจึงเข้าบัญชาการรบด้วยตัวเองและบุกตีจนกองทัพเจียงซีถูกทำลาย แล้วย้ายกองบัญชาการทหารไปอยู่ที่หนันชัง และบุกต่อไปยังจางโจว เฉวียนโจว ฝูเจี้ยนผิง และเมื่อถึงเดือนธันวาคม เอี๋ยนซีซันก็เข้าร่วมกับกองทัพปฏิวัติของก๊กมินตั๋ง

ทว่าในเดือนมีนาคมในปีค.ศ. 1927 เมื่อกองทัพบุกยึดหังโจว ซูโจวแล้ว รัฐบาลอู่ฮั่นกก็ได้มีมติปลดเจียงออกจากทุกตำแหน่งอย่างกะทันหัน ในขณะนั้นเจียงไคเช็คที่อยู่หนันชังได้ยื่นหนังสือแสดงการไม่ยอมรับการตัดสินใจดังกล่าว แล้วเคลื่อนทัพบุกเซี่ยงไฮ้ นานกิง เมื่อบุกเข้านานกิงแล้ว บรรดาคนจากพรรคคอมมิวนิสต์ที่อยู่ในกองทัพปราบขุนศึกภาคเหนือได้กระทำการเข่นฆ่าชาวต่างชาติ จนทำให้กองทัพอังกฤษและสหรัฐฯนั้นหันหน้ามาโจมตีนานกิง จนกลายเป็นความขัดแย้งระดับชาติขึ้น สหภาพแรงงานในเซี่ยงไฮ้ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ก็ทำการประท้วงหยุดงาน ตัดไฟฟ้าและสายโทรศัพท์ ยึดสถานีตำรวจและสถานีรถไฟ เจียงได้ใช้วิธีการทางการทูตเพื่อเข้าแก้ปัญหา และให้ไช่หยวนเผย (蔡元培) ซึ่งเป็นสมาชิกอาวุโสในพรรคก๊กมินตั๋งออกหนังสือประณามว่า “คอมมิวนิสต์เป็นผู้ทำกลายการปฏิวัติ วางแผนให้ร้ายประเทศชาติ” จากนั้นก็มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นมาเป็นการเร่งด่วน

ในภายหลัง เมื่อวันที่ 12 เมษายน ก็มีการดำเนินการยกเลิกสหภาพแรงงานในเซี่ยงไฮ้ จากนั้นก็จับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์หลายคนอาทิ วังโซ่วหัว เฉินถิงเหนียน เจ้าซื่อเอี๋ยนมาประหารชีวิต และนับเป็นจุดแตกหักระหว่างเจียงไคเช็คกับพรรคคอมมิวนิสต์

ถัดมาในวันที่ 17 ของเดือนเดียวกัน รัฐบาลก๊กมินตั๋งที่อู่ฮั่นได้ประกาศปลดตำแหน่งผู้บัญชาการทหารปฏิวัติ และขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ถัดมาอีกหนึ่งวัน เจียงจึงได้ตั้งรัฐบาลก๊กมินตั๋งขึ้นใหม่ที่นานกิง แล้วทำหนังสือประกาศสู่สาธารณชน

กองทัพของเจียงยังคงเดินหน้าบุกโจมตีจี้หนัน แต่ก็ถูกกองทหารติดอาวุธของญี่ปุ่นเข้ามาแทรกแซง จนกองทัพต้องอ้อมขึ้นเหนือ และบุกประชิดปักกิ่งเทียนจินได้ในช่วงต้นเดือนมิ.ย. ทำให้จางจั้วหลิน (张作霖) ขุนพลกองกำลังรัฐบาลเป่ยหยางต้องหลบหนีออกไปนอกด่าน แล้วไปเสียชีวิตจากการวางระเบิดของฝ่ายญี่ปุ่น ต่อมาจางเสียว์เหลียง (张学良) บุตรชายของเขาขึ้นเป็นผู้นำกองทัพหลบหนีแทน หลังจากผ่านการเจรจาครึ่งปี ในที่สุดในวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ.1928 จึงได้มีการส่งข่าวไปทั่วประเทศว่ายอมสนับสนุนรัฐบาลนานกิง และทำให้ประเทศจีนเหนือใต้ได้ร่วมเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง

ภาพในพิพิธภัณฑ์ที่ระลึกสงครามต่อต้านญี่ปุ่น
สงครามรุกรานจากญี่ปุ่น
นับตั้งแต่ญี่ปุ่นได้บุกยึดเสิ่นหยาง ในปีค.ศ. 1894 จนจีนพ่ายแพ้สงคราม และต้องขอเจรจาสงบศึก โดยส่งหลี่หงจางต้องเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อลงนามในสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ ที่จีนต้องรับรองการปกครองตนเองของเกาหลี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือยอมรับการปกครองของญี่ปุ่นเหนือเกาหลี อีกทั้งตกยกคาบสมุทรเหลียวตง ไต้หวัน หมู่เกาะเผิงหู (เพสคาดอเรส) ให้กับญี่ปุ่นอีกทั้งชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามเป็นเงิน 230 ล้านตำลึง ยังจะต้องอนุญาตให้ญี่ปุ่นเข้ามาดำเนินการค้าขาย ประกอบอุตสาหกรรม หัตกรรมตามท่าเรือได้

ญี่ปุ่น และเป็นหนึ่ง 8 ประเทศพันธมิตรที่ร่วมบุกเข้ารุกรานประเทศจีน ญี่ปุ่นก็ได้ตั้งเป้าที่จะหาประโยชน์สูงสุดจากแผ่นดินจีนมาโดยตลอดจนกระทั่งวันที่ 18 กันยายน 1931 นั่นคือวันที่ญี่ปุ่นได้สร้างสถานการณ์ “เหตุการณ์บึงหลิ่วเถียว” (柳条湖事变)ในการโจมตีเมืองเสิ่นหยางใกล้บึงหลิ่วเถียวของจีน ซึ่งในเวลานั้น ญี่ปุ่นได้บุกยึดแมนจูเรีย และเล็งหาข้ออ้างที่จะโจมตีภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนมาโดยตลอด จึงจงใจจุดชนวนศึกขึ้น

โดยในวันที่ 18 กันยายนปีนั้น เกิดระเบิดขึ้นที่ทางรถไฟสายแมนจูเรียใต้ของญี่ปุ่น แต่มีความเสียหายน้อยมากจนไม่กระเทือนการให้บริการปกติ ทว่าทหารญี่ปุ่นกลับอ้างว่า ทหารจีนยิงใส่พวกตนจากท้องนา จึงจำเป็นต้อง “ป้องกันตนเอง”

ในเวลานั้น รัฐบาลก๊กมินตั๋งอยู่ในช่วงรวบรวมกำลัง เพื่อสู้รบกับคอมมิวนิสต์ที่ลุกขึ้นต่อต้านในประเทศ จึงได้มีคำสั่งห้ามต่อต้าน ให้พยายามแก้ไขด้วยวิธีการทางการทูต และให้ถอนกำลังไปที่ด่านซันไห่กวน ทำให้ทหารญี่ปุ่นบุกยึดเสิ่นหยาง แล้วบุกยึดต่อไปที่จี๋หลิน เฮยหลงเจียง จนกระทั่งสามารถยึด 3 มณฑลทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนได้ในเดือนมกราคม 1932

ในเดือนถัดมาญี่ปุ่นได้สร้างรัฐใหม่ขึ้นบนแผ่นดินแมนจูเรีย โดยมีญี่ปุ่นคอยเชิดอยู่เบื้องหลัง ตั้งชื่อว่า ประเทศแมนจูเรีย (满洲国) มีฉางชุนเป็นเมืองหลวง แล้วนำผู่อี๋ (ปูยี) ฮ่องเต้ราชวงศ์ชิงองค์สุดท้ายที่ถูกปฏิวัติในปี ค.ค. 1911 ซึ่งมีอายุ 25 พรรษในขณะนั้นมาเป็นฮ่องเต้หุ่นที่ได้ปกครองแต่ในนาม จากนั้นญี่ปุ่นก็ใช้อำนาจในการขูดรีดประชาชน ทำลายวัฒนธรรม ทำให้ชาวจีนกว่า 30 ล้านคนต้องทนทุกข์ทรมาน

เหตุร้าย 18 กันยายนได้กลายเป็นชนวนความแค้นของจีนทั่วประเทศ จนมีการเรียกร้องให้ต่อต้านญี่ปุ่น และถึงขั้นประท้วงรัฐบาลก๊กมินตั๋งที่ไม่ยอมต่อกรกับญี่ปุ่น จนกระทั่งประชาชนจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนต่างเริ่มลุกฮือขึ้นต่อต้านญี่ปุ่น เมื่อถึงปี 1937 การรวมตัวก็กระจายกว้างออกไป จนสามารถยืดหยัดสู้รบกับทัพญี่ปุ่นได้อย่างยาวนาน

เรื่องราวในวันที่ 18 กันยายน เป็นหนึ่งในแผนการที่ญี่ปุ่นได้วางไว้นานแล้ว เห็นได้จากเมื่อปี 1927 ที่ญี่ปุ่นได้ประชุมที่โตเกียว แล้วกำหนด “โครงสร้างนโยบายต่อจีน” ออกมา จากนั้นก็ได้แจ้งต่อจักรพรรดิ พร้อมประกาศว่า หากต้องการยึดครองจีน จะต้องสยบแผ่นดินแมนจูเรียก่อน และหากจะพิชิตโลก ก็จะต้องสยบจีนให้ได้ก่อน

ทหารญี่ปุ่นที่กำลังสังหารชาวจีนในนานกิง
ในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นช่วงที่รัฐบาลก๊กมินตั๋งกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ญี่ปุ่นที่รุกรานทางเหนือ และคอมมิวนิสต์ที่อยู่ทางใต้ บวกกับทหารหลายหน่วยที่ปกครองตัวเองไม่ยอมฟังคำสั่งจากส่วนกลาง จนกระทั่งจางเสียว์เหลียงและหยางหู่ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารภาคตะวันตกเฉียงเหนือตัดสินใจยอมรับความร่วมมือจากคอมมิวนิสต์ในการต่อต้านการรุกรานจากญี่ปุ่น และนำเรื่องเสนอต่อเจียงไคเช็ค จนกระทั่งในที่สุดภายหลังการหารือทำให้รัฐบาลก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้บรรลุข้อตกลงร่วมมือกันต่อต้านญี่ปุ่น

กระทั่งวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1937 หลังเหตุการณ์พลิกผันที่สะพานหลูโกว ที่ทางญี่ปุ่นได้อ้างว่ามีนายทหารของญี่ปุ่นในจีนหนึ่งคนหายตัวไป และเรียกร้องที่จะเข้มาค้นหาในเมืองหวั่นผิง ในขณะที่กองทัพของจีนยืนยันปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่า ทำให้ทหารญี่ปุ่นเริ่มต้นเปิดฉากยิงระเบิดเข้าสู่สะพานหลูโกว และบุกโจมตีทหารจีนที่เฝ้ารักษาในเมืองนับเป็นการระเบิดศึกอย่าเป็นทางการของทั้ง 2 ฝ่าย .

สังหารหมู่ที่นานกิง
วันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1937 กองทัพญี่ปุ่นได้บุกเข้ามายังเมืองหนันจิง หรือเมืองนานกิง ซึ่งเป็นการบุกต่อเนื่องหลังจากที่ได้ทำการยึดเซี่ยงไฮ้ไปแล้ว โดยก่อนหน้าที่จะถูกบุกยึดนั้นกองกำลังของรัฐบาลก๊กมินตั๋งได้ทำการปะทะกับทหารญี่ปุ่นที่นอกเมือง แต่ก็ไม่อาจต่อต้านทหารญี่ปุ่นที่แยกกันบุกมา 6 สายได้ จนกระทั่งถูกทหารญี่ปุ่นยึดเมืองท่ามกลางความโกลาหล

ภายใต้คำส่งของแม่ทัพญี่ปุ่นที่นำทัพเข้ามา เมืองนานกิงจึงถูกเผาทำลาย เข่นฆ่า ข่มขืน และปล้นชิงอย่างโหดเหี้ยมอย่างที่สุด

ในวันที่ 15 ธ.ค. ทหารญี่ปุ่นได้นำทหารและตำรวจจีนจำนวนกว่า 2,000 คนไปรวมตัวที่นอกประตูฮั่นจง จากนั้นก็ใช้ปืนกลยิงกราด แล้วก็จุดไฟเผาศพ ในคืนเดียวกันมีทหารกับประชาชนอีกมากกว่า 9,000 คนที่ถูกจับกุมตัวไปที่ค่ายทหารเรือ มีคนหนีรอดมาเพียง 9 คนในขณะที่ที่เหลือทั้งหมดถูกสังหารจนหมดสิ้น

พลบค่ำวันที่ 16 ธ.ค. ทหารและประชาชนจีนอีกมากกว่า 5,000 คน ถูกทหารญี่ปุ่นจับไปที่ริมท่าเรือจงซัน แล้วใช้ปืนยิงจนเสียชีวิตโยนถมลงไปในแม่น้ำ มีผู้รอดชีวิตมาเพียงไม่กี่คน

วันที่ 17 ธ.ค. ทหารญี่ปุ่นได้นำเอาทหารที่จับได้กับคนงานในโรงไฟฟ้านานกิงรวมทั้งสิ้นกว่า 3,000 คนนำตัวไปยิงทิ้งที่บริเวณริมแม่น้ำ โดยมีคนส่วนหนึ่งที่ถูกฆ่าด้วยการใช้ฟืนเผาให้ตาย

วันที่ 18 ธ.ค. ทหารญี่ปุ่นได้นำเอาชาวบ้านและทหารในนานกิงที่หนีจากเมืองไปแล้วถูกจับได้จำนวน 57,000 คน แล้วใช้ปืนยิงกราด จากนั้นใช้ดาบไล่ฟัน และสุดท้ายจบด้วยการใช้น้ำมันราดแล้วเผา จากนั้นโยนกระดูกลงไปในแม่น้ำแยงซีเกียง โดยในการประหารครั้งนี้ มีการละเล่น “แข่งกันฆ่าคน”กันอีกด้วย

1 เดือนหลังจากที่ทหารญี่ปุ่นบุกยึดนานกิง ทั่วทั้งเมืองมีการข่มขืน และเวียนเทียนลงแขกหญิงชาวจีนชาวจีนกว่า 20,000 คดี โดยไม่เว้นไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวหรือหญิงชรา มีสตรีอีกจำนวนมากที่หลังจากถูกข่มขืนแล้วก็ถูกฆ่าทิ้ง ทำลายศพอย่างเหี้ยมโหด มีซากจากสภาพการถูกฆ่า ถูกข่มขืน ถูกปล้นชิง วางเพลิงไปทั่วทั้งเมือง

ชาวจีนในฉงชิ่งที่ถูกสังหารโดยทหารญี่ปุ่น
ตามตัวเลขที่มีการตรวจสอบในศาลถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่นานกิง ปรากฏว่าทหารญี่ปุ่นได้ทำการสังหารหมู่ทั้งสิ้น 28 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 190,000 คน และการแยกย้ายฆ่าอีก 858 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 150,000 คน การสังหารแบบล้างเมืองเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ของทหารญี่ปุ่น ได้ทำให้มีทหารที่ถูกยิงตายและฝังทั้งเป็นมากกว่า 300,000 คน

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา การศึกระหว่างจีนกับญี่ปุ่นก็ดำเนินไปอย่างดุเดือดเป็นระยะเวลากว่า 8 ปี ไปสิ้นสุดเอาเมื่อญี่ปุ่นได้ประกาศยอมแพ้ในสงครามสงครามโลกครั้งที่สองในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945 และประกาศยุติศึกกับจีนอย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 15 สิงหาคม ทำให้นักประวัติศาสตร์หลายคนเรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่าสงครามต้านญี่ปุ่น 8 ปี ในขณะที่นักวิชาการหลายท่านคิดว่า หากจะนับเวลาที่จีนเริ่มต่อสู้กับญี่ปุ่นจริงๆ ควรจะเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1931 เท่ากับว่าสงครามระหว่าง 2 ชาติในครั้งนี้กินเวลานานกว่า 14 ปีทีเดียว

ในช่วงเวลาดังกล่าว ทหารญี่ปุ่นที่ถูกส่งเข้ามาในจีนในช่วงที่มากที่สุดมีถึงเกือบ 2 ล้านคน อีกทั้งมีทหารที่ได้มาจาก การเข้ายึดพื้นที่ต่างๆอีกมากกว่าล้านคน ตามข้อมูลที่ทางญี่ปุ่นได้จัดทำในปีค.ศ. 1964 ทหารญี่ปุ่นที่ได้เสียชีวิตในการทำศึกกับจีนมีทั้งสิ้นราว 440,000 คน ในขณะที่ข้อมูลทางฝ่ายจีนระบุว่าทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตทั้งสิ้น 483,708 คนและบาดเจ็บ 1,934,820 คน

ขณะที่ทาง ทหารของกองทัพปฏิวัติจีนในช่วงที่มากที่สุดมีถึง 5 ล้านคน ได้ต่อสู้ครั้งใหญ่กับญี่ปุ่นทั้งสิ้น1,117 ครั้ง ศึกเล็กอีก 28,931 ครั้ง และมีทหารบกที่เสียชีวิต-สูญหายทั้งสิ้น 3,211,914 คน มีทหารอากาศเสียชีวิต 4,321 คน และสูญเสียเครื่องบินรบ 2,468 ลำ ในขณะที่ทหารเรือถูกทำลายจนแทบย่อยยับหมดสิ้น

ด้านประชากรจีนที่ต้องเสียชีวิตในสงคราม 9 ล้านคน และอีก 8 ล้านคนตายด้วยสายเหตุอื่น มีประชากร 95 ล้านคนต้องกลายเป็นผู้ประสบภัย และค่าเสียหายที่จีนได้รับในขณะนั้น หากคิดตามอัตราของเมื่อปี 1945 จะอยู่ที่ราว 650,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ความสูญเสียในด้านชีวิตของประชากรและทหารของจีนในสงครามครั้งนี้ ถูกประเมินไว้แตกต่างกันหลายแห่ง โดยที่ต่ำที่สุดได้ประเมินว่ามีผู้ที่ตายและสูญหายทั้งสิ้น 20.62 ล้านคน ในขณะที่บ้างก็ว่า 41 ล้านคน 45 ล้านคน กระทั่งมีผู้ประเมินว่าในศึกต่อต้านญี่ปุ่นนั้นทำให้มีคนจีนตายและสูญหายไปมากกว่า 50 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม ในสงครามครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่จีนได้รับชัยชนะในสงครามนักตั้งแต่สงครามฝิ่นครั้งที่ 1 เป็นต้นมา อีกทั้งมีการมองว่าการพลีชีวิตของคนจีนกว่า 20 ล้านคนนี้ มีส่วนช่วยรั้งไม่ให้ทหารบกของญี่ปุ่นนั้นสามารถรุกรานไปทั่วเอเชียแปซิฟิก และช่วยลดทอนความกดดันในสงครามทางมหาสมุทรแปซิฟิกลง จนสามารถส่งกำลังไปช่วยในศึกที่ยุโรปได้อย่างเต็มที่

ความเปลี่ยนแปลงอีกประการหนึ่งก็คือ หลังจากผ่านช่วงสงครามครั้งนี้มาแล้ว กองกำลังของรัฐบาลก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง โดยพรรคคอมมิวนิสต์ที่เดิมมีกำลังเพียง 40,000 คนได้เพิ่มขึ้นมาเป็น 1.2 ล้านคน ในขณะที่ก๊กมินตั๋งต้องทุ่มเทสู้ศึกและประสบความสูญเสียอย่างมหาศาล

สงครามกลางเมืองกับสามยุทธการ
ไม่นานหลังจากที่เสียงไชโยโห่ร้อง และเสียงการฉลองในผืนแผ่นดินอันกว้งใหญ่ได้จบลง พลันสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์ก็ได้ระเบิดขึ้นอีกระลอก

ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ต่างเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งหวังช่วงชิงเอาไว้ โดยเฉพาะเมืองจิ่นโจว อันเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดการพลิกผันจากการตัดสินใจของเจียงไคเช็คกับเหมาเจ๋อตง

ยุทธการเหลียวหนิง-เสิ่นหยาง (辽沈战役)
สงครามที่เหลียวหนิงถือเป็นสงครามแรกในสามยุทธการ ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1948 กองทัพปลดแอกของคอมมิวนิสต์ได้แยกย้ายไปตามถนนสายเป่ยหนิง และได้ตัดถนนเป่ยหนิง แบ่งกำลังส่วนหนึ่งเข้าสู่นอกเมืองจิ่นโจวในวันที่ 1 ตุลาคม จากนั้นทางก๊กมินตั๋งเองก็ได้การจัดกำลังบุกเข้าตีอย่างหักโหมจากทางตะวันตกของเมืองจิ่นโจว ในช่วงเวลา 6 วันของการต่อสู้อย่างดุเดือด ทหารกองทัพปลดแอกก็สามารถยันกลับไปได้ทุกครั้ง จนสามารถเอาชนะและยึดจิ่นโจวไว้ได้ จากนั้นกองทัพปลดแอกได้มุ่งหน้าไปยึดเสิ่นหยาง อิ๋นโข่วแล้วประกาศปลดปล่อยพื้นที่ดังกล่าวในวันที่ 2 พฤศจิกายน

ในศึกครั้งนี้ พรรคคอมมิวนิสต์ได้สูญเสียทหารไปทั้งสิ้น 69,000 คนในขณะที่ก๊กมินตั๋งต้องพลีชีพไปถึง 472,000 คน ทำให้กำลังพรรคคอมมิวนิสต์เพิ่มขึ้นมาเป็น 3 ล้านคน ในขณะที่ก๊กมินตั๋งลดลงเหลือเพียง 2.9 ล้านคนจนสถานการณ์เริ่มพลิกกลับ ซึ่งเห็นได้จากคำพูดของเหมาเจ๋อตงที่กล่าวไว้ด้วยความมั่นใจว่า “เช่นนี้ การรบที่เราได้คาดการณ์กันไว้แต่เดิมนั้น ก็จะลดขั้นตอนลงไปได้มาก” “ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ อีกสักประมาณ 1 ปี พวกเราก็อาจจะสามารถขุดรากถอนโคนก๊กมินตั๋งได้”

รูปถ่ายร่วมกันในการเจรจาที่ฉงชิ่งของเจียงไคเช็ค (ซ้าย) กับเหมาเจ๋อตง (ขวา) ในปีค.ศ.1945
ยุทธการไฮว๋เหอ-ไห่โจว(淮海战役)
ยุทธการศึกแห่งที่สองเปิดขึ้นโดยมีเมืองสีว์โจว (徐州)เป็นศูนย์กลาง ศึกครั้งนี้ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายนและกินระยะเวลายาวนานไปจบสิ้นในวันที่ 10 มกราคม

จากชัยภูมิสีว์โจวที่เป็นจุดเชื่อมต่อมณฑลเหอหนัน ซันตง อันฮุย และเจียงซู โดยกินพื้นที่ตั้งแต่ที่ราบหวงไฮว๋ และอยู่ระหว่างแม่น้ำฮวงโหกับแยงซีเกียง ทำให้เมืองสีว์โจวกลายเป็นสมรภูมิสำคัญที่เรียกได้ว่าผู้ใดได้ครอบครองสีว์โจวกับไฮว๋เหอก็จะยึดกุมพื้นที่เหนือแม่น้ำแยงซีเกียงเอาไว้ได้

การศึกนี้แบ่งเป็น 3 ช่วง ในช่วงแรกทหารกองทัพปลดแอกได้นำกำลังเข้าล้อมทางตะวันออกของเมืองสีว์โจว และทำการรบกันอย่างดุเดือดเป็นเวลา 10 วัน สามารถสังหารหน่วยของทหารของก๊กมินตั๋งที่ประจำการในที่นั้นและทหารไปอีกมากกว่าแสนคน จากนั้นช่วงที่สองการรรบได้เปิดขึ้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของอำเภอซู่ ซึ่งทหารกองทัพปลดแอกได้ทำการล้อมทหารศัตรูไว้ 12 หน่วย จากนั้นก็ทำการสู้รบต่อเนื่องกันหลายครั้ง จนกระทั่งถึงวันที่ 15 ธันวาคม กองกำลังของก๊กมินตั๋งถูกสังหารไปกว่า 120,000 คน ทว่าเพื่อประสานกับศึกปักกิ่ง-เทียนจินที่เปิดคู่ขนานด้วยในขณะนั้น กองทัพปลดแอกจึงได้รับคำสั่งให้หยุดรบเพื่อปรับกองทัพ 20 วัน จนกระทั่งศึกรอบสุดท้ายเปิดขึ้นในวันที่ 6 มกราคม ค.ค.1949 และยุติลงในอีก 4 วันหลังจากนั้น

เมื่อศึกนี้ยุติลงด้วยชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ใช้กำลังเพียง 600,000 คนสามารถเอาชนะทหารของพรรคก๊กมินตั๋งที่มีการระดมกำลังก่อนหลังรวมกันทั้งสิ้นราว 800,000 คน ในเวลา 65 วัน กองทัพปลดแอกได้สังหารทหารก๊กมินตั๋งไปมากกว่า 555,000 คน เรียกได้ว่าทำลายกองทัพทางใต้ของเจียงไคเช็คไปจนแทบจะหมดสิ้น และทำให้เมืองนานกิงซึ่งเป็นศูนย์กลางของฝ่ายก๊กมินตั๋งถูกคุกคามในระยะประชิด

ยุทธการเป่ยผิง-เทียนจิน (平津战役)
ยุทธการเป่ยผิง-เทียนจิน หรือยุทธการปักกิ่ง-เทียนสิน ถือเป็นยุทธการสุดท้าย ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ.1948 จนถึง วันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1949 หลังจากยุทธการเหลียวหนิง-เสิ่นหยาง กองทัพปลดแอกได้รับคำสั่งให้เข้าโอบล้อมพื้นที่ โดยเริ่มต้นบุกจากเส้นทางตะวันตกอย่างซินเป่าอัน จางเจียโข่ว จนกระทั่งวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1949 ก็สามารถสังหารทหารก๊กมินตั๋งทั้งสิ้น 130,000 คน ยึดครองเมืองเทียนจิน หลังจากนั้นไม่นานหลังจากความพยายามของหน่วยงานใต้ดินของพรรคคอมมิวนิสต์ที่เป่ยผิง (ปักกิ่ง) กับกองทัพปลดแอก ในที่สุดทหารรักษาการณ์ของก๊กมินตั๋งในปักกิ่งจำนวน 250,000 คนก็ยอมจำนน ทำให้กองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์ได้ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเป็นผลสำเร็จ

หลังจากผ่านสามยุทธการซึ่งกินเวลาเพียง 142 วัน ทหารของพรรคก๊กมินตั๋งไม่ว่าจะเป็นการถูกสังหาร ยอมจำนน แปรพักตร์ รวมกันแล้วมีจำนวนทั้งสิ้นถึง 1.54 ล้านคน ชัยชนะในสามยุทธการจึงกลายเป็นการวางรกฐานแห่งชัยชนะอันมั่นคงทั่วประเทศให้กับพรรคคอมมิวนิสต์

พิธีเฉลิมฉลองที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยมีเหมาเจ๋อตงเป็นประธานท่ามกลางทหารและประชาชนกว่า 300,000 คน
สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

ในเดือนมกราคมของปี ค.ศ. 1949 เจียงไคเช็คได้ประการสละตำแหน่งให้กับหลี่จงเหรินเป็นผู้รักษาการ กระทั่งวันที่ 20 เดือนเมษายนในปีเดียวกันตัวแทนของพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ได้ประชุมเพื่อสงบศึกกันที่ปักกิ่ง ทว่ารัฐบาลนานกิงกลับปฏิเสธการลงนามสันติภาพภายในประเทศฉบับนั้น รุ่งขึ้นเหมาเจ๋อตงกับจูเต๋อจึงได้มีคำสั่งประกาศไปยังกองทัพปลดแอกให้เคลื่อนพลเข้าควบคุมทั่วประเทศ และทำศึกครั้งใหญ่เพื่อข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง ท่ามกลางการคุ้มกันจากปืนใหญ่ ทำให้ทหารจำนวนนับล้านของกองทัพปลดแอกสามารถฝ่าด่านแม่น้ำแยงซีเกียงไปได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียง 2 วันกองทัพคอมมิวนิสต์สามารถยึดเมืองเจิ้นเจียง หยางโจว เจียงหยาง และยึดครองนานกิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของฝ่ายก๊กมินตั๋งสำเร็จในวันที่ 23 เมษายน จากนั้นกองทัพปลดแอกจึงรีบบุกยึดไปยังตะวันออกเฉียงใต้ ทางใต้ และยึดครองดินแดนผืนใหญ่ทางใต้ จนพรรคก๊กมินตั๋งต้องถอยร่นไปตั้งหลักที่กว่างโจว เฉิงตู ฉงชิ่ง และไปยังไต้หวันในที่สุด

วันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เปิดประชุมสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีนเต็มคณะครั้งที่ 1 ได้กำหนดชื่อประเทศว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเลือกเหมาเจ๋อตงเป็นประธานรัฐบาลกลาง ในวันที่ 30 ของเดือนเดียวกัน เหมาเจ๋อตงได้ประกาศว่า “ในวันที่เราได้จัดประชุม เท่ากับว่าประชาชนจีนได้เอาชนะศัตรูของตน เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของประเทศจีน และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้น พวกเรา 475 ล้านคนต่างได้ลุกขึ้นแล้ว และอนาคตของชนชาติเรานั้นก็คือความรุ่งโรจน์อันไร้ที่สิ้นสุด”

วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.1949 คณะกรรมาธิการกลางจัดประชุมสภาเต็มคณะสมัยแรกที่จงหนันไห่ มีการประกาศให้ประธาน และรองประธานรัฐบาลกลางเข้ารับตำแหน่ง โดยมีเหมาเจ๋อตงควบตำแหน่งประธาน (ประธานาธิบดี)กับตำแหน่งประธานคณะกรรมการกลางทหารรัฐบาลประชาชน และแต่งตั้งให้โจวเอินไหลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ

บ่าย 3 วันเดียวกัน ก็มีการจัดพิธีเฉลิมฉลองที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยมีเหมาเจ๋อตงเป็นประธานท่ามกลางทหารและประชาชนกว่า 300,000 คนที่ลานจัตุรัสเทียนอันเหมินในวันนั้น หลังจากที่ทำการร้องเพลงชาติแล้ว เหมาเจ๋อตงได้เป็นผู้กดปุ่มไฟฟ้า ให้ธงแดงห้าดาวได้โบกสะบัด ท่ามกลางเสียงของผู้คนที่ตะโกนว่า “ประธานเหมาจงเจริญ” และเสียงตอบกลับว่า
“ประชาชนจงเจริญ”

แผนที่ (ส่วนสีชมพู) แสดงถึงอาณาเขตที่ถูกรุกรานจากญี่ปุ่น

ขอขอบคุณ
BlackTiger











สหประชาชาติแถลงข่าวกรุงเจนีวา จี้ทางการไทยแก้ไขกม. หมิ่นฯ

สหประชาชาติแถลงข่าวกรุงเจนีวา จี้ทางการไทยแก้ไขกม. หมิ่นฯ

Fri, 2011-12-09 20:51
ราวินา แชมดาซานิ รักษาการโฆษกข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งยูเอ็น (OHCHR) แถลงข่าว ณ กรุงเจนีวา เรียกร้องทางการไทยแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ชี้ บทลงโทษที่ร้ายแรงเป็น "สิ่งที่ไม่จำเป็น" และ "เกินกว่าเหตุ" ระบุส่งผลสะเทือนด้านเสรีภาพในการแสดงออกอย่างร้ายแรง

วันนี้ (9 ธ.ค. 54) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ราวินา แชมดาซานิ (Ravina Shamdasani) รักษาการโฆษกข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN High Commissioner for Human Rights) ได้แถลงข่าวเรียกร้องให้ทางการไทยแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เนื่องจากมองว่ากฎหมายดังกล่าวส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน


การแถลงข่าวครั้งนี้ที่ดำเนินการโดยรักษาการโฆษกของข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ มีเนื้อหาว่า ทางสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ เป็นกังวลต่อการพิจารณาคดีและการลงโทษที่ร้ายแรงด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันในประเทศไทย และผลกระทบของกฎหมายดังกล่าวซึ่งสร้างความหวาดกลัวที่มีต่อเสรีภาพในการแสดงออกภายในประเทศ

แชมดาซานิ ระบุว่า บทลงโทษที่ร้ายแรงที่เป็นอยู่ เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นและเกินกว่าเหตุ (neither neccessary nor proportionate) อีกทั้งเป็นการละเมิดละเมิดพันธกรณีทางด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี

"เราขอเรียกร้องให้ทางการไทยแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และในระหว่างนี้ ควรมีการกำหนดแนวทางการดำเนินการให้แก่ตำรวจและอัยการ เพื่อยุติการจับกุมและดำเนินคดีบุคคลด้วยกฎหมายดังกล่าวที่มีความคลุมเครือ นอกจากนี้ เรายังมีความกังวลต่อการลงโทษที่อย่างเกินกว่าเหตุโดยศาล และการคุมขังผู้ต้องหาซึ่งมีระยะเวลานานต่อเนื่องในช่วงก่อนการไต่สวนคดีด้วย" แชมดาซานิกล่าว

ทั้งนี้ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แฟรงค์ ลา รู ผู้ตรวจการพิเศษแห่งสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการแสดงออก ยังได้แถลงข่าวย้ำถึงความจำเป็นของทางการไทยในการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง

อนึ่ง ข่าวการตัดสินคดีของนายอำพล หรือ "อากง เอสเอ็มเอส" ที่ถูกตัดสินจำคุก 20 ปีด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจากการถูกกล่าวหาว่าส่งเอสเอ็มเอสหมิ่นเบื้องสูงจำนวน 4 ข้อความไปยังเลขาฯ อดีตนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังถูกรายงานโดยศูนย์ข่าวสหประชาชาติ (UN News Center) ซึ่งอยู่ในข่าวเดียวกับการแถลงข่าวของโฆษกประจำตัวข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ด้วย



ที่มา : ขอบคุณเว็บประชาไท


Monday, December 5, 2011

ใบตองแห้งออนไลน์:อังกฤษไม่กลัวล้มเจ้า

ใบตองแห้งออนไลน์:อังกฤษไม่กลัวล้มเจ้า
Mon, 2011-12-05 13:48
งานอดิเรก (ที่เคยเป็นงานสำรองเลี้ยงชีพ) ของผมคือตามข่าวดาราเซเลบส์ นอกจากเดวิด-วิคตอเรีย เบคแฮม, เลดี้กาก้า, ลินด์เซย์ โลฮาน ฯลฯ ราชวงศ์อังกฤษก็ถือเป็นเซเลบส์ ได้รับความนิยมจากคนที่ชอบติดตามข่าวดาราและช่างภาพปาปาราซซี โดยเฉพาะเคท มิดเดิลตัน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ เจ้าหญิงผู้มาจากชนชั้นกลาง ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งเลยทีเดียว
หลังพิธีเสกสมรสบันลือโลก เจ้าชายวิลเลียมกับเคทไม่ได้มีชีวิตสุขสำราญแบบเจ้าชายเจ้าหญิงในเทพนิยาย อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ปราสาทหลังใหญ่ แต่ประทับอยู่ในบ้านขนาด 2 ห้องนอนชื่อ Nottingham Cottage ในพระราชวังเคนซิงตัน สลับกับประทับอยู่ในบ้านไร่ที่แองเกิลซีย์ ตอนเหนือของเวลส์ ใกล้ฐานทัพอากาศที่เจ้าชายวิลเลียมประจำการอยู่
พระราชวังเคนซิงตันไม่ได้เป็นของราชวงศ์ แต่เป็นสมบัติสาธารณะ เชื้อพระวงศ์ที่มาอาศัยอยู่ ถ้าไม่อยู่ในลำดับที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของราชวงศ์ต้องจ่ายค่าเช่า เคยมีกรณีของเจ้าชายไมเคิลแห่งเคนท์ ลูกพี่ลูกน้องของควีน มาพักอยู่ในตำหนักขนาด 5 ห้องนอนตั้งแต่ปี 1979 โดยจ่ายค่าเช่าเพียงสัปดาห์ละ 70 ปอนด์ ตั้งแต่ปี 2002 แต่ถูก ส.ส.เอาไปอภิปรายในสภา ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมาต้องจ่ายค่าเช่าปีละ 120,000 ปอนด์ตามราคาตลาด
ล่าสุดมีข่าวว่าควีนอลิซาเบธจะยกพระตำหนักเดิมของเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต ขนาด 20 ห้อง สูง 4 ชั้น ให้เจ้าชายวิลเลียม โดยต้องใช้เงินบูรณะกว่า 1 ล้านปอนด์ ส่วนหนึ่งราชวงศ์ควักกระเป๋าเอง อีกส่วนมาจากกองทุนสาธารณะ แต่ก็ถูกพวก Republic ต่อต้านว่ารัฐบาลยอมให้ควีนยกพระตำหนักให้วิลเลียมได้อย่างไร พร้อมเรียกร้องให้จ่ายค่าเช่าตามจริง ขณะที่องค์กรอิสระไม่แสวงหากำไร Historic Royal Palaces ที่ดูแลพระราชวังเคนซิงตันอยู่ก็บอกว่าจะต้องเจรจาค่าชดเชยกัน
เวลาเราดูภาพข่าวส่วนใหญ่ มักจะเห็นแต่ภาพวิลเลียมกับเคทแต่งตัวหรูหราออกงานพิธี แต่นั่นคือการทำหน้าที่ของราชวงศ์ พ้นจากหน้าที่แล้วทั้งคู่ก็พยายามใช้ชีวิตเหมือนครอบครัวนายทหารทั่วไป อย่างเช่น หลังเสกสมรสใหม่ๆ ดยุคกับดัชเชสเดินทางไปเยือนแคนาดาและแคลิฟอร์เนีย มีกองทหารเกียรติยศต้อนรับอย่างใหญ่โตสมพระเกียรติ แต่พอกลับมาอยู่บ้านไร่ซึ่งวิลเลียมจ่ายค่าเช่าเดือนละ 750 ปอนด์ ก็มีภาพปาปาราซซีถ่ายดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ไปซื้อของห้างเทสโก้ เหมือนแม่บ้านธรรมดาๆ เพียงแต่มีบอดี้การ์ด 1 คน (แถมบอดี้การ์ดยังไม่ช่วยยกของอีกต่างหาก)

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับราชวงศ์อังกฤษ เจ้าหญิงยูยีน พระธิดาของเจ้าชายแอนดรูว์ ก็เคยมาเที่ยวเมืองไทยแบบซำเหมาพเนจร นุ่งบิกินีลงทะเลที่ภูเก็ต แดนซ์กระจายในบาร์ แต่สื่ออังกฤษก็ไม่วายบ่นว่าในขณะที่เจ้าหญิงเที่ยวแบบซำเหมา 6 สัปดาห์ ขึ้นเครื่องบินชั้นประหยัด พักเกสต์เฮาส์ราคาคืนละ 15 ปอนด์กับเพื่อนๆ รัฐบาลอังกฤษต้องจ่ายค่าบอดี้การ์ด 2 คนนับแสนปอนด์ เป็นค่าเครื่องบินชั้นบิสสิเนสและพักโรงแรมชั้นดี พร้อมเบี้ยเลี้ยงวันละ 150 ปอนด์
เจ้าหญิงยูยีนซึ่งมีแฟนเป็นบริกรชื่อ แจค บรูกส์แบงก์ ยังเป็นข่าวเฮฮาเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ตอนไปเที่ยวในลอนดอน แล้วปาปาราซซีจับภาพได้ว่าเธอถอดรองเท้าเดิน ใส่แต่ถุงเท้า โบกรถแท็กซี่กับแฟนและบอดี้การ์ด 1 คน

เจ้าหญิงบีทริซกับเจ้าหญิงยูยีนเป็นขวัญใจหนังสือพิมพ์แทบลอยด์อังกฤษ ซึ่งแม้จะลงข่าวเชิงหวือหวาฮือฮา แต่ก็น่ารักน่าเอ็นดูเสียมากกว่า ถ้าจะมีที่สื่อวิพากษ์วิจารณ์ ก็คือเรื่องค่าใช้จ่ายบอดี้การ์ดอย่างที่ว่า เพราะทั้งสองไม่น่าตกเป็นเป้าปองร้าย แต่รัฐบาลก็ยังต้องจ่ายราวปีละ 250,000 ปอนด์ต่อคน
นั่นเป็นภาพสะท้อนด้านหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในแบบอังกฤษ ซึ่งไม่มีกฎหมายหมิ่นราชวงศ์ แถมยังเปิดให้มีพวก Republic ซึ่งก็คือพวกนิยมสาธารณรัฐ ต้องการให้ประมุขมาจากการเลือกตั้ง (พูดง่ายๆว่าพวก “ไม่เอาเจ้า”) เคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย มีสิทธิมีเสียงเต็มที่ในระบอบประชาธิปไตย เช่นตอนที่มีพิธีเสกสมรส ซึ่งรัฐบาลอังกฤษสนับสนุนให้มีปาร์ตี้ปิดถนน พวก Republic ก็จัด “ปาร์ตี้ไม่เอาเจ้า” แข่งกับเขาด้วย
อย่างไรก็ดี เนื่องจากราชวงศ์อังกฤษไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครอง ไม่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้ง (นอกจากพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นลอร์ด เป็นเซอร์ เช่นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน) ทหารเสือราชินี (ควีนสปาร์คแรงเยอร์ เพิ่งขึ้นพรีเมียร์ลีก ฮิฮิ) ก็ไม่ถือเอาความจงรักภักดีเหนือกว่าการปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลในสมเด็จพระราชินี แม้กระทั่งพระราชดำรัสของควีนอลิซาเบธเมื่อเปิดสภา ก็ยังเป็นรัฐบาลร่างให้ (ไม่มีพระบรมราโชวาท นอกจากคำอวยพรสั้นๆ ในวันสำคัญเช่นคริสต์มาส) พวก Republic เคลื่อนไหวให้ตายก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่วิพากษ์วิจารณ์อยู่เรื่องเดียวคือเรื่องงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน ซึ่งราชวงศ์ก็พยายามจำกัดค่าใช้จ่ายลงเรื่อยๆ
เช่นเมื่อปีที่แล้ว ค่าใช้จ่ายของราชวงศ์ลดลงจาก 33.9 ล้านปอนด์เหลือ 32.1 ล้านปอนด์ ค่าใช้จ่ายนี้แยกเป็นหลายส่วน เช่น เงินเดือนข้าราชบริพารและค่าใช้จ่ายงานพิธี 13.7 ล้านปอนด์ ค่าดูแลรักษาซ่อมแซมวัง 11.9 ล้านปอนด์ และค่าเสด็จเยือนทั้งในและต่างประเทศอย่างเป็นทางการ 6 ล้านปอนด์ ทั้งนี้สภาผู้แทนราษฎรเพิ่งออกกฎหมายใหม่ Sovereign Grant Bill กำหนดค่าใช้จ่ายให้สำนักพระราชวังโดยคิดจากฐานรายได้สำนักงานทรัพย์สินของราชวงศ์ (Crown Estate) ซึ่งมีสินทรัพย์ 6.2 พันล้านปอนด์ และมีกำไรปีละไม่ต่ำกว่า 200 ล้านปอนด์ (นำรายได้ส่งเข้าคลัง)
อย่างไรก็ดี พวก Republic วิจารณ์ว่า ค่าใช้จ่ายนี้ไม่ใช่ตัวเลขจริง เพราะไม่รวมค่ารักษาความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของจริงน่าจะอยู่ราว 200 ล้านปอนด์ เป็นโสหุ้ยของประเทศแลกกับการยังมีราชวงศ์ (แต่มองมุมกลับที่จริงต่อให้อังกฤษเปลี่ยนเป็นระบอบประธานาธิบดี ก็ไม่ใช่ว่าค่าใช้จ่ายเท่ากับศูนย์ เพราะต้องมีงานพิธีอยู่ดี และยังไงๆ ก็ต้องดูแลซ่อมแซมวังที่เป็นโบราณสถาน)
พวก Republic เคยคำนวณว่า ค่าใช้จ่ายราชวงศ์ ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้วอยู่ราว 41 ล้านปอนด์ เป็นภาระประชาชนคนละ 69 เพนนี แต่ผู้สนับสนุนราชวงศ์ก็โต้ว่าคิดแล้วราคาของการมีราชวงศ์ เฉลี่ยต่อหัวประชากรยังน้อยกว่าค่านม 2 ไพพ์
พวก Republic มีเว็บไซต์ของตัวเอง http://www.republic.org.uk/ มีผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันราว 12,000 คนเท่านั้น แม้ผลสำรวจความเห็นตอนงานเสกสมรสวิลเลียม-เคท ระบุว่าคนอังกฤษ 46% ไม่สนใจ มีแค่ 37% ที่สนใจจริงจัง แต่นั่นก็มองได้ว่า ราชวงศ์อังกฤษไม่จำเป็นต้องดำรงอยู่ด้วยการที่มีคนรักทั้ง 100% ขอแค่ 37% หรืออาจจะ 40% - 50% ส่วนที่เหลืออาจจะเฉยๆ รู้สึกว่ามีดีกว่าไม่มี รู้สึกว่ามีก็ไม่เดือดร้อนอะไร (แค่ค่านม 2 ไพพ์ แถมยังโบกแท็กซี่เอง) อาจจะไม่รัก แต่ก็ไม่เกลียด ขณะที่มีคน “ไม่เอา” อยู่หยิบมือเดียว ก็ปล่อยให้เคลื่อนไหวไป เพราะถือเป็นประชาธิปไตย มีสิทธิที่จะ “เอาเจ้า” หรือ “ไม่เอาเจ้า” แต่ตราบใดที่เสียงส่วนใหญ่เขาเอา พวกเสียงส่วนน้อยหยิบมือเดียวก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็มีด้านดีตรงที่การวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อและพวก Republic ทำให้ราชวงศ์ต้องทำตัวให้เหมาะสมเพื่อรักษาภาพลักษณ์ พยายามปรับตัวเพื่อให้เป็นที่นิยมของคนชั้นกลาง ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่
อังกฤษไม่มีกฎหมายหมิ่นควีนหรือรัชทายาท แต่ถ้าใครแสดงกิริยาไม่เหมาะสม สังคมก็บอยคอตต์ เช่นเคยมีดีเจวิทยุปิดคำอวยพรวันคริสต์มาสของควีนอลิซาเบธแล้วแสดงปฏิกิริยาไม่ควร ก็โดนคนฟังรุมด่าจนสถานีต้องไล่ออก การหยามหมิ่นไม่ให้เกียรติบุคคลที่คนจำนวนมากเคารพรัก ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการไม่เคารพเสรีภาพในความเชื่อของผู้อื่น ไม่ต่างจากคนนับถือศาสนาหนึ่งลบหลู่ศาสดาของอีกศาสนาหนึ่ง คนที่ไม่รักก็ต้องเคารพเสรีภาพของคนที่เขารัก แต่คนที่รักก็ต้องเคารพเสรีภาพของคนที่ไม่รัก และเปิดใจกว้างรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม
อังกฤษก็เลยไม่มีคนชูป้ายทำหน้าสงสัยเต็มแก่ว่า “ทำไมไม่รักควีนอลิซาเบธ” เพราะเป็นสังคมประชาธิปไตยที่เปิดกว้าง ใครไม่รักก็สามารถอธิบายให้หายสงสัย แต่หายสงสัยแล้วถ้ายังรักอยู่ก็เป็นเสรีภาพของใครของมัน ตราบใดที่ราชวงศ์อังกฤษยังมีคนรักอยู่จำนวนหนึ่ง และอีกจำนวนมากไม่เดือดร้อนกับการมีพระราชินีทรงเป็นประมุข มีคน “ไม่เอา” แต่ส่วนน้อย ราชวงศ์อังกฤษก็ไม่ต้องกลัวพวก “ล้มเจ้า” และดำรงอยู่อย่างยั่งยืนในระบอบเสรีประชาธิปไตย



ใบตองแห้ง

5 ธ.ค.54

ช่วยกันลงชื่อ เพื่อเรียกร้องกดดันให้รัฐบาล หันมาใส่ใจเรืองนี้อย่างจริงจังซะที


ช่วยกันลงชื่อ เพื่อเรียกร้องกดดันให้รัฐบาล หันมาใส่ใจเรืองนี้อย่างจริงจังซะที

จงเลิกกลัวที่จะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อความมั่นคง อย่างแท้จริง ต่อประชาชน

ทุกหมู่เหล่า ก้าวแรกมันอาจดูว่ายาก แต่ก้าวต่อ ๆ ไปแรงเสียดทาน แรงต้านมันจะ

ต้องลดลง โดยหลักที่เป็นธรรมชาติ....

The Petition to Abolish Thailand LM 112 and release all
ข้อเรียกร้องรัฐบาลไทยยกเลิกมาตรา 112 พร้อมทั้งปล่อยนั�
-ภาษาไทย
-Finnish
-English
-French
Petition in German and Spanish ready soon!

ข้อมูลบางส่วนเท่าที่หาข้อมูลได้จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


ข้อมูลบางส่วนเท่าที่หาข้อมูลได้จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เกี่ยวกับความมั่งคั่ง ร่ำรวยของกษัตริย์ไทย และเหล่าราชนิกูล
รวมถึงกองทุนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลทรัพย์สินของราชนิกูล
ที่มา-www.bloomberg.com
SAMCO เจ้าของหมู่บ้านสัมมากร บ้านระดับเศรษฐีอยู่
- พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 197,414,850 หุ้น 43.87%
- ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม 45,847,050 หุ้น 10.1%
- สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 25,000,000 หุ้น 5.56%

TIC - ไทยประกันภัย
- พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 3,526,567 หุ้น 18.56%
- สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 214,755 หุ้น 1.13%

APRINT - นิตยสารแพรว ร้านหนังสือนายอินทร์
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช 3,157,895 หุ้น 1.58%
- สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 1,263,158 หุ้น 0.63%

MINT - พิซซ่าฮัท ไอศกรีมสเวนเซ่นส์
- พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 72,470,861 หุ้น 2.24%

SINGER - จักรเย็บผ้าซิงเกอร์
- พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 1,383,770 หุ้น 0.51%

DVS - เทเวศร์ประกันภัย
- พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 27,600 หุ้น 0.23%
- สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 11,787,261 หุ้น 98.227%

SCC - ปูนซิเมนต์ไทย นอกจากขายปูนแล้ว
ก็ยังถือหุ้นโตโยต้าประเทศไทย 10% คูโบต้าประเทศไทย 10%
- สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์* 360,000,000 หุ้น 30.00%
- บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด 23,220,000 หุ้น 1.94%

* นิตยสาร FORBES และ FORTUNE ถือกันว่าสำนักงานฯ
มีในหลวงมีพระราชอำนาจในการจัดการเต็มที่ จึงนับเป็นพระราชทรัพย์
อย่างไรก็ตามกระทรวงต่างประเทศของไทยชี้แจงว่า
สำนักงานฯเป็นสมบัติของชาติ (แต่ไม่มีใครแตะต้องได้ ยกเว้นในหลวง)

SCB - ธนาคารไทยพาณิชย์
- สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 511,107,666 หุ้น 19.65%
- สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 211,834,292 หุ้น 8.14%
- บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด** 81,410,200 หุ้น 3.13%

**เป็นบริษัทโฮลดิ้งสำหรับการลงทุนของสำนักงานทรัพย์สินฯ

CNT - คริสเตียนี่ & นีลเซ่น บริษัทรับเหมาก่อสร้าง
- บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด*** 339,353,981 หุ้น 84.59%
(อันนี้เพิ่งขายไปเมื่อ 11 พ.ย. 54 ถือหุ้นไว้ 3 ปี ฟันกำไรเท่าตัว)

TPC - ไทยพลาสติกเคมีภัณฑ์
- บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) 393,789,820 หุ้น 45.00
- บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด 197,781,250 หุ้น 22.60%

Friday, November 18, 2011

ขุดสุสานเมืองชล ศพแดง! ถูกฝัง-ไม่มีญาติ .. รอญาติมารับศพ




ขุดสุสานเมืองชล ศพแดง! ถูกฝัง-ไม่มีญาติ .. รอญาติมารับศพ
ที่สุสานสว่างประทีปธรรมสถานศรีราชา จ.ชลบุรี
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบศพไร้ญาติ ภายหลังทราบว่ามีการนำศพของกลุ่มผู้ชุมนุมนปช.นำมาฝังไว้ที่สุสานดังกล่าว พบว่าสุสานดังกล่าวมีเนื้อที่กว่า 10 ไร่ เป็นสถานที่ฝังศพของผู้เสียชีวิตชาวจีน รวมทั้งศพไร้ญาติ โดยพบว่าศพไร้ญาติมีมากกว่า 100 ศพ แต่ละรายถูกบรรจุในโลง และเก็บไว้ในช่องบรรจุศพที่ทำด้วยปูนเป็นช่องเรียงราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบบริเวณจุดที่มีการฝังศพไร้ญาติ จาก 100 ศพ พบว่ามี 4 ศพ ที่ทางร.พ.รามาธิบดี ส่งมายังสุสานดังกล่าว ศพแรกเป็นชายอายุประมาณ 50 ปี ผิวดำแดง ฝังอยู่ในหลุมที่ 53 สภาพศพถูกยิงบริเวณคิ้วขวา 1 แห่ง ส่วนศพที่สอง เป็นชายไม่ทราบชื่อผิวดำแดง อายุประมาณ 40 ปี ฝังอยู่ในหลุมที่ 54 บริเวณหน้าอกฝั่งขวามีรอยสักยันต์รูปปลา ส่วนฝั่งซ้ายเป็นรูปราหูอมจันทร์ บริเวณใต้ราวนมขวาสักเป็นรูปมังกร สภาพศพถูกยิงบริเวณด้านหลัง รายที่ 3 หลุมที่ 55 เป็นศพด.ช.ไม่ทราบชื่ออายุประมาณ 15-16 ปี สูงประมาณ 140 ซ.ม. ลักษณะผมสั้น ถูกอาวุธปืนยิงเข้าที่บริเวณหน้าอกซ้ายและใต้ราวนมซ้ายรวม 2 นัด โดยศพเด็กคนดังกล่าวถูกยิงที่ซอยรางน้ำ รายที่ 4 หลุมที่ 56 เป็นชายอายุประมาณ 40 ปี ถูกยิงที่ราวนมขวา สภาพศพเป็นชายผมสั้น มีหนวด
ทั้งนี้ยังมีศพนายวุฒิชัย วราคำ อายุ 21 ปี ชาว ต.นาหว้า จ.อำนาจเจริญ เป็นผู้ชุมนุมเสื้อแดง ถูกปืนยิงทะลุหลัง ญาติเดินทางมารับไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.
นายศักดิ์เจริญ แดงประเสริญสุข ประธานหน่วยกู้ภัยศรีราชา และเป็นผู้ดูแลสุสานดังกล่าว เปิดเผยว่า ศพของกลุ่มคนเสื้อแดงทางร.พ.รามาฯ นำมาส่งให้ตั้งแต่วันที่ 17 และวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังจากศพดังกล่าวไม่มีญาติมารับไปบำเพ็ญกุศล ตนจึงรับไว้เพื่อนำไปเก็บไว้ในสุสาน เพื่อรอญาติมารับศพกลับไป ซึ่งศพไร้ญาติปัจจุบันมีมากว่า 100 ศพ และสุสานแห่งนี้สามารถรับศพทุกประเภทได้ไม่เกิน 1,500 ศพ หากว่าญาติคนใดที่คิดว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 4 รายเป็นญาติ ให้ติดต่อมาได้ที่สมาคมพุทธมามกสว่างประทีปธรรมสถาน เลขที่ 76/1 ถ.สุรศักดิ์สงวน ซ.โรงเจ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โทร. 038-311-692 โดยให้นำหลักฐานของผู้เสียชีวิตมายืนยัน ก็จะมอบศพคืนให้

Sunday, November 13, 2011

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นิตยสารฟอร์บส์

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นิตยสารฟอร์บส์ ได้จัดอันดับผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก ประจำปี 2011 จากทั้งหมด 100 อันดับ http://www.forbes.com/wealth/power-women/list


Business
AutosEnergyLogistics & TransportationMedia & EntertainmentPharma & HealthcareRetailSportsMoneyStrategies & SolutionsWall StreetWashington The NFL's Most Disliked Players.Investing
Advisor NetworkBondsCommodities & CurrenciesETFsInternationalIntelligent InvestingMarketsMutual FundsOptionsPersonal FinanceReal EstateRetirementStocksTaxes Special Report: Global Investing Strategies.Tech
CIO NetworkData DrivenGamesGearGreen TechHuman IngenuityInnovation & ScienceFuture TechMobileOn DemandSecuritySocial MediaSteve JobsTechonomy What's Next In Commerce.Entrepreneurs
Exit StrategyFinancingManagementPlayersSales & MarketingTaxes & LawPromising Companies 10 Myths About Social Networking For Business.Op/Ed
The Best Cities For JobsCulture & BooksFact & CommentEconomicsForbes QuotesInnovation RulesLawPolicyPoliticsRegulationWorld Affairs.Leadership
America's Most Surprising Six-Figure JobsBusiness RenegadesCareersCEO NetworkCMO NetworkCorporate ResponsibilityEducationForbesWomanLeadersManagingSales Leadership.Lifestyle
How Billionaires Spend Their CashArts & EntertainmentFood & DrinkHealthPlaces & SpacesSports & LeisureStyle & DesignTravelVehicles.Lists
The World's Most Powerful PeopleAmerica's Best CollegesAmerica's Best Small CompaniesBest Places for Business & CareersCelebrity 100Forbes 400 Richest AmericansGlobal 2000 Leading CompaniesLargest Private CompaniesMost Expensive Zip Codes100 Most Powerful WomenWorld's BillionairesWorld's Most Powerful PeopleAll Lists.. Help | Login | SignUp Free Issue > .Google Before You TweetHow To Win Over Your BossWhat Bill Gates Says About PharmaAdVoice: Business Analytics In Demand ..


World's Most Powerful WomenThe World's
BillionairesForbes 400 Richest AmericansThe Celebrity 100World's Most Powerful People+more.World's Most Powerful Women« World's Most Powerful Women HomeMethodologyForbes Lists for iPad.
5483shares 3054tweets .
...Other Lists
World's Billionaires
Forbes 400 Richest Americans
World's Most Powerful People
World's Leading Public Companies
Celebrity 100
2010 World's Most Powerful Women
Browse The ListValues calculated August 2011 Rank Name Age Country Category
1
Angela Merkel
Chancellor 57 Germany Politics
2
Hillary Clinton
Secretary of State 64 United States Politics
3
Dilma Rousseff
President 63 Brazil Politics
4
Indra Nooyi
Chief Executive, PepsiCo 56 United States Business
5
Sheryl Sandberg
COO, Facebook 42 United States Business
6
Melinda Gates
Cofounder, Cochair, Bill & Melinda Gates Foundation 47 United States Non-Profit
7
Sonia Gandhi
President 64 India Politics
8
Michelle Obama
First Lady 47 United States Politics
9
Christine Lagarde
Managing Director, International Monetary Fund 55 France Non-Profit
10
Irene Rosenfeld
CEO, Kraft Foods 58 United States Business
11
Lady Gaga
Entertainer 25 United States Celebrity/Lifestyle
12
Jill Abramson
Executive Editor, NY Times 57 United States Media
13
Kathleen Sebelius
Secretary of Health and Human Services 63 United States Politics
14
Oprah Winfrey
Media Personality 57 United States Media
15
Janet Napolitano
Secretary of Homeland Security 53 United States Politics
16
Susan Wojcicki
SVP, Advertising, Google 43 United States Business
17
Cristina Fernandez
President 58 Argentina Politics
18
Beyoncé Knowles
Entertainer, Designer 30 United States Celebrity/Lifestyle
19
Georgina Rinehart
Mining Tycoon 57 Australia Billionaire
20
Cher Wang
Cofounder, Chair, HTC; VIA Technologies 53 Taiwan Business
21
Margaret Hamburg
Commissioner of the Food and Drug Administration 56 United States Politics
22
Michele Bachmann
Presidential Candidate 55 United States Politics
23
Julia Gillard
Prime Minister 50 Australia Politics
24
Mary Schapiro
Chair, Securities and Exchange Commission 56 United States Politics
25
Anne Sweeney
Co-Chair of Disney Media Networks; President, Disney-ABC Television Group 54 United States Business
26
Aung San Suu Kyi
General Secretary, National League For Democracy 66 Burma Politics
27
Ursula Burns
CEO, Xerox 53 United States Business
28
Amy Pascal
Co-Chair, Sony Pictures 53 United States Business
29
Angelina Jolie
Actress, Humanitarian 36 United States Celebrity/Lifestyle
30
Josette Sheeran
Executive Director, UN World Food Programme 57 United States Non-Profit
31
Arianna Huffington
Editor-In-Chief, AOL Huffington Post Media Group 61 United States Media
32
Gail Kelly
CEO, Westpac Group 55 Australia Business
33
Chan Laiwa & family
Chair, Fu Wah International Group 70 China Billionaire
34
Sarah Palin
Political Commentator 47 United States Celebrity/Lifestyle
35
Cynthia Carroll
CEO, Anglo American 54 United States Business
36
Helene Gayle
CEO, CARE USA 56 United States Non-Profit
37
Carol Bartz
CEO, Yahoo! 63 United States Business
38
Ellen Kullman
CEO, Dupont 55 United States Business
39
Jin Sook Chang
Cofounder, Chief Merchandising Officer, Forever 21 48 United States Business
40
Safra Catz
President, Oracle 49 United States Business
41
Angela Braly
CEO, Wellpoint 50 United States Business
42
Marissa Mayer
VP, Local, Maps & Location Services, Google 36 United States Business
43
Chanda Kochhar
CEO, ICICI Bank 49 India Business
44
Christiane Amanpour
News Achor, This Week 53 United States Media
45
Patricia Woertz
CEO, Archer Daniels Midland 58 United States Business
46
Lynn Laverty Elsenhans
CEO, Sunoco 55 United States Business
47
Diane Sawyer
News Anchor, World News 65 United States Media
48
Zhang Xin & family
Cofounder, CEO, SOHO China 46 China Business
49
Queen Elizabeth II
Monarch 85 United Kingdom Politics
50
Helen Clark
Administrator, UN Development Programme 61 New Zealand Non-Profit
51
Helen Boaden
Director, BBC News Group 55 United Kingdom Media
52
Nancy Pelosi
Democratic Leader, House of Representatives 71 United States Politics
53
Queen Rania Al Abdullah
Monarch 41 Jordan Politics
54
Bonnie Hammer
Chairman, Cable Entertainment and Cable Studios, NBCU 61 United States Business
55
Ellen DeGeneres
Talk Show Host 53 United States Celebrity/Lifestyle
56
Katie Jacobs Stanton
VP, International Strategy, Twitter 41 United States Business
57
Shari Arison
Heiress, Philanthropist 54 Israel Billionaire
58
Angela Ahrendts
CEO, Burberry 51 United States Business
59
Yingluck Shinawatra
Prime Minister 44 Thailand Politics
60
Gisele Bündchen
Supermodel, Environmentalist 31 Brazil Celebrity/Lifestyle
61
Joanne (J.K.) Rowling
Author 46 United Kingdom Celebrity/Lifestyle
62
Ellen Johnson-Sirleaf
President 73 Liberia Politics
63
Lubna S. Olayan
CEO, Olayan Financing Company 56 Saudi Arabia Business
64
Andrea Jung
CEO, Avon 53 United States Business
65
Sri Mulyani Indrawati
Managing Director, World Bank 49 Indonesia Non-Profit
66
Ann Curry
Coanchor, TODAY show 54 United States Media
67
Sallie Krawcheck
President, Global Wealth and Investment Management, Bank of America 46 United States Business
68
Margaret Chan
Director-General, World Health Organization 64 China Non-Profit
69
Anna Wintour
Editor-in-Chief, Vogue 62 United States Media
70
Abigail Johnson
President, Fidelity Investments 49 United States Business
71
Judith Rodin
President, The Rockefeller Foundation 67 United States Non-Profit
72
Ho Ching
CEO, Temasek Holdings 58 Singapore Business
73
Carol Meyrowitz
CEO, TJX Companies 57 United States Business
74
Mary Callahan Erdoes
CEO, J.P. Morgan Asset Management 44 United States Business
75
Greta Van Susteren
Host, On the Record 57 United States Media
76
Mary Barra
SVP, Global Product Development, General Motors 49 United States Business
77
Ana Patricia Botin
CEO, Santander UK 51 Spain Business
78
Guler Sabanci & family
Chair, Sabanci Holding 56 Turkey Business
79
Miuccia Prada
Chair, Head Designer, Prada Group 62 Italy Business
80
Denise Morrison
CEO, Campbell Soup Company 57 United States Business
81
Tina Brown
Editor-in-Chief, The Daily Beast, Newsweek 57 United States Media
82
Virginia Rometty
SVP, Group Executive Sales, Marketing and Strategy , IBM 53 United States Business
83
Drew Gilpin Faust
President, Harvard University 64 United States Non-Profit
84
Sheri McCoy
Vice Chair Executive Committee, Johnson & Johnson 52 United States Business
85
Alice Walton
Heiress, Art Patron 62 United States Billionaire
86
Laura Chinchilla
President 52 Costa Rica Politics
87
Ngozi Okonjo-Iweala
Finance Minister 57 Nigeria Politics
88
Sue Naegle
President, HBO Entertainment 42 United States Business
89
Mindy Grossman
CEO, HSN 54 United States Business
90
Ruth Porat
CFO, Morgan Stanley 53 United States Business
91
Diane Von Furstenberg
CEO, Diane Von Furstenberg Studio 64 United States Business
92
Jan Fields
President, McDonald's USA 56 United States Business
93
Maria Ramos
Group CEO, Absa Group Banks 52 South Africa Business
94
Marjorie Scardino
CEO, Pearson 64 United States Business
95
Risa Lavizzo-Mourey
CEO, Robert Wood Johnson Foundation 57 United States Non-Profit
96
Beth Mooney
CEO, KeyCorp 56 United States Business
97
Nonkululeko Nyembezi-Heita
CEO, ArcelorMittal South Africa 52 South Africa Business
98
Dominique Senequier
CEO, AXA Private Equity 58 France Business
99
Kiran Mazumdar-Shaw
Founder, Chair, Biocon 58 India Business
100
Beth Brooke
Global Vice Chair, Ernst & Young 52 United States Business
Digg36StumbleUpon33LinkedInReddit..5483
shares 3054
tweets Share
The Forbes 400 World's Billionaires Celebrity 100 World's Leading Companies .more +
The Forbes 400 is the definitive list of wealth in America, profiling and ranking the country's richest citizens by their estimated net worths.
View complete list »
#1
Bill Gates
Latest News »#14
Mark Zuckerberg
Latest News »#7
George Soros
Latest News »#331
Stewart Rahr
Latest News »#212
Lynda Resnick
Latest News »#37
Rupert Murdoch
Latest News »Riding surging prices of his bank and telecom holdings, Mexican tycoon Carlos Slim Helú has widened his lead over Americans Bill Gates and Warren Buffett as the wealthiest person on earth. View complete list » #33Mikhail ProkhorovLatest News »#1Carlos Slim HelúLatest News »#144Cher WangLatest News »#52Aliko DangoteLatest News »#27Prince Alwaleed Bin Talal AlsaudLatest News »#53Mark ZuckerbergLatest News »
Lady Gaga jumps to the top of this year's ranking of the richest and most powerful actors, actresses, athletes, writers and musicians. View complete list » #1Lady GagaLatest News »#3Justin BieberLatest News »#7Taylor SwiftLatest News »#8Bon JoviLatest News »#10 LeBron JamesLatest News »#12Katy PerryLatest News »
The Forbes Global 2000 are the biggest, most powerful listed companies in the world. This year's list reflects big gains in profit and sales from a broad and deep recovery. Optimism may be back in boardrooms from Beijing to Bentonville, but now come the headwinds. View complete list » #43 DaimlerLatest News »#6 PetrochinaLatest News »#34China MobileLatest News »#27VodafoneLatest News »#1JPMorgan ChaseLatest News »#47AppleLatest News »Photo Galleries and More

Gallery: America's Best-Paying Sales Jobs
Lessons From America's Most Promising Companies
The Silliest Uses Of Your Tax Dollars
Essential Gear For Smarter Travel
Companies That Give Back The Most.HomeBusinessInvestingTechEntrepreneursOp/EdLeadershipLifestyleListsForbes ConferencesNewslettersAdvertising Information | Self-Serve Advertising | Reprints/Permissions | Terms, Conditions and Notices | Privacy Statement | Contact Us | Sitemap | Help
2011 Forbes.com LLC™ All Rights Reserved

Forbes RussiaForbes PolandForbes RomaniaForbes ChinaReal Clear PoliticsReal Clear SportsReal Clear Markets.
SpirentMorningstarXigniteQuotemediaThomson ReutersAd Choices.Magazines
.Free Trial Issue

Subscriber Services

Buy Back Issues
.

Saturday, November 12, 2011

ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนสเปนจะชอบวัฒนธรรมไทยขนาดนี้

ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนสเปนจะชอบวัฒนธรรมไทยขนาดนี้
เล่นเอาไปสร้างเป็นสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แล้วตั้งชื่อว่า Siam Park ที่เกาะคานารีเลย มีหมู้บ้านทรงไทย
แม่น้ำสวัสดี(น้ำวน) สไลเดอร์นาคา

สมเด็จพระพี่นางเคยเสด็จไปวางศิลาฤกษ์หลายปีมาแล้ว
สถานทูตสเปนกราบทูลเชิญสมเด็จพระเทพฯเสด็จพระราชดำเนิน
ไปเปิดสวนน้ำอย่างเป็นทางการเลย

เจ้าของเป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำสเปน อยู่ที่หมู่เกาะคานารี่
แต่เป็นคนเยอรมัน จริงๆนี่เป็นสวนสนุกแห่งที่สองของเขาที่ terenife
แห่งแรกเป็นสวนสัตว์บวกโรงแรม ในนั้นก็มีศาลาทรงไทยเหมือนกัน
เกาะ Terenife อยู่ใจกลางทะเลเลย อยู่ระหว่างสเปนกับแอฟริกา?

ถ้าไปจากมาดริดก็บิน 3 ชม.มีภูเขาไฟที่สูงที่สูงสุดในโลก?
อากาศดี แต่ทะเลไม่สวย ทรายดำ ชายหาดสู้ของไทยไม่ได้
แต่คนยุโรปชอบไปเที่ยวหลบหนาวเพราะมันใกล้ยุโรป

เกาะนี้ไม่ได้มีเฉพาะสวนน้ำจ๊ะ สวนสัตว์น้ำธีมไทยๆเค้าก็มีนะ
มีปลาวาฬเพชรฆาตตั้ง4ตัว ใหญ่โตอลังการไม่แพ้กัน
โรงแรมห้าดาวจากต้นแบบโอเรียลเต็ลก็มี ในสวนมีสุนทรภู่ปี่หายอีกด้วย
เจ้าของเป็นใครไปถามพนักงานได้ทุกคน

งบโฆษณาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ มาจากเงินภาษีคนไทย
โดยมีหน่วยงานของรัฐ กท.ตปท. สถานทูตไทย
คอยทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์เรียกลูกค้าให้

นึกถึงเจ้าชายองค์นึงของซาอุ ก็ไปหาลงทุนอยู่ทั่วโลกแบบนี้
แต่ผลกําไรที่ได้ ก็เอามาแจกจ่ายให้คนจนในประเทศบ้าง
และบริจาคช่วยเหลือคนจนในประเทศอื่นๆบ้าง
ไม่เห็นคนซาอุจะเทิดทูนเจ้าชายองค์นี้ เป็นเทพเจ้าแต่อย่างใด

ผิดกับเทวดาของรัฐกล้วยเน่า นอกจากแอบรวยแล้ว
ยังหน้าด้านรับเงินบริจาค จากประชาชนสอพลออีกด้วยโว้ย !!
ดีไม่ดี แอบหยิบเงินที่ไม่ใช่ของตน ไปฟอกทำสวนน้ำด้วยนะนั่นน่ะ

เอ หรือว่าเป็นของทักกี้รึป่าว ทักกี้รวยติดอันดับโครตพ่องโครตแมร่งอยู่แล้วนี่
น้าทักกี้จะซื้อทั้งโลกแล้วนี่ฮะ

สเปนมีอะไรดี นี่คือคำพูดของปิ๊สิด
มันคงไม่รู้จักสวนน้ำนี่กะมัง ตุ๊ยไอ้มาก ตุ๊ย ตุ๊ย

รอดูเดือนหน้าที ว่าเค้าจะมีโปรโมชั่นอะไรกันมั่ง ฉลองวันคล้ายวันเกริดอ่า

แต่ที่สงสัย ก็คือ ความเงียบ และความคลุมเครือ ของพระราชวงศ์
เกี่ยวกับความร่ำรวย การปกปิดความร่ำรวย ความไม่โปร่งใส
ในการตรวจสอบได้ และข่าวลือที่ออกมา มักเป็นความจริงตลอด
แต่ไม่มีการปฏิเสธ ซึ่งเท่ากับถือว่าเป็นการยอมรัย
น่าสงสัยคือทำไม พระราชวงศ์ชอบทำให้มันคลุมเครือ
ไม่ทำอะไรให้มันชัดเจน ก็เลยมีแนวโน้มทำให้คนเชื่อ ในข่าวลือก็แค่นั้น เอง
เพราะการกำจัดข่าวลือที่ดีที่สุด ก็คือใช้ความจริงเข้าสู้
แต่สถาบัน ไม่เคยใช้ความจริงเข้าสู้ ใช้แต่ความคลุมเครือ
และความรุนแรงปราบปราม กดให้กลัว

Saturday, October 29, 2011

จากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้

จากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้แจ้งมาว่า โรเบิรต์ อัมสเตอร์ดัม มีจดหมายไปยังสำนักพระราชวังเพื่อขอให้กษัตริย์ ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับการตายของประชาชนในวันพฤษาอำมหิต เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของไทย บ่งบอกว่า กษัตริย์เป็นจอมทัพไทย แต่พฤติกรรม (ความจริง) ถึงแม้มีความฉลาดแกมโกง แต่ขี้ขลาดเสมอ เพราะไม่เคยออกมาชี้แจงเกี่ยวกับเหตุการณ์ใดๆ ในอดึตที่มีนักศักษา ประชาชนตายเป็นจำนวนมาก เพียงแค่ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงเท่านั้น และกษัตริย์ไม่เคยรับผิดชอบต่ออำนาจอันใหญ่ล้นฟ้าที่ตนรวบอำนาจไว้เพียงคนเดียว ///A reliable source has informed us that ROBERT AMSTERDAM has sent an official letter to the king of Thailand requesting a full explanation as to the death of innocent and unarmed people during the May Massacre. The urgent request was due to the fact that the current Thai Consitution specifies that the king is the SUPREME COMMANDER OF THE THAI ARMED FORCES. But in reality, though this king is cunning, he is very coward; he has never took responsibilities for his actions during the previous DEMOCRACY UPRISINGS in which so many unarmed student and freedom-loving demonstrators were killed by police and soldiers.
เอาแต่ความดีความชอบ เช่น รับเงินบริจาค รับปริญญาบัตรกิตติมศักดิ์ต่างประเทศที่ซื้อมา ออกค่าใช้จ่ายให้แก่เลขาธิการคนก่อนมอบประกาศนียบัตรเทิดพระเกียรติ ส่วนเรื่องแก้ไขปากท้องประชาชนไม่เกยแสดงความคิดเห็น หรือออกเงินให้กับเด็กที่ยากไร้ทั่วประเทศที่กำลังอดอยากเลยสักครั้ง มีแต่ใช้แต่วาทกรรมและมายากรรมเป็นประจำเท่านั้น ///Sutt Bod only takes but never gives such as forcing people to donate money under his name. Getting paid honorary degrees from foreign universities. Paid for Kofi Anan's trip to give him UN Certificate. When it comes to the welfare of the Thai people, he never gets involved whatsoever. He will not pay for school children lunches or anything who are so poor. He only uses cunning speech and phony acts to fool his people.
ประเทศบรูไน และประเทศซาอุ แม้ไม่ใช่ประเทศที่กษัตริย์ร่ำรวยที่สุดในโลก ให้การศึกษาฟรีกับประชาชนจนจบมหาวิทยาลัย ให้การดูแลรักษาพยาบาลฟรีกับประชาชนด้วยเช่นกัน ในขณะที่กษัตริย์ภูมิพลผู้ซึ่งร่ำรวยที่สุดในโลกกลับไม่เคยให้อะไรเลยกับประชาชน เป็นคำถาม ที่น่าคิดมากว่า ทำไมจึงแตกต่างกันมาก และที่น่าบัดซบที่สุด คนจนจน กลับต้องจ่ายภาษี และให้เงินบริจาคกับกษัตริย์และครอบครัวมาเป็นเวลาช้านาน จนพวกเจ้ารวยเอา รวยเอา แล้วคนไทยก็จนเอา จนเอา ลง และลงทุกวันน่าบัดซบจริงๆ ที่ฉวยโอกาสตีตัวว่า เป็นนายของข้าราชการในกระทรวงต่างๆ ทหาร ตำรวจ แทนที่จะสำนีกว่านายที่แท้จริงคือประชาชนผู้เสียภาษีให้กับพวกเจ้าและข้าราชการแค่คิดแตกต่างกับกษัตริย์เพียงนิดเดียวก็กลัวแล้ว เหมือนอยู่บ้านปีศาจ นี่หรือประเทศไทย
ไอ้สัตวนรกกษัตริย์ภูมิพลหน้าตัวเมีย ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศแต่อย่างไร ได้แต่ใช้วาทกรรมและมายากรรม เป็นกษัตริย์ที่หน้าด้านที่สุด แอบอ้างว่าทำโครงการโน้นโครงการนี้ ใช้ชื่อไพเราะให้คนงมงายว่าเป็นโครงการพระราชดำริ
กองทัพไทยใช้รถถังเพื่อใช้ในการข่มขู่ประชาชน ผู้เรียกร้องประชาธิปไตย และในการปฏิวัติเท่านั้น ไม่ใช่ใช้รถถังเพื่อปกป้องประเทศไทย////The Thai army owns tanks purely for the purpose of intimidating pro-democracy demonstrators and for staging coups and never for defending the country.
พ่อทำให้ประเทศล้าหลัง พ่อทำให้ประชาชนงมงายกับความเชื่อใจพ่อ แต่พ่อกลับหักหลังพวกลูก สร้างความร่ำรวย ภายใต้น้ำตาของลูกๆ พ่อรวยที่สุดในโลก แต่ลูกๆ ยังกินเผือกกินมัน พ่อนอนวัง แต่ลูกๆ ยังไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอน พ่อไม่ต้องจ่าย กะตังค์ แม้แต่ค่ากินค่าอยู่ ค่าน้ำค่าไฟ แต่ลูกๆ ไม่จ่ายถูกยึดหม้อ จ่ายภาษี อย่างเข้มงวดทำไมถึงฉลาดอย่างนี้ ภูมิพลใช้คำว่า “พ่อ” แล้วอ้างว่าอยู่ใต้กฎหมาย เมื่อครั้งเสื้อแดงพ่อควรปกป้องลูกๆ ของพ่อ แต่ท้ายสุดแล้วพ่อกลับสนับสนุนมาร์คฆ่าคนเสื้อแดง แล้วอดีตที่ผ่านมารอ อนุมัติการรัฐประหารให้ไอ้บังสนธิจนถึงเที่ยงคืน พ่อ ทำเพื่อพ่อต่างหาก ไม่ใช่ทำเพื่อลูก พ่ออยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหว อนาธิปไตยทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ดูหนังเรื่อง Bangkok Girl หนังสารคดีเกี่ยวกับ การต่อสู้ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพตัวเองของผู้หญิงไทย ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด แปดแสนกว่าคน ยอมขายตัวให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งชายไทยทั้งหลายที่เห็นแก่ตัว ร่างกายของพวกหล่อนเต็มไปด้วยโรคภัย นังแม่ปลาวาฬ ไม่สงสารลูกสาวทั้งหลายหรือ

นายประชาไทย 10/30/2011

สาระขันไทยแลนด์: คนเดินตรอก

สาระขันไทยแลนด์: คนเดินตรอก
วีรพงษ์ รามางกูร มติชนวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประชาธิปัตย์ต้องการปฏิรูป พรรคประชาธิปัตย์ก็เหมือนกับพรรคการเมืองอื่นที่ต้องถือว่าเป็นของประชาชน มิใช่ พรรค ของกรรมการบริหารพรรคหรือ สมาชิกพรรคเท่านั้น เพราะได้รับเงินจากภาษีอากรที่เก็บ จาก ประชาชนทั่วประเทศไปทำกิจกรรมของพรรค
เรื่องแรก พรรคต้องเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ว่า การเอาแต่คิดโค่นล้มคู่ต่อสู้ทุกวิถีทางนั้น ต้องเปลี่ยนใหม่ แม้ว่าตอนที่ก่อตั้งพรรคเมื่อปี 2489 พรรคประสบความสำเร็จในการโค่น ล้มพรรคแนวรัฐธรรมนูญและพรรคสหชีพ โดยการร่วมมือกับทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ จอมพลผิน ชุณหะวัณ และจอมพลป.พิบูลสงคราม ลงเลือกตั้งโดยการช่วยเหลือของทหาร ในเดือนมกราคม 2491 เป็นรัฐบาลอยู่ได้4เดือน
ก็ถูกทหารหักหลังจี้ให้ลาออก หลังจาก นั้นก็ไม่ได้อะไร จนเกิดกรณี 14 ตุลาคม 2516 เพราะทหารแตกคอกันเองไม่ใช่ฝีมือของ พรรค ทรรศนะที่ถูกต้องก็คือ ต้องสร้างผลงานในทางสร้างสรรค์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และการต่างประเทศ ในด้านการต่างประเทศประเทศเราใหญ่พอที่ผู้นำของเรา สามารถจะเป็นผู้นำของภูมิภาคอย่าง ดร.โมฮัมเหม็ด มหาเธร์ ได้ นำเห็นใจผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ส่วนมากเป็นทนายความ เป็นครู เป็นข้าราชการที่เกษียณ อายุแล้ว มีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จน้อย หัวหน้าพรรคแม้ว่าจะมีอายุพอสมควรแล้ว มี การศึกษาจากสถาบันชั้นนำของโลก แต่ไม่เคยทำงานรับผิดชอบจริง ๆ ข้อสำคัญอยู่ไป ๆ ถูกพรรคล้างสมองลืมหลักการทางปรัชญา กฏหมาย รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ เสีย สิ้น
ค้านทุกเรื่องที่ฝ่ายตรงกันข้ามทำ หรือฝ่ายตรงกันข้ามคิด ผลจึงออกมาในสายตา ประชาชน ว่าที่คิดที่พูดนั้น ตนเองก็ไม่ได้เชื่ออย่างนั้นเลยแต่พูดไปตามมติพรรคซึ่งล้าสมัยแล้ว เรื่องที่สอง เหตุที่พรรคมีทัศนคติในทางลบและไม่สร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา ก็เพราะพรรค ถูกครอบงำด้วยผู้นำรุ่นเก่าที่เคยประสบความสำเร็จโดยการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามที่เป็น รัฐบาลทหาร ขณะนั้น
ขณะนั้นโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นรัฐบาลไม่มี เพราะทหารกุมอำนาจ เบ็ดเสร็จเอาไว้ พรรคประชาธิปัตย์จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ดีที่สุด ผู้นำพรรค ซึ่งบัดนี้อายุ อยู่ระหว่าง 65-75 ปี จึงติดยึดอยู่กับยุทธวิธีแบบนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมีพรรคใหม่ที่ผู้นำพรรคเกือบ 100 คน มาจากคนที่มีประสบการณ์ทั้งทางธุรกิจและทาง ราชการ มีวิสัยทัศน์ยาวไกลทันต่อก
ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ ทำการบ้าน ว่าคนชั้นล่างซึ่งมีสัดส่วนที่สูงต้องการอะไร และสามารถทำอย่างที่ตนสัญญาไว้ตอบหา เสียง เลือกตั้งได้ พรรคประชาธิปัตย์จึงพ่ายแพ้อย่างยับเยินครั้งแล้วครั้งเล่าผู้นำพรรคก็ไม่ยอมรับ ความบกพร่องของตน แต่หลอกตนเองว่าพ่ายแพ้การเลือกตั้งเพราะฝ่ายตรงกันข้ามซื้อ เสียง
แต่ในกรณีที่ทหารและข้าราชการถูกสั่งให้มาช่วยอย่างเต็มที่ทั้งกำลังคน กำลังอำนาจ และกำลังเงินซื้อเสียงให้ แล้วยังแพ้อย่างยับเยินตนกลับไม่คำนึงถึง หลายคนบอกว่าแม้ ฝ่ายตรงกันข้ามไม่ซื้อเสียงเลยก็ยังชนะพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งที่พิสูจน์ได้ก็คือ ผู้ที่ออก จากพรรคไทยรักไทยไปอยู่พรรคอื่นกลับสอบตกเป็นจำนวนมาก ทั้ง ๆ ที่มีกระสุนจาก ทหาร
มาช่วยจำนวนมาก เรื่องที่สาม ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์อาจแบ่งเป็นสองพวก พวกนักกฏหมายกับพวกครู จะ ไม่ค่อยยอมรับการเปลี่ยนแปลง กฏหมายระเบียบแบบแผนเป็นอย่างไรก็ถือเป็นคัมภีร์ให้ ข้า ราชการเป็นผู้แนะนำและชี้นำนโยบายในการทำงาน อีกพวกหนึ่งเป็นพวกที่มีผลประโยชน์ จึง ไม่ยอมให้คนรุ่นใหม่เข้าไปรับผิดชอบพรรคจริง ๆ ยังกุมอำนาจพรรคไว้ด้วยผลประโยชน์ส่วนฝ่ายตรงกับข้ามพูดเสมอว่า กฏหมายระเบียบแบบแผนเป็นเครื่องมือที่จะทำให้งาน สำเร็จ ประชาชนได้ประโยชน์ถ้ากฏหมายข้อบังคับเป็นอุปสรรคก็ต้องแก้ไข เพราะกฏหมาย ข้อบังคับระเบียบแบบแผนสร้างมาโดยมนุษย์ มนุษย์ย่อมสามารถแก้ไขได้ มนุษย์ต้องเป็น นายกฏหมายไม่ใช่ให้กฏหมายมาเป็นนายมนุษย์ข้าราชการไม่ใช่ผู้กำหนดนโยบายแต่เป็นผู้นำนโยบายของฝ่ายการเมืองไปปฏิบัติ กลับกัน กับวิธีคิดของประชาธิปัตย์ ผลงานของประชาธิปัตย์ในฐานะเป็นรัฐบาล ไม่ใช่ในฐานะของ ฝ่ายค้านจึงไม่ค่อยมีเป็นรูปธรรม ทั้ง ๆ ที่เคยร่วมรัฐบาลมาหลายยุคหลายสมัยเป็นเวลากว่า 15 ปีเคยถามเพื่อนฝูงชาวปักษ์ใต้ที่ภูเก็ต กระบี่ พังงา สุราษฎร์ฯ ว่าชอบผลงานของรัฐบาลพรรค ไหน ไม่มีใครบอกว่าผลงานของประชาธิปัตย์ดีกว่าคู่ต่อสู้ ทุกคนบอกว่าผลงานของรัฐบาล คู่ต่อสู้ดีกว่า แต่ที่เลือกประชาธิปัตย์เพราะพ่อแม่ปู่ย่าตายายเลือกประชาธิปัตย์ หรือที่เลือก ก็เพราะผู้นำพรรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายหัวเป็นคนใต้ เคยถามต่อว่าถ้านายหัวไม่อยู่แล้วจะเลือกอย่างไร ผู้ตอบก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันเอาไว้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยคิด พฤติกรรมการเลือก ส.ส.ของคนใต้ จึงต่างกับคนอีสานและคนเหนือ ที่เน้นว่า ส.ส.คนนั้น เคยทำประโยชน์ให้กับคนหรือชุมชนของคนแค่ไหน ส่วนในกรุงเทพฯ เลือกไปตามกระแส ที่สื่อมวลชนยัดเยียดให้ เพราะตนก็ไม่เคยได้ประโยชน์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันจาก ส.ส.ของตน อยู่แล้ว เพราะตนเองก็มีเส้นสายโยงใยเองอยู่แล้วไม่เดือดร้อนเหมือนคนในต่างจังหวัด
เรื่องที่สี่ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถเข้าถึงหรือไม่พยายายเข้าถึงคนระดับล่างไม่ ว่าจะเป็นภาคอีสานภาคเหนือภาคกลาง และแม้แต่ในกรุงเทพฯ พรรคไม่เน้นที่จะสร้างผล งานแต่เน้นในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทุกวิถีทาง พรรคจึงกลายเป็นทาร์ซานพยายามจะ
ช่วยเจนนี่โดยการโหนเถาวัลย์ โหนกระแส และโหนทหาร แล้วให้เจนนี่คอยกอดเอว พอเจน นี่จับพลาดในที่สุดทาร์ซานก็ต้องป้องปากโห่อย่างโหยหวนลั่นป่า การทำตัวเป็นทาร์ซานจะไปถึงที่หมายโดยวิธีไหน จึงต้องละทิ้งอุดมการณ์ประชาธิปไตย อุดมการณ์ทางกฎหมาย ความถูกต้อง จารีต ประเพณีในการปกครองระบอบประชาธิปไตยร่วมมือกับทหารสร้างทางตันเพื่อเชื้อเชิญให้ทหารปฏิวัติ ทำลายรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พรรค ฝ่ายตรงกันข้ามถูกยุบ ให้นักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามถูกตัดสิทธิทางการเมือง จะต้อนพรรคการเมืองไม่ให้โต สร้างองค์กรอิสระที่ไม่มีใครตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นผลเสียกับตัวเองด้วยใน ระยะยาวแต่ก็ยอมทำ ทำให้พรรคเสียคะแนนจากผู้คนที่หัวก้าวหน้าและคนรุ่นใหม่อย่างน่า เสียดายการที่พรรคประณามนโยบายและโครงการที่เป็นประโยชน์กับคนระดับล่าง ทั้ง ๆ ที่อยู่ใน กรอบที่การเงินการคลังของประเทศรับได้ เพราะมีทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือเฟือจน ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่อยากจะได้ว่าเป็นโครงการ”ประชานิยม” เท่ากับการทำลาย เลียงของตนเองกับคนระดับล่างทั่วประเทศและจำกัดตัวเองเพราะถ้าตนเองเป็นรัฐบาลก็คง ต้องทำหรืออาจจะทำมากกว่าเพราะที่ใช้หาหาเสียงสัญญาว่าจะทำมากกว่า เรื่องที่ห้า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคปิด มีระบบอาวุโสที่เหนียวแน่น สมาชิกใหม่ให้อยู่ ระดับล่าง หรือในสภาก็อยู่แถวหลังหรือที่อังกฤษเรียกว่า “Back Benchers” แต่อังกฤษผู้ นำพรรคที่นำพรรคไปแพ้เลือกตั้งจะลาออกเกือบหมดเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มาแทน แต่ ของเราไม่มีประเพณีอย่างนั้น สมาชิกรุ่นใหม่จึงไม่มีโอกาสมานำพรรค ผู้นำพรรคไม่มุ่งจะ ทำพรรคให้ชนะการเลือกตั้ง เพียงแค่ได้ ส.ส.มากเพิ่มขึ้นก็พอใจจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป แล้วส่วนฝ่ายตรงกันข้ามเน้นในเรื่องผลงานทางเศรษฐกิจของผู้ออกเสียง เน้นคะแนนนิยมในตัว ส.ส. เน้นการเมืองที่มีผลสำเร็จของการเลือกตั้ง เน้นทางด้านการหาเงินช่วยพรรค ซึ่งไม่ ต้องบอกก็คงเข้าใจ ดังนั้น จึงมีการสับเปลี่ยนตัวผู้นำพรรคระดับรอง ๆ ลงไปอยู่ตลอดเวลา พรรคฝ่ายตรงกันข้ามจึงสามารถ “ดูด” นักการเมืองให้เข้าพรรคได้มากขึ้นเสมอเพราะมา อยู่แล้วโอกาสชนะการเลือกไม่ใช่เพราะเงินอย่างเดียวอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์เข้า ใจ เรื่องที่หก พรรคไม่เคยหวังว่าจะชนะการเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว หวังแต่เพียงเป็นแกนนำของรัฐบาลผสม เมื่อหวังเพียงเท่านี้ก็ทำให้มีทัศนคติว่า ถ้าสามารถ ทำลายพรรคคู่แข่งไม่ให้ลงมาแข่งในการเลือกตั้งก็พอแล้ว ถ้าพรรครู้จุดอ่อนความสามารถในการสร้างนโยบายใหม่ ๆ ไว้ขายกับประชาชน ถ้าคิดไม่ ออกก็ขวนชวายหาบริษัทที่ปรึกษาที่ชำนาญการ แต่ก็ไม่มีความพยายามแต่ใช้วิธีสะกดจิต ตนเองว่า ตนเองเป็นฝ่ายเทพ ฝ่ายตรงกันข้ามเป็นฝ่ายมาร แท้จริงในงานการเมืองไม่มีใคร เป็นเทพไม่มีใครเป็นมารมีแต่ผู้ชนะกับผู้แพ้การเลือกตั้งเท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นจุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เสียภาษีอย่างพวกเราน่าจะมีสิทธิ์วิพากษ์ วิจารณ์และเสนอแนะให้แก้ไขปฏิรูปตนเอง เพราะผลการดำเนินงานของพรรคไม่คุ้มกับเงิน ภาษีที่รับไปจะโกรธจะเคืองอย่างไรก็ไม่ว่าเพราะไม่อยากเห็นเมืองไทยเป็นระบบการเมืองแบบพรรค เดียว ถ้าเมืองไทยเป็นการเมืองพรรคเดียวก็ต้องโทษประชาธิปัตย์อย่าไปโทษใคร คิดแล้ว อ่อนใจ

Wednesday, October 26, 2011

SCCกำไรQ3กระฉูด โชว์ยอด8.6พันล้าน :ยอดขายปูนซีเมนต์พุ่ง ธุรกิจปิโตรเคมีฟื้น!

SCCกำไรQ3กระฉูด โชว์ยอด8.6พันล้าน :ยอดขายปูนซีเมนต์พุ่ง ธุรกิจปิโตรเคมีฟื้น!
วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2554


ปูนใหญ่" ไตรมาส 3/54 โกยกำไร 8.6 พันล้านบาท โต 31% จากไตรมาส 3/53 และโต 15% จากไตรมาสก่อน อานิสงส์ยอดขายปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้น บวกธุรกิจปิโตรเคมีฟื้นตัว รับดีมานด์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีดีขึ้น หลังลูกค้าสต๊อกวัตถุดิบเพิ่มเพื่อผลิตสินค้าส่งมอบช่วงปลายปี โบรกฯแนะ "ซื้อ" เป้าหมาย 454 บาท



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 3/54 ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC แนวโน้มสดใส โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่า SCC จะประกาศกำไรสุทธิไตรมาสที่ 3/54 อยู่ที่ 8.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยบวกจากธุรกิจปูนซีเมนต์ที่มีปริมาณขายเพิ่มขึ้นเทียบกับ Low Season ในไตรมาสที่ 2/54 และกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ที่มีอุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ 2/54 เกิดจากกลุ่มลูกค้าเริ่มเก็บสต๊อกวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเพื่อผลิตสินค้าส่งมอบในช่วงปลายปี

โดยแนวโน้มค่าเฉลี่ย Spread ของผลิตภัณฑ์หลัก HDPE-Naphtha เพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 396 เหรียญต่อตันในไตรมาสที่ 2/54 มาที่ปัจจุบัน 441 เหรียญต่อตัน บันทึกค่าเผื่อด้อยค่าสต๊อกสินค้าในไตรมาสที่ 3/54 ลดลงเทียบกับการตั้งด้อยค่าสต๊อก Ethylene ประมาณ 1 พันล้านบาท ตามราคาในตลาดโลกที่ลดลงในช่วงไตรมาสที่ 2/54 กำไรพิเศษจากการทยอยขายหุ้น PTTCH ประมาณ 900 ล้านบาทในขณะที่ไม่มีกำไรพิเศษดังกล่าวในไตรมาสที่ 3/53 และไตรมาสที่ 2/54

สำหรับการเข้าซื้อกิจการถือว่าเป็นจังหวะที่ดีโดยที่ SCC ซึ่งเชี่ยวชาญในสาย Olefins สามารถใช้ประสบการณ์นี้ขยายการลงทุนไปในประเทศที่มีอัตราเติบโตสูงด เช่น อินโดนีเซีย และอาจรวมถึงภูมิภาค ASEAN ในอนาคต โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันที่ Spread ของผลิตภัณฑ์หลักแกว่งตัวอยู่ในระดับที่ต่ำ ซึ่งเราคาดว่าจะอยู่ในระดับนี้ไปจนถึงกลางปี 2555 และปรับตัวดีขึ้นชัดเจนในครึ่งปีหลัง จากภาวะอุปทานและอุปสงค์ในตลาดโลกที่ใกล้เคียงกันมากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งรอปรับประมาณการผลประกอบการจากการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นคาดว่ายังไม่ส่งผลบวกต่อ Equity Account ของ SCC ในปี 2554-2555 เนื่องจากภายหลังที่เข้าไปร่วมลงทุน SCC อาจจะต้องเข้าไปช่วยเหลือการปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น De-bottleneck โรงงาน Cracker เพียงแห่งเดียวของ CAP และเพิ่มผลิตภัณฑ์ Downstream ใหม่ๆ ให้ขึ้นมาใกล้เคียงกับธุรกิจของ SCC ในปัจจุบัน

ดังนั้น คงคำแนะนำ ซื้อ ประเมินมูลค่าพื้นฐานของหุ้น SCC ตามวิธี DCF เท่ากับ 400 บาท (Implicit P/E ที่ 14.7 เท่า) อิงสมมุติฐาน WACC 10.5% และ Terminal Growth Rate 3.5% และคาดการณ์อัตราตอบแทนเงินปันผลประมาณ 4% ต่อปีสำหรับผลประกอบการปี 2554-2555

ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิในปี 2554 ลดลง 12.5% จากปีก่อน จากบันทึกกำไรจากการขายหุ้นบริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH ในไตรมาสที่ 4/53 สูงถึง 1 หมื่นล้านบาท คาดหวังการเริ่มต้นฟื้นตัวของ Spread ของผลิตภัณฑ์หลักในธุรกิจปิโตรเคมีที่เริ่มต้นในไตรมาสที่ 3/54 และต่อเนื่องในปี 2555 เป็นปัจจัยหลักผลักดันผลประกอบการโดยรวมในปี 2555 ให้เติบโตในระดับที่ดี 16.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ประกอบกับแนวโน้มการขยายการลงทุนตามแผนงานเริ่มชัดเจนมากขึ้นภายหลังเข้าซื้อธุรกิจปิโตรเคมีในอินโดนีเซีย แม้ว่าจะยังไม่ส่งผลบวกในระยะสั้น แต่เราคาดว่าจะส่งผลบวกในระยะยาวได้ภายหลังที่ SCC ใช้ความเชี่ยวชาญในสาย Olefins เข้าไปปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า จากกรณีที่ SCC แจงผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยมีบริษัทย่อย 6 แห่ง ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะดิน และนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ที่ต้องหยุดการผลิตเป็นการชั่วคราว เนื่องจากน้ำท่วมโรงงาน ขณะที่บริษัทย่อยอีก 3 แห่งคือ 1.โรงงานของบริษัทกระเบื้องกระดาษไทย ที่ท่าหลวง สระบุรี 2. บริษัทผลิตภัณฑ์กระเบื้อง (ลำปาง) จำกัด และ 3. บริษัทปูนซีเมนต์ไทย (ท่าหลวง) ต้องหยุดการผลิตเป็นการชั่วคราว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการขาดวัตถุดิบสำหรับการผลิต แม้ว่าจะยังสามารถป้องกันน้ำท่วมโรงงานได้ก็ตาม

ทั้งนี้ ประเมินผลกระทบต่อยอดขายของ SCC ซึ่งจะนับรวมเฉพาะบริษัทที่ SCC ถือหุ้นมากกว่า 50% ว่าน่าจะทำให้ยอดขายในงบการเงินรวมของ SCC ลดลงราว 2 พันล้านบาท/เดือน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 6-7% ของยอดขายทั้งหมดของ SCC ขณะที่ผลกระทบต่อกำไรโดยรวม ทั้งในส่วนที่รับรู้ผ่านการจัดทำงบการเงินรวมและส่วนแบ่งกำไรตามวิธีส่วนได้เสีย น่าจะมีราว 200-300 ล้านบาท/เดือน

โดยหาก SCC หยุดการผลิตไปจนกระทั่งสิ้นปี 2554 ก็น่าจะกระทบต่อกำไรของ SCC ให้ลดลงประมาณ 600-800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2% จากประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิจัยที่ประเมินไว้ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังน้ำลด SCC น่าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างในการบูรณะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอาคารบ้านเรือนและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ โดยฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยกำหนด Fair Value ด้วยวิธี DCF จะให้ราคาหุ้นที่เหมาะสมอยู่ที่ 454 บาทต่อหุ้น

Saturday, October 22, 2011

ปัญหาน้ำท่วมบานปลายค่อนประเทศ

ปัญหาน้ำท่วมบานปลายค่อนประเทศ จะด้วยฝีมือธรรมชาติลงโทษ
หรือน้ำมือมนุษย์ ฉวยโอกาส(หรือผสมโรง) ช่วงธรรมชาติเอาคืนมนุษย์ทั่วโลก
(ที่ว่าบานปลาย เชื่อว่าคนคิดใช้น้ำสะกัดดาวรุ่งกะพอแค่ขัดขาล้างบางรัฐบาล
แต่มันลุกลามเกินความควบคุม พาเอาธุรกิจสารพัดชนิดของตัวเองบรรลัยไปเพราะน้ำด้วย
ไม่ใช่แค่ประชาชนที่เดือดร้อนงานนี้ อำมาตย์เจ็บหนัก 555 )

บ้านเราต่างจากบ้านอื่นตรงที่ผู้นำประเทศ ไม่ได้มีแค่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เท่านั้น นายกยังต้องฟังคำสั่ง(หรือป่าว) ผู้(พยายาม)นำประเทศบางคนอยู่

นาทีนี้ ใคร ๆ ทั้งประเทศไทยก็รู้ว่า ผู้นำประเทศที่ประชาชนคนไทยเลือกมาชื่อ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กว่าจะรับตำแหน่งทำงานได้ก็หืดขึ้นคอ ไม่ทันข้ามเดือน
ก็เจอ ต้อนรับน้องใหม่(ถอดด้าม) ด้วยน้ำ น้ำ ปริมาณมหาศาลและวิชามาร
สารพัดทั้งกั้นทั้งกันทั้งกัก น้ำไม่ให้ได้ระบายลงทะเลตามที่ควรเป็น

กักเอาไว้กันเอาไว้เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วย
กับผู้(พยายาม)นำประเทศ เข้าตำรา คนกำลังเสื่อมก็มักจะทำอะไรที่ไม่คิดว่ามันจะทำให้
ตัวเองเสื่อม สร้างความวิบัติให้กับตัวเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการต้องการทำลายสร้างศัตรู (ประชาชน) กลับกลายเป็นหยิบยื่นความวิบัติให้กับตัวเองไปซ่ะงั้น 555


๑. สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในใจคนที่ได้รับความเดือดร้อน(ไม่ใช่แค่คนเสื้อแดง)
๒. เปิดตาให้ความสว่างแก่ประชาชน (เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้) ว่าด้วยเรื่องความโหดเหี่ยม
๓. เปิดตาให้ประชาชนเห็นถึงความโลภ เป็นผู้รับส่วนใหญ่ แต่ให้ส่วนน้อย รับล้านจ่ายร้อย
เอาบุญคุณพันล้าน
๔. เปิดตาให้ประชาชนเห็นความจงใจพยายามกรีดขว้างการบริหารประเทศของรัฐบาล
แผนสะกัดดาวรุ่ง -กักน้ำให้ท่วมขังอย่างจงใจ ไม่ปล่อยให้ระบาย
-ปล่อยน้ำเขื่อนอย่างจงใจให้วิบัติเดือดร้อน นอกจากไม่ยอมให้ระบาย

งานนี้ รัฐบาลของประชาชนที่มีผู้นำ ชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับไปเต็ม ๆ ความชอบธรรม
ความรักศัทธาจากประชาชน เพราะทุกคนก็เห็นว่าเธอพยายามบำบัดทุกข์ให้กับประชาชน
ถ้าไม่มีใครคอยขัดแข็งขัดขา เมื่อน้ำลด เธอจะสามารถบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ได้เต็มความสามารถ
ถึงจะได้แค่ผ่อนหนักได้แค่เบาๆ แต่ประชาชนที่ได้รับความทุกข์อยู่ขณะนี้ก็จะยิ่งเป็นกำลังใจเอาใจช่วย
ให้เธอทำงาน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผ่อนความทุกข์
( จากที่ประชาชน ได้ฝากความหวังว่า ได้เธอมาจะทำให้ลืมตาอ้าปากได้ ก็ต้องลำบากกันหนักกว่าเดิม เพราะความมืดบอดบังตาบังใจผู้(เคย)มีอำนาจ )

ขอเตือน ผู้(พยายาม)นำประเทศ ยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนมากเท่าไหร่ ความบรรลัย
ก็ยิ่งเปลี่ยนจากคืบคลาน ไปเป็นวิ่งเข้าหาพวกท่านเร็วกว่าที่คิด ยิ่งสายน้ำที่ท่านจงใจใช้เป็นเครื่องมือ
หรือไม่ก็ตามแรงเท่าไหร่ ทำลายล้างได้มากเท่าไหร่ ความร้าย ความแรงก็ย้อนกลับสู่ตัวท่านเท่านั้น