Monday, March 9, 2009

สองบทความเรื่องเพศสำหรับวันสตรีสากล

สองบทความเรื่องเพศสำหรับวันสตรีสากล
1. สิทธิสตรีและประชาธิปไตย

โดย สมุดบันทึกสีแดง



ก่อนอื่นต้องขอบอกดังๆว่า การสร้างความเสมอภาคทางเพศระหว่างหญิงชายหรือคนรักเพศเดียวกันในสังคม มันไม่ใช่งานอดิเรกหรืองานสังคมสงเคราะห์ของคุณหญิงคุณนายคนชั้นสูง เพราะพวกนี้ไม่เคยมีอุดมการณ์ที่ต้องการปลดปล่อยผู้หญิงอย่างแท้จริง พวกนี้เชิดชูคุณค่าของการเป็นผู้หญิงไทยๆ สะเทือนใจอย่างโรแมนติกกับความยากจนของเพื่อนร่วมชาติ แต่พวกนี้ลืมไปว่าพวกเธอนั่งอยู่บนคราบเหงื่อและน้ำตาของหญิงยากจนและหญิงทำงานมานานแค่ไหน ผู้หญิงไทยโดยส่วนใหญ่ต้องทำงานตลอดชีวิตไม่ว่าแก่ชราแค่ไหน แล้วพวกนี้จะมาเป็นหัวหอกในการเรียกร้องสิทธิสตรีได้อย่างไร



ในทางกลับกันเมื่ออุดมการณ์นี้มันถือกำหนดขึ้นมาจากคนจน จากคนงาน คนชนชั้นล่างของสังคมเพื่อเรียกหาสิทธิเสรีภาพ คนส่วนใหญ่เหล่านี้ในยุคปัจจุบันนี้แหละที่จะต้องมาผลักดันการต่อสู้นี้ต่อไป คำถามสำคัญของเราวันนี้เราจะสืบทอดอุดมการณ์ของสิทธิสตรีของเราอย่างไร โดยเฉพาะสังคมไทยในยามมืดบอดต่อประชาธิปไตยเช่นนี้ และก็ขอให้กำลังใจ คุณจีรนุช เปรมชัยพร webmaster ของประชาไท หรือ อีกท่านหนึ่งคือ คุณจิตรา คชเดช อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ คนที่ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ เธอเป็นคนเชิดหน้าถกเถียงและเรียกร้องเรื่องสิทธิทำแท้งตามความต้องการของผู้หญิง เธอสู้กับพวกที่อ้างศีลธรรมเน่าไทยๆ อย่างกล้าหาญ เพราะรู้ว่าศีลธรรมมันคือเครื่องมือในการควบคุมผู้หญิง อย่างชนิดที่ผู้หญิงชนชั้นกลางผู้มากการศึกษาไม่กล้าเอาอย่าง ภายใต้คำอธิบายว่าแนวทางแบบนี้ปะทะกับสังคมไทยมากเกินไป สังคมยังไม่พร้อมหรืออีกอย่างหนึ่งอาจจะเพราะเค้าไม่กล้าเป็นผู้นำความก้าวหน้ามาสู่สังคมนั่นเอง ทัศนะทางเพศที่ก้าวหน้าเช่นนี้ของจิตรา สอดรับกับทัศนะที่ก้าวหน้าด้านอื่น เธอไปออกทีวีเรื่องสิทธิทำแท้ง แต่เธอใส่เสื้อรณรงค์ “ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร คิดต่างไม่ใช่อาชญากรรม” เพื่อให้สิทธิเสรีภาพกับ คุณ โชติศักดิ์ อ่อนสูง ซึ่งโดยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะเธอมองว่ามันไม่เป็นธรรม ถ้าฝ่ายรัฐละเมิดสิทธิเสรีภาพด้านนี้ได้ ทำไมพวกนั้นมันจะละเมิดเสรีภาพด้านอื่นๆไม่ได้ ผู้หญิงธรรมดาเช่นนี้แหละที่จะเป็นผู้สืบทอดอุดมการณ์ของสิทธิสตรี ความเสมอภาคทางเพศ และประชาธิปไตย ผู้หญิงเช่นนี้แหละที่เราควรและต้องเคารพสรรเสริญ



ข้อเสนอเรียกร้องให้ผู้หญิงมีบทบาทในทางการเมืองก็ดี แต่บางทีเราต้องทบทวนกันหนักๆหน่อยๆ ว่าเราอยากได้ผู้หญิงแบบไหนเป็นตัวแทนของเรา เพราะบางทีผู้หญิงในรัฐสภานั่นแหละตัวดีในการทำลายประชาธิปไตย เช่น สว.รสนา โตสิตระกูล ที่มีส่วนในการสนับสนุนเพิ่มโทษร่างกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเธอก็ไม่ทำอะไร นอกจากกล่าวอ้างกับคนใกล้เคียงว่า ไม่รู้เรื่องพวก สว. 40 ซึ่งหนึ่งในนั้นมีสามีเธอร่วมวงอยู่ด้วย ฉะนั้นข้อแก้ตัวว่าพวกกลุ่ม 40 สว.ชอบเอาชื่อเค้าไปอ้างจึงไม่มีเหตุผล คำถามคือทำไมคุณไม่ออกมามีจุดยืนเพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ผ้หญิงแบบนี้เราคงไม่สามรถให้เป็นผู้นำในการปลดแอกสตรี เพราะนิ่งดูดายต่อการทำลายเสรีภาพด้านอื่นๆ ฉะนั้นการเรียกร้องให้ผู้หญิงมีบทบาททางการเมืองนั้น ต้องพูดต่อไปว่าต้องเป็นผู้หญิงที่มาจากคนรากหญ้าคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง และต้องดูจุดยืนทางการเมืองอีกด้วย



สองมือของเราสามารถทำอะไรได้บ้างในยามนี้ มือหนึ่งของเราต้องเรียกร้องประชาธิปไตย ความเสมอภาคไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าสังคมไร้ประชาธิปไตย การเคารพสิทธิทางเพศไม่สามารถงอกเงยออกมาจากศีลธรรมจารีตโบราณของเผด็จการได้ อนึ่ง อย่าลืมว่าหญิงชนชั้นสูงนั้นมีส่วนร่วมมากเพียงไรในการทำลายประชาธิปไตย เราต้องหาทางลงโทษและกำจัดบทบาทของหญิงชั้นสูงพวกนี้อย่าให้ไประรานคนอื่น มือที่สองของเราต้องสร้างโมเดลของสังคมใหม่ขึ้นมาแทนโมเดลสังคมเก่าที่เน่าเฟะ ท่ามกลางการเรียกร้องประชาธิปไตยคือช่วงเวลาหนึ่งที่ดีที่สุดในการพัฒนาสิทธิเสรีภาพในทุกๆด้าน สิ่งหนึ่งที่สำคัญในองค์ประกอบของโมเดลใหม่คือกรอบความสัมพันธ์ระหว่างเพศต่างๆในสังคม ที่แต่ละเพศมีความเคารพซึ่งกันและกัน คนเสื้อแดงต้องเปิดกว้างต่อความเสมอภาคในรูปแบบต่างๆ เช่น คนรักเพศเดียวกัน สิทธิทำแท้งเสรีสำหรับสตรี เราต้องเรียกร้องให้ผู้หญิงธรรมดาๆ เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้นอีก ในระดับต่างๆ จริงๆ แล้วคนเสื้อแดงหลายกลุ่มนำโดยผู้หญิงอยู่แล้ว เราควรเรียกร้องประเด็นที่เป็นประโยชน์ดังต่อไปนี้

ประเด็น
ข้อเสนอ
ข้อโต้แย้งของฝ่ายรัฐ
ความจริงที่แย้งเหตุผลฝ่ายรัฐ

สิทธิทำแท้ง
ให้ผู้หญิงสามารถทำแท้งได้ตามความต้องการ ภายใต้การดูแลของหมอ และค่าใช้จ่ายต้องมาจากรัฐ
-เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ฆ่าคนมันบาป

-ทำให้ผู้หญิงสำส่อนมากขึ้น ทำลายวัฒนธรรมอันดีงามของไทย
- ประเทศไทยยังคงมีโทษประหารชีวิต

- นายพลของประเทศไทย ฆ่าประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยยังไม่ถูกลงโทษ

-คนที่มีส่วนร่วมในการสั่งปราบปรามนักศึกษาที่เรียกร้องประชาธิปไตย ยังมีหน้ามีตาในสังคม

- การเลือกทำแท้งโดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่มีครอบครัวแต่ไม่มีเงินพอที่จะเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีจึงตัดสินใจทำแท้ง

-ผู้หญิงปลอดภัยที่สุดจากการทำแท้งถูกกฏหมาย การห้ามทำแท้งเพียงแต่ทำให้ผู้หญิงไปทำแท้งอันตราย

-ในประเทศที่มีสิทธิทำแท้ง การมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นไปตามความต้องการปกติ ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลง

-คนที่มีเมียเยอะที่สุดในสังคม ก็คือชนชั้นปกครอง

สองมาตรฐาน



ผู้ชายต้องมีสิทธิในการลาคลอด


ผู้หญิงต้องการกำลังใจหลังคลอดลูกและต้องการให้สามีช่วยเลี้ยงลูก ทั้งผู้หญิงและผู้ชายควรจะมีสิทธิลาคลอดในระยะเวลาที่เท่าเทียมกัน และควรจะขยายเวลาในการลาคลอด เพราะเด็กคือทรัพยากรต่อไปของสังคมที่สำคัญ
-สังคมไทยยังไม่พร้อม

-ไม่รู้มีเงินจ่าย

-ยังไม่เคยมีแนวความคิดเรื่องนี้
- พวกผู้มีอำนาจในสังคมไม่เคยกลุ้มใจเมื่อไม่มีใครช่วยเลี้ยงลูก เพราะพวกนี้มีพี่เลี้ยงเต็มไปหมด และมีเงินเหลือเฟือ

-พวกนี้เอาเงินไปใช้ทางอื่นเช่น งบประมาณทางการทหารและพิธีกรรม

-เด็กบางส่วนในสังคมมีทรัพยากรใช้อย่างเหลือเฟือในขณะที่เด็กกำพร้ามีจำนวนเป็นแสนๆ

ต้องลดชั่วโมงในการทำงานในแต่ละสัปดาห์ลง และ ต้องมีสถานที่รับเลี้ยงเด็กอ่อนใกล้สถานที่ทำงาน อย่างทั่วถึง
เพื่อให้พ่อกับแม่มีเวลาให้ลูกๆ ร่วมพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกๆ

และเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตโดยทั่วไป
-ส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่

-สร้างศีลธรรมและบอกว่าหน้าที่ของพ่อแม่ต้องดูแลลูกให้ดีๆ โดยไม่มีนโยบายที่เป็นรูปธรรมรองรับ

-เรามีแม่ของแผ่นดิน? แต่ชีวิตเขาไม่เหมือนเรา


-แรงงานหญิงสามารถลาคลอดได้ 3 เดือนเท่านั้น ฉะนั้นการให้นมลูกในช่วงระยะเวลาที่สำคัญๆอย่างต่ำ 6 เดือน จึงไม่สามารถทำได้

-ค่าแรงขั้นต่ำของไทยต่ำมาก ทำให้ไม่พอค่าใช้จ่าย ทั้งสามีภรรยาต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อให้เงินพอกับรายจ่ายที่จำเป็น

-แม่ของแผ่นดินไม่มี แต่ถ้าหากมีแล้วปล่อยให้เด็กๆอดอยาก มีคุณภาพชีวิตไม่ดีก็ควรถูกประณามไม่ควรมีเสียดีกว่า แต่ควรมีแม่ของเด็กที่สุขภาพดี มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน

ต้องท้าทายกระแสแนวความคิดอนุรักษ์นิยมทางด้านเพศของกระทรวงวัฒนธรรม ที่เน้นครอบครัวจารีต ซึ่งไม่ตรงกับโลกจริงของสังคมปัจจุบัน
เพื่อเพิ่มบรรยากาศเสรีภาพโดยทั่วไป
ปลุกกระแสอนุรักษ์นิยมอยู่ตลอดเวลา อ้างถึงความดีของครอบครัวจารีต แต่คนชั้นสูง นายพล นักการเมืองก็ไม่สามารถมีวิถีชีวิตตามที่เขาอ้าง
แนวจารีตทำให้ปัญหาการกดขี่ทางเพศ มีเพิ่มมากขึ้น ทำให้คนในสังคมประณามผู้หญิงที่ทำแท้ง, คนรักเพศเดียวกัน, หญิงบริการทางเพศ แทนที่จะตั้งคำถามว่าเงื่อนไขอะไรที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ อะไรธรรมชาติ อะไรไม่เป็นธรรมชาติ




การเฉลิมฉลองการเรียกก้องสิทธิสตรีทั้งในไทยและในระดับสากล ไม่สามารถและไม่เคยแยกออกจากการเรียกร้องร้องประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพทางด้านอื่นๆได้ ที่มาของวันดังกล่าวคือคนงานหญิงเป็นแกนนำแต่คนงานชายก็ร่วมสนับสนุนด้วย เพราะทั้งหญิงและชายชนชั้นล่างได้ประโยชน์ที่หนุนเสริมซึ่งกันและกัน ฉะนั้นศัตรูของผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย และเป้าหมายในการเรียกร้องสิทธิสตรีไม่ใช่เพื่อให้ถูกกดขี่เหมือนผู้ชาย หรือ ได้รับค่าแรงต่ำๆเท่ากับผู้ชาย มีความเสี่ยงในชีวิตเท่ากับผู้ชาย ปัญหาหลักอยู่ที่ความเหลื่อมล้ำทางสังคม เรื่องชนชั้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ปัญหาการกดขี่ทางเพศรุนแรงขึ้น คำขวัญของเราควรจะเป็น ปลดปล่อยทุกคนออกจากความอดอยาก ความกลัว และต้องมีการกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเพศอะไรหรือรสนิยมอย่างไร



2. เราต้องสู้กับจารีตประเพณีคับแคบเรื่องเพศ และศีลธรรมจอมปลอม

ใจ อึ๊งภากรณ์



ชนชั้นปกครองไทยโกหกเราเสมอว่าเขาต้องการปกป้อง “ประเพณีและศีลธรรมอันดีงามของไทย” จาก “อิทธิพลตะวันตก” มีการสร้างภาพเท็จว่าสังคมตะวันตกบ้าเซ็กส์ ในขณะที่มีการอ้างว่าสังคมไทยมีธรรมเนียมที่รักษาความเรียบร้อย แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ไทย เราจะพบว่าค่านิยมการแต่งกายปัจจุบันลอกแบบมาจากตะวันตกในช่วงรัชกาลที่ ๕ ที่มีการสร้างระบบทุนนิยมในไทย เพราะก่อนหน้านั้น ทั้งชายและหญิงไทยจะเปลือยหน้าอก การแต่งงานและระบบครอบครัวในรูปแบบที่เห็นอยู่ตามการเชิดชูของพวกจารีตนิยมก็เป็นเรื่องใหม่นำเข้าเช่นกัน ในสมัยก่อนครอบครัวมีลักษณะเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่ใช่แค่พ่อแม่ลูก และผู้ชายไม่ได้เป็นหัวหน้าครอบครัวด้วย นอกจากนี้การรักนวลสงวนตัวก็เป็นค่านิยมใหม่ในยุคทุนนิยม เพราะในยุคก่อนๆ ชายกับหญิงอาจอยู่ด้วยกันโดยไม่จดทะเบียนแต่งงาน และคู่รักจะมีการหนีไปอยู่ด้วยกันบ่อยๆ



นอกจากนี้ค่านิยม “รักนวลสงวนตัว” เป็นค่านิยมจอมปลอมที่เลือกปฏิบัติ เพราะมีการพยายามใช้กับหญิงอย่างเคร่งครัด แต่ในกรณีชายไม่ให้ความสำคัญ แถมบ่อยครั้งมีการเชิดชูการซื้อเพศสัมพันธ์โดยชายในสถานที่บริการอีกด้วย



ยิ่งกว่านั้นในอดีต ในหมู่คนใหญ่คนโตเบื้องบน นอกจากจะมีประเพณีการบังคับใช้แรงงานดุจทาสหรือไพร่แล้ว ชายชนชั้นปกครองมักจะมีเมียน้อยจำนวนมาก โดยมองว่าผู้หญิงเป็นทรัพย์สมบัติ ทั้งหมดนี้คือประเพณีอันเลวทรามเดิมๆ ของชนชั้นปกครองไทย และดูเหมือนชายคนหนึ่งในราชวงศ์ทุกวันนี้ก็มีทัศนะดูถูกผู้หญิงแบบนี้ด้วย โดยให้ภรรยาเปลือยกายหมอบคลานต่อตนเองในขณะที่จ้างช่างภาพมาถ่ายรูป เราต้องประณามพฤติกรรมกดขี่สตรีอย่างนี้



แล้วทำไมพวกจารีตนิยมในปัจจุบันมักเสนอมุมมองคับแคบต่อการมีคู่รักหรือเพศสัมพันธ์? สาเหตุหลักคือความสำคัญของสถาบันครอบครัวในระบบทุนนิยม ถึงแม้ว่าคนธรรมดาอาจหวังว่าครอบครัวเป็นแหล่งที่พึ่งแห่งความอบอุ่น และคนธรรมดามักจะรักสมาชิกของครอบครัวตนเอง แต่สำหรับระบบทุนนิยม สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่ใช้เลี้ยงลูกที่จะเป็นแรงงานในอนาคตในราคาถูก และผู้ที่มีภาระหนักในการเลี้ยงลูกจะเป็นผู้หญิง นี่คือสาเหตุที่ผู้หญิงถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง คือเป็นคนที่มีหน้าที่หลักในงานบ้านแทนที่จะมีหน้าที่หลักในเวทีสาธารณะ นอกจากตัวอย่างว่าชนชั้นปกครองมักเป็นชายแล้ว ถ้าดูองค์กรพันธมารเสื้อเหลือง ก็จะพบว่ามีการกีดกันไม่ให้ผู้หญิงเข้ามาเป็นแกนนำด้วย (แต่ผู้หญิงที่รักประชาธิปไตยและมีศักดิ์ศรีก็คงไม่อยากเข้าไปในพันธมารแต่แรก)



กฎระเบียบต่างๆ ที่พยายามควบคุมพฤติกรรมทางเพศของเรา โดยเฉพาะเพศหญิง ถูกออกแบบเพื่อสร้างระเบียบวินัยของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้ภาระการเลี้ยงลูกเป็นเรื่องปัจเจก แทนที่สังคมโดยรวมจะรับเป็นภาระนี้



การโยนภาระการเลี้ยงลูกให้เป็นเรื่องปัจเจกที่ผู้หญิงต้องทำในแต่ละครอบครัว เป็นวิธีสำคัญในการที่ชนชั้นนายทุนและกลุ่มธุรกิจต่างๆ จะหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพื่อสร้างสถาบันเลี้ยงลูกของสังคม หรือเพื่อให้รัฐสวัสดิการสำหรับการเลี้ยงลูกอย่างทั่วถึง มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ทางชนชั้นของกลุ่มคนที่ควบคุมระบบทุนนิยมอย่างชัดเจน เพราะรูปแบบครอบครัวเดี่ยวและวินัยครอบครัวที่มาพร้อมกัน ไม่ใช่รูปแบบการเลี้ยงลูกรูปแบบเดียวที่มนุษย์มีได้หรือเคยมีในอดีต



ผลในรูปธรรมคือพวกจารีตนิยมพยายามกล่อมเกลาให้เราคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสกปรกน่าอาย ต้องแอบทำในรั้วของครอบครัวเท่านั้น แทนที่จะมองว่ามันเป็นความต้องการพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์ที่แสนจะงดงาม ดังนั้นพวกศีลธรรมจอมปลอมก็พยายามเสนอว่าการไปมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องเสียหาย ในขณะที่การไปฆ่าคนในสงครามเป็นเรื่องดีงาม พวกนี้เสนอต่อไปว่าการมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะสนุกและก่อให้เกิดความสุขด้วย โดยเฉพาะในเพศหญิง ดังนั้นวัยรุ่นที่ชอบกันและมีเพศสัมพันธ์กันถูกตราหน้าว่าเป็นคน “ไร้ศีลธรรม”



ปัญหาคือในความเป็นจริง การมีเพศสัมพันธ์นอกกรอบจารีตเกิดขึ้นตลอดเวลา ในทุกระดับชนชั้น โดยเฉพาะในผู้ชาย และจารีตคับแคบทำให้การพูดคุยเรื่องเพศ และการเข้าใจวิธีป้องกันตัวเองจากโรคยากขึ้น สังคมถูกกดดันให้ปฏิเสธความจริงว่าวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงาน ดังนั้นมีการโกหกว่าการแจกจ่ายถุงยางฟรีเป็นเรื่อง “ไม่จำเป็น” หรือเป็น “การส่งเสริมการมั่วเซ็กส์” และผู้หญิงมักเสียเปรียบตรงที่ไม่กล้าบังคับให้คู่รักคู่นอนของตนสวมถุงยาง ทั้งๆ ที่แฟนของเขาอาจไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น เช่นในสถานบริการเป็นต้น



เกย์และกะเทย

การรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องปกติธรรมชาติในทุกสังคม และคาดว่าประมาณ 10% ของประชากรมีรสนิยมแบบนี้ แม้แต่นายพลชั้นสูงบางคนก็รักเพศเดียวกัน แต่ในระบบทุนนิยมมักมีการมองว่าพฤติกรรมรักเพศเดียวกันเป็นเรื่อง “บาป” สาเหตุหลักคือมันไม่ช่วยสนับสนุนวินัยจารีตของครอบครัวคับแคบที่พวกอนุรักษ์นิยมผลักดัน เพราะครอบครัวรูปแบบนี้ “ต้องมี” พ่อกับแม่ ชายกับหญิง ดังนั้นแนวจารีตนิยมจะอธิบายว่าชายฆ่าชายในสงครามมีศักดิ์ศรี แต่ชายกอดจูบชายเป็นเรื่องสกปรก



ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ คนเสื้อแดงจะเปิดกว้าง และเห็นใจ ปกป้องคนรักเพศเดียวกัน พรรคเสื้อแดงต้องยืนอยู่ข้างคนที่ถูกรังแก



ประชาธิปไตยที่เราเรียกร้อง ความเท่าเทียมที่เราแสวงหา ต้องรวมถึงสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในการเลือกวิถีชีวิตทางเพศด้วย



ผู้ที่ให้บริการทางเพศ

สังคมเราที่เต็มไปด้วยศีลธรรมจอมปลอม “มือถือสากปากถือศีล” พร้อมกับค่านิยมกลไกตลาดของทุนนิยม มีผลทำให้เซ็กส์เป็นเรื่องที่ซื้อขายกันได้ ซึ่งบ่อยครั้งทำให้ผู้ขายบริการถูกกดขี่ ถูกปราบปรามจากรัฐ และถูกดูหมิ่นอีกด้วย ผลที่ตามมาคือเขาถูกลดทอนอำนาจในการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ HIV ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนทัศนคติที่สังคมมีต่อคนบริการทางเพศ เราควรมองว่าเขาเป็นพี่น้องมิตรสหายร่วมสังคมของเรา เราต้องเคารพเขา



ในเหตุการณ์พฤษภาคม ๒๕๓๕ ขณะที่มวลชนกำลังต่อสู้กับทหารเผด็จการกลางถนนในใจกลางกรุงเทพฯ มีรายงานข่าวชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Far Eastern Economic Review บทความนี้เล่าถึงผู้หญิงบริการทางเพศที่ออกมาร่วมประท้วงขับไล่เผด็จการ ร.ส.ช. ผู้หญิงผู้รักประชาธิปไตยคนนี้อธิบายให้นักข่าวต่างประเทศฟังว่าเขาติดตามสถานการณ์ทางการเมืองมานานและทนไม่ไหวที่จะเห็นเผด็จการครองอำนาจต่อไป ทนไม่ได้ที่เห็นการใช้กำลังในการปราบปรามเพื่อนประชาชน และเขาเล่าต่อไปด้วยว่า ไม่ใช่เขาคนเดียวในหมู่ผู้ประกอบอาชีพแบบนี้ที่มีความรู้สึกเกลียดชังเผด็จการ ข่าวชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายกรอบความคิดคับแคบปฏิกิริยาของสังคมไทยเกี่ยวกับพี่น้องเราที่ประกอบอาชีพบริการทางเพศ เพราะการที่คนมองว่าเป็นเรื่องแปลกที่ผู้หญิงบริการจะมีจิตสำนึกทางการเมืองและออกมาร่วมเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการ แสดงว่าหลายคนในสังคมไทยไม่ค่อยมองพี่ๆ น้องๆ จากอาชีพนี้ว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ เพื่อนพลเมือง และเป็นคนที่สมควรได้รับความเคารพ ผมเชื่อมั่นว่าในหมู่คนให้บริการเพศ มีคนที่จิตใจแดงจำนวนมาก



ถ้าพูดถึงแนวความคิดดูหมิ่นผู้หญิงบริการทางเพศในสังคมไทยมันมีสองแนวหลัก และทั้งสองแนวไม่มองว่าเขาเป็นมนุษย์เต็มตัวเหมือนเรา แนวที่หนึ่งเป็นแนวความคิดไร้อารยธรรมของชนชั้นปกครองหัวอนุรักษ์ แนวนี้มองว่าผู้หญิงบริการทางเพศเป็นคนไร้ศีลธรรม เป็นหญิง"ไม่ดี" ในขณะเดียวกันพวกอนุรักษ์แบบนี้โกหกเราอย่างหน้าด้านๆ ในเรื่องเกี่ยวกับประเพณีไทย ในความเป็นจริงชนชั้นปกครองไทยกดขี่ผู้หญิงมาเป็นประเพณี "ประเพณีอันดีงามของไทย" เวอร์ชันชนชั้นปกครองในอดีต คือการมีวังเต็มไปด้วยนางสนม และในยุคจอมพลสฤษดิ์ นายกรัฐมนตรีเผด็จการของไทย ก็มีการซื้อสาวมาบริการทางเพศท่านนายกเป็นร้อยๆ แถมซื้อด้วยเงินที่โกงกินจากส่วนรวมอีกด้วย ยุคนี้มีนักการเมืองระดับสูงไม่น้อยที่ซื้อบริการทางเพศชั่วคราวเป็นประจำ บางครั้งจากเด็กด้วย และมีอีกส่วนหนึ่งที่ได้ผลประโยชน์ในรูปแบบกำไรหรือส่วยจากธุรกิจแบบนี้ พวกแนวอนุรักษ์จอมโกหกยังไม่ทันย่างออกมาจากซ่องก็เอ่ยปากด่าการมีเพศสัมพันธ์ของพวกเรา บางคนในแนวอนุรักษ์ที่ดูหมิ่นหญิงบริการมักจะด่าสตรีเหล่านั้นว่าเป็นคนโลภมากและขี้เกียจ "ไม่ยอมประกอบอาชีพบริสุทธิ์ดีๆ ไม่ยอมขยัน มัวแต่หาทางรวยเร็ว" สำหรับคนที่พูดแบบนี้เรามีคำตอบเดียวคือ ถ้าคุณคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าหลายคนต่อหนึ่งคืนเป็นเรื่อง "ง่าย" ก็ไปลองทำดูเองสิ…



แนวทางคับแคบเกี่ยวกับผู้หญิงบริการทางเพศแนวที่สองในสังคมไทยเป็นแนวที่หวังดีต่อสตรี ไม่เหมือนแนวอนุรักษ์ แต่เป็นการหวังดีแบบอุปถัมภ์ของเอ็นจีโอสิทธิสตรีบางกลุ่ม แนวนี้มองข้ามความเป็นมนุษย์เต็มตัวของพี่น้องขายบริการเช่นกัน แต่แทนที่เขาจะมองว่าหญิงเหล่านี้"เลว" เขามองว่า "เป็นเหยื่อ" ซึ่งก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด



มุมมองของเราชาวเสื้อแดงต่อเรื่องนี้ควรมีสองมิติ คือข้อเสนอระยะสั้นและข้อเสนอระยะยาว ในระยะสั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเคารพและฟังพี่น้องที่ประกอบอาชีพบริการทางเพศ ดังนั้นเราควรให้ความสำคัญกับข้อเสนอขององค์กรเอ็มพาวเวอร์ เราควรสนับสนุนการยกเลิกกฏหมายทั้งปวงที่เกี่ยวกับธุรกิจการขายบริการทางเพศ ไม่ต้องปราบ (ยกเว้นกรณีมีคนถูกบังคับ ฯลฯ ซึ่งจัดการด้วยกฏหมายอื่นๆ ธรรมดาๆ ได้) ไม่ต้องจดทะเบียน ไม่ต้องให้เป็นเรื่องของการควบคุมหรือเรื่องของตำรวจ ซึ่งแปลว่าต้องแก้ไขกฏหมายที่กดขี่แรงงานต่างด้าวด้วย เพราะหญิงบริการจากพม่า ลาว เขมร หรือแม้แต่หญิงรัสเซีย อาจถูกปราบโดยใช้ข้ออ้างว่าเป็นแรงงานต่างด้าวแทน นอกจากนี้เราต้องส่งเสริมอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจของหญิงบริการทางเพศ ควรเปิดโอกาสและช่วยเหลือให้เขาก่อตั้งสหภาพแรงงานและสหกรณ์เพื่อให้เขาปกป้องตนเองและมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น ควรแก้กฏหมายแรงงานสัมพันธ์ให้ครอบคลุมทุกอาชีพ รวมถึงการขายบริการทางเพศ และนักสหภาพแรงงานในขบวนการแรงงานไทยควรยื่นมือแสดงความสมานฉันท์กับหญิงบริการด้วย



ในมิติระยะยาวเราน่าจะเข้าใจว่าทุนนิยมบิดเบือนและทำลายความงดงามของการเป็นมนุษย์ในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะในการทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสินค้า รวมถึงความรักหรือร่างมนุษย์ด้วย ดังนั้นในสังคมใหม่ที่เราต้องการสร้างจะไม่มีการซื้อขายทางเพศ จะไม่มีการใช้ร่างมนุษย์ในการโฆษนาสินค้าด้วย แต่เราจะเปิดกว้างในเรื่องเพศสัมพันธ์และการเปลือยกาย การซื้อขายทางเพศในสังคมไทยปัจจุบันผูกพันธ์กับค่านิยมอนุรักษ์นิยมที่ชนชั้นปกครองยัดเยียดให้เรา ผลคือสังคมคับแคบที่หญิง "ดี" ไม่สามารถมีประสบการณ์งดงามของเพศสัมพันธ์ภายใต้ความรักถ้าไม่อยู่ในกรอบการแต่งงาน และชายก็ไม่มีโอกาสเช่นกัน



สรุปแล้ว ศีลธรรมจอมปลอมคับแคบของชนชั้นปกครองที่ใช้แนวจารีตนิยมและมีต้นกำเนิดมาจากความต้องการที่จะสร้างระเบียบวินัยครอบครัว เพื่อตอบสนองการกอบโกยกำไรของกลุ่มทุนและการควบคุมประชาชนภายใต้แนวคิดเผด็จการ คนเสื้อแดงต้องให้ความสำคัญกับการเมืองทางเพศ และต้องสนับสนุนสิทธิสตรี สิทธิเกย์ กะเทย ทอม ดี้ และสิทธิของผู้ให้บริการทางเพศ และที่สำคัญเราต้องเปิดศึกทางความคิดกับแนวจารีตนิยมจากเบื้องบน

8 มีนาคม 2009-03-08

วันสตรีสากล

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.