Wednesday, March 25, 2009

เราต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และตำรวจ/ทหาร

เราต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และตำรวจ/ทหาร

ใจ อึ๊งภากรณ์

ปัจจุบันนี้สังคมไทยขาดความยุติธรรม และขาดสันติภาพ การปฏิรูประบบยุติธรรมในสังคมแยกออกไม่ได้จากปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาความยากจนและปัญหาประชาธิปไตย เราควรมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ตำรวจ และทหาร ในลักษณะองค์รวม ซึ่งโยงไปถึงกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย และการสร้างมาตรฐานวิถีชีวิตด้วยรัฐสวัสดิการอีกด้วย

การปฏิรูปกฎหมาย

· พลเมืองทุกคนต้องเท่าเทียมกันจริง ต้องไม่มีใครอยู่เหนือใครเพราะเหตุว่าเกิดมาในตระกูลหนึ่ง ดังนั้นต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติ และต้องไม่มีระบบสืบทอดอำนาจทางสายเลือด เพราะระบบนี้ขัดต่อหลักวิทยาศาสตร์และประชาธิปไตย

· ควรยกเลิกกฎหมายสามกฎหมายหลัก ที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยคือ กฎหมายหมิ่นเดชานุภาพ กฎหมายหมิ่นศาล และกฎหมายว่าด้วยการเซ็นเซอร์อินเตอร์เน็ด เพื่อให้มีความโปร่งใสและเอื้อกับการตรวจสอบสถาบันต่างๆ โดยพลเมือง การ”ปฏิรูป”กฎหมายหมิ่นเดชานุภาพไม่เพียงพอ ต้องยกเลิกไปเลย

· ควรยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการตั้งสหภาพแรงงานและการนัดหยุดงาน เพื่อลดบทบาทของรัฐในการเข้าข้างนายจ้างในกรณีข้อพิพาทแรงงาน และเพื่อเพิ่มอำนาจให้พลเมืองจำนวนมากที่เป็นลูกจ้าง

· ต้องยกเลิกกฎหมายห้ามค้าประเวณี เพื่อไม่ให้ตำรวจรังแกผู้ให้บริการทางเพศ ปัญหาการซื้อขายเพศต้องแก้ไขโดยการให้ความเคารพกับทุกฝ่าย และผ่านการปฏิรูปหรือยกเลิกแนวคิดจารีตคับแคบเรื่องเพศ ไม่ใช่ผ่านการใช้กฎหมายและตำรวจ

· ต้องมีการเพิ่มอำนาจให้แก่ชุมชนในการตัดสินใจในเรื่องทรัพยากร หรือโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น เขื่อน โรงไฟฟ้า ท่อก๊าซ ถนน ฯลฯ โดยใช้ระบบไตรภาคีที่กล่าวถึงไปแล้ว รัฐบาลส่วนกลางไม่ควรมีสิทธิ์ใช้ตำรวจในการบังคับใช้นโยบายโครงการขนาดใหญ่ เช่นท่อก๊าซ หรือเขื่อน

· การใช้ยาเสพติด ควรเน้น “นโยบายลดความเสี่ยงต่างๆ ให้แก่ผู้ใช้ยาเสพติด” เช่น ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ยาเสพติดเพื่อให้หลีกเลี่ยงยาอันตราย ต้องแจกเข็มฉีดยาสะอาดฟรี ยกเลิกบทลงโทษผู้ใช้ยา เพื่อป้องการแอบซ่อนและลดราคายาในท้องตลาด ซึ่งก่อให้เกิดการเสี่ยงอันตรายยิ่งขึ้น ต้องมีการรณรงค์ป้องกันโรคเอดส์อย่างทั่วถึง ควรมีการทำความเข้าใจว่าการติดยามีหลายมิติ ไม่ใช่แค่มิติเคมี และควรมีการเปรียบเทียบภัยจากการใช้ยาชนิดต่างๆ เช่นสุรา บุหรี่ กาแฟ ยาอี กัญชา เฮโรอีน ฯลฯ ด้วยหลักการวิทยาศาสตร์

· ต้องมีการยกเลิกกฎหมายจากยุคเผด็จการ หรือคำประกาศฉุกเฉินต่างๆ ทุกฉบับ เพราะไม่สร้างความมั่นคงแก่ประชาธิปไตย

· ต้องถอนทหารและตำรวจออกจากสามจังหวัดชายแดน เพื่อยุติสงครามและลดความรุนแรง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการแก้ปัญหาด้วยการเมืองสันติ

· ต้องให้ประเทศไทยมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาในทุกรูปแบบ ศาสนาต้องแยกออกจากรัฐและเป็นทางเลือกส่วนตัวของพลเมือง ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะนิยามความถูกต้องของการนับถือศาสนาพุทธหรือศาสนาอื่นแต่อย่างใด

ปฏิรูประบบยุติธรรม

· ควรมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างถอนรากถอนโคน เพื่อให้ประชาชนเข้ามาควบคุมตามหลักการประชาธิปไตย ควรลดอำนาจของผู้พิพากษา ตุลาการ และเพิ่มอำนาจให้ประชาชนเพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน โดยให้มีระบบใหม่คือ คณะลูกขุนที่มาจากทะเบียนรายชื่อประชากรในเขตนั้นๆ หมุนเวียนกันมาเป็น เพื่อเป็นผู้ตัดสินคดี โดยที่ผู้พิพากษาเป็นเพียงผู้ชี้แจงประเด็นกฎหมายให้คณะลูกขุน

· พลเมืองควรมีสิทธิ์วิจารณ์ศาลได้ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตรวจสอบของประชาชน ดังนั้นควรยกเลิกกฎหมายหมิ่นศาลในรูปแบบที่ใช้ในปัจจุบัน

· เราควรจะร่วมกันพิจารณาวิธีเลือกตั้งผู้พิพากษาและตุลาการทั้งหมด ไม่ใช่ปล่อยให้อภิสิทธิ์ชนที่ไม่รักประชาธิปไตยเป็นผู้แต่งตั้ง

· สำหรับคดีย่อยๆ เช่นลักขโมยฯลฯ ไม่ควรมีการจำคุก ควรใช้นักสังคมสงเคราะห์ในการชี้แนะให้ผู้ผิดสามารถปรับตัวผ่านงานสาธารณะ แต่ที่สำคัญ เราต้องแก้ปัญหาอาชญากรรมที่ต้นเหตุ เพราะการลักขโมยส่วนใหญ่มาจากปัญหาความยากจนหรือการติดยา ดังนั้นต้องเน้นการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมผ่านการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน โดยการสร้างรัฐสวัสดิการ

· ควรมีการทบทวนปรัชญาในการจำคุก เพื่อเน้นความปลอดภัยของสังคมแทนการแก้แค้นลงโทษ เราต้องยกเลิกโทษประหารชีวิตในทุกกรณี ควรปฏิรูประบบคุกเพื่อลดจำนวนนักโทษ และเพิ่มศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักโทษ ในปัจจุบันคุกไทยเป็นพื้นที่ป่าเถื่อน มีการใช้ความรุนแรง มีการใช้อำนาจเกินขอบเขต และสภาพการขังนักโทษเป็นสภาพจากศตวรรษก่อน ทั้งหมดนี้ต้องปฏิรูปและต้องลดจำนวนผู้ถูกขังอีกด้วย

· ต้องสร้างมาตรฐานความเท่าเทียมและความยุติธรรมในสังคม โดยเริ่มจากเบื้องบน ต้องนำเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เคยทำผิดในคดีความรุนแรงกับประชาชน เช่น ในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๖ตุลา พฤษภา๓๕ กรณีตากใบ ฯลฯ มาลงโทษ และให้อำนาจแก่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเป็นผู้ฟ้องอาชญากรของรัฐให้ขึ้นศาล(แต่กรรมการสิทธิมนุษยชนต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน) อดีตอาชญากรของรัฐควรถูกกีดกันไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งสาธารณะอีก

· ต้องมีสำนักงานดูและสุขภาพและความปลอดภัยที่มีระบบบริหาร “สามส่วน” ประกอบด้วย (1)คนจากรัฐบาลส่วนกลางที่มาจากการเลือกตั้ง (2)คนที่ได้รับการเลือกตั้งจากชุมชนที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลได้ผลเสีย และ(3)คนที่เป็นตัวแทนของสหภาพแรงงาน โดยที่ทั้งสามส่วนมีผู้แทนเท่ากัน สำนักงานนี้ต้องมีอำนาจและทรัพยากรเพียงพอที่จะดำเนินคดีกับบริษัทหรือหน่วยงานของรัฐที่ละเมิดกฎระเบียบความปลอดภัยหรือทำลายสิ่งแวดล้อม



การปฏิรูปทหารเพื่อให้เผด็จการหมดสิ้น

· ประชาชนต้องสามารถตรวจสอบการทำงานของทหารได้ ควรลดงบประมาณทหารให้เหลือน้อยที่สุด ยกเลิกงบประมาณลับ เน้นกองกำลังอาสาสมัครของประชาชนแทนอุปกรณ์แพงๆ ในการทำสงคราม และการเกณฑ์ทหาร

· นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งควรเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทหารไม่ควรมีสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ทหารไม่ควรมีบทบาทอะไรทั้งสิ้นในการควบคุมหรือรักษาความสงบภายในประเทศ ควรลดจำนวนนายพลให้เหลือแค่จำนวนที่จำเป็น และเพื่อสกัดกั้นการใช้อำนาจในทางที่ผิด

· ทหารควรจำกัดบทบาทในการป้องกันประเทศ ไม่ควรมีตำแหน่งใดๆ ในรัฐวิสาหกิจ ระบบคมนาคม หรือสื่อ

· ต้องถอนทหารและตำรวจออกจากสามจังหวัดชายแดน เพื่อยุติสงครามและลดความรุนแรง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้มีการแก้ปัญหาด้วยการเมืองสันติ



การปฏิรูปตำรวจ

· ควรนำระบบบริหาร “ไตรภาคี” เข้ามาใช้ในการบริหารและควบคุมตำรวจ ศาล และคุก ซึ่งกรรมการไตรภาคีดังกล่าวควรประกอบด้วย 1.คนจากรัฐบาลส่วนกลางที่มาจากการเลือกตั้ง 2.คนที่ได้รับการเลือกตั้งจากชุมชนที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับผลได้ผลเสีย รวมถึงนักสหภาพแรงงาน หรือผู้แทนขบวนการเคลื่อนไหวภาคเกษตร และ 3.ผู้แทนของผู้ที่ทำงานในองค์กรเหล่านั้น ดังนั้นตำรวจชั้นผู้น้อยควรมีสหภาพแรงงาน

· ตำรวจไม่ควรถืออาวุธ ควรทำหน้าที่หลักในการเป็นผู้ประสานงานกับชุมชนเพื่อสร้างความปลอดภัยแทนการปราบปราม ทุกวันนี้ชุมชนในเมืองหรือชนบทเป็นสิ่งที่สร้างความปลอดภัยมากกว่าตำรวจอยู่แล้ว

· คดีไหนที่มีหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่รัฐทรมานผู้ถูกกล่าวหาเพื่อให้สารภาพหรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ต้องยกฟ้องทันที และต้องนำเจ้าหน้าที่มาลงโทษ ทั้งนี้เพราะเป็นปัญหาร้ายแรงในปัจจุบัน

· ตำรวจไม่ควรมีหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจคนเข้าเมืองเพื่อไม่ให้กลั่นแกล้งพี่น้องที่เดินทางเข้ามาในประเทศเรา และควรยกเลิกตำรวจตระเวนชายแดนเพราะหน่วยงานนี้มีประวัติในการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในเหตุการณ์ ๖ ตุลา

· ตำรวจและทหารไม่ควรมีสิทธิ์ตั้งด่านตรวจคนบนท้องถนน ถ้าจะค้นบ้าน รถ หรือขอตรวจบัตร ต้องมีมูลเหตุชัดเจนว่าผู้ถูกสอบสวนแต่ละคนอาจกระทำความผิด

· ปัญหาจราจรต้องแก้ที่ระบบคมนาคมขนส่งมวลชน ไม่ใช่โยนภาระให้ตำรวจชั้นผู้น้อยต้องยืนข้างถนนเสี่ยงภัยต่อสุขภาพอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ ตำรวจชั้นผู้น้อยควรได้เงินเดือนในระดับที่พอเหมาะกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

· การดับเพลิงควรโอนไปเป็นหน่วยงานพลเรือนซึ่งขึ้นอยู่กับหน่วยปกครองท้องถิ่น แต่ควรได้งบประมาณจากส่วนกลางเพื่อให้ท้องถิ่นยากจนมีการพัฒนา



ใครควรจะเป็นผู้ปฏิรูปสังคมไทย?

คงไม่ใช่ คนอย่าง นายบวรศักดิ์ อุวรรโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า(ตั้งชื่อตามกษัตริย์ที่ขัดขวางประชาธิปไตย) ที่ได้กล่าวไว้ในปาฐกถาการประชุมประจำปี ของรพ.ราชวิถี๒๕๕๑ ว่า"ประชาธิปไตย นั่นเหมาะกับประเทศที่มีชนชั้นกลางมาก แต่ประเทศไทยไม่ใช่ เพราะมีแต่คนจนและชอบประชานิยมแบบ ลด แลก แจก แถม ไปเรื่อย"

คงไม่ใช่ สถาบัน “กระโปกเกล้า” ที่ทำการปฏิรูปสังคมไทยเพื่ออภิสิทธิ์ชนในอดีต หรือแค่พวกนักวิชาการหรือนักเอ็นจีโอ

คงไม่ใช่ สุจิต บุญบงการ นักวิชาการอนุรักษ์นิยมที่ให้ความสำคัญกับอภิสิทธิ์ชนในการสร้าง “ประชาธิปไตย”บนลงล่าง

ผู้ที่จะปฏิรูปการเมืองต้องเป็น พลเมืองธรรมดาที่รักประชาธิปไตยที่รวมกลุ่มกัน เช่นคนเสื้อแดง นักสหภาพแรงงาน หรือกลุ่มเกษตรกร และต้องมีผู้แทนของคนกลุ่มน้อยและผู้ถูกรังแกในสังคม

22 มีนาคม 2009



--
Ji Ungpakorn
+44(0)7817034432
http://siamrd.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
http://wdpress.blog.co.uk/

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.