Sunday, April 12, 2009

Army Fire on Pro-democracy Demonstrators!

Army Fire on Pro-democracy Demonstrators!ทหารยิงปราบผู้ประท้วงเสื้อแดง
The Yellow-shirted Royalist have now shown their true colours by ordering troops to fire deadly rounds of automatic fire into protestors at a motorway intersection in Bangkok in the early hours of Monday 14th April. Since 2006, the Royalist Dictatorship has tried every means to cling to its privileges and power. They staged a coup in September 2006, used the courts to dissolve elected government parties, used armed PAD mobs to cause chaos by the seizing of Government House, blocking parliament and then finally taking over the international airports. Now they are prepared to kill Red shirt pro-democracy demonstrators. This is the 4th time in 40 years that the security forces have used brutal force in Bangkok to maintain their power.



The Redshirts will not give up the fight! Victory for democracy! Victory for the Redshirts! Down with the Royalist Dictatorship!! Forward to a Republic!!



It is time for all those who believe in freedom and democracy to stand up and condemn the Thai regime.



Giles Ji Ungpakorn

Red Siam

พวกเสื้อเหลืองได้เผยโฉมหน้าอันแท้จริงแล้ว ด้วยการใช้กองกำลังและกระสุนปืนในการพยายามสลายมวลชนเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตย ตั้งแต่ต้นปี ๒๕๔๙ พวกเผด็จการรักเจ้าได้ใช้ทุกวิธีทางในการปกป้องอภิสิทธิ์ ผลประโยชน์ และอำนาจอันไม่ชอบธรรมของเขา ไม่ว่าจะเป็นการทำรัฐประหาร การใช้ศาลเป็นเครื่องมือในการยุบพรรค หรือการใช้อันธพาลพันธมิตรเพื่อก่อความวุ่นวาย ตอนนี้เขาพร้อมจะฆ่าประชาชนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตย นี่เป็นครั้งที่สีในรอบสี่สิบปีที่กองกำลังของชนชั้นปกครองใช้ความรุนแรงในกรุงเทพฯเพื่อปกป้องอำนาจเถื่อน



แต่คนเสื้อแดงจะไม่ยอมแพ้! คนเสื้อแดงจะได้ชัยชนะ! ประชาธิปไตยจงเจริญ! เผด็จการนิยมเจ้าและพวกเสื้อเหลืองจงพินาศ! เราต้องเดินหน้าสู่สาธารณรัฐ!!



ถึงเวลาแล้วที่ผู้รักประชาธิปไตยทั่วโลกต้องออกมาประณามรัฐบาลไทย



ใจ อึ๊งภากรณ์

สยามแดง

สนนท.ต้านพรก. จี้นายกฯยุบสภา

สนนท.ต้านพรก. จี้นายกฯยุบสภา

สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เรื่อง หยุดการก่ออาชญากรรมโดยรัฐต่อการชุมนุมของประชาชนที่นำโดย นปช.
โดยเรียกร้องรัฐบาล 5 ข้อประกอบด้วย

1.ขอประณามและเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกพระราชบัญญัติบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งถอนกำลังทหารและตำรวจออกจากเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

2 ขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศยุบสภา เพื่อให้เกิดกระบวนการประชาธิปไตยและคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินว่าใครคือผู้ชอบธรรมในการบริหารประเทศ หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ให้ความชอบธรรมแก่ตนจริง ควรยอมรับในกระบวนการประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

3.ขอเรียกร้องให้ยุติการใช้อำนาจนอกระบบโดยชนชั้นนำในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหาร ตุลาการภิวัฒน์ หรือการแทรกแซงทางการเมืองโดยผู้ที่ไม่ได้มาจากกการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เพราะเป็นแนวทางที่จะทำให้กระบวนการประชาธิปไตยถูกทำลาย

4.หากมีการสลายการชุมนุมโดยใช้ความรุนแรงจากภาครัฐ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย จะออกมาเรียกร้องให้เพื่อนนิสิตนักศึกษาและประชาชนทั่วไปออกมาประท้วงการกระทำอันไม่เป็นประชาธิปไตยของรัฐบาลในทันที

5.ขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกผู้ที่เคารพในสิทธิเสรีภาพและระบอบประชาธิปไตย ร่วมต่อต้านการกระทำอันมีลักษณะเป็นเผด็จการซ่อนรูปของรัฐบาลและเฝ้าระวังการแก้ปัญหาที่สุ่มเสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรมโดยรัฐต่อประชาชน หากเกิดการก่ออาชญากรรมโดยรัฐต่อประชาชนจริง ขอให้ประชาคมโลกร่วมกันประณามและขอให้สหประชาชาติปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง [UN International Covenant on Civil and Political Rights ( ICCPR ) ]

ขอร่วมสนับสนุน สนนท จาก นปชusa

แถลงการณ์ norporchorusa

แถลงการณ์ norporchorusa
กลุ่มชนต่างแดน norporchorusa
ขอประนามการกระทำของพวกอำมาตย์ ทหารชั่ว และพวกรัฐบาลเถื่อน และไอ้เนวิน
กับพวกสารเลว ที่วางแผนสั่งกระทำต่อประชาชนเสื้อแดง
ผู้มีจิตใจเข้มแข็ง ร่วมกันต่อสู้กับพวกชาติชั่วอย่างกล้าหาญ ห้าวหาญ
และเด็ดเดี่ยว
ถึงเวลาแล้วที่พวกมึงจะเลือกว่าจะอยู่หรือจะไป
ถ้าจะอยู่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน

woodside_ny
Norporchorusa NY,NJ,HOUSTON.TX

Tuesday, April 7, 2009

แถลงการณ์คน RED UK ฉบับที่ 1

แถลงการณ์คน RED UK ฉบับที่ 1
ท่ามกลางการต่อสู้ที่เข้มข้นแหลมคมของพี่น้องฝ่ายประชาธิปไตยสีแดง ได้มีการตอบโต้จากฝ่ายเผด็จการไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ทหาร กลุ่มผู้มีอำนาจนอกระบบ ได้ทำการปิดกั้นการสื่อสารมีการใส่ร้ายต่างๆนานาต่อกลุ่มพี่น้องเสื้อแดง มีการกีดกันไม่ให้พี่น้องเสื้อแดงเดินทางมาเข้าร่วมการชุมนุมในรูปแบบต่างๆ รวมถึงมีข่าวลือว่าอาจจะมีการใช้ความรุนแรงจากฝ่ายทหารและรัฐบาลโจร เพื่อยุติบทบาทการชุมนุมและรวมตัวกันของชาวเสื้อแดง

เราชาวคน RED UK ซึ่งเป็นกลุ่มสนับสนุนพี่น้องเสื้อแดงนอกประเทศไทย มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ได้มีการประชุมครั้งที่สอง (5 เมษายน 2009)เมือง Birmingham และมีมติอย่างเป็นทางการว่า กลุ่มคน RED UK ขอเรียกร้องต่อรัฐบาลและผู้มีอำนาจในสังคมปัจจุบันว่าห้ามใช้ความรุนแรงกับพี่น้องคนเสื้อแดงที่ชุมนุมอย่างสันติไม่ว่าในกรณีใดๆทั้งสิ้น

1. เราชาวคน RED UK เรียกร้องให้คืนประชาธิปไตยให้ประชาชนทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ต้องยกเลิกสถาบันองค์มนตรี ทหารต้องเลิกยุ่งและแทรกแซงการเมืองในทุกกรณี

2. ห้ามมีการปราบปรามต่อการชุมนุมอันสันติของพี่น้องเสื้อแดงในทุกกรณี หากมีการปราบปรามชาวเสื้อแดง คนRED UK จะเคลื่อนไหวในระดับสากล เพื่อประณามการกระทำอันป่าเถื่อนของทหารและพรรคประชาธิปัตย์ต่อขบวนการประชาธิปไตยทันที รวมถึงเปิดโปงความชั่วร้ายของฝ่ายเผด็จการในทุกๆด้าน

3. ต้องมีการยุบสภาพเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน โดยใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2540





ประชาธิปไตยคืนมา เอาอภิสิทธิชนคืนไป

กลุ่ม KON RED UK

5 เมษายน 2009

THAI-RED-UK Declaration 1

Political events in Thailand are reaching a high point with the planned mass protest for democracy by thousands of Red Shirts on 8th April. The murky forces of the Thai Dictatorship are making every attempt to block people from joining the protests, by setting up illegal road blocks and by silencing alternative media and communications outlets. Lies are being told about the Red Shirts and there are very serious threats to use violence to disperse the demonstrators.

We, the Thai RED UK network, fully support the pro-democracy protests planned for the 8th April in Bangkok. At a meeting on 5th April in Birmingham, we resolved to call on the government and those in power to refrain from any violence against the protestors.

1. We demand that democracy be returned to Thai society immediately and without conditions. The Privy Council should be abolished and the military should stop intervening in politics.

2. We strongly oppose any violent acts by the state against the Red Shirt protests. If all those in power do not respect democratic rights and act with violence, we shall mount a vigorous international campaign to denounce them.

3. Parliament should be dissolved immediately and fresh elections held under the 1997 Constitution.





“KON RED UK”

5/4/09



--
Giles Ji Ungpakorn
UK mobile:+44-(0)7817034432
http://siamrd.blog.co.uk/
http://wdpress.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
see YOUTUBE videos by Giles53

Sunday, April 5, 2009

Suwichai Takor gets 10 years in prison!

Suwichai Takor gets 10 years in prison!

Associate Professor Giles Ji Ungpakorn

What kind of country and society imprisons someone for making comments on the internet? What kind of Foreign Minister encourages armed conflict with neighbouring countries in order to distract attention from internal problems? What kind of government comes to power by a combination of a military coup, two judicial coups together with street violence, bribery and threats? What kind of Prime Minister tells lies to the foreign press and Oxford academics about the state of democracy and the use of the draconian lese majeste laws? What kind of ruling class uses “the love of the King” to justify a military coup, terrorist acts by its supporters at international airports and severe censorship? Yes, Thailand is now firmly among the ranks of tin-pot despotic regimes around the world.



That the Thai ruling elite, the military and the fascist PAD yellow shirts, together with the mis-named Democrat Party, should lock up people like Suwichai Takor for 10 years is not surprising. All that Suwichai did was to post a comment about the Monarchy on the internet. The fascist PAD leaders who used street violence and blocked the airports are still free and unlikely to be put in jail. The Generals who abused their power in a coup are still racking in the money. No one should be surprised that there is no justice in Thai courts. There is no transparency and accountability of any major public institutions, including the Monarchy, the Judiciary, the Government and the Army. The judges have their own version of the lese majeste law to stifle any criticism.



What should surprise and worry us is that almost the entire Thai NGO movement, almost the entirety of Thai academia and all the mainstream media have kept silent, or worse, supported this destruction of free speech and democracy. And what should anger us also, is that Amnesty International has refused to do anything of substance to defend prisoners of conscience in Thailand.



The NGO movement turned its back on “politics” and the primacy of mass movements in the 1980s. Instead they embraced “lobby politics”. First they loved-up to the Thai Rak Thai government. Then, when they were wrong-footed by the government’s pro-poor policies that proved that the NGOs had only been “playing” at development, they rushed over to love-up to the conservative Royalists. Such an about face was only possible by ignoring politics, international lessons and any theory. NGO leaders argued that they were the true activists, not book worms or theoreticians. This is explains why they can justify to themselves the support for the 2006 coup and why they have failed to defend democracy since. Instead of bothering to analyse the political situation, they beat a path to lobby generals, governments of every shade and anyone who has power.



The academics are even worse. For decades they have shunned political debate, preferring personal squabbles to principled arguments. No one is ever forced to justify or argue for their beliefs. On the occasion when papers are written, they are descriptive and ignore work by those who pose awkward questions. So when they defended their Middle-Class interests and supported the 2006 coup, they felt no need for a serious explanation other than to say that the poor “did not understand democracy”. This un-academic behaviour has rich rewards. Many have extra earnings from collaborating with the ruling elites.



The Thai conservative elite are playing a dangerous game. They have started a civil war between the people (now represented by the Red Shirts) and the Yellow-shirted Royalists. Early in 2006 they decided that they would use extra-Constitutional means to get rid of an elected government. Their justification was the “corruption” and “abuse of power” by the Thai Rak Thai Prime Minister Taksin Shinawat. While there is much to criticise in the actions of Taksin and Thai Rak Thai, it must also be said that the conservative elites, including the Monarchy, have always been corrupt and abused their power. What they didn’t like was that someone else might be getting more powerful than them through the democratic process.



These elites have for decades ruled Thailand from behind the scenes as if it were their own personal fiefdom. A poisonous patron client network draws in new recruits to this “elite feeding trough” where fortunes are to be made at the expense of the hard-working poor. This vast parasitic organism maintains its legitimacy by claiming that Thailand has an Absolute Monarchy, where the King is an all-powerful god. Yet the King is weak and has no “character” and his power is a fiction. .Army generals, politicians, businessmen and privy councillors prostrate themselves on the ground and pay homage to the “powerful” king, while exercising the real power in the land and racking in the profits. But the King is very old and his son is hated, feared or viewed with contempt. Where will the elite’s new meal ticket come from when the King dies?



Like the story of “the Emperor’s New Clothes”, the elites relied on telling the Thai population (and maybe even the King), a pack of lies in order to promote their own agenda. The King is a God! The King is all powerful! We serve the King! And the lese majeste law and other authoritarian measures are used to back up these lies. But the boy has already spoken! Most people in Thailand can see that the Emperor has no clothes! The King hasn’t “held together Thai society”. He hasn’t created justice and equality and he has sided in public with the military and the anti-democrats throughout his reign.



But the process of destroying the corrupt, privileged and authoritarian network around the Monarchy will take time. People like Suwichai Thakor, Da torpido, Boonyuen Prasertying and many others will suffer in jail. The Red Shirts will have to mobilise and organise on a long-term basis. Meanwhile, politicians like Taksin, and many others, are still clinging to Royalist ideas, claiming to be “loyal subjects” of the King, while attacking privy councillors for planning the coup. Many Red Shirts are restless and want to go much further in order to build Democracy and Social Justice.



We must not be afraid anymore. But that is easier for me to say from the safety of Britain! We must all be the little boy who says what he sees as the Emperor walks past naked. Why should we, the Thai people, be “loyal subjects of the King”? In a democratic and equal society the King should be loyal to us. If he or any future Monarch is not prepared to listen to the people, respect the people as his master, and defend democracy, then we definitely need a republic.

3 April 2009



--
Giles Ji Ungpakorn
UK mobile:+44-(0)7817034432
http://siamrd.blog.co.uk/
http://wdpress.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
see YOUTUBE videos by Giles53

ขอแสดงความเสียใจต่อ คุณ สุวิชชัย ท่าค้อ

ขอแสดงความเสียใจต่อ คุณ สุวิชชัย ท่าค้อ
เห็นข่าวการตัดสินของศาลเกี่ยวกับ กรณี ของคุณ สุวิชชา ท่าค้อ แล้วรู้สึกโกรธ ชิงชังกับสภาพสังคมที่เป็นอยู่ แค่ความคิดของคนที่อยากตั้งคำถามกับสังคมที่เขาอาศัยอยู่ แค่เขาถามหาความจริง เขาถูกพรากชีวิตไปร่วม 11 ปี ไม่เพียงแค่เขาคนเดียว แต่หมายรวมถึงครอบครัว ลูก เมีย อนาคตการเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพการเข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ ถูกคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าบดขยี้อย่างไม่เหลือชิ้นดี เพียงแค่ให้ตัวเองอยู่ในอำนาจต่อไป คนที่ตัดสินคดีนี้หัวใจมันคงดำเปื้อนเน่าสนิท มันคงเป็นประเภทที่เห็นคนตายแล้วยิ้มหัวเราะด้วยความชอบใจโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร ถ้าเป็นแบบนั้นโครงสร้างของสังคมไอ้ที่มีอำนาจในร่างมนุษย์นี่มัน คือ คนหรือปีศาจ กันแน่ และเราอยากจะอยู่กับสังคมปีศาจสกปรก หรือ สังคมนุษยอารยะที่มนุษย์มีความเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ดีในโลกนี้มันมีระบบยุติธรรมอยู่สองชนิดคือ ชนิดแรกที่เราเห็นอยู่ในประเทศไทย ที่คนส่วนน้อยได้กำหนดกติกาของระบบยุติธรรมขึ้นมา ปรัชญาของความยุติธรรมที่ใช้อยู่คือเพื่อปกป้องคนกลุ่มน้อยหรือกาฝากของสังคม ชนิดที่สองคือความยุติธรรมที่คนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นคนที่ตั้งขึ้นมา เช่น การปฏิวัติฝรั่งเศษที่มีปรัชญา

กรณีคุณสุวิชา ท่าค้อ ทำให้มีคำถามเกิดขึ้นว่า ท่ามกลางขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยมีนักการเมืองที่เป็นแกนนำชอบอ้างความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ และชอบเหมารวมว่าประชาชนคนไทยทุกคนจงรักภักดี? เหตุการณ์นี้มันชวนให้คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีความจำเป็นและปกป้องระบบอันป่าเถื่อนไปโดยปริยาย ซึ่งมันถึงเวลาแล้วถ้านักการเมืองเหล่านี้ถ้ามีหัวใจรักประชาชนจริงๆ เหมือนที่เปร่งเสียงออกมา ก็ไม่ควรจะยืนอยู่บนคราบน้ำตาแห่งความทุกข์ ไม่ควรจะปิดหูปิดตาไม่รับรู้ว่าขณะนี้มีประชาชนถูกคุมขังเพราะมีความคิดต่างตามหลักประชาธิปไตย ถึงเวลาจะเปลี่ยนจุดยืนยืดอกประกาศว่าประเทศไทยไม่ควรมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อแสดงความรักและความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นอันดับแรก

ความงี่เง่าอีกอันหนึ่งพวกเราไม่ควรลืมก็คือพนักงานสอบสวนจะพยายามกล่อมให้คนรับผิดทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำความผิด พวกนี้รู้ว่าคนธรรมดาคนจนมีจุดอ่อนอยู่ที่เรื่องของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะครอบครัวของคนที่มีคนหารายได้เข้าครอบครัวเพียงคนเดียว เช่น กรณีของคุณสุวิชชัย ท่าค้อ หรือ ป้าบุญยืน ทั้งสอนคนถูกกลุ่มให้รับผิดเพื่อโทษหนักจะได้กลายเป็นโทษเบาจะได้พ้นผิดและจะได้กลับไปหาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียเลี้ยงครอบครัวเหมือเดิม

ข้อกล่าวหา ว่ากระทำความผิดโดยการโพสต์รูปและข้อความลงบนอินเตอร์เน็ต นั้นก็ไม่ได้มีพิสูจน์อย่างโปร่งใสว่ามันคือรูปอะไรกันแน่ ปล่อยให้พวกผู้พิพากษาเพียงไม่กี่คนตัดสิน แน่นอนผู้พิพากษาเลวๆของไทยนั้นไม่มีปัญญาเข้าใจระบบความเป็นธรรมแน่นอนนอกจากกีดกันคนธรรมดาไม่ให้เข้าถึงความยุติธรรม ในกรณี “รูป” ที่เผยแพร่ถ้าเป็น “รูป” ที่คนดูแล้วติดเชื้อโรคทำให้ตายภายใน 24 ชั่วโมงก็มีเหตุผลที่เข้าจับกุมเพราะมันมีผลกระทบต่อคนอื่น แต่ถ้าเป็นรูปภาพความระยำของคนมีอำนาจก็เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบตามคำแนะนำของผู้มีอำนาจในสังคมไทยที่หิวความโปร่งใส และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่บังคับให้คนอื่นแสดงความเคารพก็ไม่น่าจะมีความผิดแต่อย่างใดหนำซ้ำควรเพิ่มอำนาจให้มีการตรวจสอบเพิ่มมากขึ้นต่างหาก ถ้าคนเรามีความเท่าเทียมและใช้ศีลธรรมชุดเดียวกัน มันก็คงไม่มีปัญหา แต่มันเกิดปัญหาขึ้นมาเพราะคนส่วนน้อยมันกำหนดกรอบศีลธรรม ความดีงามขึ้นมาแล้วตัวมันเองทำไม่ได้ มันอยากให้คนอื่นทำตามกฎต่างหาก

ในหนังเรื่อง The Reader มีฉากหนึ่งที่นำเอาการ์ดของนาซีมาขึ้นศาลเพื่อหาเหตุในการทำผิดและลงโทษ คนเป็นจำนวนมากโกรธแค้น แต่นักเรียนกฎหมายคนหนึ่งแสดงความโกรธแค้นว่า ถ้ามีปืนจะยิ่งการ์ดนาซีที่อยู่ในศาลทิ้งเสียเพื่อลงโทษที่เธอมีส่วนร่วมในพฤติกรรมอันป่าเถื่อนนั้น แต่อีกคำถามหนึ่งเค้าถามว่าคนที่อยู่ในช่วงเหตุการณ์ในยุคนั้น ทำไมไม่ทำอะไร ปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เราปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ภาระนี้ไม่ได้อยู่ที่คนหนึ่งคนใด แต่มันเป็นความรับผิดชอบของพวกเราทุกคนที่จะออกมาบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

“มนุษย์” แง่การเป็นสมาชิกของสังคมไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ มนุษย์ต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผ่านการตั้งคำถามและแสดงความเห็นว่าชอบหรือเห็นต่าง ในเรื่องของมาตรฐานทางสังคมที่มันเกี่ยวข้องกับตนเองหรือพวกเรา การตั้งคำถามถือเป็นสิทธิพื้นฐาน หากสังคมใดไม่มีการตั้งคำถามจะเป็นสังคมที่โง่เขลาและป่าเถื่อน คนที่ได้รับความป่าเถื่อนมากที่สุดคือ ประชาชนคนธรรมดานั่นเอง เหมือนที่เราๆเห็นอยู่ในประเทศไทยขณะนี้

ข้อเสนอเพื่อหนุนช่วยคุณ สุวิชชัย ท่าค้อ

1. ช่วยกันประณามศาลที่ตัดสินกรณี ของคุณสุวิชชัย ท้าค้อ ในรูปแบบต่างๆ เช่น ส่งจดหมายร้องเรียน และเรียกร้องให้เปิดเผยรูปภาพ ข้อความที่คุณสุวิชชัย ท่าค้อ ได้โพส เพื่อให้ประชาชนมีร่วมตัดสิน เราต้องเรียกร้องให้นำระบบลูกขุนมาให้แทนระบบระยุติธรรมในประเทศไทย

2. เรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีกฎหมายนี้ก็ดีแต่รังแกคนธรรมดา

3. ให้กำลังใจครอบครัวของสุวิชชัย ท่าค้อ ในทุกรูปแบบ

4. ปกป้องและรณรงค์ช่วยคนที่ถูกข้อกล่าวนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในคุกหรือคนที่กำลังอยู่ในกระบวนการของศาล ให้พ้นผิดหมดทุกข้อกล่าวหาอย่างไม่มีข้อยกเว้น เพราะพลเมืองทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะคิดและตั้งคำถาม หากสถาบันกษัตริย์ดีจริงและมีคนรักจริงๆ อย่างคำโฆษณาชวนเชื่อที่กระหน่ำอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างได

รังเกียจพวกอภิสิทธิชนคนกาฝาก

เคารพในศักดิศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่ากันของคน

สมุดบันทึกสีแดง





--
Giles Ji Ungpakorn
UK mobile:+44-(0)7817034432
http://siamrd.blog.co.uk/
http://wdpress.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
see YOUTUBE videos by Giles53

เมื่อเสื้อแดงไม่ยอมถอย อมาตย์ก็ไม่ยอมหยุด

เมื่อเสื้อแดงไม่ยอมถอย อมาตย์ก็ไม่ยอมหยุด
บทความ โดย ปูนนก
เมื่อเสื้อแดงไม่ยอมถอย อมาตย์ก็ไม่ยอมหยุด
อาทิตย์ ที่ 5 เดือน เมษายน พ.ศ.2552
หลังจากที่ได้สัมผัสพี่น้องชาวเสื้อแดงที่อยู่ในที่ชุมนุมหน้าทำเนียบ
และได้สอบถามจากเพื่อน ๆ ผู้มีจิตใจเป็นสีแดงเหมือน ๆ กัน ทุก ๆ
คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันด้วยความฮึกเหิมว่า วันที่ 8 เมษายนนี้
จะต้องไปเข้่าร่วมชุมเพื่อแสดงพลังขับไล่อมาตยาธิปไตยให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทยให้ได้
และดูเหมือนจะมีคนตอบว่า "ไป" มากกว่า "ไม่ไป"
ชนิดที่เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ได้เลย พูดง่าย ๆ ก็คือ สัญญาณวันที่
8 เมษายน สำหรับคนเสื้อแดงได้กลายเป็นวันแห่งสัญลักษณ์การรุกรบชนิดที่ต้องถึงขั้น
"แตกหัก" กับระบอบอำนาจเดิมอย่างแน่นอน.....


นึก ๆ แล้วก็น่าตื่นเต้นสำหรับผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมมาก่อน
ซึ่งก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นา ๆ "จะมีการปะทะกันไม๊
?....จะมีการล้อมปราบหรือเปล่า ?....จะสู้อำนาจของเขาได้หรือ
?....ถ้าีมีรัฐประหารเกิดขึ้นจะทำอย่างไร ?...." ฯลฯ
สำหรับนักสู้หน้าจอ หรือ
นักสู้กองหลังจำนวนมากก็มักจะแสดงความเห็นเชิงความห่วงใยในลักษณะนั้นเสมอ....
แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวในวันที่ 8 เมษายนที่จะถึงนี้
คงจะไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องอย่างธรรมดา ๆ เหมือนที่ผ่านมา
แต่สำหรับการชุมนุมของคนเสื้อแดงในวันที่ 8 นี้
เป็นการต่อสู้ของอำนาจคู่ 2 อำนาจคือ
อำนาจเผด็จการที่ครองประเทศมาอย่างยาวนาน
และอำนาจประชาชนที่แท้จริงที่ต้องการเรียกร้องอำนาจของตนคืนมา....



ไม่มีใครสามารถทราบได้อย่างแท้จริงว่าเมื่อประชาชนจำนวนนับแสนคนมารวมตัวกันเพื่อขับไล่อำนาจเผด็จการในวันที่
8 เมษายนที่จะถึงนี้
จะมีอะไรเกิดขึ้นในวันนั้นบ้างเหตุการณ์อาจจะผ่านไปอย่างสงบเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นคือ
แค่มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันเรียกร้องแล้ัวก็เลิกรากันไป
หรืออาจจะมีคนจิตวิตกบางคนนำกองกำลังทหารออกมาทำการปราบปรามประชาชนโดยใช้กำลังก็เป็นไปได้ทั้ง
2 ทาง....แต่ที่แน่ ๆ
สิ่งที่ประเทศนี้ไม่สามารถจะปฏิเสธต่อไปได้อีกแล้วก็คือ
ประชาชนไทยได้สร้างอำนาจคู่ขึ้นมาเพื่อคานอำนาจของเผด็จการ
และเรียกร้องให้นำประชาธิปไตยกลับคืนมาเป็นของประชาชนไทยอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง



สัญญาณความเคลื่อนไหวอย่างมีนัยยะสำคัญของประธานองคมนตรี
ที่ไปปักหลักอยู่ที่บ้านไ้ร้กังวลจังหวัดนครราชสีมา
หลังจากถูกเปิดเผยอย่างหมดเปลือกว่าเป็นผู้กุมอำนาจเผด็จการและือิทธิพลทางการเมืองมาอย่างยาวนาน
อีกทั้งมีนายทหารและกลุ่มผู้สนับสนุน พล.อ. เปรม
จำนวนมากที่ออกมาแสดงพลังข่มขู่คนเสื้อแดงในยามนี้....แสดงให้เห็นชัดเจนว่าอำนาจเผด็จการที่ครองประเทศอยู่ในเวลานี้คงจะไม่ยอมรามือง่าย
ๆ อย่างแน่นอน



อำนาจเป็นสิ่งหอมหวานสำหรับผู้่ี่ที่ได้ครอบครอง
และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดหรือจะอยู่ในสภาพใด
มนุษย์ก็ยังคงกระหายหาอำนาจอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย.... พล.อ. เปรม
แม้จะอายุอยู่ในวัยที่เรียกได้ว่า "วัยชรา" ซึ่งควรจะมีชีวิตอย่างสุขสงบ
และได้รับความเคารพนับถือย่างสูงจากผู้คนในชาติในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี
และรัฐบุรุษ แต่ในทางตรงกันข้ามเรื่องราวกลับมิได้เป็นเ่ช่นนั้น
เมื่อความจริงที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างหมดเปลือก
ภาพของ พล.อ. เปรม ผู้เป็นรัฐบุรุษที่แสนสุภาพ กลับกลายเป็นภาพของ
ซาตานผู้กระหายเลือดภายในพริบตา



สถานการณ์วันที่ 8 เมษายนนี้
เป็นสถานการณ์การสู้รบของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศกับอำนาจเผด็จการเดิมที่ครอบครองประเทศนี้....
อำนาจเผด็จการทรงพลังด้วยสรรพอาวุธและสถานะทางการปกครอง
เนื่องด้วยครองอำนาจต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน....ซึ่งคงเป็นไปได้ยากที่จะยอมสละอำนาจนั้นไปโดยง่าย
แต่ขณะเดียวกันประชาชนผู้รักประชาธิปไตยซึ่งได้ตื่นขึ้นมาจากความมืดบอดทั้งปวงก็คงจะไม่ยอมให้อำนาจเผด็จการ
แย่งชิงอำนาจไปจากประชาชนอีกอย่างแน่นอน



การปะทะกัีนครั้งนี้คงยากที่จะมีคำว่า "เสมอ"
หลายครั้งที่ผ่านมาเมื่อปะทะกันระหว่างอำนาจของประชาชนกับอำนาจเผด็จการ
และเมื่อเผด็จการใกล้จะพ่ายแพ้ก็มักจะเหตุการณ์ที่ทำให้ออกลูกเสมอทุกครั้ง...แต่สำหรับครั้งนี้คงยาก
เพราะคงจะไม่มีใครในประเทศนี้ที่เป็น "ผู้ใหญ่"
เพียงพอที่จะยุติความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับเผด็จการอมาตย์ในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน



เมื่อพลังฝ่ายประชาชนไม่ยอมหยุดการต่อสู้ครั้งนี้
แน่นอนว่าเผด็จการอมาตย์ก็คงไม่ยอมถอยเช่นกัน พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ 2
อำนาจต่างก็วิ่งเข้าหากันด้วยกำลังแรงและไม่มีฝ่ายใดยอมหยุดหรือยอมถอย
การปะทะกันครั้งนี้ต้องมีผลออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งคือ "ไม่ชนะก็แพ้"



วันที่ 8 เมษายนนี้
จะไม่เป็นเพียงแค่พี่น้องชาวเสื้อแดงรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยเท่านั้น
แต่จะเป็นวันที่ประชาชนจะร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยขึ้นใหม่เพื่อประเทศนี้
ประชาธิปไตยจะต้องได้รับการสถานปนาขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ในประเทศไทย
เพื่อประชาชนไทย และโดยประชาชนไทย...........



พีน้องประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยทุก ๆ ท่าน
เวลาของท่านที่จะเป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตย "ตัวจริงเสียงจริง"
มาถึงแล้ว วันที่ 8 นี้ จะไม่มีนักสู้หน้าจอ หรือ
นักสู้กองหลังอีกต่อไป แต่ทุก ๆ คนจะกลายเป็นนักสู้ประชาธิปไตยภาคสนาม
และท่านจะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์หน้าสำคัึญหน้าหนึ่งสำหรับประเทศนี้....เวลาของท่าน
และข้าพเจ้าได้มาถึงแล้ว มิใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง
แต่เืพื่อลูกหลานของเรา และเพื่อประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราทุก ๆ
คนต่อไปในอนาคต