Saturday, December 22, 2012

ประวัติวันคริสต์มาส The story of Christmas

ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ได้ทางห้องสมุดมหาวิทยาลัยประชาชน ที่ http://tprud.org/ulibrary/ นะครับ piangdin ประวัติวันคริสต์มาส The story of Christmas
คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัว ทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์ มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต้นคริสมาส Christmas Trees
ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .... .นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น ซานตาคลอส Santa Clause
ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมใน ประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญ องค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวาง เรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟ ของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้ การให้ของขวัญในวันคริสต์มาส เป็นธรรมเนียมนี้ เริ่มกับชาวโรมที่เคยให้ของขวัญแก่ เพื่อนในวันขึ้นปีใหม่ (มักจะเป็นผลไม้ ขนม หรือทองคำ) ต่อมาชาวอังกฤษถือ "วันกลอง" (ในวันที่ 26 ธันวาคม) เป็นวันที่ศิษยาภิบาลเคยเปิด "กลองทาน" ในโบสถ์ และแจกเงินให้สมาชิกที่ยากจน ต่อมาชาว อังกฤษก็ให้ของขวัญแก่พวกคนใช้ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ในวันนั้นด้วย ในทวีปยุโรป เด็กๆ มัก จะเข้าใจว่า พระกุมารเยซูเป็นผู้นำของขวัญมาให้เขา (แท้จริงแล้วพ่อแม่เป็นผู้ที่ให้ต่างหาก) แต่เด็กที่สหรัฐอเมริกามักจะคิดว่า "ซานตาคลอส" เป็นผู้ให้ คืนก่อนวันคริสต์มาส หรือคริสต์มาสอีฟ จะมีงานแครอลลิ่ง ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปร้องเพลงตามบ้าน ในคืนวันคริสต์มาส ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่นการแสดง ร้องเพลง เพลงคริสมาส Christmas Carols เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนั้น มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิวัฒนาการใหม่ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบัน ได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวันเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจ จะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จ ก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก
.... piangdin :-) President, Thai Alliance for Human Rightshttp://thai-ahr.org President, Thai People's Revolutionary University for Democracy http://thai-ahr.org

Thursday, December 13, 2012

ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ ราษฎรทั้งหลาย เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่ากษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การณ์ก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังกันไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้างและการซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนเงิน ผลาญเงินของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร กดขี่ข่มเหงราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม ดังที่จะเห็นได้จากความตกต่ำในทางเศรษฐกิจและความฝืดเคืองในการทำมาหากินซึ่งพวกราษฎรได้รู้กันอยู่โดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้ การที่แก้ไขไม่ได้ก็เพราะรัฐบาลของกษัตริย์มิได้ปกครองประเทศเพื่อราษฎรตามที่รัฐบาลอื่นๆ ได้กระทำกัน รัฐบาลของกษัตริย์ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่าไพร่บ้าง ข้าบ้าง) เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์ เหตุฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร จะเห็นได้ว่า ภาษีอากรที่บีบคั้นเอาจากราษฎรนั้น กษัตริย์ได้หักเอาไว้ใช้ปีหนึ่งเป็นจำนวนหลายล้าน ส่วนราษฎรสิ กว่าจะหาได้แม้แต่เล็กน้อย เลือดตาแทบกระเด็น ถึงคราวเสียเงินราชการหรือภาษีใดๆ ถ้าไม่มีเงินรัฐบาลก็ยึดทรัพย์หรือใช้งานโยธา แต่พวกเจ้ากลับนอนกินกันเป็นสุข ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน ซึ่งชนชาตินั้นก็ได้โค่นราชบัลลังก์ลงเสียแล้ว รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่าหลอกว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอยๆ ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่ มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน ว่าราษฎรยังมีเสียงทางการเมืองไม่ได้ เพราะราษฎรโง่ คำพูดของรัฐบาลเช่นนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็โง่เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงเจ้านั้นเป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษา ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่พวกเจ้าทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้เจ้าทำนาบนหลังคนอีกต่อไป ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศเป็นอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากราษฎรเพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำนาไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนแล้วก็ไม่มีงานทำ จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม เหล่านี้เป็นผลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย บีบคั้นข้าราชการชั้นผู้น้อย นายสิบ และเสมียน เมื่อให้ออกจากงานแล้วก็ไม่ให้เบี้ยบำนาญ ความจริงควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงานทำ จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินเหลือเท่าไหร่ก็เอาไปฝากต่างประเทศ คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย เหตุฉะนั้น ราษฎร ข้าราชการ ทหาร และพลเรือน ที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของรัฐบาลดังกล่าวแล้ว จึงรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรขึ้น และได้ยึดอำนาจของกษัตริย์ไว้ได้แล้ว คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลายๆ ความคิดดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้น จึงได้อัญเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมาก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้น อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา ตามวิธีนี้ราษฎรพึงหวังเถิดว่าราษฎรจะได้รับความบำรุงอย่างดีที่สุด ทุกๆ คนจะมีงานทำ เพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่อุดมอยู่แล้วตามสภาพ เมื่อเราได้ยึดเงินที่พวกเจ้ารวบรวมไว้จากการทำนาบนหลังคนตั้งหลายร้อยล้านมาบำรุงประเทศขึ้นแล้ว ประเทศจะต้องเฟื่องฟูขึ้นเป็นแม่นมั่น การปกครองซึ่งคณะราษฎรจะพึงกระทำก็คือ จำต้องวางโครงการอาศัยหลักวิชา ไม่ทำไปเหมือนคนตาบอด เช่นรัฐบาลที่มีกษัตริย์เหนือกฎหมายทำมาแล้ว เป็นหลักใหญ่ๆ ที่คณะราษฎรวางไว้ มีอยู่ว่า ๑.จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง ๒.จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก ๓.ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก ๔.จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้) ๕.จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น ๖.จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎรให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้สำเร็จ คณะราษฎรขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์เหนือกฎหมายพึงตั้งตนอยู่ในความสงบและตั้งหน้าทำมาหากิน อย่าทำการใดๆ อันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎร การที่ราษฎรช่วยคณะราษฎรนี้ เท่ากับราษฎรช่วยประเทศและช่วยตัวราษฎร บุตร หลาน เหลน ของตนเอง ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน และมีเสรีภาพพ้นจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาสพวกเจ้า หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า “ศรีอาริยะ” นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า คณะราษฎร ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ จำนวนผู้เข้าชมหน้านี้ 017853 คน สถาบันปรีดี พนมยงค์ เลขที่ ๖๕/๑ ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท ๕๕ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๑๐ โทรศัพท์ ๐-๒๓๘๑-๓๘๖๐-๑ โทรสาร ๐-๒๓๘๑-๓๘๕๙ อีเมล banomyong_inst@yahoo.com เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ ๙.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. (เสาร์-อาทิตย์ เปิดทำการเมื่อมีกิจกรรม)

Sunday, October 28, 2012

แรลลี่ ตามจับฆาตกรใจหมา 27 ตุลาคม 2555 ณ กรุงเทพมหานคร

Wednesday, October 24, 2012

ประกาศยกเลิกหมอบคลาน สมัยรัชกาลที่ 5 พอมาสมัยรัชกาลที่ 9 ก็ให้เปลี่ยนจากหมอบคลาน มาเป็นเลื้อยคลานแทน จึงประกาศให้ทราบทั่วกัน.... ควรมิควร ก็ต้องควร....ถ้าไม่อยากมีเรื่อง

Friday, October 12, 2012

ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ต้อนรับ อ. ชูพงศ์ (8 ตุลาคม 2555)
คุณเอนก ซานฟราน ประธานบอร์ด และ ดร. เพียงดิน รักไทย ประธานบริหาร และคนไทยผู้ยึดถือหลักสิทธิมนุษยชน และภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ต้อนรับ อ. ชูพงศ์ ถี่ถ้วน สู่ดินแดนแห่งเสรีภาพ และเมืองมหาเสน่ห์ซานฟรานซิสโก เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา โดย อ. ชูพงศ์ ได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบอร์ดของภาคีฯ และจะเข้าร่วมการเปิดองค์กรอย่างเป็นทางการวันที่ 14 ตุลาคม ศกนี้ โดยจะมีการบรรยายในหัวข้อ “การละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย” นอกจากนี้ จะมีการบรรยายทางวิชาการในหัวข้อเดียวกัน ที่ UC Berkeley ในวันที่ 20 ตุลาคม และที่นครลอสแอนเจลีส ในวันที่ 29 ตุลาคม ศกนี้ ยินดีต้อนรับ อ. ชูพงศ์ สู่แดนแห่งเสรีภาพ และแผ่นดินผู้กล้า บนหลักการประชาธิปไตยและการเคารพสิทธิมนุษยชน การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (TAHR)
งานเปิดตัวภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน 14 ตุลาคม 2555 ค่าใช้จ่าย: ฟรีตลอดงาน อาหารและเครื่องดื่มฟรี โดยประธานบอร์ด คุณเอนก ซานฟราน

Thursday, October 11, 2012

วันที่ 11 ตุลาคม 2555 เรื่อง ขอความช่วยเหลือในการเอาข้อความลงใน cbox norporchorusa เรียน Khun Woodside NY/Khun Victory Hunter,
ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าผมติดตาม norporchorusa มาโดยตลอดนับหลังจาก 19 พค. 2553 เป็นต้นมา แต่เป็นเพียงการเข้ามาอ่านกระทู้ที่เขาโพสท์กัน รวมถึงการโหลดคลิปเสียงลงซีดีพร้อมทั้งการขยายซีดีต่อให้ผู้สนใจจำนวนหนึ่ง ผมเองอายุเกิน 60 ปีแล้ว ไม่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ ใช้ได้นิดหน่อย จึงไม่ถนัดที่จะโพสท์กระทู้ อย่างไรก็ดีผมได้พยายามรวบรวมข้อมูลได้ตามข้างล่างนี้ หากคุณ Woodside เห็นว่าพอมีประโยชน์ก็ช่วยนำลงให้ผู้อื่นได้อ่านกันใน cbox ด้วยครับ ข้อความเป็นดังนี้ 1. คนไทยส่วนใหญ่คาดไม่ถึง ว่าวันนี้ยังมีอาชีพหนึ่ง ที่ใช้อุปกรณ์ในการหากินเพียงไม่กี่อย่าง เช่นกล้องถ่ายรูปกับแผนที่ ก็สามารถสร้างความร่ำรวยให้แก่บุคคลนั้น ได้อย่างมหาศาล ถึงขนาดว่ารวยติดอันดับโลกกันเลยทีเดียว. 2. ทำไม- การแจกปริญญาบัตร, สายสะพาย, เครื่องราชฯ, พัดยศ หรือแม้กระทั่งตัวครุฑ ที่ติดอยู่ตามหน้าอาคารห้างร้านหรือบริษัท จึงเป็นธุรกิจผูกขาดอยู่กับองค์กรเดียวเท่านั้น 3. ทำไม รถไฟไทยจึงไม่พัฒนา หรือห้ามพัฒนา เป็นคำถามอมตะที่ไม่มีผู้ใดหาคำตอบได้ แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่การรถไฟที่เกษียณอายุไปแล้วไม่รู้ว่ากี่รุ่น ก็ไม่ สารมารถหาเหตุผลได้หรือแม้เพียงแต่จะคิด ผมมีคำตอบมาให้ลองขบคิดดูครับ คำตอบน่าจะมาจากประเด็นหลังมากกว่า กล่าวคือห้ามพัฒนารถไฟไทย เพราะมีธุรกิจหนึ่งได้ใช้รถไฟไปเพื่อประโยชน์ดังนี้ 1. เป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันดิบภาคพื้นดินของประเทศที่มีแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบอยู่มากกว่า 1,000 แท่นขุดเจาะ ขนลงสู่อ่าวไทยเพื่อการส่งออก ตามข้อมูลของ CIA ไทยส่งน้ำมันดิบเข้าอเมริกาเป็นอันดับที่ 33 ของโลก 2. เป็นเส้นทางลำเลียงปูนซิเมนต์ และวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ที่มีศูนย์การผลิตอยู่ที่ จังหวัดสระบุรี ให้กระจายไปได้ทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังขนส่งไปตามชายแดนเพื่อส่งต่อให้ประเทศเพื่อนบ้านเช่น เขมร ลาวและ พม่าเป็นต้น ฉะนั้นการขน ส่งทั้ ง 2 แบบนี้ไม่ต้องการรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟรางใหญ่ จึงไม่มีความจำเป็นหรือห้ามการพัฒนารถไฟ โดยข้ออ้างที่ว่าเอาไว้ให้ราษฎรผู้มีรายได้น้อยไว้เดินทาง ในขณะเดียวกันก็จงใจสร้างหนี้สินล้นพ้นให้กับการรถไฟสำหรับผู้บริหารที่มีไฟแรงเข้ามาก็ขบปัญหาหนี้สินรถไฟไม่แตก ขอจบเท่านี้ครับ ขอขอบพระคุณ คุณ Woodside และ คุณ Victory Hunter ด้วยครับ ผม vvvv, หลักสี่ , กทม. ครับ

Tuesday, September 25, 2012

สนามหลวง ในอดีต

สนามหลวง ในอดีต สมัยไร้ถุงพลาสติก
สนามหลวง ปี 1970 เป็นแผงขายเสื้อและมีร้านก๋วยเตี๋ยวกับร้านขายข้าวราดหมูแดง หมูกรอบอยู่ข้างๆชอบตู้ไม้ที่ขายของในยุคนั้นจัง รู้สึกคลาสสิคดี มีกรุกระจกสีที่ด้านบนด้วย
ตอนที่เรียนช่างกลปีหนึ่ง ก็เดินขายถุงกระดาษโชคดี อยู่แถวๆถนนที่เขาเดินนี่แหละกับเพื่อนสนุกดีครับ ดูกลอับดุลจนเบื่อ บางทีก็งูเห่ากัดกับพังพอน แต่เท่าที่เห็นไม่ค่อยปล่อย หากจะปล่อยก็ไม่นาน จะขายยาเสียมากกว่า เขาเก่งครับพูดเป็นต่อยหอย สารพัดจะยกนั่น ยกนี่มาสาธยายให้คนเชื่อยืนนั่งฟังกันนิ่งเลยละ เดี๋ยวก็ขายส่วนใหญ่เป็นรากอะไก็ไม่นู้แต่แพงเป็นบ้าเลยเมื่อ เที่ยบกับอย่างอื่นเช่นยาหม่อง สรรพคุณเหรอยกเมฆทั้งนั้น มีของพวกทหารอเมริกันจากนครราชสีมามาขายด้วย จะอยูกลางสนามหลวงใกล้ๆส้วมฉื่ที่ทำเป็นไม้กั้น ผมเจอ ประภาษ จารุเสถียรบ่อยกับแว่นตาดำล้อมรอบด้วยทหาร ส่วนมากเดินซื้อของกิน ข้าวหมูแดงหมูกรอบอร่อยครบเครื่อง แต่ผมว่าที่รอบๆศาลหลักเมือง อร่อยกว่านะอาจจะเป็นที่ผมชอบก็ใด้ ข้าวหมูแดงจะมีไข่และกุนเชียง น้ำราดนี่สูตรเด็ดของใครของมันเขาแข่กันตรงน้ำราดกับต้นหอมแช่น้ำในแก้วทุกโต้ ส่วนน้ำฟรีครับ ของกินสนามหลวงอร่อยหลายอย่างหลากหลายมาก คนมาสนามหลวงจะซื้อติดมือไปกินบ้านกันส่วนใหญ่ สมัยนั้นไม่มีถุงพลาสติกหือเชือกฟาง หรอกครับส่วนใหญ่ใช้ถุงกระดาษหนังสือพิมพิ์หรือถุงโชคดีหรือไม่ก็ถุงกระดาษสีน้ำตาล จะซื้อน้ำใช้แก้วตูดจีบและใบตองเชือกกล้วยเป็นเส้นแห้งๆ หมากฮอส หมากรุกมีเป็นจุดให้ท้าทาย 18 มงกุฏยัดเยียดพระรอดให้เราทำบุญก็เยอะโคตรตื้อเลยละ เรราเพลอจะหยดพระใส่กระเป๋าเสื้อเมื่อยื่นคืนไม่รับแต่จะเดินตื้อตามตลอดจนใด้เงิน พระก็ซื้อเป็กิโลละมั้งแถวนั้น เสน่ห์สนามหลวงนั้นชุมชนธรรมชาติที่จับใจไม่ลืมในคนรุ่นผมที่ใด้สัมพัส แต่เสียอย่างคือความสอาด และรถตืดที่หน้าปั้มสามทหาร สนามหลวงสถานที่นอนเมื่อ 14 ตุลาและที่วิ่งหางจุกตูดเมื่อ 6 ตุลา ยามเด็กเล็กพ่อพาไปชักว่า กินปลาหมึกย่างน้ำจิ้มถัวยามเย็น ที่นั่นคือที่พักผ่อนของประชาชนแต่เดี๋ยวนี้นกยังต้องมีสิทธิ์แค่ชายตามอง ขอขอบคุณ หนานเมือง สล่าง่าวบ้านนอก จาก internetfreedom

Saturday, August 25, 2012

ราชวงศ์วินเซอร์ กับราชวงศ์จักรี https://www.facebook.com/photo.php?fbid=262917697161519&set=a.113346208785336.13804.100003298721741&type=1&theater วันนี้รู้สึกสงสารเจ้าชายแฮรี่ และราชวงศ์วินเซอร์ ที่โดนถล่ม จึงขอนำเรื่องเปรียบเทียบระหว่างเจ้าชายแฮรี่ และราชวงศ์วินเซอร์ มาเปรียบเทียบกับราชวงศ์จักรี เสียหน่อย ขอเริ่มเมื่อยุคยุคสงครามโลกครั้งที่สองเลยแล้วกันไม่งั้นจะยาวเกินไป เมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ลอนดอนโดน ฮิตเลอร์และเยอร์มัน ส่งจรวด V1 V2 และฝูงบินทิ้งระเบิด Luftwaffe ผลัดกันเข้าโจมตี ราชวงศ์วินเซอร์ อยู่ที่ไหน ???? ตอบอยู่ที่ ลอนดอน มีบางช่วงอาจจะอพยพไปอยู่ในชนบทอังกฤษบ้าง เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทย โดนญี่ปุ่นยึด (ยังไม่โดนทิ้งระเิบิด) ราชวงศ์จักรีอยู่ที่ไหน ????? ตอบ เล่นสกีลั้ลลาอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ อ้าว แล้วตอนโดนพันธ์มิตรส่ง B 29 มาทิ้งระเบิดล่ะ ตอบ ก็ยังลั้ลลาอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ จนกระทั่ง ท่านปรีดี พนมยงค์ นำเสรีไทย เจรจาจนไทยพ้นจากสภาพ ประเทศแพ้สงคราม ราชวงศ์จักรีจึงกลับมาเป็น "มิ่งขวัญ" ชาวไทย (ตรงไหนฟระ) ราชวงศ์วินเซอร์ นำโดย ควีนอลิซาเบธ รับเงินภาษีจากรัฐบาลมาใช้จ่ายหรือป่าว ตอบ รับแต่ถ้าประเทศมีปัญหา ราชวงศ์จะตัดเงินงบประมาณลงทันที แม้ปัจจุบัน ราชวงศ์วินเซอร์ เดินทางไปไหนเรื่องส่วนตัว ก็จะใช้บริการแท็กซี่ รถไฟ ปัจจุบัน ราชวงศ์วินเซอร์ได้รับเงินจากรัฐบาลราว 1700 ล้านบาทต่อปี แม้แต่เมื่อพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ไฟไหม้ รัฐบาลยังไม่จ่ายค่าซ่อมแซม ราชวงศ์ต้องเปิดราชวังให้นักท่องเที่ยวเข้าชม เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่าย ในการซ่อมแซม ราชวงศ์จักรี นำโดย ภูมิพล รับเงินภาษีจากรัฐบาลมาใช้จ่ายหรือป่าว ตอบ รับ แม้กระทั่ง ยุคปี 40 ที่เศรษฐกิจไทยล่มสลาย เงินงบประมาณ ราชวงศ์ก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เคยมีคำว่าลด ยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่ารถ ค่าเครื่องบิน ราชวงศ์จักรี ก็รับอยู่ราว 3500 ล้านบาท มากกว่าราชวงศ์วินเซอร์ 2 เท่า ราชวงศ์จักรี มีพระราชวังอยู่ทั่วประเทศ หลายสิบพระราชวัง ไม่เคยมี ราชวงศ์ ไปพำนักแม้แต่ครั้งเดียว แต่รัฐบาลก็ต้องจ่ายค่าดูแลรักษา น่าจะมีเกือบร้อยพระราชวัง ราชวงศ์วินเซอร์เสียภาษีหรือไม่ ตอบ เสีย ราชวงศ์จักรี เสียภาษีหรือไม่ ตอบ ไม่เสีย แม้แต่ค่าไลเซ่นส์นักบิน ของฟ้าชาย กระทรวงคมนาคม ยังต้องออกกฏกระทรวงงดเว้นการเก็บ ราชวงศ์วินเซอร์ เลี้ยงสุนัขหรือไม่ ตอบเลี้ยง ควีนอลิซาเบธ เลี้ยงสุนัขพันธ์คอร์กี้ ราว 10 ตัว แต่ไม่เคยพาออกงาน เลี้ยงอยู่แต่ในพระราชวัง และไม่เคยบังคับให้ คนรับใช้ ต้องคุกเข่าให้สุนัข หรือบังคับให้ประชาชนกราบสุนัข ราชวงศ์จักรี เลี้ยงสุนัขหรือไม่ ตอบ ก็ทราบ ๆ กันอยู่ นอกจากเลี้ยงสุนัขแล้ว ยังพาออกงานให้บรรดา ข้าราชการคุกเข่าให้สุนัข ประชาชนกราบสุนัข แม้แต่ นายพลอากาศเอกฟูฟู เคยกระโดดขึ้นโต๊ะงานกาลาดินเนอร์ เดินไปเลียน้ำจากแก้วของเอกอัครข้าราชทูตอเมริกามาแล้ว คราวนี้ลองมาดูที่เจ้าชายแฮรี่ เจ้าชายเพลย์บอยแกะดำดู เจ้าชายแฮรี่ ไม่รู้จักเป็นผู้ใหญ่เสียที อารมณ์ร้อนพอ ๆ กับผมสีแดง (ฝรั่้งเชื่อว่า ผมสีแดงหมายถึงคนที่มีอารมณ์กบฏ ใจร้อน ไม่อยู่ใน ร่องในรอย) และคึกคะนองมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ยังเป็นที่รักเพราะว่า มีบุคลิคห้าวหาญ พึ่งพาได้ และเป็นนักกีฬา เจ้าชายแฮรี่ มีเรื่องชกต่อยวิวาท สร้างวีรกรรมไว้เยอะ ไม่ว่าจะสูบกัญชา เมาเหล้า แต่งชุดนาซีไปงานวันเกิดเพื่อน ถ้ามองกันอย่างเป็นธรรม เจ้าชายแฮรี่ เป็นเด็กติดแม่ และโชคร้ายที่เจ้าหญิงไดอาน่าจากไปตั้งแต่.. เจ้าชายแฮรี่อายุเพียง 12 ขวบ จึงออกจะเป็นหนุ่มขี้เหงา โหยหาความรักอยู่เสมอ แต่เจ้าชายแฮรี่ก็มีเรื่องดี ๆ มากมายเช่น อุทิศตนเพื่อช่วยองค์กรการกุศล ช่วยระดมเงินช่วยเหลือทหารในสมรภูมิอิรัก และอาฟกานิสสถาน เดินทางไปสำรวจขั้วโลกเหนือ เพื่อระดมทุนช่วยเหลือทหารพิการ พฤติกรรมเจ้าชายแฮรี่ ก็คงพอกลบเรื่องไม่ดีไปได้ ต้องเห็นใจว่า ม้ารองบ่อน ที่ต้องอยู่ใต้ร่มเงาของพี่ชายทั้งชีวิต ก็คงจะต้องมีรายการปาร์ตี้หลุดโลกกันบ้าง คราวนี้ย้อนกลับมาอีกซีกโลกหนึ่ง น้องชายที่อยู่ใต้ร่มเงาพี่ชายมาตลอด เป็นลูกแหง่ติดแม่ หลังจากทนไม่ไหวที่จะต้องอยู่ใต้ร่มเงาพี่ชาย ก็ตัดสินใจยิงหัวพี่ซะ เอามันตอนนอนนี่แหละ หลังจากนั้นก็หลบใต้กระโปรงแม่หนีไปอยู่สวิส ถามว่ารู้สึกเศร้าเสียใจกับการตายของพี่ชายไหม คำตอบคือ เปล่าเลย เพราะยังมีเวลา ซิ่งรถจากสวิสไปฝรั่งเศส เพื่อไปเที่ยวบาร์ จีบผู้หญิง ได้ทุก อาทิตย์ (อายุ 18 เศษ ๆ ) จนวันหนึ่ง ซิ่งรถเฟี๊ยต 500cc แข่งกับพี่เขยไปฝรั่งเศส จนรถคว่ำ ตาบอด พี่สาวเสียใจมากจนต้องหย่ากับพี่เขย เมื่อกลับมารับตำแหน่งกษัตริย์ ก็ร่วมมือกับแม่ ประหาร แพะ ไป 3 ตัว เพื่อปิดคดี ลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ หลังจากนั้น ก็ร่วมมือกับ สฤษดิ์ จอมเผด็จการขี้โกง บังคับให้ประชาชน ต้องกราบไหว้ (ตอนหลังพัฒนาไปต้องกราบหมาด้วย) สร้างภาพ ออกกฏหมายห้ามวิจารณ์ มีผุ้ติดคุกเพราะวิจารณ์ กษัตริย์บอด มากมาย ลองถามใจกันดูว่า เมื่อเทียบเคียงกันแล้ว ระหว่าง ราชวงศ์วินเซอร์ กับราชวงศ์จักรี ราชวงศ์ไหน ที่สมควรได้รับการยกย่อง

Wednesday, August 15, 2012

ประเทศของชนมืดบอด ที่ปกครองด้วยระบอบชราธิปไตย

ประเทศของชนมืดบอด ที่ปกครองด้วยระบอบชราธิปไตย โดย rungsira เมื่อ พุธ, 15/08/2012 - 18:06
ระบอบชราธิปไตย
ใน อาณาจักรของคนตาบอด ทั้งชายหญิงและเด็ก คนตาบอดข้างเดียวจึงได้เป็นราชา ขณะที่รัฐอันปกครองด้วย ระบอบชราธิปไตย จึงมีชายชราเป็นพระราชา แวดล้อมด้วย อำมาตย์,มุขมนตรี ล้วนแก่เฒ่าชราภาพ ประเทศของชนมืดบอด ที่ปกครองด้วยระบอบชราธิปไตย จึงมีความเป็นไปดังคำอธิบายไว้เบื้องต้น การว่าราชการของราชาเนตรเดียว และเหล่าเสนาบดีตาบอด จึงเป็นไปโดยหรี่สลัวทึมเทา การขับเคลื่อน ของระบบราชการเมืองตาบอด จึงเชื่องช้ายืดยาด ตามประสาระบบแห่งไม้เท้านำทางและมีหมานำ
ความเป็นอยู่ของประชาบอดไพร่ฟ้า จึงจ่มเจียม เนิบนาบ พออยู่พอกิน มิฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม การอันใดที่ แปลกใหม่ ความคิดเห็นที่ผิดแผก จึงเป็นความผิดวิปลาสและจักต้องโทษทัณฑ์กบิลเมือง ด้วยเหตุเพราะ คนที่ตามองเห็นเท่านั้นจึงจะรู้แจ้งความจริง ไฉนเลยไพร่ผู้ตามืดบอดทั้งสองข้าง จึงจักสู่รู้อวดดีกว่า พระราชาตาเดียวผู้เปรื่องปราชญ์อัจฉริยะ ทัณฑ์ที่ได้รับจึงสมควรแก่เหตุ ธรรมเนียมจารีต ที่ได้ตรากำหนดยึดถือกันว่า " หากแม้นมีทารกไม่ว่าชายหรือหญิง เกิดมาพร้อมดวงตาสดใสไม่มืดบอด นางตำแยผู้ทำคลอด นั้น ต้องกำจัดทารกที่อาจเป็นภัยในภายภาคหน้านั้นเสีย แม้นว่ารู้เห็นเป็นใจให้เด็กนั้นมีชีวิตรอด ปลอดภัย นางตำแยผู้นั้น และบิดา-มารดาของทารก จักต้องได้รับโทษถึงแก่ชีวิต" ... เหมือนดังฟาโรห์ผู้เxี้ยมโหดที่สุดในบรรดาฟาโรห์ของอาณาจักรอิยิปต์โบราณ ที่ได้สั่งทหารให้ฆ่าทารก เพศชายชาวยิวทุกคน ที่เกิดในแผ่นดินของเขา ด้วยเห็นว่าคนยิวมีมากเกินไป และอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง ของอาณาจักรในภายภาคหน้า .. อันนี้คงคล้ายคลึงกับหน้าที่ของหน่วยงาน "กองรักษาความมั่นคงภายใน" ของ ประเทศคนตาบอด (เชิงอรรถ)
ความสมมะถะ ในการดำรงชีวิตของพลเมืองบอด คือ ปรัชญาอมมะตะ "เพียงพอแลนุ่งห่มเจียม" นั้น เป็นนโยบายสูงส่งที่ประชาชนพึงยึดไว้เป็นความสุขสูงสุดของชีวิต นับเป็นวาสนาบุญคุณหาที่สุดมิได้ ที่ได้ เกิดมาบนผืนแผ่นดินของ บิดาผู้อัจฉริยะ' ปะป๊าแมคไกวเว่อร์ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพที่สุดบนแผ่นดินบอด คือ เสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงเท่านั้น เช่น เครื่องรับวิทยุ ชนิดให้ฟังอย่างเดียว,คำบอกเล่าปากต่อปาก และเสียงลือเสียงเล่าอ้าง รวมทั้งคำประกาศต่างๆสลับกับเสียง เพลงมาร์ชกองทหาร ... ฉันนั้น สินค้านำสื่อสารประเภทมีภาพ ทั้งนิ่งและเคลื่อนไหว จึงไร้สาระ ขายไม่ได้ เป็นสิ่งต้องควบคุม ทั้งตัวเครื่องเช่น โทรทัศน์อัจฉริยะ โทรศัพท์มีภาพและระบบนำสารแบบเฉียบคมฉับไว อาทิ สามจี สี่ที ห้ามี ทั้งหลาย ถือเป็นยุทธปัจจัย ห้ามประชาตาบอดมีไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต อีกประการหนึ่ง "ถึงมีไว้ก็ใช้ประโยชน์ทางจักษุทัศน์ มองดูหาได้ไม่ ใช่ไหมปวงประชาตาบอดทั้งหลาย เชื่อเราเถิด เพราะท่านทั้งหลาย ต้องมองให้ดีดี จึงจะเห็นว่าดี หากท่านมองไม่ดีท่านจะได้ชื่อว่ามองไม่ดี ทางที่ ดีท่านอย่ามองดีกว่า เพราะเราฟังแล้วเราไม่ชอบมากมาก" พระราโชวาทของ คิงบอดยอดอัจฉริยะ ให้ไว้ ณ วันที่นั้น เวลานู้น เนื่องในการออกแขกงานยี่เก
จึงเกิด "ขบวนการตาสว่าง ปลดแอกการปกครองระบอบชราธิปไตย" ที่มีเพลงปลุกใจให้ลุกขึ้น ดังว่า "จงตื่นเถิดวัวควาย อย่ามัวหลับไหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองมั่นคงก็เพราะเราทั้งหลาย" ที่มาprachatalk

Monday, May 14, 2012

เรื่องเศร้า เกิดจากกฏหมายที่ไม่เป็นธรรม

เรื่องเศร้า เกิดจากกฏหมายที่ไม่เป็นธรรม กฏหมายหมิ่น (ม.112) ความตายที่ไม่จำเป็น เรื่องเศร้า เกิดจากกฏหมายที่ไม่เป็นธรรม เรื่องไร้สาระ (การตัดสินของศาล) และการ (นำกฏหมาย 112) ใช้ประโยชน์ทางการเมือง (((องค์กรนานาชาติใช้กรณีอากงชี้ความล้มเหลวระบบยุติธรรมไทย))) องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ร่วมแสดงความเสียใจต่อกรณี การเสียชีวิตของอากง SMS ในระหว่างการถูกจำคุกจากคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และใช้กรณีดังกล่าว เป็นตัวอย่างแสดงความล้มเหลวของระบบยุติธรรมไทย ที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของอากง SMS ในระหว่างการรับโทษจำคุก จากคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เคยตกเป็นประเด็นโด่งดังไปทั่วโลก นอกจากจะสร้างความสะเทือนใจให้กับบรรดาญาติมิตรคนใกล้ชิด และผู้สนับสนุนอากงในประเทศไทย ยังส่งผลให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ระหว่างประเทศหลายองค์กร ออกมาเคลื่อนไหวแสดงความเสียใจ และร่วมเรียกร้องให้ไทยปรับปรุงระบบยุติธรรม โดยเฉพาะกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฟรีดอม เฮาส์ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศชื่อดัง ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อการจากไปของอากง พร้อมทั้งกล่าวว่า การเสียชีวิตของอากง ทำให้นานาชาติต้องหันมา ให้ความสนใจกับประเด็นการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในไทย ซึ่งเป็นกฎหมายที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนรากฐานของความยุติธรรม และการเคารพสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหา นอกจากนี้ ทางฟรีดอม เฮาส์ยังใช้โอกาสดังกล่าว ในการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทางการเมืองของประชาชน โดยเร่งแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฎหมายอื่นๆที่มีเนื้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกันโดยเร็ว ในขณะที่องค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ เช่น เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน และสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ก็ร่วมกันออกแถลงการณ์เรียกร้อง ให้มีการใช้กรณีของอากง เป็นบทเรียนสะท้อนความจำเป็นในการได้รับ สิทธิการปล่อยตัวชั่วคราวของจำเลยทั้งในคดีหมิ่นฯและคดีอื่นๆ รวมทั้งเสนอให้ไทยเร่งปรับปรุงระบบการให้บริการและดูแลสวัสดิภาพ ของนักโทษในเรือนจำให้ได้มาตรฐานอีกด้วย เศรษฐกิจ พอเพียง เลี้ยงหมู่ตน บันดาลดล ราชทรัพย์ นับล้านล้าน สมมุติถ้าในหลวงสวรรคต (สมมุติ นะครับ สมมุติ) หุ้นที่ท่านมีอยู่มากมายในตลาดหลักทรัพย์จะตกเป็นของใครครับ เป็นของสำนักงานทรัพย์สินฯหรือของทายาท เพราะว่าเห็นคนรวยในเมกาหลายคนนะ ตายแล้วยกสมบัติให้ สาธารณะกุศล ส่่วนบางคนก็ยกทรัพย์สมบัติ ให้กับสัตว์เลี้ยงหมดเลย ลูกเต้าไม่ให้ คุณท่านทองแดง ยังอยู่ดัวยในโรงบาลดัวย อันนี้ผมขอเดาให้ก่อนเลยนะฮะ ว่าเมียฮุบเอาหมด ด้วยกลัวว่าลูกจะเอาไปถลุงซะ ในบรรดาคนรอบตัวทั้งหมด มีแต่คุณทองแดง (2) ที่ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้.... เศรษฐีที่รวยติดอันดับโลก เวลาตายจะอมเหรียญไปได้ซักกี่บาทกัน ไม่รู้จะกอบโกยไปถึงไหน รวยจนติดอันดับโลกยังไม่รู้จักพอ สร้างระบบผูกขาดเศรษฐกิจไปทุกหย่อมหญ้า คนจนก็ยิ่งจน ไม่มีวันลืมตาอ้าปาก ไม่มีทางจะต่อกรกับระบบอำนาจผูกขาดทางเศรษฐกิจได้เลย แก่งแย่ง โลภโมโทสัน รวยระดับโลก ทำลายคนอื่น เพื่อคุมอำนาจไว้กับตัวและครอบครัว จะเอาอะไรกันนักหนา คนเรา เผาส่งไปให้ ก็ไม่รู้จะได้ใช้ใหม ขนาดว่าแม่ของกษัตริย์พันล้าน พี่สาวของกษัตริย์พันล้าน ตายตกไปแล้วก็ไม่เห็นหยิบอะไรไปได้นี่ ดูเอา ไหนจะสังฆทาน ไหนจะผ้าไตร ไหนจะแรงบวชหนุน ขนทำกันให้เสียขนาดนั้น แปลว่าที่มีไปน่ะคงไม่พอ ตระกูลนี้ขี้งก ลูกหลานมันคงเอาเหรียญปลอมยัดปากให้ /////////////////////////////////////////////// ในหลวงทรงสละสัญชาติอเมริกาหรือยัง เป็นที่ทราบกันดีว่า ในหลวงทรงเกิดที่เมืองแคมบริด รัฐแมทซาชูเสท ประเทศอเมริกา (ถ้าใครไม่ทราบก็ไม่ใช่คนไทยเชิญไสหัวไปอยู่ประเทศอื่น) ดังนั้นในหลวงท่านจึงน่าจะทรงได้สัญชาติอเมริกาโดยการเกิด ไม่ทราบว่า ในหลวงท่านทรงสละสัญชาติอเมริกาหรือยัง อ้อ ลืมปาย กฎหมายไทยยกเว้นกษัตริย์ไว้ ผู้อยู่เหนือกฎหมายจำเป็นต้องทำตามกฎหมายด้วยหรือ คงไม่จำเป็น กี้ดดดดดดดดดดดดดดดด ถ้าใครไม่ทราบก็ไม่ใช่คนไทยเชิญไสหัวไปอยู่ประเทศอื่น /////////////////////////////////////////////////////// ทำไมการตัดสินคดีความ"หมิ่นกษัตริย์"จึงต้องพิจารณากันลับๆ เป็นเพราะขั้นตอนการพิจารณา การสืบพยาน คำให้การต่างๆเอง ก็จะไปช่วยเพิ่มจำนวนการหมิ่นให้มากขึ้นไปอีก ก็เลยแอบไว้ ไม่ให้ใครได้ยิน คือว่า ไอ้กฏหมายหมิ่นเนี่ย ต้องการกันคน ให้เห็นแค่ด้านดีของสถาบันไง (บางคนถึงได้พูดออกมาได้เต็มปาก ว่าคนไทยทุกคนรักในหลวง เพราะผู้พูดไม่เคยเห็นใครวิจารณ์ในแง่ลบไง) แต่ถ้าเกิดถ่ายทอดการพิณาเนี่ย ก็เป็นอันว่าชาวประชาจะได้รู้กัน ว่าอ๋อ เขาว่าไว้ยังงี้ๆ และมีโอกาสที่บางคนก็อาจจะคิดในใจว่า "เออมัน(จำเลย)พูดถูกว่ะ" หรือบางคนอาจจะคิดว่า "เพิ่งรู้มีคนคิดเหมือนกรูด้วย" ...ก็เลยเอาไปแอบฮะ ตัดโอกาสเหล่านั้นไป ที่สำคัญที่สุด เพราะกลัวความจริงโผล่ เพราะ ในการขึ้นศาลมันต้องมีหลักฐานสู้กัน //////////////////////////////////////////////////////// ปากว่า....ตาขยิบ.....ใคร? ปากว่าตาขยิบใครหว่า http://bit.ly/IRqPN4

Monday, February 20, 2012

ไม่มีเขาอยู่ในใจแล้ว

ไม่มีเขาอยู่ในใจแล้ว
โดย เอนก ซานฟราน
เป็นที่ทราบกันดีว่าขณะนี้ ในหลวงทรงพระประชวร และประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นเวลานานกว่าหนึ่งเดือนนั้น ประชาชนชาวไทยได้พากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นาๆ ประชาชนทั้งประเทศ มีทั้งรู้สึกเป็นห่วง และก็มีทั้งรู้สึกดีใจเพื่อรอฟังข่าวดีหากเมื่อถึงเวลาเสด็จสวรรค์คต ที่คนเราทุกคนไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความตายไปได้ตามหลักของธรรมชาติ ถึงแม้ว่าประชาชนส่วนหนึ่งจะอุปโลกให้ในหลวงเป็นถึงเทวดาแล้วก็ตาม สำหรับตัวผมมีความรู้สึกมานานกว่าหกปีแล้วว่า ไม่มีในหลวงอยู่ในหัวใจของผมแล้ว จากความรู้สึกผม นับตั้งแต่ท่าน ยอมรับการกระทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 สิ่งที่พระองค์ทรงยอมรับในการปฎิวัตินั้น เท่ากับว่าพระองค์คือคนที่ทำลายรัฐธรรมนูญเอง อย่าไปโทษพลเอกเปรมฯ หรืออย่าไปโทษทหารที่เข้ามาปฎิวัติเลย พระองค์เท่านั้นที่มีพระราชอำนาจทุกอย่างเหนือกว่ากฎหมาย เหนือกว่าความรู้สึกประชาชน ซึ่งพระองค์ก็ไม่คิดเกรงใจประชาชนทั้งประเทศที่เป็นเจ้าของประเทศ และเจ้าของอำนาจในระบอบประชาธิปไตยเลย และพระองค์ก็มีอำนาจเหนือกว่าอำนาจทุกอำนาจในประเทศไทย และย่อมควรแยกแยะออกว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งที่ดีมากกว่า สิ่งที่ดีน้อยกว่า หรือสิ่งที่เสีย มากกว่าสิ่งที่ดี เพราะฉนั้นการ ที่ในหลวงทรงยอมรับการปฎิวัตินั้น พระองค์ก็คือคนที่ทรยศต่อประชาชน และทรยศในระบอบประชาธิปไตย ร่วมกับคณะทหารที่ปล้นอำนาจจากประชาชน จนทำให้การปกครองในประเทศเสียหายล้มลุกคลุกคลาน ประชาชนแตกแยก เพราะหลงเชื่อในสิ่งที่ผิด ที่ถูกฝ่ายที่มีอำนาจปลูกฝั่ง ปลุกปั่น ครอบงำให้ประชาชนหลงเชื่อในสิ่งที่ผิดไปจากความเป็นจริง หรือหลงเชื่อในสิ่งที่ขัดต่อความเป็นหลักสากลที่คนในโลกเขาไม่คิด และเชื่อถือกัน การมอมเมาหลอกลวงสร้างภาพให้ประชาชน และคนในประเทศให้มีหน้าที่เคารพบูชาตัวเองเพียงอย่างเดียวนั้น เท่ากับเป็นการเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ในฐานะที่เราก็เกิดมาเป็นคนเหมือนกัน แต่การทำลายกติกาหรือ การทำลายระบอบการปกครองนั้น เปรียบเสมือนในหลวงใช้อำนาจในทางมิชอบด้วยประการทั้งปวง เพราะประชาชนเสียหาย และได้รับความเดือดร้อนในการกระทำของพระองค์ที่ยอมรับการกระทำรัฐประหาร เมื่อปรากฎว่าพระองค์คือบุคลที่เป็นคนที่ทำลายระบอบประชาธิปไตยเสียเอง ผมจึงไม่ให้อภัยในพฤติกรรมของพระองค์ ความรู้สึกที่ดีที่เคยมีมาตั้งแต่แต่จำความได้ว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่พร่ำสอนให้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือ ต่อองค์ในหลวงนั้น มันมีความรู้สึกที่เจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจเป็นอย่างยิ่ง ที่หลงเทิดทูนพระองค์มาทั้งชีวิตเพราะคิดว่าเขาคือเทวดาที่ปกปักษ์รักษาประชาชน เขาคือคนที่เมื่อเราเคารพเทิดทูนเขาแล้ว เราจะมีความสุขความเจริญ และอยู่ดีกินดี ซึ่งที่จริงทั้งชีวิตที่รอคอยมาก็ไม่เห็นเคยปรากฎสิ่งดีๆ ในชีวิตเลย

ตรงกันข้ามนับวันชีวิตคนไทยในประเทศ มีแต่วันล่มจมลง ข้าวยากหมากแพง ทำงานมีแต่แค่หาเช้ากินค่ำ ชักหน้าไม่ถึงหลัง สังคมคนไทยแตกแยก คนในครอบครัวเดียวกันแต่มีความคิดเห็นต่างกัน บางคนเลิกคุยกันเลยก็มี นี่หรือผลลัพท์ ที่เราคนไทยทั้งประเทศ ได้มอบความรัก และเทิดทูนต่อในหลวงอย่างนั้นหรือ? ภาพดีๆ ทั้งหลายที่เผยแพร่ตามสื่อต่างๆ นับสิบๆ ปี นั้นมันคือภาพลวงตาที่ประชาชนถูกมอมเมามาโดยตลอด พระราชกรณีกิจต่างๆ ของพระองค์ ที่เราเห็นตามสื่อต่างๆ นั้น แท้ที่จริงแล้ว ท่านไม่ได้ทำไปเพราะความห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ด้วยใจจริง แต่ที่ทำไปนั้น ก็เพียงเพื่อทำให้เห็นว่าพระมหากษัตริย์ยังมีความห่วงใยประชาชน มากกว่ารัฐบาล จึงเกิดการมีอคติที่ประชาชนทั้งประเทศ มองนักการเมืองเป็นเพียงนักฉกฉวยเท่านั้น และไม่เคยดูแลทุกข์สุขของประชาชนเหมือนกับในหลวง ความศรัทธาทั้งหลายกับตกไปอยู่ที่พระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่นักการเมืองคือตัวแทนประชาชน ในการดูแลทุกข์สุข และมีหน้าที่บริหารประเทศ การแก่งแย่งความดีความชอบตรงนี้ จึงทำให้ประชาชนทั้งประเทศหลงไหลในตัวในหลวง และลืมความเป็นประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง โดยกลับไปนิยมลัทธิกษัตริย์ และลืมคำว่าประชาธิปไตย การที่ประชาชนออกไปลงคะแนนเลือกตั้งให้นักการเมืองนั้นเป็นเพียงประเพณีในระบบที่ต้องปฎิบัติอย่างต่อเนื่อง เพียงเพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่นานาชาติต้อง ยอมรับ และให้เกียรติตามหลักสากล ซึ่งเนื้อแท้ของความเป็นจริงนั้นเต็มไปด้วยการสร้างภาพ การสร้างหลักความงมงายต่างๆ ที่มอมเมาประชาชน และเอาเปรียบประชาชน เต็มไปด้วยความเป็นเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ โดยการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องตัวเองทุกคนที่เทิดทูน และมีหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์โดยสารพัดนานาประโยชน์ทั้งหลาย ที่สามารถนำไปอ้างอิงหรืออวดอ้างเพื่อเป็นหลักประกันในการเอาเปรียบผู้อื่นที่ไม่มีโอกาส อาทิเช่น เครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งหลาย สายสะพาย ยศฐาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งคุณหญิง ท่านผู้หญิง จนเป็นที่คลั่งไคล้ ของคนทุกวงการ ที่ลามไปถึงพระสงฆ์องค์เจ้า ที่อวดอ้างตำแหน่งที่ได้รับจากในหลวง ที่มีตำแหน่งเป็นเจ้าคุณทั้งหลาย เพื่อเอาไปข่มขู่อวดอ้างบารมีกับพระสงฆ์ที่มีพรรษา ที่บวชมามากกว่า และมีวิริยะอุสาหะมากกว่าตัวเอง ซึ่งตรงนี้เอง มันขัดกับเจตนารมณ์ของหลักคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า การหยิบยื่นลาภยศทั้งหลายเหล่านี้นั้น เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้คนใกล้ชิดในหลวง ฉกฉวยหาผลประโยชน์ และพากันสร้างธุรกิจ มีกระบวนการซื้อขายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และตำแหน่งต่างๆ จนเกิดหลักฐานความผิดปรากฎขึ้นหลายครั้ง แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีการซื้อขายกันเกร่ออยู่ทุกๆ ปี นี้คือผลพวงแห่งอำนาจของในหลวงที่นำไปใช้ในทางที่ผิดมาโดยตลอด แต่ประชาชนบางคนก็ไม่คิดที่ใช้สติของความเป็นคน นำมาพินิจพิจารณาความชั่วดี หรือถูกผิด สรุปความว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในประเทศทั้งหมด จนทำให้ประเทศชาติฉิบหายย่อยยับในวันนี้นั้น ก็คือเหตุที่ในหลวงยอมรับการกระทำรัฐประหาร เพราะลำพังทหารสามสี่คน และประธานองคมนตรีหนึ่งคน ที่เข้าเฝ้าเพื่อฉีกรัฐธรรมนูญของประชาชนทิ้งนั้น เขาไม่มีอำนาจเท่าในหลวง พระองค์เท่านั้นที่มีอำนาจสั่งการคนไทยทั้งประเทศได้ เพราะฉะนั้นการที่ประชาชนคนไทย ได้รับความเดือดร้อน เกิดความแตกแยก เกิดการทำลายระบบตุลาการกฎหมายที่เอนเอียง เพียงช่วยเหลือเข้าข้างแค่คนของตัวเอง จนทำให้ประเทศชาติเสียภาพพจน์ จนเศรษฐกิจย่อยยับนั้น ในหลวงก็ไม่คิดที่จะออกมารับผิดที่ตัวเองเป็นคนทำผิด ที่ยอมรับการปฎิวัติที่ทำลายอำนาจทุกอำนาจทั้ง อำนาจบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ จนพังพินาศอยู่จนถึงทุกวันนี้ ครั้งหนึ่งผมก็เคยเทิดทูน และมีความจงรักภักดีในหลวงมาตลอดชิวิต แต่มาวันนี้เมื่อผมเห็นว่าความผิดทั้งหลายที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันมาจากอำนาจที่ในหลวงมีอยู่ ที่เขานำมาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างจนทำให้ประชาชน เสียผลประโยชน์ และขาดโอกาส ผมจึงมีความรู้สึกว่า ความเคารพที่มีต่อเขานั้น มันตายไปจากความรู้สึกของผม นับแต่พระองค์ร่วมมือกับคณะปฎิวัติที่ยึดอำนาจไปจากประชาชนในวันนั้น นั่นเอง


ที่มา ไม่มีเขาอยู่ในใจแล้ว.... บทความโดยหลวงพี่ เอนก ซานฟราน http://tprud.org/info/viewtopic.php?f=7&t=12

Friday, February 17, 2012

ขอเดชะ ประชาชนไทยที่รักทุกท่าน

คำขอเดชะ ประชาชนไทยที่รักทุกท่าน
30ถามที่ไม่ค่อยมีการถามตอบ ถึงประชาชนไทยที่รักทุกท่าน
ผมจะเขียนบทความชิ้นนี้ ในรูปคำถามทั้งหมด เพื่อให้พี่น้องคนไทยทุกหมู่เหล่า ได้คิดตาม
หวังว่า คำตอบ จะทำให้ท่านเดินหน้าไปอีกหลายก้าว ในเชิงการเมือง เพื่อจะได้ตาสว่างยิ่งขึ้น
และกลายเป็นผู้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ชาติเราต้องการในที่สุด หรือท่านอาจจะรักสถาบันกษัตริย์ และระบอบการปกครองอย่างที่เป็นอยุ่ในปัจจุบันนี้ต่อไป.... ผมไม่ได้คิดเรียบเรียงนะครับ จะเขียนให้ครบห้าสิบคำ ถามภายหลัง แต่ตอนนี้เอาแค่สามสิบไปก่อนนะครับ ลองคิดไปด้วย หรือหากมีคำถามชวนคิดมากกว่านี้ ก็กรุณาช่วยกันเติมได้นะครับ เชื่อว่ามีอีกมากมาย

1 ประเทศไทย เป็นของประชาชนทุกคนโดยเท่าเทียมกัน หรือเป็นของกษัตริย์คนเดียว หรือเป็นของชนชั้นสูงส่วนน้อยที่เขาอ้าง ว่ามีอำนาจ มีคุณธรรม และมีบุญบารมีมากกว่าประชาชนทั่วไป?
2 กษัตริย์ภูมิพลและบรรพบุรุษท่านใดเคยรบข้าศึก เคยปกป้องประเทศ เคยก่อตั้งประเทศอย่างแท้จริง?
3 พฤติกรรมใดของกษัตริย์ คือพฤติกรรมที่เหมือนพ่อของท่านจริง ๆ? สิ่งใดที่ทำให้ประชาชน สมควรต้องเคารพรักและเทิดทูนไว้เหนือหัว?
4 กษัตริย์ภูมิพลและครอบครัว แสดงอาการใดบ้าง ที่สรุปได้ชัดว่า รักประชาชน ห่วงใยประชาชน และทำประโยชน์ให้ประชาชน? ท่านมีหลักฐานใดชัดเจนที่ไมใช่แค่เขาเล่ามา?
5 ในบรรดาพระราชกรณียกิจ และโครงการพระราชดำริที่ออกอากาศแทบทุกวัน ท่านได้รับประโยชน์โดยตรงใด ๆ บ้าง ทำให้ชีวิตท่านดีขึ้นอย่างไรบ้าง มีหลักฐานใด?
6 กษัตริย์ภูมิพลเหาะมาจากฟ้าพร้อมกับวงส์ตระกูลหรือไม่?
7 ทำไมพิธีกรรมต่าง ๆ จึงเป็นการชูกษัตริย์เป็นเทวดา ตามลัทธิพราหมณ์ ทั้ง ๆ ที่กษัตริย์เป็นผู้ที่นับถือพุทธ และต้องพระราชทาน พระบรมราชูปถัมน์ให้กับศาสนานี้?
8 การที่กษัตริย์ยกตัวเหนือสงฆ์ ด้วยการแต่งตั้งและให้ลาภยศแก่พระสงฆ์นั้น ส่งเสริมหรือทำลายศาสนาพุทธ ที่สอนให้ลด ละ และเลิก ความเป็นตัวตน การครอบครองสิ่งต่าง ๆ อันรวมถึงลาภ ยศ สรรเสริญ เพื่อเข้าสู่การก้าวไปสู่นิพพาน?
9 ทำไมท่านต้องจงรักภักดีกับกษัตริย์? การจงรักภักดีนั้น ชูกันขึ้นมาเพื่อชาติ หรือเพื่อใคร?
10 ใครเป็นคนสร้างความคิดว่า คนทั้งหลายต้องรัก ต้องภักดี แบบไม่ต้องคิดถึงเหตุผล เขาทำเพื่ออะไร? ท่านสมควรเชื่อตามนั้นหรือไม่? เพราะเหตุใด?
11 กษัตริย์ไทยร่ำรวยที่สุดในโลก ในบรรดาราชาทั่วโลก แล้วทำไมจึงทรงสอนให้ประชาชนอยู่อย่างพอเพียง? กษัตริย์ไทยทำตัวอย่างไรที่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าอยู่อย่างพอเพียง? การบีบหลอดยาสีฟัน เป็นภาพความจริง หรือแค่ภาพเล็ก ๆ ท่ามกลางภาพความหรูหรา เช่น เครื่องบิน รถ ปราสาท อาหารการกิน ฯลฯ ของคนในราชสำนัก?
12 ทำไมประเทศที่กษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก จึงมีกะหรี่เต็มทั่วทุกจังหวัด มีนักท่องเที่ยวเพื่อกิจกรรมทางเพศ เข้าประเทศไทยเพื่อเสวยสุขจากเด็กหญิง เด็กชาย และหนุ่มสาวของประเทศอย่างคับคั่ง?
13 ทำไมมีการฆ่าประชาชนในประเทศไทยในช่วงรัชกาลที่เก้า จนมีคนตายมากมาย หลายครั้ง นับตั้งแต่ตุลาคม 14-16 พฤษภาคม 2535 เมษายน 2552 และเมษา-พฤษภา 2553 โดยคนฆ่าไม่ได้ถูกพิจารณาและลงโทษเลย แถมผู้เกี่ยวข้องจำนวนหลายคน โดยเฉพาะในกลุ่มทหารและผู้ใกล้ชิดกับวัง ต่างได้ดิบได้ดีหลังความรุนแรงแทบทุกครั้ง?
14 ทำไมเราบอกว่า ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอำนาจเป็นของประชาชน แต่รัฐบาลที่ประชาชนเลือกเข้าไปหลายครั้ง ถูกทหารแย่งอำนาจแบบหน้าตาเฉย แล้วก็มีความชอบธรรม เพียงแค่กษัตริย์ลงนาม? ความผิดใด ๆ ก็ได้รับการพระราชทานอภัยโทษหมด? แปลว่ากษัตริย์ร่วมกับทหารและนักการเมืองมักง่าย ปล้นอำนาจประชาชน ใช่หรือไม่ใช่?
15 ทำไมทหารที่อยู่ใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ คือกษัตริย์และพระราชินี จึงออกมามีส่วนในกิจกรรมการเมือง จนทำให้มีการยิงหัวประชาชนมือเปล่านับร้อยคน และกษัตริย์ไม่ได้แสดงความเสียพระทัยหรือให้ข้อคิด เตือนสติ หรือห้ามปรามใด ๆ เลย? นี่ใช่ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ไทยหรือไม่ใช่?
16 กษัตริย์ภูมิพล ถือศีลห้า ครบหรือไม่? ท่านทราบได้อย่างไร?
17 ในทศพิธราชธรรม สิบข้อนั้น มีสิ่งใดบ้าง ท่านทราบหรือไม่ว่าเหตุใดคนถึงอ้างว่ากษัตริย์ไทยเป็นธรรมราชา? ประเทศที่มีธรรมราชา ควรมีคุณลักษณะอย่างประเทศไทยหรือ?
18 เอาล่ะ ช่วยทบทวนความจำให้นะครับ ทศพิธราชธรรมประกอบด้วย ๑. ทาน l ๒. ศีล l ๓. บริจาค l ๔. ความซื่อตรง l ๕. ความอ่อนโยน l ๖. ความเพียร ๗. ความไม่โกรธ l ๘. ความไม่เบียดเบียน l ๙. ความอดทน l ๑๐. ความเที่ยงธรรม ท่านคิดว่า กษัตริย์ภูมิพล ถือครบสิบข้อนี้หรือไม่ ดีเพียงใด? ทราบได้อย่างไร?
19 กษัตริย์อยู่เหนือการเมือง เป็นวาทกรรมที่หลอกลวง หรือเป็นจริง? อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ต้องผ่านด้วยลายเซ็นต์ของกษัตริย์ทุกครั้ง ใช่หรือไม่?
20 มีคนกล่าวว่า รัฐธรรมนูญการปกครองประเทศไทย มีพัฒนาการเชิงเป็นประชาธิปไตยน้อยลง หรือหมกเม็ดเพื่อริดรอนเสรีภาพ และความเสมอภาค แล้วก็สร้างความแตกแยกรุนแรงในชาติไทยเพิ่มยิ่งขึ้นในระยะหลังนี้ เพราะอะไร? บางคนบอกว่า เพราะประชาชนรู้ความจริง และความกลัวก็ทำให้คนสำคัญ ๆ ของชาติต้องออกมาใช้อำนาจเผด็จการ ผ่านการสุมหัวกันของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ทหาร ศาลที่คณะรัฐประหารตั้ง สื่อที่เอียงขวาและอิงกับพ่อค้าและผู้ดีที่ได้ประโยชน์จากการทำธุรกิจเคียงข้างหรือได้ผลประโยชน์ร่วมกับเจ้า ถึงกับต้องสั่งฆ่าประชาชน ท่านเห็นด้วยหรือไม่? เพราะอะไร?
21 เกิดมาชาตินี้ ท่านเคยเจอกษัตริย์ตัวเป็น ๆ กี่ครั้ง? ท่านได้ทำอะไรที่ให้ประโยชน์กับท่านหรือครอบครัว หรือคนในชุมชนท่านบ้าง? คิดเป็นเงินได้กี่บาท? คิดเป็นความเจริญได้กี่กิโลกรัม?
22 การมีกษัตริย์อยู่ ให้คุณอะไรแก่ประเทศชาติ ที่จับต้องได้ อยู่บนหลักเหตุผลมากกว่าอารมณ์ และมีหลักฐานชัดเจนที่ท่านเห็นและรับรู้กับหู กับตา?
23 หากกษัตริย์หมดไปจากสังคมไทย จะมีอะไรเกิดขึ้นที่เป็นผลร้ายที่แก้ไขไม่ได้? คนไทยขาดกษัตริย์ไม่ได้จริง ๆ หรือ? ให้คิดทั้งทางการปกครอง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา และแม้แต่วิถีชีวิตประจำวันของท่าน และระบบราชการในบ้านในเมืองระดับต่าง ๆ?
24 หากกษัตริย์หมดไป หรืออำนาจกษัตริย์หมดไป ประเทศไทยจะได้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง?
25 ที่บอกว่ากษัตริย์ไทยทรงพระปรีชาสามารถด้านดนตรี กีฬา เรื่องน้ำ เรื่องเขื่อนฝายกั้นน้ำ เรื่องการพัฒนา เรื่องเทคโนโลยี ฯลฯ ท่านเห็นด้วยหรือไม่? มีหลักฐานและการตรวจสอบใด ๆ หรือไม่? ท่านทราบได้อย่างไร?
26 ทำไมคนบางกลุ่มถึงอ้างว่าเขาจงรักภักดีกษัตริย์นักหนาและมากกว่าคนอื่น เขารู้ได้อย่างไร เรารู้ได้อย่างไร และพวกเหล่านั้น ได้ประโยชน์มากกว่าพวกเราหรือไม่ อย่างไร?
27 ท่านทราบไหมว่ากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของพระราชา เสียภาษีเท่าไหร่ เอาเงินภาษีประชาชนเข้าไปใช้ปีละเท่าไหร่ และเงินบริจาคแต่ละปีเป็นเงินเท่าไหร่ กษัตริย์และราชวงศ์บริจาคเงินและทรัพย์สินในยามชาวบ้านเดือดร้อนเท่าไหร่? พฤติกรรมของพ่อของแผ่นดิน สรุปได้จากความรักความใสใจตรงนี้ ได้มากน้อยแค่ไหน?
28 กษัตริย์ไทยดีจริงแค่ไหน ทำไมต้องมีการบังคับให้ยืนเคารพในโรงหนัง ทำไมต้องมีซุ้มเต็มบ้านเมือง ทำไมต้องจัดงานต่าง ๆ อย่างยิ่งใหญ่เพื่อเชิดชู ทำไมต้องแสดงภาพการมีคนบริจาคเงินแทบทุกวัน และทำไมจึงต้องห้ามประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ หรือละเมิดไม่ได้เลย?
29 ความดีของกษัตริย์ภูมิพล วัดได้จากตรงไหน? ท่านมีเหตุผลและหลักฐานใดบ้าง?
30 เมื่อมีกษัตริย์ ก็มีชนชั้น และการแบ่งชนชั้น ทำให้คนเหยียดหยามคนที่ตนมองว่าต่ำกว่า ซึ่งไม่ใช่สิ่งดี หากไม่มีกษัตริย์ ปัญหาใด ๆ ของชาติจะลดหรือหายไปได้ง่ายหรือเร็วขึ้น?

จาก ดร.เพียงดิน รักไทย
6 ก.พ.2555
______________________________________________________________________________

Tuesday, January 3, 2012

อีกหนึ่งชุดข้อเสนอ: เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในประเทศไทย


อีกหนึ่งชุดข้อเสนอ: เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในประเทศไทย.
by Junya Lek Yimprasert on Thursday, December 29, 2011 at 9:01am
แม้จะอยู่ท่ามกลางการใช้มาตรา 112 ปิดทุกการวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะด้วยสุจริตใจก็ตาม เราจำเป็นต้องฝ่าความกลัวมาตรา 112 และกล้านำเสนออย่างตรงไปตรงมาว่า ประเทศไทยยามนี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปที่จะเปิดพื้นที่แห่งการถกเถียงเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ผูกโยงอย่างแนบแน่นกับสถาบันทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และสถาบันศาล

มันจำเป็นที่ประชาชนต้องเริ่มตั้งคำถามกับสถาบันกษัตริย์และทหารของพระองค์ในหลายประเด็น ทั้งนี้เพื่อช่วยกันลดบรรยากาศแห่งความ "สุดทน" ให้เป็นเงื่อนไขให้เกิดการ "ลุกขึ้นสู้" และทำให้ "ทหาร" ใช้เป็นเงื่อนไขปฏิวัติในนาม "ปกป้องสถาบันฯ" ได้อีกต่อไป จึงขอนำเสนอข้อเสนอแนะ ที่คิดว่าควรจะมีการคุยกันได้อย่างเปิดเผยมากขึ้น ได้แก่ . .

1. เปิดให้อภิปรายได้อย่างกว้างขวางในเรื่องที่เกี่ยวกับการนำภาษีประชาชนไปใช้ เพื่อบำรุง/รักษา/ปกป้อง/สถาบันกษัตริย์ ทั้งงบอุดหนุนทางตรงที่ให้กับวัง กว่าปีละ 2-3,000 ล้านบาท (70 กว่าล้านยูโร สูงกว่าที่ประเทศสเปนอุดหนุนสถาบันกษัตริย์ของสเปนถึง 17 เท่า และสูงกว่าเกือบทุกประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) ประชาชนต้องต้องสามารถวิจารณ์การนำภาษีของชาติไปใช้เพื่อการนี้ได้ และวังจะต้องเปิดเผยรายงานค่าใช้จ่ายต่อสาธารณชน - และงบทางอ้อม ที่จะพูดถึงต่อไป

2. ควรมีการตั้งคณะกรรมการที่พิจาราณาปรับปรุงแก้ไขเรื่องพระราชธรรมเนียมวิถีของพระราชสำนัก ที่หรูหราฟุ้มเฟือย ล้าสมัย มีระเบียบขั้นตอนมากเกินจำเป็น และไม่อยู่บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิความเท่าเทียมกันของมนุษย์

3. ต้องตั้งคำถามกับการที่ทรงรับรองรัฐประหารและรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารร่วม 10 คณะ ตลอดรัชสมัย เพื่อที่จะบอกว่าไม่อาจจะทำเช่นนั้นได้อีกต่อไป . . ประเทศประชาธิปไตยไม่อาจยอมรับรัฐประหารได้ และพระประมุขของประเทศก็ไม่อาจรับหรือมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับรัฐประหารได้อย่างเด็ดขาด!

4. ต้องเปิดให้มีการวิจารณ์การอ้างว่า "ปกป้องสถาบันฯ" ในโครงการ "พระราชดำริ" เพื่อ "เฉลิมพระเกียรติ" และตามปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" เพราะที่ผ่านมามีการใช้กันอย่างพร่ำเพรื่อ ตรวจสอบไม่ได้ และถูกข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หรือนักการเมืองที่ฉ้อฉล นำไปใช้ในทางที่ผิดมากมาย และยังใช้เป็นเกราะปกป้องการตรวจสอบและวิจารณ์จากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้ง "ในตัวของอำนาจต่างๆ ของมัน" ได้ปิดกั้นการแสวงหาแนวทางพัฒนาประเทศในวิธีอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันได้มีอิทธิพลและส่งผลต่อการกำหนดทิศทางการใช้งบประมาณภาษีของประชาชนอีกปีละหลายแสนล้านบาท

5. ยกเลิกการผูกขาดแนวการแก้ปัญหาความเดือดร้อนดั่งเดิมตามวิถี "สังคมสงเคราะห์" แบบถุงยังชีพพระราชทานและในพระบรมราชา/ราชินูเคราะห์ หรือมูลนิธิภายใต้การกำกับของพระบรมวงศานุวงศ์ ต่างๆ แล้วเปิดพื้นที่นำเสนอแนวทางแก้ปัญหาด้วยการวางระบบ "ประกันสังคม" "ประกันวิกฤติภัยแบบฉุกเฉินและหลีกเลี่ยงไม่ได้" ให้กับคนทั้งประเทศ ปัจจุบันมีเพียงลูกจ้างรัฐและเอกชนเท่านั้นมีมีระบบประกันสังคมดูแลบ้าง (เมื่อยังคงสถานะเป็นลูกจ้างอยู่) ในขณะที่ประเทศไทยยังมีเกษตรกร คนหาเช้ากินค่ำ และคนที่ไม่ได้มีการจ้างงานในระบบอีกกว่า 70 % ที่ไม่มีระบบประกันสังคมใดๆ รองรับมากไปกว่า "ประกันสุขภาพ" ที่เลือกปฏิบัติและก็ยังไม่ดีพอ

6. ยกเลิกการปิดกั้นถนนอย่างพร่ำเพรื่อเวลาเสด็จ/ ยกเลิกการโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้านเดียว/ ยุติการบังคับเสนอข่าวตอน 2 ทุ่ม/ ยุติการจัดฉากสร้างภาพเวลาเสด็จที่ไหน/ ยุติการรับหรือบริจาคในพระราชกุศล ฯลฯ

7. สิทธิในการ "ชอบ" หรือ "ไม่ชอบ" หรือ "ต้องการให้มี" หรือ "ไม่ต้องการให้มี" สถาบันพระมหากษัตริย์ทำได้ในเกือบทุกประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ฯ ขั้วอำนาจเก่าในเมืองไทยและสถาบันทหาร และตำรวจ ต้องยุติการสนับสนุนรอยัลลิสต์หัวรุนแรง ที่ปลุกกระแสความเกลียดชัง และยุยงให้ประชาชนฝ่ายรอยัลลิสต์ทำร้ายประชาชนคนอื่นที่คิดต่าง เพราะที่ผ่านมามีประชาชนต้องเสียชีวิตไปด้วยมาตรการนี้หลายหมื่นคนตลอดรัชสมัย มันเป็นการเสียชีวิตที่มากเกินพอแล้ว

8. ลดกองกำลังรักษาพระองค์จาก 50,000 กว่านาย เหลือไม่เกิน 1,000 นาย

9. ต้องยกเลิกมาตรา 112 แก้รัฐธรรมนูญในหมวดพระมหากษัตริย์ ยกเลิกองคมนตรี ลดพระราชอำนาจในการลงพระปรมาภิไธย ยุติบทบาทสถาบันฯ กับทางการเมืองโดยเด็ดขาด ฯลฯ

10. ต้องแยกองค์กรศาสนา ออกมาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถาบันการเมือง

11. รวมทั้งข้อเสนอ 8 ข้อของ ดร. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อันได้แก่

1. ยกเลิก รธน. มาตรา 8 เพิ่มมาตรา ในลักษณะเดียวกับ รธน.27 มิย 2475 (สภาพิจารณาความผิดของกษัตริย์)

2. ยกเลิก ประมวลกฎหมายอาญา ม.112

3. ยกเลิก องคมนตรี

4. ยกเลิก พรบ. จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2491

5. ยกเลิก การประชาสัมพันธ์ด้านเดียวทั้งหมด การให้การศึกษาแบบด้านเดียวเกี่ยวกับสถาบันทั้งหมด

6. ยกเลิก พระราชอำนาจ ในการแสดงความเห็นทางการเมืองทั้งหมด (4 ธันวา, 25 เมษา "ตุลาการภิวัฒน์" ฯลฯ)

7. ยกเลิก พระราชอำนาจ ในเรื่อง โครงการหลวง ทั้งหมด

8. ยกเลิก การบริจาค / รับบริจาค โดยเสด็จพระราชกุศล ทั้งหมด

ฯลฯ

* * * * * * * * *

นี่เป็นข้อเสนอชุดหนึ่งเท่านั้น ของประชาชนไทยคนหนึ่ง ด้วยเจตนาโดยสุจริตอย่างแท้จริง ที่ต้องการเห็นประเทศพัฒนาก้าวหน้า และไม่ต้องการเห็นการนองเลือดอีกครั้งหรือหลายครั้งในประเทศไทย

เราจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ ถ้าสถาบันหลักของชาติอื่นๆ โดยเฉพาะสถาบันกษัตริย์ สถาบันทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ที่อิงแอบกับพระราชอำนาจของสถาบันกษัตริย์ อย่างเหนียวแน่น ยังไม่ยอมปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกสมัยใหม่ และความบีบคั้นทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศ

เราเชื่อว่า ประชาชนคนอื่นๆ ในประเทศไทย ยังมีข้อเสนออีกมากมาย ที่จะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ และเพื่อการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์

ส่งเสริมให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นเหล่านี้อย่างบริสุทธิ์ใจเถิด จักถือได้ว่าเป็นการ "ปรองดอง" เพื่อประโยชน์ของชาติที่ "ดีที่สุด" ยามนี้



จรรยา ยิ้มประเสริฐ

29 ธันวาคม 2554