เพียงแค่รากหญ้ารู้จักคำว่าพอเพียง ระบอบอำมาตย์ก็อาจจะพังครืน
โถ..นึกว่าสำนึกผิด คิดว่าสำนึกได้ เห็นรัฐบาลทรราช เทพประทานมารอุปถัมภ์ พากันตีปี๊บป่าวประกาศว่าจะ "หยุดทำร้ายประเทศไทย" แต่ที่ไหนได้ ยังแกว่งปากหารองเท้าอยู่หยอยๆ ไล่ถล่มคู่แข่งทางการเมืองอยู่เหย็งๆ
งานการไม่ต้องเป็นอันได้ทำกัน นอกจากจ้อๆๆ แล้วก็จ้อ เอาดีเข้าตัว ป้ายชั่วให้คู่แข่ง นอกนั้นแล้วก็มีแต่ขึ้นภาษี แล้วก็กู้กับกู้ คงกะทุบสถิติ จอมกู้ระดับอินเตอร์ซะก็ไม่รู้
เกิดเป็นคนไทยพ.ศ.นี้มันก็ดีไปอย่าง เรื่องที่กลัวว่าชีวิตจะจืดชืด เป็นอันว่าลืมไปได้ ลืมตาขึ้นมาก็มีแต่เรื่องให้ได้ลุ้น ได้เสียวไม่เว้นแต่ละวัน ก็มันผิดฝาผิดตัวมั่วกันเละเทะ จนน่ากลัวว่าจะพากันแหกโค้ง เทกระจาดเข้าวันไหนยังไม่รู้
มีอย่างที่ไหน เอานายกฯมาคอยรับคำสั่งทหาร เอารัฐมนตรีมาตามล่าทักษิณ แถมยังมีรัฐมนโท เนรวิน จอมเนรคุณ มาคอยทำตัวเป็นริดสีดวงทวาร ให้ลุกนั่งเดินเหินลำบากซะงั้น
ตายกันพอดี นี่แหละคนไทย เขาถึงว่าความเสี้ยนทำให้เสื่อมแท้ๆ เป็นฝ่ายค้านด่าเขามันปากอยู่ดีๆไม่ชอบ อุตริขันอาสามาเป็นฝ่ายบริหารซะเอง เลยงานเข้าจนหน้ามืด คราวนี้ซึ้งหรือยังล่ะ ว่าใช้มือทำงานมันยากกว่าใช้ปากขนาดไหน
แต่อย่างว่า ด่าไปก็เท่านั้น เหมือนเอาไม้จิ้มฟันไปทิ่มหนังแรดระดับเทพ อย่างเก่งถ้าหนังบางหน่อย มันก็แค่คันยิบๆ สู้เอาเวลามาวางกลยุทธสู้ศึกกับอำมาตย์ ยังจะเป็นมรรคเป็นผลกว่ากันเป็นไหนๆ
หลังจากสงกรานต์ทมิฬที่ผ่านมา อำมาตย์ก็ได้ให้บทเรียนโดยไม่คิดสตางค์แล้วว่า การรบกับอำมาตย์นั้น ถ้าขืนบุ่มบ่ามเดินเข้าไปดุ่ยๆ มีแสนก็ตายแสน มีสองแสนก็ตายสองแสน เหตุเพราะว่าอำมาตย์นั้น ไม่เคยเห็นหัวรากหญ้าว่าเป็นคนอยู่แล้ว
ดังนั้น ถ้าอยากชนะโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ จึงต้องพยายามงัดเอาพลังแรดของรากหญ้าที่หลบในอยู่ ออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด
ทำเป็นเล่นไป พลังรากหญ้าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้ารู้จักใช้ให้เป็น ต่อให้ระบอบอำมาตย์ที่ว่าใหญ่คับฟ้า ก็สามารถล้มครืนลงได้ โดยไม่ต้องออกไปล่อเป้าเอ็ม-16 ให้มันเสียวซ่านโดยใช่เหตุ
พูดไปก็จะหาว่าโม้ ที่จริงแล้ว ผู้เสียภาษีรายใหญ่ของประเทศ ก็คือรากหญ้าพี่น้องเรานี่เอง หาใช่บรรดาเจ้าสัวทั้งหลาย ที่พวกนักวิชาเกินพยายามกรอกหู ให้เราเชื่อตามซะเมื่อไหร่ เออ..ถ้าพวกนั้น เอาเงินบิดามารดามันมาจ่ายภาษี จะไม่เถียงซักคำ
แต่นี่ทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป มันเอามาบวกลงในราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ที่รากหญ้าเราซื้อหามากินมาใช้ ไม่มีหายหกตกหล่นแม้แต่น้อย สุดท้ายคนที่จ่ายก็ผู้บริโภคนั่นเอง อย่างนี้ต้องเรียกว่า ผู้เก็บภาษีรายใหญ่แทนรัฐมันถึงจะถูก
อะไรไม่ว่า ทำไปทำมาชักจะลืมตัว นึกว่าภาษีที่ชักค่าต๋งมาเตรียมส่งให้รัฐนั้น เป็นเงินของตัวเลยเกิดเสียดาย หาทางซิกแซ๊กเอาเข้าพกเข้าห่อซะงั้น จากผู้เสียภาษีรายใหญ่ เลยกลายเป็นผู้งาบภาษีรายยักษ์ ไปซะฉิบ
ติ๊งต่างให้เห็นเป็นรูปธรรมก็ได้ว่า กว่าจะมาเป็นบะหมี่ "ม๋าม๋า" 1 ซอง มันต้องผ่านเสือสิงห์กระทิงแรด ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ตั้งแต่อาเฮียแป้งหมี่ อาตี๋ขายซอง อาซ้อโรงพิมพ์ อาซิ้มโรงเกลือ เยอะแยะตาแป๊ะไก๋ จาระไนไม่หมด
ต่างคนต่างงาบ ไล่กันเป็นทอดๆ ผ่านมือใครทีก็ล่อกันคนละหนุบละหนับ นอกจากเก็บส่วยสาอากรส่งเข้ารัฐแล้ว ยังชักกำไรเป็นค่าต๋ง น้ำร้อนน้ำชาของตัวเองอีกต่างหาก เรียกว่าผลักภาระภาษีบวกกำไร ไล่กันไปเป็นลูกระนาด
จนกระทั่งสุดท้าย มาจอดแหมะที่ผู้บริโภค เพราะผลักภาระต่อไปไม่ได้แล้ว เลยจำใจต้องเป็นเจ้าภาพ รับเละแต่เพียงผู้เดียว
จากเงิน 6 บาท ที่ควักออกไปให้อากู๋สหพัด เป็นค่า "ม๋าม๋า" 1 ซอง ตีเป็นค่าของไม่เกิน 2 บาท อีก 4 บาทเป็นค่าภาษี กำไร แป๊ะเจี๊ยะเก๋าเจี๊ยะ ฟาดกันพุงกาง
ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือ ส่วนหนึ่งของเงิน 4 บาทของเรานี่แหละ ที่พวกมันขนเอาไปให้แป๊ะลงทุนกู้ชาติ จนฉิบหายวายป่วง กู่ไม่กลับถึงทุกวันนี้
ในขณะที่ภาครัฐ ถ้าได้รัฐบาลดีก็ดีไป แต่ถ้าได้นอมินีอำมาตย์อย่างทุกวันนี้ มันก็เอาเงินภาษีของเราไปละเลงซะเละเทะ แถมยังประเคนให้ทหารเอาไปซื้ออาวุธ เอามาไล่ยิงกราด คืนกำไรให้ประชาชนอีกต่างหาก
ดังนั้น เพียงแค่รากหญ้าเรารู้จักคำว่าพอเพียง อดใจให้ได้ฟาดม๋าม๋าให้น้อยลงคนละ 1 ซอง ก็ฆ่าตัดตอนเก๋าเจี๊ยะไปได้คนละ 4 บาท ล้านคนก็ 4 ล้านบาท ถ้าเพิ่มความพอเพียงลงไปในสินค้าอีกหลายตัว ก็เจ๊งบ๊งไปอีกหลายล้านบาท
หมั่นทำกันให้เยอะๆ เล่นมันให้บ่อยๆ กลุ่มทุนเก่าอันยิ่งใหญ่ของอำมาตย์ก็เหอะ เจ๋งแค่ไหนก็เป๋ได้เหมือนกัน แถมรัฐบาลโจรอุปถัมภ์ ที่กำลังหน้ามืดไล่กู้จนหัวสั่นหัวคลอน ก็ได้ภาษีน้อยลงไปอีก คราวนี้ถ้าไม่ขายของเก่ากินก็ให้มันรู้ไป
ถ้าแค่นี้ยังพอเพียงไม่ถึงใจ รากหญ้าก็นัดกันลาออกจากงาน กลับตจว.ไปปั้นข้าวเหนียวจิ้มแจ่วปลาร้า ให้มันรู้แล้วรู้รอด เลี้ยงหมูเลี้ยงปลา ทำนาปลูกข้าวกินเอง ไม่ต้องเสียค่าต๋งค่าภาษีซักบาท
ทำการเกษตรแบบธรรมชาติ พ่อค้าแม่ค้าก็อย่าหวังว่าจะได้แอ้มค่าปุ๋ยเคมีซะให้ยาก แทร็คเตอร์ก็ไม่ต้องใช้ อาศัยแรงงานพันธมิตร อ้ายถึกอีทุย ไถดะไถแปรไปตามเรื่อง และที่สำคัญ ต้องอย่าโลภเป็นอันขาด ปลูกข้าวแต่พอกิน ไม่ต้องให้เหลือไปขายใครทั้งสิ้น
อาซิ้มอาซ้อ อาเฮียอากู๋ อยากกินข้าวก็หาปลูกกันเอาเอง เซ้ลฟ์เซอร์วิสกันตามสะดวก
ส่วนสาวโรงงานที่ขัดข้องทางเท็คนิค ไม่สามารถลากลับไปอยู่ตจว.ได้ ก็ยังไม่สิ้นหนทาง ก่อนอื่นก็พยายามไปอยู่กับนายจ้างสีแดง แล้วช่วยกันทำมาหากินตัวเป็นเกลียว เพื่อให้โรงงานสีแดงเจริญรุ่งเรือง จะได้เป็นกำลังสำคัญของพวกเราเอง
แต่ถ้าหลบเลี่ยงไม่ได้ จำใจต้องเป็นลูกจ้างสีเหลืองจริงๆ ก็ขอให้พยายามทำงานอย่างพอเพียง อย่าโลภมากเป็นอันขาด หรือจะนัดกันจัดสัปดาห์ทำงานอย่างพอเพียง ก็เก๋ไปอีกแบบ แค่นี้แหละ..
ไม่ต้องมากไปกว่านั้น แต่อย่าให้น้อยไปกว่านี้ รับรองได้ ไม่นานเกินรอ ระบอบอำมาตย์ มีหวังเจ๊งวินาศสันตะโร...
โดยไม่ต้องออกแรง แม้แต่ปอนด์เดียว
วโรทาห์: 10 พ.ค. 52
No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.