ความในใจของผู้เขียนหลัก ตำนานรัตน์โกสินทร์
จุดเริ่มต้นของการเขียน อยู่บนพื้นฐานความต้องการเปิดเผยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้ศึกษาค้นคว้าด้วยความสำนึกและตระหนักต่อหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ที่เคารพความจริงคนหนึ่ง และด้วยเหตุผลที่ว่า ข้อเท็จจริง เป็นสัจธรรมที่มีความเที่ยงตรง มันจึงได้ปรากฏคุณค่าและพระเกียรติอย่างตรงไปตรงมาและแจ่มชัดในตัวมันเอง ดังนั้นความกระทบกระเทือนอันใดที่มี จึงหาใช่เจตนาในข้อเขียนแต่อย่างใดไม่ แต่เป็นเพราะข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์นั้นเอง ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นแสงสว่างอันมีคุณค่าและดูเหมือนจะมีคุณค่ายิ่งโดยเฉพาะในยุค 200 ปีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์(พศ.2525)ที่ผู้คนส่วนหนึ่งพยายามจะเชิดชูพระเกียรติกษัตริย์ไทยให้สูงส่งเกินจริง ราวกับหวั่นเกรงว่า ข้อเท็จจริงของราชวงศ์ที่ปกปิดกันมาช้านานจะรั่วหลุดไปถึงสายตาปวงชน อันจะนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาครั้งใหญ่และจะยังความวิบัติแก่ราชวงศ์ โดยที่แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆก็ไม่อาจคุ้มครองได้
ประวัติศาสตร์ไทยที่เราท่านเล่าเรียนกันมา มิได้สะท้อนความเป็นจริงแห่งการดำรงชีพของคนไทยและความเป็นจริงของเหตุการณ์ในแผ่นดินอย่างตรงไปตรงมา เนื้อหาส่วนใหญ่กลับเป็นเรื่องบิดเบือนและปิดหูปิดตาไม่ให้ผู้คนรู้ความจริง ประวัติศาสตร์ไทยกลายเป็นตำนานของการสืบสันตติวงศ์ เป็นการยกย่องกษัตริย์ให้ผิดมนุษย์ธรรมดา ทำให้ผู้คนหลงเชื่อว่า กษัตริย์คือเทพเจ้าอยู่เหนือคำตำหนิใดๆของมนุษย์ เมื่อกล่าวถึงกษัตริย์จะมีแต่ส่วนดีงามและการยกย่องสรรเสริญเท่านั้น
ที่จริงแล้ว กิจวัตรของกษัตริย์และราชนิกุลทั้งหลายก็เฉกเช่นคนสามัญ ที่ประกอบคละกันไปด้วยส่วนที่ดีงามควรแก่การสรรเสริญ กับส่วนที่เลวร้ายควรแก่การตำหนิวิจารณ์ ฉะนั้นการที่มีแต่สรรเสริญถ่ายเดียวและห้ามเอ่ยถึงส่วนที่เสียแม้แต่น้อยเพื่อการปรับปรุงสร้างสรรค์จึงเป็นหนทางแห่งการเสื่อมถอยมากกว่าเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่การศึกษา ความรับรู้ของมนุษย์ได้ก้าวไปไกลมาก อีกทั้งสังคมก็มีสิทธิเสรีภาพ ข้อยึดปฏิบัติเกี่ยวกับกษัตริย์จึงเป็นเรื่องล้าหลังอย่างยิ่ง เพราะการศึกษาค้นคว้า ทำให้เราทราบข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ว่าใครถูกผิด ใครดีชั่ว อีกประการหนึ่งปุถุชนวิสัยมีความอยากรู้อยากเห็น ยิ่งบิดเบือนมากเสียงซุบซิบก็จะหนาหูขึ้น ดังเช่นในยุคปัจจุบันที่ผู้คนวงการต่างๆนำเรื่องในราชสำนักมาเล่าลือจนกลายเป็นเรื่องตลกหลังอาหารอย่างกว้างขวาง การโป้ปดมดเท็จหลอกลวงผู้คนเพื่อหวังกดหัวประชาชนให้รับใช้พวกตนอย่างงมงายด้วยความสัตย์ซื่อมานับร้อยๆปีนั้น มาบัดนี้จะเป็นหน้าที่ของประวัติศาสตร์ที่จะได้เปิดให้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของเจ้าศักดินาไทยให้ประจักษ์ชัดต่อประชาชนไทย
ณ ที่นี้ ใคร่ขอขอบคุณนักคิดนักเขียน นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่กล้าหาญและซื่อสัตย์ต่อข้อเท็จจริง พวกเขาได้เขียนบันทึกและเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของประวัติศาสตร์ออกมา จนผู้เขียนสามารถนำมาเรียบเรียงเป็นหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนมีความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่า ความเป็นจริง ย่อมลอยขึ้น เหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ
ด้วยความเคารพ
รักษ์ธรรม รักษ์ไทย
11 มี.ค. 2525
ความเห็นของดร.สมศักดิ์ อาจารย์นักประวัติศาสตร์
ผมขอเล่าในฐานะที่เป็นนักประวัติศาสตร์ ที่ต้องติดตามข่าวคราวเรื่องพวกนี้ก็แล้วกัน
ขอยืนยันว่าผมไม่มีและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเอกสาร ที่เรียกกันว่า สมุดปกเหลือง เพราะหุ้มด้วยปกสีเหลือง มีการทำออกเผยแพร่ในช่วง "200 ปี กรุงเทพ" คือ ปี 2525 ขนาดคล้ายๆพ้อกเก็ตบุค แต่ไม่หนามาก เป็นการเผยแพร่แบบ ใต้ดินและที่ ฮือฮา กว่า วรรณกรรม ประเภทเดียวกันที่เคยเผยแพร่มาก่อน คือ การที่มีการทำให้มีลักษณะ งานวิชาการ คือมีอ้างอิง มีเชิงอรรถ และเขียนด้วย ลีลา เชิงวิชาการ วรรณกรรมประเภทนี้ มีทำกันบ้างในวงการใต้ดินสมัยก่อน อันที่จริง ด้านที่สำคัญบางส่วนบางด้าน ก็เป็นการ สืบทอดประเพณีวรรณกรรม ประเภทเรื่องซุบซิบนินทาเจ้าทั้งหลายนั่นเอง
ว่ากันว่า ทาง ราชการ ตกใจ และ โกรธมาก กับเอกสารชิ้นนี้ ถึงขนาดมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบที่ หอจดหมายแห่งชาติ ว่าในช่วงเวลานั้น มีใครบ้างมาค้นเอกสารที่มีการอ้างอิงในสมุดปกเหลืองที่ว่า เพื่อจับให้ได้ว่า ใครคือคนทำ และ ถึงขนาดว่า มีข่าวลือว่า นักวิชาการชื่อดังมากอย่างน้อย 2 ถูกต้องสงสัยว่าเป็นคนเขียน นักวิชาการ 2 คนดังกล่าว ตอนนี้ก็ยังดังมาก
สุดท้าย ตำรวจได้เข้าจับกุมและมีการดำเนินคดีกับอดีตนักเคลื่อนไหว 2-3 คน ในข้อหาทำหนังสือเล่มนี้ พวกเขาถูกติดคุก คนละ 7-8 แต่ปล่อยออกมาก่อน หลังจากนั้นประมาณ 4 ปี
สรุปว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องร้ายแรง อย่าทำเป็นเล่นๆไป
พูดถึงการที่มีเจ้าหน้าที่ไปตรวจเช็คที่ หอจดหมายเหตูแห่งชาติ มีอยู่วันหนึ่ง ผมอยู่เย็นหน่อย คือหลังจากหอจดหมายเหตุปิดแล้ว พอจะกลับผมก็ทักทายกับเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าโต๊ะหน้า ที่เราต้องไปเซ็นชื่อก่อนใช้บริการ ผมเห็นเขา กำลังอ่านรายชื่อคนที่เข้าใช้ในวันนั้น ดูเหมือนทำท่าจะคัดลอกออกมา ผมก็ถามเขาว่า นึกว่ารายชื่อพวกนี้ เซ็นเสร็จก็แล้วไป ไม่มีอะไรสำคัญ เขาบอกว่า ไม่นะ ทุกวันต้องส่งรายชื่อนี้ขึ้นไปตามลำดับให้เจ้านายนะ เพื่อส่งต่อให้รัฐบาล พูดเรื่องพวกนี้แล้ว นอกจากชวนให้ เสียว อย่างยิ่งแล้ว ยังชวนให้ หดหู่ อย่างยิ่งด้วย
ดร.สมศักดิ์
No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.