Sunday, February 22, 2009

สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนไทยหรือไม่ น่าสงสัย

สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนไทยหรือไม่ น่าสงสัย
ในปี พ.ศ.2492 ขณะนั้นประเทศจีนได้เกิดการแบ่งฝ่ายออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งเป็นรัฐบาลจีนขณะนั้น ภายใต้การนำของนายพล เจียงไคเช็ค พรรคก๊กมินตั๋ง และอีกฝ่ายหนึ่งก็คือฝ่ายคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของ เหมาเจ๋อตง ทั้งสองฝ่ายต่างมีกำลังทหารของตนเองและสู้รบกันเพื่อแย่งชิงประชาชนและอำนาจการปกครองประเทศจีน ฝ่ายของนายพลเจียงไคเช็คมีกำลังทหารส่วนหนึ่งเรียกว่ากองพลหน่วยที่ 93 ได้ปฏิบัติการอยู่แถบคุนหมิง มณฑลยูนาน ทั้งสองฝ่ายต่างรบสู้กันอย่างดุเดือด และในที่สุดฝ่ายคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตง ก็เป็นผู้ชนะพรรคก๊กมินตั๋งจึงได้ถอยหนีไปอยู่เกาะไต้หวัน และนายพลเจียงไคเช็คก็ได้เป็นประธานาธิบดีของไต้หวันในเวลาต่อมา

กองพลที่ 93 อพยพติดตามไปไต้หวันไม่ทัน หรือโดนเจียงไคเช็คทิ้งก็ไม่อาจทราบได้ จึงตั้งกองกำลังอยู่ที่ยูนาน จากนั้นก็ถูกกองทัพจีนคอมมิวนิสต์คุกคามอย่างหนักจึงต้องสู้ไปพลางถอยไปพลาง สุดท้ายก็ถอยไปเข้าเขตของพม่าตอนบนพม่าก็ไม่ยอมเพราะถือว่าเป็นการรุกล้ำอธิปไตยจึงส่งกำลังมาต่อสู้เพื่อพลักดันให้ออกจากพม่าสู้หลายครั้ง แม้ว่าพม่าจะเป็นฝ่ายรุก กองพล 93 เป็นฝ่ายถอย แต่สุดท้ายก็พลักดันออกจากพม่าไม่สำเร็จ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไทยด้วย เพราะมีกองกำลังบางส่วนที่ถอยเข้ามาในเขตรอยต่อของไทยกับพม่า
เช่นบริเวณดอนตุง ดอยแม่สลอง เป็นต้น

ในที่สุดพม่าก็เรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว สหประชาชาติได้เปิดประชุมและได้กำหนดตัวแทน 4 ฝ่าย เพื่อทำการอพยบทหารกองพล 93และครอบครัวไปที่ประเทศไต้หวัน สำหรับตัวแทนทั้ง 4 ฝ่าย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ไทย พม่า และรัฐบาลจีนคณะชาติ ( ไต้หวัน ) สหประชาชาติได้ให้ทำการอพยบกองพล 93 ไปไต้หวัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 ถึง พฤษภาคม ค.ศ.2497 รวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง โดยจำนวนผู้อพยพมีประมาณ 12,000 คนซึ่งการอพยพดังกล่าวรัฐบาลไต้หวันได้ส่งเครื่องบินมารับที่ อำเภอท่าฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นรัฐาลไต้หวันก็ไม่รับผู้อพยพเพิ่มอีก


ความเลวของพันธมิตร(ขออีกครั้ง)
« ตอบ #48 เมื่อ: 4 พ.ย. 08, 11:50 น »


สำหรับการอพยพของกองกำลังที่ 93 มาจากจีนนั้น ในเวลาเดียวกันก็มีชาวบ้านที่ไม่ได้เป็นกองทหารอพยบตามมาด้วย ทั้งนี้เพราะชาวบ้านเหล่านั้นไม่ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของจีนคอมมิวนิสต์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำทางทหารของกองพลที่ 93 คือ นายพลหลี่มี่เป็นที่นับถือของชาวบ้านในเป็นอย่างมาก ดังนั้นกองพล 93 จึงประกอบไปด้วยทหารของกองพลเอง ชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนา และกองกำลังต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายกันไปเพราะถูก คอมมิวนิสต์คุกคาม เข้ามารวมตัวอยู่ด้วยกัน เช่น นายพลหลี่เหวินฝาน ได้นำกองกำลังอาสาสมัครป้องกันหมู่บ้านเข้ามาร่วมกับนายพลหลี่มี่ด้วย การอพยพเข้ามาสู่ดินแดนประเทศไทยนั้น กระจายอยู่ตามแนวชายแดนต่าง ๆ คือ อำเภอแม่อาย อำเภอแม่จันอำเภอแม่สรวย อำเภอพาน (จังหวัดเชียงราย) อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่และเทือกเขาบางส่วนในเขตจังหวัดน่าน

ในช่วงที่ไต้หวันทำการอพยพชาวกองพลที่ 93 ไปสู่ประเทศไต้หวันนั้น ได้มีชาวไร่ชาวนาบางส่วนที่มากับพวกทหารของกองพลที่ 93 ไม่ได้อพยพไปด้วย กลับตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองไทย ทั้งนี้เพราะหลายคนมีครอบครัวที่นี่ หลายคนเกิดที่นี่ และคิดว่าตนเองแท้จริงไม่ได้เป็นทหารของกองพลที่ 93 การไปไต้หวันเหมือนกับเป็นส่วนเกินและต้องไปเริ่มต้นใหม่ และหลายคนรักที่จะอยู่ประเทศไทย

ช่วงนั้นได้มีขบวนการผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เริ่มเข้ามาในประเทศไทย และชาวบ้านเหล่านี้ก็ไม่ชอบคอมมิวนิสต์ ประกอบกับได้รับการฝึกอบรมแบบทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกตามแบบของโรงเรียนนายร้อยหวังผู่ จึงมีความพร้อมที่จะทำการรบและป้องกันตนเอง รัฐบาลจอมพลถนอมในขณะนั้นได้ทำการติดต่อชาวบ้านเหล่านี้ให้อยู่ที่เมืองไทยเพื่อร่วมกันต่อต้านผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นด้วย จึงปักหลักอยู่ต่อที่ประเทศไทย
รัฐบาลไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจากับไต้หวันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับชาวจีนอพยพที่ยังเหลืออยู่ในเมืองไทย รัฐบาลไต้หวันได้สรุปว่ากลุ่มชาวจีนดังกล่าวให้อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลไทย รัฐบาลไทยจึงได้สั่งให้กลุ่มชาวจีนที่อพยพอาศัยอยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ และ เชียงราย

เพื่อความสะดวกในการควบคุมผู้อพยพ รัฐบาลไทยจึงตั้งให้กองบัญชาการที่ดอยแม่สลอง กองบัญชาการทหารสูงสุดนำโดย พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เสธฯ บ.ก.ทหารสูงสุด และ พล.ท. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ รองเสธฯ เป็นผู้ดูแล โดยประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด

มีผู้นำที่มีชื่ออยู่สองคน คือ นายพลหลี่เหวินฝาน และ พันเอกเฉินโหม่วซิว ได้เป็นผู้นำของชาวจีนที่เหลืออยู่ในเมืองไทย ขณะนั้นมีการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์เป็นอย่างมาก และเนื่องจากคอมมิวนิสต์ไม่ถูกกับชาวจีนที่อพยพ จึงมักสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ นา ๆเพื่อโยนความผิดให้กับชาวจีนกลุ่มนี้ เช่น ปล้นสะดม ฆ่าผู้นำชนกลุ่มน้อยเผ่าม้งที่จงรักภักดีต่อรัฐบาลไทย โดยคนทั่วไปในขณะนั้นรู้จักชาวจีนกลุ่มนี้ในนามของกองพลที่ 93 แต่แล้วคนไทยก็รู้ว่าหลงกลพวกคอมมิวนิสต์เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือ

ภาพประกอบที่ 6---> http://i43.servimg.com/u/f43/12/93/89/37/koako110.jpg

หน่วยงานของจังหวัดได้รับการติดต่อขอเข้ามอบตัวจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่บ้านห้วยกว้าง
ตำบลแซว อำเภอเชียงแสน ทำให้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2512 นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย พ.ต.อ. ศรีเดช ภูมิประหมัน ผู้กำกับตำรวจภูธรเชียงราย นายทหารจากกองทัพภาคที่3 และคณะ รวมทั้งสิ้น 8 นายได้เดินทางเพื่อเข้าไปต้อนรับการกลับตัวกลับใจของกลุ่มผู้ก่อการร้ายดังกล่าว การเดินทางไปครั้งนี้ผู้นำชาวจีนอพยพได้ทำการทักท้วงมิให้คณะของผู้ว่าเข้าไปในเขตของคอมมิวนิสต์ เพราะรู้ว่าเป็นกลลวงแต่ทางคณะไม่ฟังคำทักท้วงจึงได้เดินทางเข้าไปในบริเวณพื้นที่ที่ ผกค. ตกลงจะทำการมอบตัวแต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ทั้งคณะถูก ผกค. สังหารเกือบหมดเหลือรอดมาได้แต่เพียงนายอำเภอเมืองเชียงรายเพียงคนเดียว เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้รัฐบาลไทยรู้ว่าคอมมิวนิสต์ร้ายแรงเพียงใด

เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นทางกองบัญชาการทหารสูงสุดได้มีคำสั่งให้ชาวจีนอพยพที่เคยได้รับการฝึกแบบทหาร ออกช่วยปราบปรามโดยเข้าร่วมกับกองกำลังทหารและตำรวจ ซึงการปราบปรามผู้ก่อการร้ายใช้เวลายืดเยื้อ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ไปจนถึง พ.ศ.2516 เหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายจึงได้ปี พ.ศ. 2524 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ให้ชาวจีนอพยพจัดตั้งเป็นกองกำลังอาสาสมัครไทย จำนวน 4 กองร้อย ร่วมกับกองกำลังกองทัพภาคที่ 3 เพื่อออกกวาดล้างผู้ก่อการร้ายที่เขาค้อ และที่เขาหญ้า จังหวัดเพชรบูรณ์ ผลการกวาดล้างได้รับชัยชนะตามเป้าหมายที่รัฐบาลไทยกำหนด

ทางรัฐบาลไทยมองเห็นความสำคัญและผลงานที่ได้กระทำต่อบ้านเมืองของกลุ่มชาวจีนอพยพหรือที่รู้จักในนามของกองพล 93 กองบัญชาการทหารสูงสุดจึงตั้งคณะกรรมการเพื่อแปลงสัญชาติให้เป็นคนไทย ในพ.ศ. 2514 , 2518 , 2520 สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2521 โดยทางราชการจะออกบัตรประจำตัวชัวคราวให้กับนายทหารจีน(กองพล93) ใช้ในการออกจากเขตกำหนด(ดอยแม่สลอง) โดยใช้บัตร(ตามภาพ)แสดงแทนบัตรประชาชนไทย

ภาพประกอบที่ ๘---> http://i43.servimg.com/u/f43/12/93/89/37/card_910.jpg

หลังจากนั้นอีก 8 ปี จึงได้อนุมัติให้ทำบัตรประชาชนไทยถาวร แก่ชาวจีนอพยพ(กองพล93) เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2529

โดยออกให้กับครอบครัวของนายทหารก่อน จากนั้นจึงออกให้ประชาชนจีนที่ติดตามกองทัพมานั้นเป็นลำดับไป

สำหรับบัตรประจำตัวนายทหารจีน(กองพล93) ที่ทางราชการออกให้ก่อนหน้านั้น(ตามภาพ) ทางราชการได้เรียกกลับคืน โดยเปลี่ยนกับบัตรประชาชนไทยถาวรในเวลาเดียวกันนั้น

ภาพประกอบที่ ๙---> http://i43.servimg.com/u/f43/12/93/89/37/santik10.jpg

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ กองทัพภาคที่ 3 จึงได้มอบอำนาจการปกครองหมู่บ้านอดีตทหารจีน(กองพล93)บางหมู่บ้านให้กับกระทรวงมหาดไทย ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น หมู่บ้านสันติคีรี ( ดอยแม่สลอง ) เป็นหมู่ที่ 18 ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงรายโรงเรียนนายร้อยหว่างฟู่ ไม่ใช่มีแต่นักเรียนที่เป็นชาวจีนเท่านั้น แต่มีคนไทยเข้ารับการศึกษาด้วย(ตามภาพ เป็นคนไทยแท้ ๆ บ้านอยู่บางกอกน้อย ธนบุรี) จึงเป็นการสะดวกในสืบค้นข้อมูลกรณีของบิดานายสนธิ ลิ้มทองกุล


ดังนั้น เราสามารถที่จะพิจารณา วิเคราะห์จากหลักฐาน ข้างต้น จึงสามารถสรุปได้ดังนี้ ว่า

1. กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่อ้างว่าบิดาเป็นนายทหารกองร้อยหว่างฟู่ สังกัดกองพล93

จากรายงานพบว่า บิดาของนายสนธิ ได้ " หลบหนีจากกองพล93(หนีทหาร)" ก่อน พ.ศ.2514 ซึ่งเป็นระยะก่อนที่รัฐบาลไทย จะมีคำสั่งอนุญาตให้กองพล93 แปลงสัญชาติเป็นไทยได้ นั่นหมายถึง ซึ่งบิดาของนายสนธิ จึงเป็นเพียงคนจีนหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย จึงไม่ได้รับสิทธิในการแปลงสัญชาติเป็นไทย เช่นบุคคลที่อยู่ในกองพล93 ตามคำสั่งของกองบัญชาการทหารสูงสุด (เพราะหนีทหารไปก่อนหน้านั้น จึงไม่ปรากฏหลักฐานการได้สัญชาติ เช่นผู้อื่นที่สังกัดกองพล93 ในระยะเวลาดังกล่าวโดยสิ้นเชิง)
ดังนั้น

2. เมื่อบิดาของนายสนธิ ไม่ได้สัญชาติไทย มีฐานะทางกฏหมายเป็นผู้กระทำความผิด ฐานเป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง แต่เหตุใดนายสนธิ ซึ่งเป็นบุตร จึงมีสัญชาติไทยได้ ?3. ตามบัตรประชาชน ซึ่งหลักฐานปรากฏตามหมายจับ(ดูภาพในวงกลมสีแดง) ระบุว่า นายสนธิ " เชื้อชาติไทย" คำว่า " เชื้อชาติ " หมายถึง " ผู้ที่เกิดในประเทศ " แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่า " นายสนธิ เกิดปี พ.ศ.2490 " ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนที่กองพล 93 จะรบกับกองทัพปลดแอกของเหมาเจอตุง และก่อนที่กองพล93 จะพ่ายแพ้และหลบหนีเข้ามายังเมืองเชียงตุงของพม่า และก่อนเวลาที่รัฐบาลไทยจะรับกองพล93 เข้ามาตั้งหมู่บ้านเป็นกันชนคอมมิวนิสต์

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า " นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ใช่เชื้อชาติไทย " แน่นอน

4. ในระยะช่วงเวลาดังกล่าว (พ.ศ.2514-2520) ผู้ที่อยู่ฐานชายแดนแถบพม่า จะทราบดีว่าการเดินทางระหว่างเชียงราย มาลำปาง ก็กินเวลาเป็นวัน ๆ เพราะถนนไม่ดี(สายเอเซียยังไม่สร้าง...นั่งรถกันงี้ขี้เป็นเลือด..เรื่องจริง เพราะไม่มีเบาะมีแต่กระดานไม้) ไม่ต้องกล่าวถึงจังหวัดสุโขทัย ซึ่งอยู่ห่างไกลกับพื้นที่ตั้งของจังหวัดเชียงรายซึ่งกองพล93อยู่(คิดในด้านดีไว้ก่อน) จึงมีคำถามว่า นายวิเชียร บิดาของนายสนธิ มามีภรรยาที่สุโขทัยได้อย่างไร ?
ฉะนั้น

เมื่อเทียบตามระยะเวลาจากบัตรประชาชนของนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ วันเวลาที่ทางราชการ อนุมัติให้ผู้ที่อยู่ในปกครองของกองพล93 แปลงสัญชาติได้นั้น(2514) นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะบรรลุนิติภาวะแล้ว และมีอายุ 24 ปี

หากอนุมานว่าเป็นเช่นนั้น จุดที่เป็นสิ่งสังเกตุสำคัญคือ " จะเป็นได้เพียงแค่ สัญชาติไทย ไม่ใช่ เชื้อชาติไทย "

:::: ข้อพิรุธ ::::
นายสนธิ เกิดก่อนที่นายวิเชียรบิดาของตนซึ่งอยู่ที่เมืองจีน จะพบกับแม่ของตน ซึ่งอยู่ที่ประเทศไทยจังหวัดสุโขทัย(กรณีหากว่าแม่มีสัญชาติไทย) เพราะกองพล 93 เข้าประเทศไทยปี 2504 นั่นหมายถึงบิดาของนายสนธิ มาพบและแต่งงานกับมารดานายสนธิ จึงจะตั้งท้องและคลอดเป็นนายสนธิได้ ก็ต้องเป็นปี 2505 (ตามหลักฐานปรากฏว่าปี2504...นายสนธิอายุได้ 14 ปีแล้ว ...จึงเป็นไปไม่ได้ว่า นายสนธิ จะเกิดก่อนพ่อแม่แต่งงานกัน) ตกลง นายสนธิ เกิดจากใคร ...รูกระบอกไม้.. !!
ภาพ นายพลเจียงไคเชค เป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหว่างฟู่ (ไม่ใช่พ่อนายสนธิ)
_________________________


เมื่อคำนวณนับจากปีเกิดนายสนธิ (พ.ศ.2490) ก็ยังเป็นระยะเวลาก่อนที่เจียงไคเชค จะตั้งกองพล93 รบกับกองทัพเหมาเซตุง ซึ่งเป็น พ.ศ.2492 นั่นหมายถึง นายสนธิมีอายุได้ 2 ขวบแล้ว

...... คำถาม ณ เวลานี้คือ มารดาของนายสนธิ เป็นใคร ? นายสนธิ เกิดที่ไหน ? เมื่อไร ? และได้ " เชื้อชาติไทย" และ " สัญชาติไทย " มาได้อย่างไร ?

ในชั้นต้นสรุปได้ว่า เอกสารบัตรประจำตัวประชาชน เป็นของปลอมแน่นอน


ดังนั้น การเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ปลุกระดมชาวไทยออกไปก่อการชุมนุม ยึด ทำลายทรัพย์สิน จนถึงขั้นใช้กำลังอาวุธปะทะกัน โดยอ้างว่า " กู้ชาติ " จึงเป็นไปไม่ได้

เพราะ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้มีสัญชาติไทย หรือ เชื้อชาติไทย โดยสถานะทางกฏหมาย ปรากฏตามหลักฐานหมายจับ(ซึ่งเป็นเอกสารทางราชการ รับรองแล้ว)

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ณ เวลาปัจจุบัน สถานะทางกฏหมาย เท่ากับเป็น " บุคคลไร้สัญชาติ "

.... การกระทำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงมีลักษณะไม่ผิดกับว่า " นายสนธิฯ เป็นนักท่องเที่ยว เข้ามาในประเทศไทย หรือ กะเหรี่ยงหลบหนีเข้าเมือง แล้วมาปลุกระดมให้ประชาชนเจ้าของประเทศเกิดความแตกแยกทางความคิด แบ่งฝ่ายใช้อาวุธเข้าประหัตประหารกัน โดยอ้างคำว่า " กู้ชาติ " ...!! เป็นเครื่องบังหน้าเพื่อก่อความไม่สงบขึ้นในบ้านเมืองเมื่อเทียบลักษณะความผิดที่ปรากฏทั้งหลักฐานและพยานเชิงประจักษ์แล้ว การกระทำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าข่าย " จารชน " ซึ่งประชาชนไทยมีสิทธิ " ยิงทิ้ง " หรือ " จับตาย " ได้โดยไม่ผิดกฏหมาย (ตามระเบียบรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๑๗) ทั้งยังเป็นการช่วยทางราชการอีกด้วย

ในส่วนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ เจ้าพนักงานตำรวจ สามารถจับกุมได้โดยไม่ต้องใช้หมายจับ โทษของ " จารชน " มีสถานเดียวคือ " ประหาร " โดยไม่ต้องขึ้นศาลอีกด้วย(เป็นกฏหมายสากล International Law )


:::: หมายเหตุ :::
ข้อมูลเชิงลึก ในกรณีอาชีพของบิดานายสนธิซึ่งหนีราชการทหาร แต่กลับมีเงินตั้งโรงพิมพ์(เขาเอาเงินมาจากไหน...ประกอบอาชีพอะไรจึงร่ำรวย และเหตุใดจึงถูกฆ่าล้างครัวที่กรุงเทพฯ) ที่เหลือ จะนำมาเสนอให้ทราบต่อไปในโอกาสหน้า..

(1) ความอับจนของ "ลัทธิเศรษฐกิจพอเพียง" โดย ใจ อึ๊งภากรณ์

ความอับจนของ "ลัทธิเศรษฐกิจพอเพียง" โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
ทุกวันนี้คนไทยถูกเป่าหูด้วยเศรษฐกิจพอเพียงทุกวัน เหมือนกับว่าเป็นทางออกสำหรับประเทศไทย มันคืออะไร? นำมาใช้อย่างไร? ต่างจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณอย่างไร? ทำไมทหารเผด็จการ คมช. นำมาบรรจุในรัฐธรรมนูญปี ๕๐? ทำไมรัฐบาลไทยอ้างว่าเป็นแนวคิดใหม่ที่จะนำไปสอนชาวโลกได้??? แล้วทำไมมีคนโจมตีแนวคิดนี้อย่างรุนแรงในวารสารเศรษฐศาสตร์ต่างประเทศ?

ผมขออ้างอิงคำพูดของคนขับรถแทคซี่คนหนึ่งในกรุงเทพฯ เพราะคนขับคนนี้สะท้อนความคิดของคนส่วนใหญ่ เขาบอกผมว่า "สำหรับคนข้างบนเขาพูดง่าย เรื่องพอเพียง ไปไหนก็มีคนโยนเงินให้เป็นกระสอบ แต่พวกเราต้องเลี้ยงครอบครัว จ่ายค่าเทอม เราไม่เคยพอ" ในแง่นี้จะเห็นว่าคนจนไม่น้อยมองว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นคำพูดของคนชั้นบน เพื่อให้เรารู้จัก "พอ" (ไม่ขอเพิ่ม) ท่ามกลางความยากจน และเป็นคำพูดของคนที่ไม่เคยพอเพียงแบบคนจนเลยอีกด้วย ... บทความของอาจารย์ พอพันธ์ อุยยานนท์ (๒๕๔๙ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับบทบาทการลงทุนทางธุรกิจ ใน ผาสุก พงษ์ไพจิตร (บรรณาธิการ) "การต่อสู้ของทุนไทย" สำนักพิมพ์มติชน) แสดงให้เห็นว่าธุรกิจสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีการลงทุนกว่า 45 พันล้านบาท ไม่น่าจะเรียบง่ายอะไร ...แล้วพอเรามาดูค่าใช้จ่ายของวังต่างๆ ยิ่งเห็นชัด

ดังนั้น เศรษฐกิจพอเพียง เป็นลัทธิล้าหลังของคนชั้นสูงเพื่อสกัดกั้นการกระจายรายได้และสกัดกั้นการสร้างความเป็นธรรมในสังคม เป็นลัทธิเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนที่รวยที่สุด และที่น่าปลื้มคือคนจนทั่วประเทศเข้าใจประเด็นนี้ ในขณะที่นักวิชาการและคนชั้นกลางยังหลงใหลกับลัทธิพอเพียงอยู่

สำหรับพระราชวัง ความพอเพียงหมายถึงการมีหลายๆ วัง และบริษัททุนนิยมขนาดใหญ่เช่นธนาคารไทยพาณิชย์ สำหรับทหารเผด็จการความพอเพียงหมายถึงเงินเดือนสูงจากหลายแหล่ง และสำหรับเกษตรกรยากจนหมายถึงการเลี้ยงชีพด้วยความยากลำบากโดยไม่มีการลงทุนในระบบเกษตรสมัยใหม่

ขบวนการเอ็นจีโอ โดยเฉพาะสาย "ชุมชน" (ดูงาน อ.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา) จะคิดกันว่าแนว "พอเพียง" สอดคล้องกับสิ่งที่เขาเสนอมานานเรื่องการปกป้องรักษาชุมชนให้อยู่รอดได้ท่ามกลางพายุของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ แนวคิดชุมชนแบบนี้มองว่าเราควรหันหลังให้รัฐ ไม่สนใจตลาดทุนนิยมมากเกินไป พยายามสร้างความมั่นคงของชุมชนผ่านการพึ่งตนเอง ผ่านการแลกเปลี่ยนแบบมีน้ำใจและความเป็นธรรม หรือปฏิเสธบริโภคนิยม มันเพ้อฝัน หมดยุค(ถ้าเคยมียุค) แต่เขาหวังดี ไม่เหมือนพวกที่เสนอลัทธิพอเพียง

หลังรัฐประหาร 19 กันยา มีการนำ "เศรษฐกิจพอเพียง" ของพระราชวัง มาเป็นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล มรว. ปรีดิยาธร เทวกุล รัฐมนตรีคลังคนแรกของ คมช. ในวันที่ 2 พ.ย. 49 อธิบายว่า... "เศรษฐกิจพอเพียงหมายถึงอย่าขยายเกินกำลังทุนที่มี.... ให้พอดี... ไม่เกินตัว... เป็นแนวเศรษฐศาสตร์พุทธ.... ต้องมีการออม... การลดหนี้ครอบครัว..เป็นแนวสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน" แต่พอเราอ่านรายละเอียดแล้วพยายามสรุป มันมีสาระเพียงว่า "อย่าทำให้พัง ล้มละลาย" แค่นั้น หรือ "ใครรวยจ่ายมากได้ ใครจนต้องจ่ายน้อย" เด็กอายุ4 ขวบคงคิดแบบนี้ได้ ไม่ต้องมีสมองใหญ่โต

ปรีดิยาธร เทวกุล เสนออีกว่า "รัฐบาลให้ความสำคัญแก่เป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพ.....การรักษาวินัยการเงินการคลังของภาครัฐ" "การใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับระบบเศรษฐกิจตลาดเสรีทำได้" และเราก็เห็นว่ารัฐบาล คมช. ผลักดันนโยบายเสรีนิยมสุดขั้วของกลุ่มทุนมากกว่าไทยรักไทยเสียอีก เช่นการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ การตัดงบประมาณสาธารณสุข การเพิ่มงบประมาณทหาร การผลักดัน FTA (สัญญาค้าเสรี) กับญี่ปุ่น หรือการเดินหน้าแปรรูปรัฐวิสาหกิจรถไฟและไฟฟ้าเป็นต้น ในกรณีไทยรักไทย เขาทำนโยบายเสรีนิยมทั้งหมดดังกล่าวด้วย แต่คานมันโดยใช้นโยบายการเพิ่มค่าใช้จ่ายรัฐ (แบบเคนส์) ในเรื่องกองทุนหมู่บ้าน หรือสาธารณูปโภค หรือ30บาทรักษาทุกโรค พูดง่ายๆ ไทยรักไทย ใช้นโยบายเศรษฐกิจคู่ขนาน ทั้งตลาดเสรีและรัฐนิยมพร้อมกัน

เราต้องฟันธงว่าลัทธิเศรษฐกิจพอเพียงไม่มีเจตนาที่จะลดอำนาจกลุ่มทุนและอิทธิพลคนรวยแต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันเป็นคำพูดที่พยายามหล่อลื้นการหันไปสนับสนุนตลาดเสรีของนายทุนใหญ่อย่างสุดขั้ว และรัฐธรรมนูญ คมช. ปี ๕๐ ก็ยืนยันสิ่งนี้

แล้วสาระของเศรษฐกิจพอเพียงมีมากกว่านี้ไหม? เราถือว่าเป็นทฤษฏีเศรษฐกิจได้ไหม? วารสาร The Economist เขียนไว้ว่ามันเป็นความคิดเศรษฐศาสตร์ที่เหลวไหลเพ้อฝัน เพียงแต่ "ประทับตราราชวัง" เท่านั้น

เศรษฐกิจพอเพียงไม่เอ่ยอะไรที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับเรื่องสำคัญๆ เช่นการใช้รัฐหรือการเน้นตลาดในการบริหารเศรษฐกิจ หรือวิธีกระจายรายได้ของประเทศ และไม่พูดถึงสวัสดิการหรือรัฐสวัสดิการเลย ในเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจมีแต่จะเสนอให้คนจนไป "ยากจนแต่ยิ้ม" กับญาติในชนบท



ในที่สุดสิ่งที่จะสร้างความยั่งยืนและความพอเพียงแท้กับคนส่วนใหญ่คือการสร้างระบบรัฐสวัสดิการ และต่อจากนั้นต้องเดินหน้าสู่ "สังคมนิยม" ที่ยกเลิกการใช้กลไกตลาดในการแจกจ่ายผลผลิต หันมาใช้การวางแผนโดยชุมชนและประชาชนในลักษณะประชาธิปไตย และนำระบบการผลิตมาเป็นของกลาง บริหารโดยประชาชนเอง ซึ่งหมายความว่าต้องยกเลิกระบบชนชั้นที่บางคนรวยและควบคุมทุกอย่าง ในขณะที่คนส่วนใหญ่ยากจนและเป็นเพียงลูกจ้างหรือเกษตรกรยากจน





สรุปแล้วเศรษฐกิจพอเพียง เป็นลัทธิของคนชั้นบนที่รวยที่สุดในสังคม เพื่อกล่อมเกลาให้คนส่วนใหญ่ก้มหัวยอมรับสภาพความยากจน มันเป็นลัทธิของพวกที่ยังเชื่อว่าไทยเป็นทาส ไทยเป็นไพร่ และที่สำคัญ พวกนี้พยายามใช้กฎหมายหมิ่นฯและการปกปิดเสรีภาพ เพื่อไม่ให้เราวิจารณ์ลัทธิที่อับจนอันนี้



แต่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่โง่ หูตาสว่างแล้ว เข้าใจเรื่องนี้ได้ดี... และนั้นคือสิ่งที่พวกข้างบนกลัวที่สุด!



ถ้าเราไม่สามารถใช้ลัทธิเศรษฐกิจพอเพียงได้ ในวิกฤตเศรษฐกิจปัจจุบัน เราจะมีข้อเสนออะไร?

ผมคิดว่าข้อเสนอของ องค์กรเลี้ยวซ้าย มีประโยชน์ จึงขอส่งมาให้ดูด้วย.... จาก www.pcpthai.org



(2) ในวิกฤตเศรษฐกิจนี้ กรรมกรและนักสังคมนิยมต้องมีจุดยืนแบบไหน?

ข้อเสนอขององค์กรเลี้ยวซ้าย

ถึงเวลาแล้วที่นักสหภาพแรงงาน และนักเคลื่อนไหวทั่วไป ต้องตื่นตัวกับปัญหาอันใหญ่หลวงที่มาจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก เราต้องหยุดพูดถึงการปลดคนงานว่าเป็น "แค่การฉวยโอกาสของนายจ้าง" หยุดพูดกันได้แล้วว่ามาตรการสำหรับคนตกงานควรจะเป็น "การฝึกฝีมือ" เพราะจะไปฝึกทำอะไร ในเมื่อไม่มีงานทำ?



สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ

· เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในด้วยโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และการลงทุนในระบบการศึกษาและโรงพยาบาล

· เร่งกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ ด้วยการเพิ่มรายได้ให้คนจน โดยการยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่ม และเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้ถึงวันละ 300 บาท ... เงิน 2000 บาทที่รัฐบาลจะให้บางคนเป็นเรื่องดี แต่ไม่เพียงพอที่จะช่วยคนจนและกระตุ้นกำลังซื้อ

· รีบระดมรายได้เข้ารัฐจากการเพิ่มภาษีรายได้ และภาษีทรัพย์สินฯลฯกับคนรวย ซึ่งควรจะเสียสละเพื่อปกป้องเศรษฐกิจชาติ

· ถ้ารัฐช่วยเหลือบริษัทเอกชนด้วยเงินของเรา รัฐต้องมีเงื่อนไขว่าบริษัทเหล่านั้นจะต้องไม่เลิกจ้างคนงาน

· รัฐต้องขยายสวัสดิการตกงานให้ครอบคลุมทุกคนที่ตกงานโดยไม่มีเงื่อนไข และขยายเวลาออกไปให้เขาได้รับเงินสองปี



ทำไมมันเป็นวิกฤตจริงในไทย

ในวิกฤตเศรษฐกิจของระบบทุนนิยมโลกปัจจุบัน ผลกระทบที่เริ่มเห็นในประเทศไทยมาจากการที่ตลาดส่งออกสินค้าไทยหดตัวลงทั่วโลกอย่างน่าใจหาย เพราะเศรษฐกิจอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และแม้แต่จีนหดตัวและอยู่ในสภาพวิกฤต นอกจากนี้บริษัทข้ามชาติที่ลงทุนสร้างโรงงานในไทย มีปัญหาทางด้านการเงิน จนมีการลดหรือยกเลิกการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และอีเลคโทรนิคซ์ ซึ่งส่งผลต่อไปเป็นลูกโซ่ต่อบริษัทเล็กๆ ที่เกี่ยวพันธ์กัน ลองคิดดูซิ บริษัทข้ามชาติใหญ่ๆ ในอเมริกาและญี่ปุ่นถึงขั้นล้มละลาย ระบบธนาคารถึงขั้นที่รัฐบาลตะวันตกจะเข้าไปยึดเป็นของรัฐ พร้อมกันนั้นจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศและสร้างงานและรายได้ให้ชาติ ได้หดตัวลงอย่างน่าใจหายอีก เนื่องจากการกระทำของพันธมิตรฯ และการที่คนต่างประเทศไม่มีเงินมาเที่ยวเมืองไทย

สาเหตุของวิกฤตโลก

สาเหตุของวิกฤตทุนนิยมโลกรอบนี้มาจากการที่อัตรากำไรในระบบ มีแนวโน้มลดลงเสมอ อันเนื่องมาจากกลไกตลาดและการแข่งขันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยการลงทุนในเครื่องจักร นี่คือสิ่งที่ คาร์ล มาร์คซ์ ค้นพบนานแล้ว และเขียนบรรยายไว้ในหนังสือ "ว่าด้วยทุน" ก่อนที่จะเกิดวิกฤตรอบนี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาพยายามพยุงอัตรากำไรและเศรษฐกิจ ด้วยการปล่อยกู้ให้คนจน โดยที่การซื้อสินค้าของคนจนได้กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก่อให้เกิดหนี้เสียมหาศาลจนระบบธนาคารทั่วโลกพัง เมื่อระบบธนาคารพังบริษัทใหญ่ๆ กู้เงินไม่ได้ ก็มีการเลิกจ้างคนงาน ซึ่งทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ของการหดตัวของเศรษฐกิจ วิกฤตโลกครั้งนี้พอๆ กับยุค ๒๔๗๕



ข้อสรุปสำคัญจากข้อมูลนี้คือ

· กลไกตลาดเสรีของทุนนิยมสร้างปัญหาเสมอ เราต้องใช้รัฐควบคุมตลาด และต้องสร้างรัฐสวัสดิการ

· ระบบทุนนิยมไม่สามารถเป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิตของประชาชนโลกได้ เราต้องสร้างสังคมนิยมในระยะยาว

· ในระยะสั้นรัฐบาลทุกประเทศต้องกระตุ้นตลาดภายในอย่างเร่งด่วน และต้องปกป้องคนจากการตกงาน



เมื่อเจ็ดสิบปีมาแล้ว นักเศรษฐศาสตร์ชื่อ จอห์น เมนาร์ด เคนส์ ได้อธิบายไปท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกค.ศ. 1930 ว่า การรักษาวินัยทางการคลังหรือการตัดงบประมาณ (สูตรที่พรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตร และนักวิชาการเสรีนิยมท่องเหมือนนกแก้ว) จะนำไปสู่การหดตัวของเศรษฐกิจและวิกฤตที่ร้ายแรงขึ้นอีก เพราะมีการตกงาน คนตกงานซื้อสินค้าไม่ได้ ก็นำไปสู่คนตกงานมากขึ้น และความยากจนทั่วไป ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือรัฐบาลต้องเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนส่วนใหญ่ ด้วยการสร้างงานและปกป้องไม่ให้คนตกงาน

การเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนคนจนทำได้สองวิธีคือ หนึ่ง เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้ถึงวันละ 300 บาท พร้อมกับลดหรือยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่มที่คนจนต้องจ่าย ต้องเพิ่มเงินเดือนข้าราชการและรัฐวิสาหกิจด้วย และต้องตัดหนี้สินเกษตรกรยากจน สอง รัฐบาลต้องปกป้องและสร้างงาน การสร้างงานที่สำคัญต้องเป็นรูปแบบโครงการขนาดใหญ่ เช่นการพัฒนารถไฟทุกสาย ทั่วประเทศ ให้เป็นรถไฟไฟฟ้าความเร็วสูง ต้องสร้างระบบขนส่งมวลชนในรูปแบบรถไฟเพิ่มในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ อย่างเชียงใหม่ ต้องสร้างโรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าจากลมและแสงแดด ต้องสร้างโรงพยาบาลและโรงเรียนเพิ่มขึ้นฯลฯเป็นต้น โครงการเหล่านี้ต้องถูกกำกับดูแลโดยภาคประชาชนเพื่อไม่ให้มีการโกงกินหรือทำลายวิถีชีวิตประชาชน และเพื่อนำไปสู่ประโยชน์แท้สำหรับคนจน

ในโรงงานที่นายจ้างประกาศปิดหรือลดคนงาน รัฐบาลต้องเข้าไปยึดและร่วมถือหุ้นและลงทุนเพิ่ม โดยให้สหภาพแรงงานร่วมบริหารโรงงาน ต้องมีเงื่อนไขว่าห้ามเลิกจ้าง และต้องหันมาผลิตสิ่งจำเป็น เช่นในโรงงานรถยนต์ควรผลิตรถพยาบาลฉุกเฉิน หรือรถขนส่งมวลชนให้รัฐ ในโรงงานอีเลคโทรนิคส์ต้องผลิตคอมพิวเตอร์สำหรับโรงเรียนรัฐบาลในชนบท และในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าควรผลิตชุดนักเรียนเพื่อแจกฟรีให้กับประชาชน

ในภาคเกษตรรัฐต้องชักชวนให้เกษตรกรยากจนรวมตัวกันแบบสหกรณ์หรือนารวม ต้องไม่บังคับกัน แต่รัฐควรลงทุนซื้อเครื่องจักรและปุ๋ย และควรประกันราคาผลผลิตให้เกษตรกรกลุ่มนี้ เพื่อแจกจ่ายอาหารให้กับโรงเรียนหรือโรงพยาบาลของรัฐ

จะเอาเงินมาจากไหน? รัฐบาลไม่น่าจะขาดเงิน เพราะเราเห็นว่ามีเงินจัดพิธีสาธารณะอันใหญ่โตได้ รัฐสามารถลดงบประมาณทหารในส่วนที่ซื้ออาวุธหรือเครื่องบิน แต่ต้องปกป้องค่าจ้างของทหารยากจน ที่สำคัญคือรัฐบาลต้องเพิ่มการเก็บภาษีทางตรงกับคนรวยทุกคน โดยไม่เลือกปฏิบัติ พร้อมกระจายที่ดิน ในยามวิกฤตคนรวยต้องเสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่ในชาติ ไม่ใช่เอาตัวรอดบนสันหลังคนจน



--
Giles Ji Ungpakorn
Chulalongkorn University
UK mobile:+44-(0)7817034432
http://siamrd.blog.co.uk/
http://wdpress.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
see YOUTUBE videos by Giles53

Thursday, February 19, 2009

กฎหมายหมิ่นฯ : กฎหมายกินคน

กฎหมายหมิ่นฯ : กฎหมายกินคน

สมุดบันทึกสีแดง

17 กุมภาพันธ์ 2009

ความเละเทอะป่าเถื่อนเกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นมีเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ล่าสุดมีการล่ารายชื่อเพื่อขับไล่ให้อาจารย์สมเกียรติ ตั้งนะโม หนึ่งในคนที่ร่วมลงราย ชื่อ ยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯเพื่อสนับสนุนให้ยุติการใช้กฎหมายหมิ่นมาเป็นเครื่องมือรังแกคนอื่น แต่ถูกตอบโต้จากกลุ่มอาจารย์ขวาจัดปฏิกิริยาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พวกนั้นเรียกร้องให้ไล่อาจารย์สมเกียรติ ตั้งนะโม ออกจากตำแหน่งหน้าที่การงาน ในสังคมประชาธิปไตยการกระทำของอาจารย์กลุ่มนี้ต่างหากที่ทำให้สถาบันเสียชื่อ เสียศักดิ์ศรีของความเป็นคนในโลกสมัยใหม่ ทำให้สถาบันที่ให้การศึกษากับคนต้องมัวหมอง อาจารย์ฟาสซิสต์พวกนี้เมื่อสวมใส่เครื่องแบบสีเหลืองแล้วจะรู้สึกพองตัวเต็มที่กับอำนาจที่จะรังแกคนอื่น การรับมือที่ได้ผลมากที่สุดไม่ใช่ไปชกหรือสู้กลับในกติกาของพวกนี้ เพราะกติกาของพวกนี้ยืนอยู่บนความคลุ้มคลั่งและการใช้ความรุนแรงไม่สนใจกติกาประชาธิปไตยโดยสิ้น ถ้านักวิชาการไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพก็จะหายไป นักวิชาการกจะมีสภาพเหมือนนกแก้วนกขุนทองท่องสูตรตามชนชั้นปกครองที่เป็นเผด็จการเท่านั้น

ในระดับแนวคิดทางการเมืองของพวกนี้นั้นมีลักษณะเป็นพวก "ฟาสซิสต์" คือ คลั่ง ชาติ คลั่งกษัตริย์ ไม่ใช้เหตุผลมีความเกลียดชังพวกที่อยู่นอกกรอบของการคลั่งชาติ คลั่งกษัตริย์ ว่าเป็นสาเหตุของปัญหาสังคมที่ต้องกำจัดให้สิ้นซาก สันติสุขในสังคมถึงจะกลับมา เหมือนกับในเยอรมันในช่วงเผด็จการฮิตเลอร์ที่ใช้ชาวยิวเป็นแพะรับบาป โดยการป้ายสีให้เป็นสาเหตุของปัญหาสังคมทั้งปวง วิธีการที่พวกนี้นิยมใช้คือการใช้ความรุนแรงสุดขั้วในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้คนอื่นเกิดความกลัวอย่างถึงที่สุด กติกาดังกล่าวคนที่รักประชาธิปไตยย่อมยอมรับไม่ได้ อีกทั้งเราไม่สามารถประณีประนอมนอกจากทำลายอุดมการณ์ทางการเมืองชนิดนี้ลงเสีย

การจะขับไล่คนออกจากการทำงานควรจะมีเหตุผลจากการไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน ไม่ใช่ถูกไล่ออกเพราะมีจุดยืนทางการเมือง สถานการณ์แบบนี้ที่เกิดขึ้นกับกรณีของอาจารย์สมเกียรติ ตั้งนะโม ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรกภายใต้สถานการณ์การเมืองที่แหลมคม ปีที่แล้วมีกรณีของประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ คุณจิตรา คชเดช เช่นเดียวกัน ซึ่งถูกนายจ้างใช้เงื่อนไขจุดยืนทางการเมืองของเธอไล่เธอออก หลังจากที่เธอได้ไปออกรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับ "สิทธิทำแท้งของสตรี" ทางช่อง 11 โดยเธอได้ใส่เสื้อรณรงค์เพื่อสิทธิเสรีภาพให้แก่คุณโชติศักดิ์ อ่อนสูง ที่โดนคดีหมิ่นฯจากการไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯในโรงหนัง จากนั้นสื่อสกปรกอย่าง "ผู้จัดการ" ได้ทำการปลุกระดมเรื่องดังกล่าวเพื่อทำให้เป็นอาวุธทางการเมืองทำลายฝ่ายตรงข้าม จากนั้นนายจ้างบริษัทไทรอัมพ์ฯได้ใช้เงื่อนไขที่ผู้จัดการปลุกขึ้นมา กล่าวหาเธอว่าไม่จงรักภัคดีต่อพระมหากษัตริย์ทำให้บริษัทเสียชื่อ ข้อกล่าวหาต่ำทรามนี้ถูกนำมาใช้เพื่อล้มสหภาพแรงงานลดคุณค่าและทำลายการเป็นผู้นำสหภาพแรงงานก้าวหน้าที่เรียกร้องสิทธิประโยชน์ให้คนงาน ซึ่งคนงานตอบโต้โดยการนัดหยุดงาน 40 กว่าวันจากนั้นกระบวนการไปจบลงที่ศาลแรงงาน จ.สมุทรปราการ โดยศาลแห่งนั้นได้ทำหน้าที่สแตมป์ความอยุติธรรมให้กรณีจิตรา คชเดช อย่างเป็นทางการด้วยข้อหาว่า "ไม่วิญญาณประชาชาติไทย" (!!!&&!!อยากตั้งศาลประชาชนตัดสินผู้พิพากษาคนนี้เสียจริง)

ทั้งสองกรณีนี้ คือ วงจรชีวิตของคนธรรมดาที่อยู่ภายใต้สังคมเผด็จการ การร้องหาเสรีภาพเฉยๆเพื่อขอความเห็นใจและเรียกร้องให้พวกนี้เคารพสิทธิของเรานับเป็นเรื่องที่ไม่เพียงพอ หรือ แนวทางการแสดงจุดยืนทางสังคมที่แข่งขันกันเปล่งเสียงร้องว่า "ฉันรักเจ้านะ หรือ ฉันรักเจ้ายิ่งกว่าเธออีก" มีแต่จะนำพาเราไปสู่พบเจอความป่าเถื่อนและลดพื้นที่ประชาธิปไตยลงทุกวินาที ความขัดแย้งของสังคมปัจจุบันมันมาถึงจุดที่เราต้องเลือกข้างอย่างชัดเจน เลือกข้างแล้วก็ยังไม่พอเราต้องเป็นนักสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงกติกาของสังคมอีกด้วย นักวิชาการเองต้องยกระดับมาเป็นนักเคลื่อนไหวที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่เช่นนั้นเราจะถูกละเมิดสิทธิและพื้นที่ไปเรื่อยๆจนไม่มีที่จะยืน เราต้องเข้าร่วมกับกลุ่มประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยแท้อย่าง "คนเสื้อแดง" เราต้องพยายามยืนยันว่าการมีจุดยืนทางการเมืองไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่การอ้างความเป็นกลาง กลัวสังคมแตกแยก นำมาสู่การไม่มีจุดยืนและกลายเป็นขุนพลปกป้องระบบเผด็วจการนั้นน่ารังเกียจยิ่งกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดอันหนึ่งคืออย่าลืมว่าสังคมแตกแยกเพราะพวกเสื้อเหลืองก่อเรื่องขึ้นมาตั้งแต่แรก

ในมุมมองของผู้เขียน วิธีการรับมือกับ 4 อาจารย์ฟาสซิสต์อันประกอบไปด้วย "พงศ์เดช-เกศ-ผดุงศักดิ์-พีระพงษ์" ผลงานของพวกนี้คือ ทำลายมาตรฐานทางวิชาการอย่างเลวทราม เราต้องล่ารายชื่อเหมือนกันเพื่อแสดงว่าเราไม่เห็นด้วยกับการล่าหัวมนุษย์แบบนี้ ต้องไปมอบดอกไม้ให้อาจารย์สมเกียรติ พวกที่นิ่งเฉยกับการรังแกแบบนี้เท่ากับเปิดประตูให้ทรราชครองเมือง หากอาจารย์ฟาสซิสต์ 4 คนนี้ชนะ จะเกิดอะไรขึ้นในรูปธรรม? เราจะไม่เห็นคนทำผิดได้รับการลงโทษถ้าใส่เสื้อสีเหลือง เราจะไม่เห็นคนยึดสนามบินต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้น ต่อไปเราจะเห็นคนที่ยกรูปในหลวงไล่ตี ไล่ฆ่า ไล่ยิงคนอื่นเพิ่มขึ้นอีก เพราะทำในนามกษัตริย์นั้นไม่ผิดกฎหมายแม้จะป่าเถื่อนแค่ไหนก็ตาม

ฉะนั้นเราต้องเรียกร้องให้อาจารย์ต่างๆออกมาแสดงจุดยืนเพื่อร่วมแสดงความรับผิดชอบและปกป้องเสรีภาพต่อสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเราต้องพูดพร้อมกันหลายๆเสียง เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของปัจเจก เราเรียกร้องกับอาจารย์ในประเทศไทยไม่พอต้องเรียกร้องกับองค์กรระหว่างประเทศที่พวกฟาสซิสต์เหล่านี้สังกัดและสมาคมอยู่ด้วย เอาให้มันชัดเจนกันถ้วนหน้าไปเลยว่าแนวคิดฟาสซิสต์ของอาจารย์ 4 คนนี้ หรือ แนวปกป้องสิทธิเสรีภาพของอ.สมเกียรติ ตั้งนะโม อันไหนน่ารังเกียจมากกว่ากันในยุคโลกาภิวัตน์นี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์ ถ้าเราอยากเขียนประวัติเพื่อเชิดชูเสรีภาพก็ถึงเวลาแล้วที่จะเขียนซึ่งอาจจะไม่โรแมนติกหรือสบายเหมือนกับการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์เฉยๆ






--
http://wdpress.blog.co.uk/
ยกเลิกกฏหมายหมิ่นเดชานุภาพ
พัฒนาประชาธิปไตย

Sunday, February 15, 2009

รายซื่อ องคมนตรี ที่วางแผนการโคนล้มระบอบประชาธิปไตย

รายซื่อ องคมนตรี ที่วางแผนการโคนล้มระบอบประชาธิปไตย
ชื่อองคมนตรี หน้าที่ดูแลในการโค่นล้ม พรรคพลังประชาชน ตำแหน่ง
-------------------------------------------------------------------------------------
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ดูแล สายทหารและข้าราชการหลายกระทรวงและเป็นประธานโค่นระบอบทักษิณและพรรค ทรท ในอดีต ประธานองคมนตรี
นายธานินทร์ กรัยวิเชียร
ดูแลสาย ศาลและระบบ ตุลาการ มีข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมรายงานสายตรงตลอด เป็นผู้ออกใบสั่งล่วงหน้าในการเล่นงาน
ทั้งคุณ ยงยุทธ์ หมอเลี้ยบ รวมทั้งคดีต่างๆ กับนายกสมัคร สุนทรเวชด้วย องคมนตรี
หม่อมหลวงอัสนี ปราโมช
คนนี้ ดูแลสาย(หมอชนบท)คนในสายตรง สนิท กับสายประชาธิปัตย์และสายหมอชนบททั่วประเทศและมีข้าราชการในกระทรวงสายสาธารณ
สุขรายงานความเคลื่อนไหวตลอด เช่นเรื่องการเล่นงานไชยา สะสมทรัพย์
องคมนตรี
พลอากาศเอก กำธน สินธวานนท์

ดุแลสายทหารอากาศ และมีส่วนในการกำหนดสเปค การสั่งชื้อเครื่องบินของกองทัพอากาศ รวมถึงอยู่เบื้องหลัง ส่งปัจจัย สนับสนุน
ข้าราชการสายม็อบพันธมิตร ในการปิดสนามบินในภาคใต้ และเคยเป็น บอร์ดการบินไทย มีส่วนในการชักชวนการบินไทยหยุดงาน สายนี้
มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงการบินไทยรายงานตรงตลอด
องคมนตรี
พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา
ดูแลสายกระทรวงการต่างประเทศมีข้าราชการระดับสูงในกระทรวงคอยรายงานความเคลื่อนไหวของอดีตนายก ทักษิณ ตลอดเวลาข้อมุล
ต่างๆในกระทรวงต่างประเทศมักจะอยู่ในสายองคมนตรี
องคมนตรี
นายอำพล เสนาณรงค์ คนนี้ดูแลข้าราชการหลายกระทรวง องคมนตรี
พลเอก พิจิตร กุลละวณิชย์ สายมูลนิธิการกุศลต่างๆแต่ไม่ค่อยเด่นเท่าที่ควร และค่อยกำกับสายทหารในส่วนภูมิภาค
องคมนตรี
นายจำรัส เขมะจารุ
เคยดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา และเป็นเจ้านายเก่าของนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนปัจจุบัน ในการกลั่นแกล้ง
นายกฯ สมัคร เรื่องรายการชิมไปบ่นไป
องคมนตรี
หม่อมราชวงค์เทพกมล เทวกุล คนนี้เป็นผู้นำเงินและหาฐานสนับสนุนม็อบพันธมิตร เป็นกลุ่มสายเจ้านายศักดินา คอยโค่นล้ม พรรค พปช และผลักดันสูตร 70-30 องคมนตรี
นายเกษม วัฒนชัย
คนนี้เป็นคนดูแลสายการศึกษาและเป็นไส้ศึกของ พปช คอยอยู่เบื้องหลังสายการศึกษา มีความสนิทกับวิจิตร ศรีสะอ้านในการให้นักศึกษา
ออกมาเคลื่อนไหวและภาคการศึกษาต่างๆ
องคมนตรี
นายพลากร สุวรรณรัฐ
คนนี้ดุแลสายรัฐวิสาหกิจ คอยกำกับให้หยุดงาน รวมทั้งให้ การรถไฟ การไฟฟ้าออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล พปช เพราะในอดีตเคย
กำกับการไฟฟ้ามาก่อน
นายสวัสดิ์ วัฒนายากร เคยดำรงตำแหน่งตุลาการสาลปกครองสูงสุดและกำกับระบบศาลปกครองเพื่อโค่นพรรค พปช องคมนตรี
นายสันติ ทักราล เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตัดสินคดีของศาลกับคนใน พรรค พปช องคมนตรี
พลเรือเอก ชุมพล ปัจจุสานนท์ คนนี้ มาจากสายทหารเรือ คอยกำกับดูแลตลอดเวลา การเคลื่อนย้ายโผทหารเรือ มักมีคนผู้นี้คอยตรวจเช็คก่อนเสมอ องคมนตรี
นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ ที่ปรึกษา ทางกฎหมายขององคมนตรี ในการเล่นงาน สส พรรค พปช องคมนตรี

Friday, February 13, 2009

ท่านปรีดี พนมยงค์กับจดหมายแนะนำคุณสุพจน์ ด่านตระกูล ในประเด็นข้อเท็จจริง

ท่านปรีดี พนมยงค์กับจดหมายแนะนำคุณสุพจน์ ด่านตระกูล ในประเด็นข้อเท็จจริง
สุพจน์ ด่านตระกูล นักเขียนเจ้าของรางวัลเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป จากการเขียนหนังสือเกี่ยวกับอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ มาตลอดชีวิต เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการหาหลักฐานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ นำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่ออธิบายว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาจารย์ปรีดี ฯ แต่อย่างใด ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีความรับผิดชอบสูงอย่างยิ่งและมีจิตใจที่มั่นคงกล้าหาญ

สุพจน์เป็นนักเขียนคนหนึ่งที่เขียนหนังสืออยู่ในข่ายต้องห้ามหลายเล่ม กล่าวถึงหนังสือต้องห้ามที่ชื่อว่า THE DEVIL ‘S DISCUS เขียนโดย RAYNE KRUGER หรือในภาคไทยชื่อว่า กงจักรปิศาจ แปลโดย เรือเอก ชลิต ชัยสิทธิเวช ไว้ดังนี้

“ครั้งหนึ่งเคยคิดจะอ้างอิงข้อมูลจากหนังสือเล่มนี้ แต่หลังจากที่ได้เขียนจดหมายไปปรึกษาอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ท่านไม่เห็นด้วยกับการที่จะอ้างอิงจากหนังสือดังกล่าว เพราะข้อมูลคลาดเคลื่อนหลายตอน” (ดังข้อความในจดหมายของท่านปรีดี ที่จะกล่าวถึงต่อไป)

สุพจน์เล่าถึงการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของหนังสือเล่มดังกล่าว จนถึงการจากไปว่า ร้านหนังสือนิพนธ์ ซึ่งเป็นร้านจัดจำหน่ายหนังสือย่านเฉลิมกรุงที่มีชื่อเสียงในสมัยเมื่อหลายสิบปีก่อน เป็นผู้นำเข้ามาเพียงไม่กี่เล่ม แล้วถูกสันติบาลสั่งเก็บหนังสือจนหมด และกลายเป็นหนังสือที่ถูกห้ามนำเข้ามาภายในราชอาณาจักร

แต่ในราวปี ๒๕๑๓ ขณะนั้นมีคดีความซึ่งอาจารย์ปรีดีฯ เป็นโจทก์ฟ้องหนังสือพิมพ์สยามรัฐกับพวกอันมี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายสำเนียง ขันธชวนะ นายประจวบ ทองอุไร และนายประหยัด ศ. นาคะนาท เป็นจำเลย ในข้อหาหมิ่นประมาทใส่ความ กล่าวหาว่าอาจารย์ปรีดีฯ ไปอยู่เมืองจีนเพราะหลบหนีคดีสวรรคต ซึ่งเป็นการกล่าวเท็จ

จริงๆแล้วที่อาจารย์ปรีดีฯ ต้องหนีออกจากประเทศไทย ครั้งนั้นเป็นการลี้ภัยรัฐประหาร ๘ พ.ย. ๒๔๙๐ ที่ส่งรถถังบุกโจมตีทำเนียบท่าช้าง อันเป็นที่พักอาศัยของท่านเพื่อหวังทำลายชีวิตท่าน

ระหว่างการต่อสู้คดี ทางฝ่ายโจทก์ได้อ้างเอกสารจำนวนหนึ่ง เพื่อชี้ให้ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องหลบหนี เกี่ยวกับกรณีนั้น ที่หลบหนีก็คือภัยของคณะรัฐประหาร ๘ พ.ย. ๒๔๙๐ ที่มุ่งจะเอาชีวิตท่าน

ในจำนวนเอกสารจำนวนหนึ่งที่โจทก์ส่งอ้างต่อศาลนั้น มี THE DEVIL’S DISCUS ที่เขียนโดย RAYNE KRUGER รวมอยู่ด้วย คณะทนายของโจทก์ได้มอบหมายให้เรือเอก ชลิต ชัยสิทธิเวชช์ เป็นผู้แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย แล้วได้ส่งอ้างเป็นพยานเอกสารของโจทก์

หลังจากคดีสิ้นสุดแล้ว โดยจำเลยยอมรับผิดและได้ประกาศขอขมาในหน้าหนังสือพิมพ์สยามรัฐ มีความว่าดังนี้

ประกาศ

ตามที่นายปรีดี พนมยงค์ ได้เป็นโจทย์ฟ้องบริษัทสยามรัฐ จำกัด ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายสำเนียง ขันธชวนะ นายประจวบ ทองอุไร นายประหยัด ศ.นาคะนาท เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งในข้อหาละเมิดโจทก์ ตามคดีดำหมายเลขที่ ๗๒๓๖/๒๕๑๓ เนื่องจากหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับลงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๓ และหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ฉบับลงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๓ ลงข้อเขียนซึ่งเขียนโดยนายสำเนียง ขันธชวนะ ในนามปากกาว่า ส.ธ.น. ซึ่งมีใจความว่าโจทก์พัวพันในคดีสวรรคตนั้น
จำเลยขอแถลงความจริงว่า โจทก์ไม่เคยเป็นจำเลยในคดีสวรรคตเลย และไม่เคยถูกศาลพิพากษาว่ากระทำผิด เมื่อโจทก์ไม่เคยถูกศาลพิพากษาลงโทษ จึงถือว่าโจทก์ยังบริสุทธิ์
ส่วนการที่โจทก์หลบหนีออกจากประเทศไทยนั้น เป็นเพราะหลบหนีการรัฐประหาร จึงขอให้ผู้อ่านทราบความจริงและขออภัยในความคลาดเคลื่อนนี้ด้วย

บริษัทสยามรัฐ จำกัด
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
นายสำเนียง ขันธชวนะ
นายประจวบ ทองอุไร
นายประหยัด ศ. นาคะนาท


ต่อมามีคนกลุ่มหนึ่งได้นำเอกสารแปลเรื่องนี้จากศาลไปตีพิมพ์เป็นเล่ม แต่ยังไม่ทันได้วางตลาด สันติบาลก็ได้มากวาดไปจากโรงพิมพ์เสียก่อน หนังสือเล่มนี้จึงไม่มีจำหน่ายในเมืองไทยไมได้และอยู่ในรายชื่อหนังสือต้องห้ามในยุคนั้น เพราะสันติบาลเก็บเงียบเสียก่อน ก่อนที่หนังสือจะออกสู่ตลาด

จดหมายที่อาจารย์ปรีดีฯ มีถึงสุพจน์ ด่านตระกูล บอกไม่เห็นด้วยกับการที่จะอ้างอิงหนังสือของ RAYNE KRUGER มีรายละเอียด ดังนี้


อองโตนี
๑๕ ม.ค. ๒๕๑๖

คุณสุพจน์ ด่านตระกูล ที่รัก

ได้รับจดหมายพร้อมทั้งหนังสือเรื่อง รัฐบุรุษอาวุโสลี้ภัยรัฐประหาร แล้ว ขอบใจมากในความปรารถนาดีของคุณ เพื่อที่หนังสือที่คุณจะแต่งเรื่องต่อไป ผมมีข้อสังเกตที่ขอให้คุณรับไว้ดังต่อไปนี้

๑) ผมปรารถนาที่จะใคร่ให้หนังสือที่คุณแต่งเป็นหนังสือที่เยาวชนรุ่นนี้และรุ่นต่อไปอ้างเป็นหลักฐานที่เขาจะค้นคว้าต่อไป สมดังที่ผมได้กล่าวชมเชยต่อนักเรียนในยุโรปหลายคนว่า พวกหัวนอกปริญญาสูงๆ หลายคนที่เขียนลงในนิตยสารนั้น สู้คุณซึ่งมิได้ปริญญาไม่ได้ อาทิคุณได้ทักท้วงสังคมศาสตร์ปริทัศน์ที่ผู้เขียนบางคนมิได้ดูหลักฐานจากราชกิจจานุเษกษา ขอให้คุณรักษาหลักการนี้ไว้ และปฏิบัติต่อไปตามที่ผมได้ชมเชยไว้ ดังนี้
ก. ขอให้คุณถือเอาหลักฐานทางการที่ไม่อาจมีผู้ใดปฏิเสธได้ เป็นหลักสำคัญ
ข. เรื่องที่มีคนอื่นเขียนก็ดี เล่าให้คุณฟังก็ดี ขอให้คุณสอบสวนให้แน่นอนเสียก่อน รวมทั้งใช้เหตุผลอย่างคอมมอนเซ้นส์ว่า ข้อเขียนและคำบอกเล่าเหล่านั้นจะเป็นจริงและจะเสียหายในด้านมุมกลับอย่างไร
ค. ข้อวิจารณ์ของคุณจากหลักฐานเอกสารแน่นอนและคำบอกเล่า ซึ่งคุณจะแสดงความเห็นอย่างไรก็ย่อมได้ อย่าปนกับข้อเท็จจริง

๒) เรื่องผมลี้ภัยรัฐประหารนั้น มีคำบอกเล่าที่คลาดเคลื่อนสำคัญที่ขอให้คุณรับทราบไว้คือ
ก. พระองค์เฉลิมพล มิได้ไปติดตามผมที่บ้านเดนิสและมิได้เอาเครื่องบินไล่ติดตามเลย ถ้าผู้นี้จะคัดค้านจะทำให้หนังสือนั้นเสื่อมเสียไป อนึ่ง ถ้ามองในด้านมุมกลับ แสดงว่าการลี้ภัยของผมก่อนถึงสิงคโปร์นั้นรั่ว ความเสียหายตกอยู่แก่ผู้ช่วยเหลือที่เขารักษาความลับเป็นอย่างดี
พระองค์เฉลิมพลเป็นคนจับกุมคุณเฉลียวที่สนามม้า เจ้าที่ไปบ้านเดนิสคือ ม.จ.นิทัศน์ที่เรียกกันว่า “ท่านบู้” เขามิได้ไปเพื่อจับผม แต่บังเอิญผมไปบ้านเดนิส เขาก็มีมีธุระที่พิบูลใช้ให้มาหาเดนิส ซึ่งขณะนั้นเป็นทูตทหารเรือ เพราะเดนิสเป็นผู้ที่สถานทูตของเขาใช้ให้ไปพบพิบูลตั้งแต่วันแรกมี ร.ป.
ข. ผู้จัดการบริษัทน้ำมันนั้นไม่ใช่ “อาดัม” ดูเหมือนชื่อ อีเวนส์ ขอให้คุณสอบสวนอีกครั้ง ไม่ควรเขียนหรือแปลจากหนังสืออื่นจะทำให้หนังสือที่คุณแต่งเสียหลักฐานไป พวกจัดการบริษัทน้ำมันนี้รู้จักผมดี เพราะผมเคยช่วยให้ความเป็นธรรมเมื่อก่อนสงครามที่จอมพลฯจะเอาน้ำมันญี่ปุ่นเข้ามาแข่ง และระหว่างสงคราม พวกนี้ถูกญี่ปุ่นจับไปเป็นเชลยทำทางรถไฟสายมรณะ พวกเขาอัตคัดเงิน พวกเราเคยช่วยรับเช็คที่พวกเขาแอบเขียนไว้ เสร็จสงครามเขามาหาผมแสดงความขอบใจ ฉะนั้นจึงมิใช่ว่าเขาไม่รู้จักหรือไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากผม
ขอให้คุณเข้าใจว่าฝรั่งนายทุนนั้นไม่ใจดีถึงขนาดที่จะช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จัก และเขาจะช่วยเพียงที่ไม่นานนัก แล้วเขาก็ทำอุบายให้เราออกจากสิงคโปร์โดยการจับคุณเฉียบ เป็นการตีวัวกระทบคราด ดั่งนั้นก่อนการวิจารณ์คำบอกเล่า จึงขอให้คุณคิดให้รอบคอบ ทั้งด้านตรงและด้านมุมกลับ

๓) เล่มต่อไป “จากกรุงเทพฯถึงปักกิ่ง“นั้น มีผู้ช่วยเหลือผมหนีหลายคนที่เขายังสงวนความลับอยู่ ถ้าคุณงดไว้ชั่วคราวได้จะขอบใจมาก เพราะถ้าคุณเขียนจากคำบอกเล่าและคำสันนิษฐานผิดพลาดไปแม้แต่เล็กน้อย ผู้ช่วยเหลือผมก็จะเข้าใจผิดว่าผมบอกให้คุณเขียนเช่นนั้น โดยลืมผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตไว้ เรื่องนี้ยังเป็นความลับอีกมาก ผมขอร้องคุณให้เห็นใจโดยยับยั้งไว้อย่างเด็ดขาด

อนึ่งขอแจ้งให้คุณทราบว่า หนังสือที่ผมแต่งเกี่ยวกับชีวิตและไปเมืองจีน เป็นภาษาฝรั่งหลายภาษา จะพิมพ์ออกในไม่ช้านี้ ถ้าคุณเขียนอย่างหนึ่งและผมเขียนอีกอย่างหนึ่ง ก็จะทำให้หนังสือที่คุณแต่งหมดคุณค่าไป และจะเกิดเสียหายแก่ผมมาก จึงขอให้คุณรอไว้ว่าผมได้เขียนเพียงแค่ไหนอย่างไร แล้วจึงปรึกษากันว่าภาษาไทยจะพิมพ์แค่ไหน
นอกจากนี้ต้องขอบอกว่าอเมริกันในไทยบางคน ได้ส่งต้นฉบับที่เขาเขียนตามคำบอกเล่าและอ้างหนังสือของคุณที่แต่งมาแล้วด้วยนั้น ส่งไปยังสำนักพิมพ์ที่อเมริกาเพื่อพิมพ์

๔) เล่มต่อไปที่คุณปรึกษาคือ “ท่านปรีดีกับราชบัลลังก์และกรณีสวรรคต” นั้น คุณเขียนได้โดยเงื่อนไขว่า
ก. เอาหลักฐานทางการและรายงานการพิจารณาของศาลตลอดจนคำฟ้อง คำขอขมาของจำเลยเป็นหลัก แล้วพิจารณาโดยมิให้ศาลถือว่าละเมิดอำนาจศาล ที่ยังมีตุลาการให้ความเป็นธรรมแก่ผมอยู่ และอย่าให้พวกปฏิปักษ์ก่อความยาวสาวความยืดที่ผมจะต้องตามไปแก้อีก
ข. ที่คุณจะอ้างหนังสือครูเกอร์นั้น ต้องปรึกษาคุณอิสสระและทนายของเรา คือคุณชิต เวชประสิทธิ์ ช่วยกันวิจารณ์และช่วยคุณอย่างละเอียด เพราะเรื่องล่อแหลมมาก

อนึ่งครูเกอร์เขียนตามคำบอกเล่าที่คลาดเคลื่อนหลายตอน ผมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับครูเกอร์แล้ว เพื่อเขาพิมพ์ใหม่ในภาษาต่างๆ ขอให้คุณนึกว่าหนังสือของคุณนั้น มิใช่คนในเมืองไทยที่ไม่รู้ภาษาฝรั่งเท่านั้นเป็นผู้อ่าน นักเรียนนอกที่รู้ภาษาฝรั่งก็อ่าน ซึ่งเวลานี้จำนวนกว่า ๒ หมื่นคน ถ้าเขาอ่านครูเกอร์ฉบับใหม่กับของคุณที่อ้างครูเกอร์ฉบับเก่า เรื่องก็จะไปกันใหญ่
ค. ทางที่ดีผมเห็นว่า คุณเอาเรื่องจากหนังสือแจกวันคล้ายวันเกิดของผม สำนวนที่มหาเปรื่องพิมพ์ ก็จะพบแก่การทำเล่มใหม่นี้ของคุณได้

ขอขอบใจอีกครั้ง
ด้วยความรักและคิดถึง
ป.พ.


จากหนังสือ “๘๐ ปีสุพจน์ ด่านตระกูล” พิมพ์ครั้งที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๖
Posted by แด่บรรพชนผู้อภิวัฒน์ ๒๔๗๕ at 9:06 PM

Wednesday, February 11, 2009

กรรมการสิทธิ์มีไว้ทำไม? Does Thailand have a Human Rights Commision? by WDPress

กรรมการสิทธิ์มีไว้ทำไม? Does Thailand have a Human Rights Commision? by WDPress @ 2009-01-27 – 15:14:28
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทำอะไร และมีไว้เพื่ออะไร
What is the Thai “National Human Rights Commission” doing about lese majeste?
What is Amnesty doing?
หลายคนในประเทศไทยและในต่างประเทศตั้งคำถามว่าประเทศไทยมีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนหรือไม่ และถ้ามี...คณะกรรมการนี้กำลังทำอะไรในสถานการณ์ที่รัฐบาลประชาธิปัตย์และทหารใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในการทำลายสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยอย่างถ้วนหน้า....
ในคืนวันที่ 27 มกราคม 2552 ผมได้คำตอบจากประธานคณะกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศ.เสนห่ จามริก ซึ่งแจ้งให้ผมทราบว่าคณะกรรมการฯ “รับทุกเรื่อง...แต่บางเรื่องคงต้องใช้เวลานาน” ต่อคำถามว่าทำไมกรณีที่คณะกรรมการฯออกแถลงการณ์โจมตีตำรวจ กรณี 7 ตุลาคม 51 ออกมาได้เร็ว ศ.เสนห์ ไม่มีคำตอบ ต่อคำถามว่าตอนนี้มีคนติดคุกที่ศาลไม่ให้ประกันตัวทั้งๆที่ยังไม่มีการพิพากษาว่าผิดในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ศ.เสนห์ จามริก ก็ไม่มีคำตอบเช่นกัน เมื่อผมถามอาจารย์เสนห่ว่า ที่ผมเขียนจดหมายถึงอาจารย์โดยตรงเรื่องคดีผม อาจารย์อ่านหรือไม่ อาจารย์เสนห่ ตอบว่าไม่ได้อ่าน
ประชาชนชาวไทยมีสิทธิที่จะตั้งคำถามว่าเรามีคณะกรรมการสิทธิมนุยชนแห่งชาติไปทำไม เพราะกรรมการสิทธิชุดปัจจุบันดูเหมือนไม่อิสระจากอำมาตยาธิปไตย เข้าข้างพันธมิตรฯ และไม่สนใจปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของประชาธิปไตยสากล
Many people in Thailand and abroad are asking the question: “Is there a National Human Rights Commission in Thailand? And if so, what is it doing about lese majeste?”

Well, the answer is simple. Nothing. Prof Senay Jarmrick, Chairman of the Thai Human Rights Commission, says “it all takes time”. Other commissioners say “there is a process to follow”. But a number of people are sitting in prison, without bail, before they have even been tried, I stated. No answer. The Human Rights Commission has been totally silent about all lese majeste cases for over a year, despite all these cases being gross abuses of human rights and freedom of speech. In contrast, the commission quickly came out with a statement supporting the PAD demonstrators who clashed with the police on 7th October 2008. Apparently, the process, in that case, was quick and easy.

Amnesty International are not much different. When asked if they would take up lese majeste cases, the initial answer was ... “this is sensitive, if we take up the cases we might be refused visas to Thailand”. Well, there you have it. If you were paying money to AI, you might consider switching to some other human rights organisation.
Giles Ji Ungpakorn ใจ อึ๊งภากรณ์

Thai State Creates climate of fear รัฐไทยสร้างบรรยากาศความกลัว by WDPress @ 2009-02-03 – 01:28:10

Thai State Creates climate of fear รัฐไทยสร้างบรรยากาศความกลัว by WDPress @ 2009-02-03 – 01:28:10
รัฐบาลไทย ซึ่งเป็นรัฐบาลพรคประชาธิปัตย์ที่ถูก "แต่งตั้ง" โดยทหาร กำลังใช้ตำรวจและทหาร และข้าราชการชั้นสูง ในการข่มขู่ญาติพี่น้องและเพื่อนๆ ของผู้ที่ถูกกล่าวหาในคดีหมิ่น มีการขู่ประชาชนบริสุทธิ์ไม่ให้รณรงค์เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ว่าประชาชนเหล่านั้นจะเกี่ยวข้องหรือไม่กับผู้ที่ติดคดี นี่คือบรรยากาศอันเลวทรามของการเมืองระเบียบใหม่ของพันธมิตร พลเมืองทุกคนที่รักประชาธิปไตยจะต้องขยายการต่อสู้เพื่อปกป้องเสรีภาพ เราต้องรวมกลุ่มกัน อย่าทำอะไรโดดเดี่ยว เข้ามาร่วมกันเพื่อให้ไทยแดงทั้งแผ่นดิน ถ้าเขาปิดปากเราได้เราจะเป็นท่าสเป็นไพร่ตลอดกาล
The Thai government, headed by the Democrat party and installed by the military, is using the police, army and government officials to threaten ordinary citizens who campaign for freedom of speech and against lese majeste. They are also terrorising friends and relatives of those currently in prison on lese majeste charges. But people are getting organised in red shirt groups throughout the land. If we don't fight this PAD inspired "New Order" we shall all be slaves.

You can download "A Coup for the Rich" from this blog. Just scroll down.
เพื่อประเทศไทยใหม่ที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ by WDPress @ 2009-02-02 – 03:30:39
Redshirts are the new hope for the Peoples' Movement
เสื้อแดงคือภาคประชาชนใหม่ คือประชาสังคมแท้ เราต้องร่วมกันนำตนเอง ตั้งกลุ่มกันเองทั่วประเทศ ประสานกันเป็นสมัชชา สู้เพื่อประชาธิปไตย ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเท่าเทียม และรัฐสวัสดิการ
การต่อสู้จะใช้เวลา เราต้องไม่ท้อ เราต้องสร้างตัวเราเป็นคนมีความรู้ ทุกคนจะได้ร่วมกันนำ
เชิญเข้าไปฟังhttp://www.cbnpress.com/index.php?option=com_seyret&Itemid=2&task=videodirectlink&id=1093

และผมเห็นด้วยกับคุณจักรภพเวลาเขาพูดว่า
สีแดงคือ สีของ เลือดข้นข้น
ศักดิ์ศรีคน ได้สะท้อน ใช่ก้อนหิน
คนไทย ในวันนี้ มีชีวิน
ใช่ผู้อาศัย ในถิ่น แผ่นดินคุณ

ทำไมกฏหมายหมิ่นฯทำให้สังคมไทยปัญญาอ่อน by WDPress @ 2009-02-08 – 05:40:32

ทำไมกฏหมายหมิ่นฯทำให้สังคมไทยปัญญาอ่อน by WDPress @ 2009-02-08 – 05:40:32
ทำไมกฎหมายหมิ่นฯเป็นสิ่งที่แย่และเลวทราม
ใจ อึ๊งภากรณ์

การที่ไทยมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถือว่ามีไว้เพื่อเป็นการเล่นงานข่มขู่สิทธิเสรีภาพในการพูด และสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการอย่างโหดร้าย ผลกระทบคือเราไม่มีประชาธิปไตยที่เต็มใบและไม่มีมาตราฐานทางวิชาการในมหาวิทยาลัยของเราแบบที่นานาประเทศมีอยู่ โดยเฉพาะกรณีของผม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปฎิเสธจะขายหนังสือทางวิชาการของผมเกี่ยวกับการรัฐประหารปี2549ในร้านขายหนังสือของมหาวิทยาลัย แต่ยังไม่พอ มหาวิทยาลัยยังได้เอาหนังสือผมส่งให้กับสันติบาล (ตามบันทึกของตำรวจ)
ผลที่ตามมาคือรัฐบาลได้สั่งฟ้องผม ลองนึกดูว่าจะมีผลกระทบต่อเพื่อนร่วมงานทางวิชาการของผมอย่างไร บรรยากาศที่น่ากลัวแบบนี้จะทำให้คุณภาพทางวิชาการเลวลงเพราะทุกคนเลี่ยงเมื่อพูดถึงเรื่องจริง เสี่ยงที่จะวิเคราะห์และการโต้แย้งอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับแวดวงวิชาการ คุณภาพการศึกษาในประเทศเราจึงด้อยพัฒนา และสอนให้เด็กกลัวที่จะคิดเองเป็น
คุณภาพการศึกษาแย่ๆแบบนี้เริ่มต้นมาจากชั้นประถมและเรื่อยมาจนถึงระบบการศึกษาขั้นสูง นักเรียนถูกสอนให้
เรียนด้วยการท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองและให้เขียนเรียงความประเภทบรรยาย ที่มีแต่ความเห็นด้านเดียว นักวิชาการปฎิเสธที่จะถกเถียง และไม่อ่านงานเขียนของคนที่มีความเห็นแตกต่างจากตัวเองจนการโต้แย้งจากนักวิชาการด้วยกันมาถือเป็นการทะเลาะส่วนตัว

ราชวงศ์ไทยถูกกล่าวว่าเป็น\"สุดที่รักของชาวไทยทั้งปวง\"ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่เราต้องเข้าใจว่าในสังคมไทยมีบรรยากาศแห่งความกลัวอันเนื่องมาจากกฎหมายหมิ่นฯ พร้อมกันกับการโปรโมทราชวงศ์อย่างบ้าคลั่ง
จนกษัตริย์ถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะในทุกด้าน แถลงการณ์ทุกฉบับที่ออกมาจากกษัตริย์จะถูกแถลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับว่าเป็นคำสั่งสอนอันสูงสุดและกษัตริย์ได้ถูกอ้างว่าเป็น“บิดาของเรา” และเมื่อไม่นานมานี้ลูกจ้างทั้งของเอกชนและของรัฐถูกสั่งให้ใส่เสื้อเหลืองทุกวันจันทร์หรือใส่ดำทั้งปีเพื่อไว้ทุกข์ หลายๆคนได้เปรียบว่าเหมือนกับประเทศเกาหลีเหนือ รัฐแทรกแซงในชีวิตคนถึงขนาดว่าเราต้องใส่เสื้อสีอะไร

อีกหนึ่งตัวอย่างคือนโยบาย“เศรษฐกิจพอเพียง”เมื่อกษัตริย์กล่าวถึงเศรษฐกิจพอเพียง เราทั้งหมดจะต้องยอมรับ
และชื่นชมโดยไม่มีคำถามใดๆ แต่เศรษฐกิจพอเพียงเป็นลัทธิทางการเมืองซึ่งสอนให้คน
พึงพอใจกับสถานะความยากจนของตัวเองและให้เลิกนึกถึงความเสมอภาค โชคดีที่ว่ามุมมองแบบล้างสมองเช่นนี้
ไม่ได้ผลนักในสังคมไทย เพราะสังคมซึ่งไม่มีการโต้แย้งทั้งด้านนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองอย่างเปิดเผยด้วยเหตุผล จะเป็นสังคมแห่งคนปัญญาอ่อนที่ด้อยพัฒนา แต่ในไทยแค่การวิจารณ์เศรษฐกิจพอเพียงนิดหน่อยถึงกับต้อง
โดนข้อกล่าวหาจากกฎหมายหมิ่นฯ

อะไรคือเป้าหมายของความพยายามทั้งหมดในการบังคับเรื่องโง่ๆกับประชาชน? มันเป็นการพยายามอย่างต่อเนื่อง
ที่จะควบคุมคนไทยส่วนใหญ่ไม่ให้แตกแถวคิดเองและเป็นมนุษย์ เราถูกชักชวนให้เชื่อว่ากษัตริย์มีอำนาจล้นฟ้า ในความเป็นจริงแล้วตามรัฐธรรมนูญ กษัตริย์ไทยเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่คนไทยถูกสอนให้เชื่อว่าเราอาศัยอยู่ภายใต้
“ระบบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแบบสมัยก่อน” เป็นการผสมระหว่างระบบศักดินาสมบูรณาญาสิทธิราชย์และกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญเอง ประชาชนต้องคลานกับพื้น
เมื่ออยู่ต่อหน้ากษัตริย์ แต่ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้
คือกองทัพ ข้าราชการหัวเก่า และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่กษัตริย์ อย่างไรก็ตามกษัตริย์ก็ไม่ออกมาพูดอะไร

กองทัพได้ประกาศเสมอว่ากองทัพคือ“ผู้พิทักษ์กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ”แต่กองทัพไทยมีประวัติอันยาวนานในการก่อรัฐประหารและทำลายระบบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข ตัวอย่างที่เห็นได้ดีคือการทำรัฐประหาร 19 กันยายน กองทัพได้หาวิธีที่จะให้การทำรัฐประหารมีความชอบธรรมด้วยการนำกษัตริย์มาอ้าง พันธมิตรฯ ก็เช่นกัน ใช้กษัตริย์อ้างความชอบธรรมในการก่ออาชญากรรม ศาลก็อ้างกษัตริย์ในการปิดปากประชาชนเพื่อทำอะไรโดยไม่มีความโปร่งใส

กฎหมายหมิ่นฯถูกใช้เป็นเครื่องมือของกองทัพและพวกอื่นๆ เช่นข้าราชการชั้นสูง ศาล และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคที่ไม่เคยชนะเสียงข้างมาก เพื่อจะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง
แทนที่จะปกป้องกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ขณะนี้กฎหมายหมิ่นฯได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับปราบคนที่
วิจารณ์รัฐประหาร ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นฝ่ายนิยมระบบกษัตริย์หรือฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ
สรุปแล้วกฎหมายหมิ่นฯ ทำให้เราไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีคุณภาพทางปัญญาในสถานที่ศึกษา ไม่มีความยุติธรรมในศาล
แต่การรณรงค์ล้างสมองแบบนี้เริ่มล้มเหลว ประชาชนหูตาสว่างขึ้น และกระบวนการนี้เกิดในช่วงที่กษัตริย์ชรา และอีกไม่นานก็จะสิ้นพระชนม์ ถ้ากษัตริย์เป็นที่รักและที่บูชาของประชาชนแล้ว
คงไม่มีใครสามารถอ้างว่าพระราชโอรสได้รับความเคารพรักแบบนี้ นี่คือสิ่งที่พวกทหาร พันธมารและประชาธิปัตย์กลัว คือเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมของเขากำลังอ่อนตัวลง เป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้ยินคนไทยทั่วไป
บ่นถึงการเมืองในปัจจุบันนี้และพูดว่า“เราทุกคนรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” การวิจารณ์กษัตริย์ได้หนาหูขี้นมาก
ความชอบธรรมของสถาบันอาจจะเข้าสู่วิกฤติได้ในไม่ช้า เนื่องจากการกระทำของกองทัพและฝ่ายอื่นที่ร่วมกัน แต่เขายังมีความพยายามต่อไป เช่นการรณรงค์แบบรัฐตำรวจให้ไทยกลายเป็นชาติของเด็กขี้ฟ้อง

กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยส่วนมากจะมีเสถียรภาพและถูกตรวจสอบได้จากสาธารณะ ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่ากฎหมายหมิ่นฯของไทยไม่ใช่เป็นการนำเสถียรภาพมาสู่สถาบัน แต่เป็นการนำมาใช้เพื่อจุดประสงค์อย่างอื่น

น่าเสียดายที่บรรยากาศแห่งความกลัวที่เกิดขึ้น และการเลือกข้างผิด (เลือกข้างเผด็จการ) ทำให้ภาคประชาชนเก่าหมดสภาพในการเป็นส่วนหนึ่งของประชาสังคมที่ขยายพื้นที่ประชาธิปไตย นักวิชาการหลายๆฝ่ายพิสูจน์ว่าหมดสภาพในการวิเคราะห์ความจริงอีก นี่คือยุคแห่งความโง่เขลาป่าเถื่อนของระเบียบใหม่ แต่พลเมืองเสื้อแดงและผู้รักประชาธิปไตยจะเดินหน้าสร้างสังคมใหม่ที่มีเสรีภาพ

Red Siam Manifestoแถลงการณ์สยามแดง by WDPress @ 2009-02-10 – 08:18:28

Red Siam Manifestoแถลงการณ์สยามแดง by WDPress @ 2009-02-10 – 08:18:28
“Red Siam” Manifesto by Giles Ji Ungpakorn

ภาษาไทยข้างล่าง เชิญลงไปดูครับ

The enemies of the Thai people and Democracy may have their army, courts and prisons. They may have seized and rigged parliament and established the government through crimes like the blockading of the airports and other undemocratic actions by the PAD. Yet those that love democracy, the Redshirts, have strength in numbers and are waking up to political realities. Disorganised and scattered, this movement of ours will be weak, but a party that is organised and self-led can create a democratic fist to smash the dictatorship.

While world leaders such as Obama struggle to solve the serious economic crisis, the Democrat Government in Thailand is allowing thousands of workers to lose their jobs. The government sees its priority only in cracking down on opposition using les majeste, it has even created a web-site where citizens can inform on each other. Troops have been sent into communities and villages to stifle dissent.

The enemies of democracy have guns, an army and shadowy bosses in high places. But their weakness is that they are united around an absurd and un-scientific ideology: the ideology of the Monarchy. This ideology seeks to make Thais into grovelling serfs. They want us to believe that an ordinary human being, just because of an accident of birth, can be transformed into a God, when the true abilities of the king are no different from millions of ordinary engineers, artists, farmers or skilled workers.

The conservative elites want us to believe that the king loves and takes care of the people. But the Thai population are quite capable of looking after themselves. All that is beautiful and honourable about Thai society has been created by working people.

This king:
• grew in stature under the corrupt military dictators: Sarit, Tanom and Prapass.
• allowed innocent people to be executed after they were falsely accused of killing his older brother.
• supported the blood bath at Thammasart University on 6th October 1976 because he felt that Thailand had “too much democracy”. He was also the patron of the violent gang that were called the “village scouts”.
• allowed the army to stage a coup in September 2006. Furthermore he allowed his name to be used by the army, the PAD protestors and the Democrat Party, in the destruction of democracy.
• has been an advocate of economic views which reveal his opposition to state social welfare for the poor. But what is worse, as one of the richest men in the world, the king has the arrogance to lecture the poor to be sufficient in their poverty (through the notion of the Sufficiency Economy).

Finally, this king allows his supporters to proclaim that he is “the father of the nation,” and yet his own son is not respected by anyone in Thai society!

The elites in Thailand, who claim legitimacy from the king, are exploiters and blood-suckers. They are not the real owners of society. They should remember that their wealth and status is as a result of the hard work of those ordinary citizens whom they despise.

For the millions of Thais who know all this to be true, it is only fear and intimidation that stops us all from speaking this truth out loud.

If we are alone, we will be frightened. If we are together we will have courage. It is time to bring into the open our anger, courage and reason in order to destroy the fear in Thai society and to bring light back to our country. We must all ask questions about the present regime, which after all is nothing other than a dictatorship which shrouds us in darkness. When we all stand up and ask questions, they cannot jail us all.

So long as we crawl before the ideology of the Monarchy, we shall remain no better than animals. We must stand up and be humans, citizens in a modern world.

The red, white and blue Thai flag, copied from the West in order to indoctrinate us to be loyal to “Nation Religion and King”, the same slogan which was recently last used by the PAD protestors who blocked the airports. Yet during the French revolution, the red white and blue meant “Liberty Equality and Fraternity”. This is the slogan we must use to free Thailand from the “New Order” which the PAD and the army have installed.

How can we organise?

Stop dreaming that ex-PM Thaksin will lead the struggle to free society. We cannot rely on the politicians of Pua Thai, either. They will only fight within the confines of present structures of society while thousands of citizens wish to go further. Fighting outside the confines of present day Thai society does not mean taking up arms. It means arming ourselves and the masses of pro-democracy people with ideas that can lead to freedom. We must set up political education groups and form ourselves into a party. This party must be led from below by people in all communities, workplaces and educational institutions. Yet we must be coordinated. We must be firm and confident that all of us can be empowered take a lead and determine our policies. This will be our strength. Our weapons will be mass demonstrations, strikes and spreading ideas to all sections of society, including the lower ranks of the army.

As a movement for genuine democracy, our party must act openly. But in the face of repression through violence and legal means such as les majeste, we shall also have to organise secretly. They must not be able to destroy our movement by arresting top leaders. This is another reason why we want self-leadership from below.

What should our common platform look like?

It is not for one person to determine the common platform, which must of necessity be a collective decision. But as a staring point I offer the following ideas, the ideas of one red-shirted citizen.

1. We must have freedom of expression and the freedom to choose our own government without repression and fear.
2. We must have equality. We have to abolish the mentality of “big people-little people”. We must abolish the practice of crawling to the royal family. Politicians must be accountable to the electorate, not to shadowy conniving figures beyond popular control. We need to build a culture where citizens respect each other. We must have freedom and equality of the sexes and among different ethnicities. We must respect women, gays and lesbians. We must respect Burmese, Laotians, Cambodians and the Muslim Malay people in the south. Women must have the right to chose safe abortions. Refugees should be treated with friendship and dignity as any civilised society would do.
3. Our country must be a Welfare State. Taxes must be levied on the rich. The poor are not a burden, but are partners in developing the country. People should have dignity. The present exploitative society stifles individuals and destroys personal creativity.
4. In our country the king should honour his constitutional role and stop intervening in politics. But the ruling class in Thailand gain much from using the Monarchy and they will not easily stop doing this. Therefore the best way to solve this problem is to build a Republic where all public positions are elected and accountable.
5. For too long Thai society has been under the iron heels of the generals. We must cut the military budget and abolish the influence of the army in society ensuring that it can no long be an obstacle to democracy.
6. We must have justice. The judges should not claim power from the Crown in order to stop people criticising their decisions. We must change the way that “Contempt of Court” laws are used to prevent accountability. We need to reform the justice system root and branch. We need a jury system. The police must serve the population, not extract bribes from the poor.
7. Citizens in towns and communities must take part in the management of all public institutions such as state enterprises, the media, schools and hospitals.
8. Our country must modernise. We need to develop the education system, transport and housing. We should create energy from wind and solar power to protect the environment.
9. Our country must be peace-loving, not start disputes with neighbouring countries or support wars.

The dinosaurs of Thai society, the Yellow Shirted Royalists, will froth at the mouth in anger at this manifesto, but that is merely the symptoms of people who carry superstitious beliefs from the past, seeking to cling to their privileges at all costs. Their time is finished. We, the pro-democracy Redshirts will move forward to build a new society.

The elites have no right to rob the people of their dignity in order to prop up their own statuses. This sacrifice of the poor for the benefit of the elites must stop.

Those that say that Thailand is “a special case because we have a king”, are merely confirming that the special status of Thailand, which they want to protect, is barbarism and dictatorship. Statements about “National Security” are only about the security for those who exploit and oppress the rest of us. It is not about peace and security for citizens.

This manifesto is just a proposal for a joint platform among Redshirts. My own view is that our country should move even further to a Socialist society, democratic and without class exploitation. But that is a long term goal.

The ruling class only appears powerful because we are crawling on our knees. What we need to do is to stand up, think and act for ourselves. Then we will see how weak and pathetic they really are!

In the past, whether it was during the 1932 revolution or the 1970s struggles against dictatorship, people dreamt of freedom, democracy and social justice. It is time to turn this dream into reality.

Giles Ji Ungpakorn
9 Feb 2009

แถลงการณ์แดงสยาม จาก ใจ อึ๊งภากรณ์

แถลงการณ์แดงสยาม จาก ใจ อึ๊งภากรณ์
ศัตรูของประชาชนมี คุก ศาล ทหาร เขายึดรัฐสภาและรัฐบาลผ่านการก่ออาชญากรรม เราชาวประชาธิปไตยแดงที่หูตาสว่างมีมวลชน แต่ตราบใดที่เรากระจัดกระจายนำตนเองไม่ได้ เราจะอ่อนแอ เมื่อใดที่เราจัดตั้งตนเอง นำตนเอง ในแต่ละท้องที่และรวมตัวกันเป็นพรรคที่เราสามารถร่วมกันนำ 5 นิ้วที่อ่อนแอจะกลายเป็นกำปั้นเหล็กที่ถล่มฝ่ายตรงข้าม

ในขณะที่ผู้นำโลกอย่างประธานาธิบดีโอบามา กำลังเสนอมาตรการเพื่อปกป้องสังคมจากวิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรง รัฐบาลไทยปล่อยให้คนงานตกงานเป็นจำนวนมาก และเอาใจใส่แต่ในการ ปิดปากประชาชน ทำลายประชาธิปไตย และสร้างเวปไซท์เรื่องกษัตริย์ที่ส่งเสริมให้ประชาชนเป็นแค่เด็กขี้ฟ้อง

ศัตรูของประชาชนอาจจะมีปืน มีกองกำลัง มีเงิน มีอิทธิพลมืด แต่เขาสามัคคีภายใต้ลัทธิปัญญาอ่อนไร้วิทยาศาสตร์ ที่มุ่งทำให้ประชาชนเป็นทาสเป็นไพร่ ลัทธิกษัตริย์นั่นเอง ลัทธิที่ไร้วิทยาศาสตร์นี้เชิดชูให้คนสามัญที่บังเอิญเกิดในตระกูลหนึ่งถูกมองว่าเป็นเทวดา ทั้งๆที่กษัตริย์มีความสามารถไม่น้อยและไม่มากกว่าประชาชนปกติ ที่เป็นวิศวะกร ศิลปิน เกษตรกร หรือช่างฝีมือ หลายล้านคนทั่วประเทศ

ฝ่ายตรงข้ามอยากให้เราเชื่อว่ากษัตริย์รักและดูแลประชาชน แต่ประชาชนดูแลตนเองได้ และทุกอย่างที่งดงามเกี่ยวกับประเทศเรามาจากมือของประชาชน

กษัตริย์ คนนี้เติบโตมากับเผด็จการโกงกิน สฤษดิ์ ถนอม ประภาษ

กษัตริย์ คนนี้ปล่อยให้คนบริสุทธิ์ถูกประหารชีวิตในข้อหาฆ่ารัชกาลที่ 8

กษัตริย์ คนนี้สนับสนุนเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา 2519 เพราะมองว่ายุคนั้นไทยมีประชาธิปไตย “มากเกินไป” และเขาเป็นผู้อุปถัมภ์ อันธพาลลูกเสือชาวบ้าน

กษัตริย์ คนนี้ ปล่อยให้ คมช.ทำรัฐประหาร 19 กันยา และปล่อยให้ประชาธิปไตยของเราถูกปล้นไปโดยทหาร พันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ ในนามของกษัตริย์

ในนโยบายเศรษฐกิจ กษัตริย์คนนี้เคยคัดค้านสวัสดิการสำหรับประชาชนที่มาจากงบประมาณของรัฐ ยิ่งกว่านั้นในฐานะที่เป็นคนรวยที่สุดในโลกคนหนึ่ง ยังบังอาจสั่งสอนคนจนให้ “พอเพียง”

กษัตริย์คนนี้ ยอมให้บริวารรอบข้างตั้งชื่อให้เป็น “พ่อของสังคม” ในขณะที่ลูกชายตนเองไม่เป็นที่เคารพ

พวกอภิสิทธิ์ชนในสังคมที่อ้างความชอบธรรมจากระบบกษัตริย์เป็นเพียงปลิงดูดเลือดประชาชน พวกนี้ไม่ใช่เจ้าของสังคมไทย เขาควรเป็นหนี้บุญคุณประชาชนต่างหาก

สิ่งเหล่านี้ทุกเรื่อง ประชาชนรู้ว่าเป็นความจริงอยู่แล้ว มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่กำลังห้ามไม่ให้เรายืนขึ้นพูดความจริงทั้งหมดนี้ ในสังคมเปิด นั่นคือความกลัว

ถ้าเราโดดเดี่ยวเราจะกลัว ถ้าเรามีกลุ่มเราจะกล้า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องนำความโกรธ ความกล้า และสติปัญญาที่ประชาชนทุกคนมีอยู่ มาถล่มความกลัว และนำแสงสว่างกลับมาสู่บ้านเมือง เราต้องร่วมกันตั้งคำถามกับระบบเผด็จการปัจจุบัน เพราะเมื่อเราพูดพร้อมๆ กันทั่วประเทศ เขาจะจับคุมเราทั้งหมดไม่ได้

ตราบใดที่เราหมอบคลานต่อลัทธิกษัตริย์ เราทำตัวเป็นแค่สัตว์ เราต้องยืนขึ้นเป็นคน เราต้องเป็นพลเมืองในโลกสมัยใหม่

ธงไตรรงค์สามสี แดง ขาว น้ำเงิน ของฝ่ายเผด็จการ ลอกมาจากธงสามสีของตะวันตก แต่เพื่อส่งเสริม “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นคำขวัญของพันธมาร และทหาร ที่ใช้ในการทำลายประชาธิปไตย

ธงสามสี แดง ขาว น้ำเงิน เคยมีความหมายอื่นในการปฏิวัติฝรั่งเศส นั่นคือ “เสรีภาพ ความเท่าเทียมและความสมานฉันท์” นี่คือคำขวัญที่เราต้องใช้ในการต่อสู้เพื่อปลดแอกสังคมไทย จากยุคมืดแห่งระเบียบใหม่/การเมืองใหม่

เราจะรวมตัวกันอย่างไร?

เลิกหวังได้แล้วว่าอดีตนายกทักษิณจะนำการต่อสู้ในทิศทางที่จำเป็นสำหรับการปลดแอกสังคม อย่าตั้งความหวังกับนักการเมืองพรรคเพื่อไทย เขายังไม่พร้อมที่จะต่อสู้นอกกรอบระบบปัจจุบัน แต่ประชาชนหลายแสนหลายล้านพร้อมจะไปไกล

การต่อสู้นอกกรอบ ไม่ใช่การจับอาวุธสู้ แต่เป็นการติดอาวุธทางปัญญากับมวลชน เราต้องมีกลุ่มศึกษาการเมืองของเราเอง เราต้องรวมตัวกันเป็นพรรค และพรรคนี้ต้องนำตนเองในทุกท้องที่ ทุกชุมชน ทุกโรงงาน ทุกสถานที่การศึกษา ในรูปแบบที่คนเสื้อแดงเริ่มทำอยู่ แต่เราต้องประสานงานกัน

เราต้องมั่นใจว่าคนที่จะนำพรรคคือ เรา พลังของพรรคคือ เรา และทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการสร้างนโยบายและจุดยืน

อาวุธของเราคือการชุมนุม การนัดหยุดงาน และการขยายความคิดสู่คนอื่นในทุกภาคส่วน แม้แต่ในระดับล่างของกองทัพ

พรรคเรา ต้องมีกิจกรรมเปิดบ้าง แต่เนื่องจากกฎหมายหมิ่นและความก้าวร้าวของทหาร บางส่วนจะต้องปิดลับตามความเหมาะสม นี่คืออีกเหตุผลที่เราต้องนำตนเอง

จุดร่วมของเราควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร?

มันไม่ใช่สิ่งที่คนๆเดียวเสนอได้ ต้องร่วมกันเสนอ แต่นี่คือข้อเสนอของผมในฐานะพลเมืองแดงรักประชาธิปไตยคนหนึ่ง

1. เราต้องมีเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพทีจะเลือกรัฐบาลทีคนส่วนใหญ่ต้องการ โดยไม่มีการปราบปรามข่มขู่ และไม่มีความกลัว
2. เราต้องมีความเท่าเทียมเสมอภาค ต้องยกเลิกระบบผู้ใหญ่ผู้น้อย ยกเลิกการหมอบคลาน นักการเมืองต้องปฏิญาณตนว่าจะเคารพนายที่แท้จริงของตนเองคือประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศไม่ใช่อำนาจนอกระบบ เราต้องสร้างวัฒนธรรมพลเมืองที่เคารพซึ่งกันและกัน เราต้องมีเสรีภาพและความเท่าเทียมทางเพศและเชื้อชาติ ต้องเคารพผู้หญิง เคารพคนรักเพศเดียวกัน เคารพคนพม่า ลาว เขมร และคนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้ ผู้หญิงต้องมีสิทธิทำแท้งอย่างปลอดภัย ผู้ลี้ภัยจากต่างประเทศควรจะได้รับการดูแลอย่างอบอุ่น สมกับที่ประเทศเราเป็นประเทศอารยะ
3. ประเทศเราต้องเป็นรัฐสวัสดิการ ถ้วนหน้า ครบวงจร และผ่านการเก็บภาษีก้าวหน้าจากคนรวย คนจนไม่ใช่ภาระ แต่เป็นคนร่วมพัฒนาชาติ ที่ต้องมีศักดิศรี สังคมล้าหลังปัจจุบันกดทับประชาชาชนจำนวนมากไม่ให้เขาเป็นผู้สร้างสรรค์ และนำสังคมไปสู่ความก้าวหน้า
4. ในประเทศเรากษัตริย์ไม่ควรยุ่งในเรื่องการเมือง และลักษณะส่วนตัวของกษัตริย์ไม่ควรจะมีความสำคัญ กษัตริย์ต้องไม่แสดงจุดยืนของตัวเองในเวทีสาธารณะ แต่ในสังคมไทยปัจจุบันชนชั้นปกครองร่วมรับผลประโยชน์จากการใช้กษัตริย์เป็นเครื่องมือ และดูเหมือนว่าจะไม่ยอมยกเลิกพฤติกรรมแบบนี้ ดังนั้นวิธีแก้ไขปัญหานี้ที่ดีที่สุด จึงเป็นเรื่องของการ สร้างระบบสาธารณะรัฐในประเทศไทย เพื่อให้ทุกตำแหน่งมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน
5. ประเทศเราอยู่ภายใต้รองเท้าบูทของนายพลมานานเกินไป เราตั้งตัดงบประมาณของทหารและอำนาจในสังคมเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตยอีกต่อไป
6. ประเทศเราต้องมีความยุติธรรม ศาลไม่ควรอ้างกษัตริย์ในการขัดขวางการถูกตรวจสอบ ไม่ควรใช้กฎหมายหมิ่นศาลเพื่อปกป้องระบบอยุติธรรม เราต้องปฏิรูประบบยุติธรรมอย่างถอนรากถอนโคน ต้องมีระบบลูกขุนที่มาจากประชาชน ตำรวจต้องบริการประชาชนแทนที่จะรีดไถคนจน
7. ประชาชนในเมือง ในชุมชน ในท้องถิ่นต่างๆ ต้องเข้ามาบริหารสาธารณะในทุกระดับ เช่น รัฐวิสาหกิจ สื่อ โรงเรียนและโรงพยาบาล
8. ประเทศเราต้องทันสมัย เราต้องปรับปรุงระบบการศึกษา การคมนาคม และที่อยู่อาศัย และหันมาผลิตพลังงานจากลมและแสงแดดเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม
9. ประเทศเราต้องรักสงบ ไม่ขัดแย้งสร้างเรื่องกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือ สนับสนุนการก่อสงคราม

พวกใดโนเสาร์ล้าหลัง พวกเสื้อเหลือง จะบ้าคลั่ง น้ำลายฟูมปากเมื่ออ่านแถลงการณ์อันนี้ แต่มันเป็นเพียงอาการของพวกตกยุค หลุดโลก งมงาย ที่ควรจะลงถังขยะแห่งประวัติศาสตร์ เราชาวประชาธิปไตยแดง จะเดินหน้า สร้างสังคมอารยะ สังคมใหม่

พวกอภิสิทธิ์ชน ไม่มีสิทธิ์ปล้นชีวิต ศักดิ์ศรี ความเป็นคนของประชาชน ไปเพื่อหวังเพิ่มความเป็นคนของเขาเอง หยุดเอาคนจนมาบูชายันต์ได้แล้ว

พวกที่อ้างว่า “ไทยมีลักษณะพิเศษในการมีกษัตริย์” เพียงแต่ยืนยันว่าความพิเศษของสังคมไทยที่เขาต้องการปกป้องคือความป่าเถื่อนและเผด็จการ การอ้างเรื่อง “ความมั่นคง” เป็นเพียงการพยายามสร้างความมั่นคงให้กับผู้ที่กดขี่ขูดรีดประชาชน ไม่ใช่การสร้างความมั่นคงและดีงามกับพลเมืองทั่วไปแต่อย่างใด

แถลงการณ์นี้เป็นเพียงข้อเสนอที่เราอาจนำมาเป็นจุดร่วมได้ในหมู่คนเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตย ส่วนตัวแล้ว ในฐานะนักสังคมนิยม ผมอยากเห็นประเทศเราเดินหน้าต่อไปจากนั้น เพื่อสร้างสังคมที่มีประชาธิปไตยเต็มใบและไม่มีชนชั้น ปราศจากการกดขี่ขูดรีด... ระบบสังคมนิยมนั้นเอง แต่นั้นเป็นเป้าหมายระยะยาว

ชนชั้นปกครองดูใหญ่โต เข้มแข็ง เมือเรายังคลานอยู่กับพื้น แต่พอเรายืนขึ้นหูตาสว่าง เดินหน้าร่วมกับคนอื่น เราจะเห็นว่าพวกนี้อ่อนแอและน่าสมเพชแค่ไหน

ในอดีต ไม่ว่าจะช่วง ๒๔๗๕ หรือ๑๔ ตุลา เคยมีความฝันในหมู่ประชาชน ว่าเราจะสร้างสังคมประชาธิปไตยที่มีความเท่าเทียม เราจะต้องสร้างความฝันนี้ให้เป็นจริงสักที

ใจ อึ๊งภากรณ์ 9 กุมภาพันธ์ 2009

Monday, February 9, 2009

บทสนทนากับชาวอเมริกัน ว่าด้วยเรื่องสถานการณ์ในเมืองไทย

บทสนทนากับชาวอเมริกัน ว่าด้วยเรื่องสถานการณ์ในเมืองไทย
เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้คุยกับชาวอเมริกันคนหนึ่ง ที่ทำงานเป็นผู้ดูแลนักเรียนทุนไทยในระยะแรก เขาผ่านนักเรียนทุนไทยมาหลายรุ่นแล้ว (รวมทั้งรุ่นผมด้วย) ปรากฎว่าเขาเองก็ได้รับข้อมูลข่าวสารจากนักเรียนทุน (ซึ่งบังเอิญว่าหลายคนเป็นพวกพันธมาร ร้องตะโกนว่า ท๊ากสินออกไป) เขาเองได้รับข่าวสารจากในประเทศอเมริกา แต่ได้ยินจากปากนักเรียนเหล่านี้อีกแบบหนึ่ง เขาเลยสงสัย คุยกับผมทาง facebook เพราะเขารู้ว่าผมเองก็เป็นพวกคร่ำหวอดทางการเมืองพอสมควรในหมู่นักเรียนทุนด้วยกัน

ผมไปดู chat history ใน facebook เป็นภาษาอังกฤษครับ เพื่อให้สมาชิกที่ไม่สันทัดภาษาอังกฤษได้อ่านด้วย ผมขอแปลและยกข้อความบางส่วนมาก็แล้วกันนะครับ

เขา: มันเกิดอะไรขึ้นหรือที่เมืองไทย

ผม: เกิดอะไรหรือ

เขา: ก็ข่าวทั้งหลายที่ออกมาในสื่อสหรัฐนี่สิ เช่นข่าวโรฮิงยากับข่าวเรื่องจับนายแฮรี่ แถมยังมีข่าวเรื่องจัดทำเว็บไซต์ (ผมไม่ขอพูด ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เป็นเว็บไซต์ทำโดยกระทรวงยุติธรรมยุค ปชป. เป็นรัฐบาล)

ผม: คุณรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยหรือ

เขา: ผมรู้ คนอเมริกันคนอื่นก็รู้ด้วยเหมือนกัน คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ เพราะนักเรียนหลายคนบอกผมว่าสนับสนุนโครงการนี้

ผม: ผมไม่เห็นด้วยนะกับนโยบายนี้ รวมไปถึงกฎหมาย ม.112 นั่นด้วย

เขา: ทำไมคุณถึงไม่เห็นด้วย ดูเหมือนคนไทยส่วนใหญ่จะเห็นด้วยนะ

ผม: ก็เพราะคนไทยส่วนใหญ่ที่คุณรู้จักนั่นเผอิญเป็นพวกชนชั้นกลางสูง และส่วนมากหลายคนในที่นั้นก็เป็นพวกลูกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรือนักธุรกิจใหญ่

เขา: อืม จริงตามนั้น (เขารู้ว่ามีบางคนเป็นลูกผู้พิพากษาศาลฎีกา หรือบางคนที่ผมรู้จักก็มีตำแหน่งใหญ่ในสภาเทศบาลนครหาดใหญ่) แต่ว่ามันเกี่ยวกันตรงไหนล่ะกับเรื่องนี้

ผม: คุณน่าจะเคยได้ยินข่าวความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงนะ

เขา: ใช่ เป็นข่าวค่อนข้างใหญ่เกี่ยวกับประเทศไทยในช่วงนี้เลยละ

ผม: ที่จริงแล้วผมก็เสื้อแดงนี่แหละ

เขา: นั่นไง ว่าแล้วเชียว (หัวเราะ) ทำไมคุณไม่เห็นด้วยกับกฏหมายนั้นล่ะ

ผม: เพราะสิ่งที่กฏหมายนั้นปกป้อง แท้ที่จริงแล้วไม่ได้รับผลประโยชน์เลย ตรงกันข้าม กลับเป็นการเปิดทางให้เกิดการโจมตีกันทางการเมืองของฝ่ายที่อ้างความจงรักภักดี

เขา: ผมก็คิดอย่างงั้นเหมือนกัน คอลัมนิสต์บางคนยังเขียนบอกโอบามาเลยว่า ขอให้ทบทวนโครงการต่างๆ ที่ร่วมมือกับไทย เพื่อเป็นการตอบโต้สิ่งที่เกิดขึ้น (เขากล่าวถึงโครงการฝึกทหารร่วม Cobra Gold ที่ปกติมักมีทุกปี) หรือความร่วมมืออื่นๆ

ผม: ใช่ มันเคยถูกพักไปหนนึงแล้วสมัยที่ คมช. เรืองอำนาจ

เขา: ผมเองก็สงสัยอยู่อีกเรื่อง เห็นการชุมนุมคนเสื้อแดงมีคนมากมายขนาดนี้ พวกเขามีอาชีพอะไรกันบ้าง

ผม: ก็ทุกอาชีพนั่นแหละ ตั้งแต่ชาวนาชาวไร่ กรรมกร ขึ้นไปจนถึงนักวิชาการ นักธุรกิจ ข้าราชการ หรือแม้แต่ตำรวจหรือทหารก็ยังมีเสื้อแดงเลย

เขา: ถ้างั้นทำไมพวกนักเรียนทุนแทบทุกรุ่นที่ผมรู้จักกลับเป็นพวกตรงกันข้ามกับเสื้อแดงได้ล่ะ
ผม: คุณอยู่ประเทศศิวิไลซ์มานาน คุณคงไม่รู้หรอกว่าเนื้อร้ายที่กัดกินสังคมไทยขณะนี้คือระบบอุปถัมภ์ภายใต้อำมาตยาธิปไตย

เขา: มันเป็นยังไงหรือ

ผม: หากผมเล่าแล้วคุณไม่อยากเชื่อก็ไม่เป็นไรนะ แต่ผมจะเล่าเท่าที่ผมรู้ละกัน ในเมืองไทยใครมีอำนาจก็มักอยากจะครองอำนาจนั้นต่อไป ไม่ยอมปล่อย ส่วนใครที่อยากมีอำนาจทางลัดก็ต้องผูกสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจในขณะนั้น ไหนจะติดสินบนบ้าง เอาของไปฝากบ้าง แล้วผลตอบแทนก็คือผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจก็จะให้ในสิ่งที่เขาต้องการ เป็นวัฎจักรแบบนี้ เลยทำให้คนเก่งไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำงานในเมืองไทย เพราะถูกระบบนี้กีดกัน

เขา: (ทึ่งเล็กน้อย) แสดงว่านี่เป็นเรื่องของความต่างทางวัฒนธรรมล่ะสิ

ผม: ใช่ ในประเทศเจริญแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องแปลกประหลาด คุณคงไม่เคยได้ยิน ผมไม่แปลกใจที่คุณจะทึ่ง และพวกนักเรียนทุนที่คุณรู้จัก ก็อย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว หาได้น้อยมากที่จะเป็นลูกชาวบ้านรากหญ้าธรรมดา แทบทั้งหมดเป็นลูกชนชั้นกลางสูงทั้งนั้น และชนชั้นกลางสูงในเมืองไทยก็มีอีโก้ประหลาด นั่นก็คือคิดว่าคนชั้นล่างของสังคมไม่มีทางเสมอตัวได้

เขา: ว้าว

ผม: คุณอ่านหนังสือพิมพ์ที่นี่ (อเมริกา) คุณน่าจะรู้ดี สมัยของอดีตนายกทักษิณ มีนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค พวกหมอกับพวกคนรวยคัดค้านกันใหญ่ เพราะคนจนจะมีสิทธิ์รักษาเท่าตัว ส่วนพวกหมอที่เป็นอภิสิทธิ์ชนในเมืองไทยต้องทำงานหนักขึ้น แถมเสียคนไข้ที่คลินิกของพวกเขาอีก

เขา: คุณก็ลูกหมอไม่ใช่หรือ ทำไมคุณเป็นเสื้อแดงได้ล่ะ

ผม: พ่อผมบอกผมอยู่เสมอว่า พวกเรามีชีวิตที่สุขสบายกว่าชาวบ้านเหล่านี้เป็นไหนๆ พวกเขามีชีวิตลำบากกว่าเราเยอะ เราควรสงสารเขา เพราะฉะนั้นพอนโยบายนี้ออกมา ชาวบ้านเหล่านั้นมีโอกาสได้รักษาในราคาย่อมเยา พวกเราจะไม่ยินดีกับเขาหน่อยหรือที่พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พ่อก็เคยทำงานในอำเภอชนบทไกลๆ ทำไมจะไม่รู้

เขา: หมอเมืองไทยน่าจะิคิดอย่างพ่อคุณเยอะๆ นะ

ผม: แต่ก็น่าเสียดายแทนทักษิณที่ต้องถูกรัฐประหาร คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมเขาถึงถูกรัฐประหาร

เขา: ผมก็รู้ เพราะมันมีสูญญากาศการเมืองก่อนเหตุการณ์นั้น พรรคฝ่ายค้านบอยคอตเลือกตั้ง
ผม: ใช่แล้ว พรรคฝ่ายค้านนั่นแหละตัวดี ที่เขาได้ดีมาเป็นรัฐบาลครั้งนี้ก็เพราะความช่วยเหลือจากทหารเหมือนที่วอชิงตันโพสต์เคยพูดถึงไปแล้ว ตอนนั้นเขารู้ว่าลงเลือกตั้งไปยังไงๆ ก็แพ้ เพราะทักษิณเป็นที่นิยมเหลือเกิน เขาเลยบอยคอตดีกว่า ผลที่ตามมาจะได้เลวร้ายต่อฝ่ายทักษิณ ที่สำคัญพรรคนี้ยังแอบสนับสนุนกลุ่มเสื้อเหลืองที่ปิดสนามบินอยู่เบื้องหลังอีกด้วย เพราะมี สส. พรรคไปเป็นแกนนำของกลุ่มนั้นด้วย

เขา: ใช่ๆ เฮ้อ ผมหวังแทนคุณนะว่าพวกกลุ่มคนชั้นสูงทั้งหลายที่กุมอำนาจจะคลายมือที่กุมอำนาจไว้แน่นลงซะบ้าง แล้วเปิดโอกาสให้คนที่มีความรู้ืความสามารถมากุมชะตาประเทศไทย รู้สึกดีมากเลยที่ได้คุยกับคุณ ข้อมูลเกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์หรืออะไรเหล่านี้ทำให้ผมเข้าใจสังคมไทยมากขึ้น และคงจะเป็นประโยชน์หากผมอยากทำงานต่อไปร่วมกับนักเรียนทุนรุ่นต่อๆ ไป ผมคุยกับนักเรียนทุนรุ่นน้องคุณ มีคนนึงความเห็นเป็นเสื้อแดงคล้ายๆ คุณเลย ถ้าอยากคุยด้วยผมจะให้เบอร์ติดต่อเขา

ผม: ขอบคุณครับ ยินดีที่ได้สนทนาด้วย

เขา: ยินดีเช่นกัน ถ้ามีโอกาสคราวหน้าผมคงต้องคุยกับคุณอีกแน่นอน ราตรีสวัสดิ์

อึ้งครับ คนที่นี่เค้ารู้เรื่องบ้านเมืองเรามากกว่าที่เราคิดครับ

มาร์คเอ๋ย ทหารเอ๋ย พรรค ปขป. เอ๋ย พธม. เอ๋ย และมือที่มองไม่เห็นทั้งหลาย พึงตระหนักไว้ด้วยว่า สังคมโลกเขาจับตามองอยู่ทุกขณะ จะเป็นไดโนเสาร์แบบในอดีตนั้นคงไม่ได้แล้ว สิ่งที่คนไทยต้องการก็คือ ประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพเท่ากันเท่านั้น ไม่ใช่ประชาธิปไตยจอมปลอมที่เสรีภาพประชาชนถูกลิดรอนและปิดกั้นเช่นนี้

Sunday, February 8, 2009

แฟ้ม “ลับสุดยอด“ กรณีลอบปลงพระชนม์ ร.8 ที่จอมพลป. สั่งให้เอาไปเก็บนั้น หายไปไหน..?

แฟ้ม “ลับสุดยอด“ กรณีลอบปลงพระชนม์ ร.8 ที่จอมพลป. สั่งให้เอาไปเก็บนั้น หายไปไหน..?
นายปรีดีพนมยงค์กล่าวถึงกรณีนี้ว่า \"พวกฝรั่งก็สนใจกันมาก เพราะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ที่ไม่มีอายุความ

ความจริงอาจปรากฏขึ้น แม้จะล่วงเลยมาหลายร้อยปีก็ตาม\"

ผมเป็นคนไทย รู้สึกสนใจยิ่งกว่าฝรั่งอีก ไปหาอ่านศึกษาเรื่องนี้ดู

ก็มีคำถามขึ้นในใจที่ผมไม่เข้าใจ ก็เลยอยากจะถามผู้ที่รู้เรื่องนี้ดี

สามารถให้ความกระจ่างแก่ผมและคิดว่าก็มีคนที่อยากรู้อีกมาก

ผมอยากจะรู้ว่า..

1. บันทึกคำสนทนาของพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์กับ นายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน
ก่อนการประหารชีวิตที่เสนอให้จอมพลป. แล้วจอมพลป. ก็แทงสั่งให้เก็บเป็นความลับสุดยอดยังอยู่หรือไม่..?
ถ้ายังอยู่ทำไมไม่มีใครคิดเอามาดำเนินการต่อ.?

2. ท่านคิดว่าคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐( ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์กับคณะรัฐประหารทำขึ้น
แล้วพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เป็นรัฐบาลเมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ครั้นแล้ว รัฐบาลนี้ก็ได้แต่งตั้งใด้ พล ต.ต. พระพินิจชนคดี พี่เขยของ ๒ ม.ร.ว. สำคัญแห่งพรรคประชาธิปัตย์ คือ เสนีย์ และคึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งออกจากราชการรับบำนาญไปแล้วนั้นกลับเข้ารับราชการทำหน้าที่สืบสวนกรณีสวรรคตเสียใหม่
อันนำไปสู่การจับกุมนายเฉลียว ปทุมรส อดีตราชเลขานุการในพระองค์ นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน สองมหาดเล็กห้องพระบรรทม ในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ หลังจากวันทำรัฐประหาร ๑๒ วัน)และ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐(โดยจอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์)

เกิดขึ้นเพื่อกลัวมือปืนตัวจริงถูกเปิดเผยหรือไม่..?

3. หลักฐานใหม่ที่จอมพลป.ได้รับจากพล.ต.อ.เผ่าแล้วหลังจากนั้นจอมพลป.ก็ส่งตัวแทน
ไปบอกนายปรีดีที่ฝรั่งเศสว่า ผู้ถูกประหารชีวิตทั้งสามคนและนายปรีดีเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านคิดว่าจริงหรือไม่..?

4. ท่านคิดอย่างไรกับกรณีที่จอมพลป.ขอพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ถูกตัดสินประหารชีวิต ถึงสามครั้งแต่เรื่องก็เงียบ..?

5. ท่านคิดอย่างไรกับคำตัดสินคดีของศาล..? ท่านคิดว่ามันยังเหมือนสมัยนี้หรือไม่..?

6. ท่านคิดว่าสมควรที่จะรื้อฟื้นคดีนี้ไหม..?

7. ท่านคิดว่ารัฐบาลปัจจุบัน จะกล้าริ้อฟื้นคดีนี้หรือไม่..? ทำไม..?

8. ท่านคิดว่าอย่างไรกับคำกล่าวของนายปรีดีที่ว่า \"ทุกวันนี้ก็มีคนพูดซุบซิบกัน ถึงกับนักเรียนหลายคนถามผม
ผมก็ขอตัวว่าเป็นเรื่องที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้ในขณะนี้ จึงขอฝากอนุชนรุ่นหลังและประวัติศาสตร์ตอบแทนด้วย\
http://www.sarakadee.com/feature/2000/04/pridi.htm
สุพจน์ ด่านตระกูล
อัญเชิญขึ้นครองราชย์
จากความขัดแย้งระหว่างพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ กับรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา อันเป็นเหตุให้พระปกเกล้าฯ ทรงสละราชสมบัติ เมื่อ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ และโดยที่พระปกเกล้าฯ ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นองค์รัชทายาท รัฐบาลพระพหลฯ จึงประชุมปรึกษาหารือกันในระหว่างเวลา ๕ วัน ตั้งแต่วันที่ ๒ มีนาคม ถึงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๔๗๗ เพื่อพิจารณาหาเจ้านายในพระราชวงศ์จักรีขึ้นเป็นองค์พระมหากษัตริย์สืบต่อไป ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ๒๔๗๕ และโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาล พุทธศักราช ๒๔๗๖
กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ มีด้วยกัน ๘ หมวด ๒๑ มาตรา หมวดที่สำคัญคือหมวดที่ ๔ ว่าด้วยลำดับขั้นผู้สืบราชสันตติวงศ์ และหมวดที่ ๕ ว่าด้วยผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบราชสันตติวงศ์
หมวดที่ ๔ มาตรา ๙ บัญญัติไว้ว่า
"ลำดับขั้นเชื้อพระบรมราชวงศ์ ซึ่งจะควรสืบราชสันตติวงศ์นั้น ท่านว่าให้เลือกตามสายตรงก่อนเสมอ ต่อไม่สามารถเลือกทางก็ตรงได้แล้ว จึงให้เลือกตามเกณฑ์ที่สนิทมากและน้อย"
"เพื่อให้สิ้นสงสัย ท่านว่าให้วางลำดับสืบราชสันตติวงศ์ไว้ดังต่อไปนี้" "
ครั้นแล้วท่านก็ลำดับพระญาติวงศ์ผู้มีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ นับแต่สมเด็จหน่อพุทธเจ้าเป็นปฐมลงไป สรุปเป็นภาษาไทยให้เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้
ลำดับที่ ๑ พระราชโอรสหรือพระราชนัดดา
ลำดับที่ ๒ กรณีซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา แต่ทรงมีสมเด็จอนุชาที่ร่วมพระราชชนนี หรือพระราชโอรสของสมเด็จพระอนุชา
ลำดับที่ ๓ กรณีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา กับไร้ทั้งสมเด็จพระอนุชาร่วมพระราชชนนี แต่ทรงมีสมเด็จพระเชษฐา หรือสมเด็จพระอนุชาต่างพระราชชนนี หรือพระโอรสของสมเด็จพระเชษฐาหรือพระอนุชา
ลำดับที่ ๔ กรณีซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา กับทั้งไร้สมเด็จพระอนุชาร่วมพระราชชนนี และไร้สมเด็จพระเชษฐา หรือพระอนุชาต่างพระราชชนนี แต่ทรงมีพระเจ้าพี่ยาเธอหรือพระเจ้าน้องยาเธอ หรือพระโอรสของพระเจ้าพี่ยาเธอหรือพระเจ้าน้องยาเธอ
ลำดับที่ ๕ กรณีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไร้พระราชโอรสและไร้พระราชนัดดา พระอนุชาร่วมพระราชชนนีและพระอนุชาต่างพระราชชนี พระเจ้าพี่ยาเธอ น้องยาเธอ แต่ทรงมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอหรือพระโอรส
ดังกล่าวนี้คือลำดับพระองค์ ผู้มีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาล มาตรา ๙ แต่มีข้อบังคับว่าด้วยผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบราชสมบัติไว้ในหมวด ๕ มาตรา ๑๑ ว่าดังนี้
๑. มีพระสัญญาวิปลาศ
๒. ต้องราชทัณฑ์ เพราะประพฤติผิดพระราชกำหนดกฎหมายในคณดีมหันตโทษ
๓. ไม่สามารถทรงเป็นอัครพุทธศาสนูปถัมภก
๔. มีพระชายาเป็นนางต่างด้าว กล่าวคือนางที่มีสัญชาติเดิมเป็นชาวประเทศอื่น นอกจากชาวไทยโดยแท้
๕. เป็นผู้ที่ได้ถูกถอดถอนออกแล้ว จากตำแหน่งพระรัชทายาท ไม่ว่าการถูกถอดถอนจะได้เป็นไปในรัชกาลใด ๆ
๖. เป็นผู้ที่ได้ถูกประกาศยกเว้นออกเสีย จากลำดับสืบราชสัตติวงศ์
กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสัตติวงศ์ดังกล่าวนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงตราขึ้นก่อนที่ พระองค์จะเสด็จสวรรคตเพียงหนึ่งปี (คือตราขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๖๗ และพระองค์เสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๘๖) และก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคต ๒ เดือน พระองค์ได้ทรงมีพระบรมราชโองการลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๘๖ ถึงเสนาบดีวัง เกี่ยวกับองค์รัชทายาท ที่จะสืบสัตติวงศ์ต่อจากพระองค์ท่าน (ขณะนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสุวัฒนาพระวรราชเทวี กำลังทรงพระครรภ์ ยังไม่แน่ว่าจะเป็นพระราชโอรสหรือพระราชธิดา) พระบรมราชโองการมีความตอนหนึ่งว่า ดังนี้
"...ให้ข้ามหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช ในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเพชรบูรณ์อินทราไชยนั้นเสียเถิด เพราะหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัชมีแม่ที่ไม่มีชาติสกุล เกรงว่าจะไม่เป็นที่เคารพแห่งพระบรมวงศานุวงศ์..."
ต่อมาในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ ก่อนเสด็จสวรรคตเพียงวันเดียว พระนางเจ้าสุวัทนาพระวรราชเทวี ได้ประสูติพระราชธิดา (สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงเพชรรัตน์ราชสุดารามฯ) จึงเป็นอันว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ไม่มีพระราชโอรสที่จะสืบราชสัตติวงศ์ การสืบราชสันตติวงศ์จึงต้องเป็นไปตามเงื่อนไขข้อ ๒ แห่งกฎมณเฑียรบาล เงื่อนไขข้อ ๒ ได้บัญญัติไว้ว่า
"กรณีซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไร้พระราชชนนีหรือพระโอรสของสมเด็จพระอนุชา"
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระราชชนนีด้วยกันเก้าพระองค์ คือ
๑. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพาหุรัดมณีมัย (ประสูติเมื่อ ๑๔ ธันวาคม ๒๔๒๑ สิ้นพระชนม์เมื่อ ๒๖ สิงหาคม ๒๔๓๐)
๒. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
๓. สมเด็จเจ้าฟ้าตรีเพชรุตมธำรง
๔. จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ (ต้นสกุลจักรพงษ์ ณ อยุธยา)
๕. สมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์
๖. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง (ประสูติและสิ้นพระชนม์ในวันเดียวกัน)
๗. พลเรือเอก สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎาวงศ์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา (ต้นสกุลอัษฎางค์ ณ อยุธยา)
๘. สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุช กรมขุมเพชรบูรณ์อินทราไชย (ต้นสกุลจุฑาธุช) และ
๙. สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปก กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (รัชกาลที่ ๗)
ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ สวรรคตนั้น พี่น้องร่วมพระราชชนนีกับพระองค์ท่าน ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็แต่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ประชาธิปกกรมขุนสุโขทัยธรรมราชาพระองค์เดียว ซึ่งเป็นพระอนุชาองค์สุดท้อง และมีนัดดาสององค์ คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ โอรสของกรมหลวงพิษณุโลก ประชานาถ กับหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช โอรสของกรมขุนเพชรบูรณ์อินทราไชย
กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ขณะยังมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น ดำรงฐานะเป็นรัชทายาทของพระมงกุฎเกล้าฯ ด้วยเป็นพระอนุชาถัดจากพระองค์ และขณะนั้นกรมหลวงพิษณุโลกฯ มีหม่อมแคทยาเป็นพระชายา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ พระราชบิดาทรงรับเป็นสะใภ้ หลวง ม.ร.ว. นริศรา จักรพงษ์ พระธิดาพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เล่าไว้ในหนังสือ แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม ว่าชื่อ จุลจักรพงษ์ เป็นชื่อที่พระมงกุฎเกล้าฯ ทรงประทานตั้งให้ โดยเปลี่ยนจากชื่อ พงษ์จักร ที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสาวภาผ่องศรี ประทานตั้งให้แต่แรก
ดังนั้นตามเงื่อนไขข้อ ๒ แห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสัตติวงศ์ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์จึงอยู่ในฐานะที่จะได้รับการสถาปนา ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อจากพระมงกุฎเกล้าฯ เพราะเป็นพระโอรสของสมเด็จพระอนุชา องค์รัชทายาท (กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ)
ส่วนหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช พระโอรสของกรมขุนเพชรบูรณ์อินทราไชยนั้น ซึ่งตามกฎมณเฑียรบาล ก็มีสิทธิ์สืบราชสัตติวงศ์เป็นพระองค์ถัดไป จากพระองค์เจ้าจุลฯ แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ท่านทรงมีพระบรมราชโองการ ให้ข้ามไปเสียดังที่ยกมาข้างต้น
จากพระบรมราชโองการฉบับวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๔๖๘ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า พระมงกุฎเกล้าฯ ทรงรับในสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ของพระองค์เจ้าจุลฯ เพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงรับในสิทธิ์ดังกล่าวนี้ พระองค์จะต้องระบุไว้ ในพระบรมราชโองการฉบับเดียวกันนี้ว่าให้ข้ามไปเสีย (เพราะมีแม่เป็นนางต่างด้าว) เช่นเดียวกับที่ทรงระบุให้ข้ามหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช (เพราะมีแม่ที่ไม่มีชาติสกุล) นั้นแล้ว
แต่มีแม่เป็นนางต่างด้าวไม่อยู่ในข้อห้ามตามมาตรา ๑๑ (๔) ห้ามแต่มีชายาเป็นนางต่างด้าวเท่านั้น
ในที่ประชุมของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ในคืนวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ ซึ่งมี จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าพระยาภาณุพันธ์วงศ์วราเป็นประธานของที่ประชุม อันประกอบด้วย จอมพลสมเด็จพระพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้เปี่ยมไปด้วยพระบารมี ได้มีความเห็นไห้อัญเชิญสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปก กรมขุนสุโขทัยธรรมราชาขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรี
ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ สละราชสมบัติ โดยกฎมณเฑียรบาล พระองค์ผู้สืบราชสัตติวงศ์คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งเป็นสายตรงคือ โอรสของพระเชษฐา (กรมหลวงพิษณุโลกฯ) ที่มีสิทธิ์ในการสืบราชสันตติวงศ์ก่อนกรมขุนสุโขทัย (รัชกาลที่ ๗ ) แต่ด้วยบารมีของจอมพล สมเด็จพระพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้ช่วยส่งให้กรมขุนสุโขทัยขึ้นสู่ราชบัลลังก์ ข้ามพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ไป
ส่วนกรมหลวงสงขลาฯ สมเด็จพระราชบิดานั้น เป็นอนุชาของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสวรินทรบรมราชเทวี พระพันวัสสอัยยิกาเจ้า)
แต่สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสยามมงกุฎราชกุมาร สิ้นพระชนม์เสียก่อนที่จะได้ขึ้นครองราชย์ ต่อมาสมเด็จพระราชบิดา พระจุลจอมเกล้าฯ ได้สถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้า กรมขุนเทพทวาราวดี ในสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภา ผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร (แทนที่จะเป็นกรมหลวงสงขลาฯ พระอนุชาของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชมารพระองค์ก่อน) และถ้านับโดยศักดิ์ทางพระมารดาแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระมารดาของกรมขุนเทพทวาราวดี (รัชกาลที่ ๖) เป็นพระน้องนาง (ประสูติ ๑ มกราคม ๒๔๐๖) ของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา (ประสูติ ๑๐ กันยายน ๒๔๐๕ นับตามปีปฏิทินเก่า) ในสมเด็จพระมารดาสมเด็จพระปิยมาวดี ที่มีพระพี่นางองค์โตร่วมครรภ์พระมารดาเดียวกันคือ พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์ (ประสูติ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๔๐๓) หรือพระนางเรือล่ม
ที่ผมอุตส่าห์ลำดับความการสืบราชสัตติวงศ์มานั้น ก็เพื่อเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ท่านปรีดี พนมยงค์ มีส่วนสำคัญอย่างไรบ้าง ในการสนับสนุนเชื้อสายของ กรมหลวงสงขลานครินทร์ ขึ้นนั่งบัลลังก์พระมหากษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ ทั้ง ๆ ที่ถูกข้ามมาแล้ว
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีระหว่างวันที่ ๒-๗ มีนาคม ๒๔๗๗ ครั้งนั้น ท่านปรีดีฯ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ บางเรื่องเกี่ยวกัยพระบรมวงศานุวงศ์ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีความตอนหนึ่งว่าดังนี้
"(๑) พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งเป็นพระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ที่ทรงเป็นรัชทายาทในรัชกาลที่ ๖ ครั้นแล้วจึงพิจารณาคำว่า "โดยนัย" แห่งกฎมณเฑียรบาล ๒๔๖๗ นั้น พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์จะต้องยกเว้นตามมาตรา ๑๑ (๔) แห่งกฎมณเฑียรบาลหรือไม่ เพราะมารดามีสัญชาติเดิมเป็นต่างประเทศ ซึ่งตามตัวยากโดยเคร่งครัดกล่าวไว้แต่เพียง ยกเว้นผู้สืบราชสัตติวงศ์ที่มีพระชายาเป็นคนต่างด้าว (ขณะนั้นพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ยังไม่มีพระชายาเป็นนางต่างด้าว) รัฐมนตรีบางท่านเห็นว่าข้อยกเว้นนั้นใช้สำหรับรัชทายาทองค์อื่น แต่ไม่ใช่กรณีสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ซึ่งขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ สถาปนาเป็นรัชทายาทนั้น ก็ทรงมีพระชายาเป็นนางต่างด้าวอยู่แล้ว และทรงรับรองเป็นสะใภ้หลวงโดยถูกต้อง แต่ส่วนมากของคณะรัฐมนตรีตีความคำว่า "โดยนัย" นั้น ย่อมนำมาใช้ในกรณีที่ ผู้ซึ่งจะสืบราชสัตติวงศ์ มีพระมารดาเป็นนางต่างด้าวด้วย"
รัฐมนตรีส่วนข้างมากที่ตีความคำว่า "โดยนัย" ดังกล่าวนี้ มีท่านปรีดีฯ ร่วมอยู่ด้วย และเป็นคนสำคัญในการอภิปรายชักจูง ให้รัฐมนตรีส่วนข้างมากมีความเห็นร่วมกับท่าน
ที่ประชุมจึงได้พิจารณาถึงพระองค์อื่น ๆ ตามกฎเกณฑ์ของกฎมณเฑียรบาลที่ระบุไว้ว่า "...ต่อไม่สามารถเลือกทางสายตรงได้แล้ว จึงให้เลือกตามเกณฑ์ที่มีสนิทมากและน้อย"
ในบรรดาพระองค์ที่สนิทมากและน้อยนี้มีอาทิ กรมพระนครสวรรค์ และพระโอรส พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้ายุคล ตามการชี้นำของท่านปรีดีฯ ที่เห็นสมควรสถาปนาพระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ คือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ ๘ สือต่อจากพระปกเกล้าฯ อันเป็นการกลับคืนเข้าสู่สายเดิม คือสายสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหัสสยามมกุฎราชกุมาร
การสถาปนาพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ นอกจากจะเป็นการกลับสู่สายเดิมโดยชอบธรรมแล้ว ยังเป็นไปตามพระดำริของพระปกเกล้าฯ อีกด้วย บันทึกลับที่จดโดยพระยามหิธร เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร ว่าดังนี้
"วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เวลา ๑๗.๑๕ น. โปรดเกล้าฯ ให้พระยามโนปกรณ์ฯ พระยาศรีสารฯ พระยาปรีชาชลยุทธ พระยาพหลฯกับหลวงประดิษฐ์มนูธรรม มาเฝ้าฯ ที่วังสุโขทัย มีพระราชดำรัสว่า อยากจะสอบถามความบางข้อและบอกความจริงใจ ฯลฯ อีกอย่างหนี่ง อยากจะแนะนำเรื่องสืบสัตติวงศ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า และพระพุทธเจ้าหลวงได้เคยทรงพระราชดำริ ที่จะออกจากราชสมบัติ เมื่อทรงพระชราเช่นเดียวกัน ในส่วนพระองค์พระเนตรก็ไม่ปกติ คงทนงานไปได้ไม่นาน เมื่อการณ์ปกติแล้ว จึงอยากจะลาออกเสีย ทรงพระราชดำริเห็นว่า พระโอรสสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเพชรบูรณ์ ก็ถูกข้ามมาแล้ว ผู้ที่จะสืบสัตติวงศ์ต่อไป ควรจะเป็นพระโอรสสมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงสงขลานครินทร์ ฯลฯ"
ดังกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่าท่านปรีดีฯ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่ง ในการอัญเชิญในหลวงอานันท์ฯ ขึ้นครองราชย์ เมื่อ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗
--------------------------------------------------------------------------------

ปกป้องราชบัลลังก์
ในคดีคำที่ ๔๒๒๖/๒๕๒๑ ท่านปรีดี พนมยงค์ โจทก์ยื่นฟ้อง นายรอง ศยามานนท์ ศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์ จำเลย กรณีที่ศาสตราจารย์ผู้นั้นบิดเบือนประวัติศาสตร์ หมิ่นประมาทใส่ควม ซึ่งในที่สุดจำเลยรับผิดตามฟ้องนั้น คำบรรยายฟ้องตอนหนึ่งว่า ดังนี้

--------------------------------------------------------------------------------

"เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ ได้มีพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลโทมังกร พรหม โยธี เป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่อมาอีก ๖ วัน คือในวันที่ ๑๘ เดือนเดียวกันนี้ ก็ได้มีกฤษฏีกาเพิ่มเติมอีกฉบับหนึ่งว่า ให้จอมพลพิบูลฯ มีอำนาจสิทธิ์ขาดผู้เดียว ในการสั่งทหารสามเหล่าทัพ อันเป็นอำนาจพิเศษยิ่งกว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดอื่น ๆ"
"ครั้นต่อมาในปลายเดือนพฤศจิกายนนั้นเอง คือก่อนที่ญี่ปุ่นจะรุกรานประเทศไทย ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ จอมพลพิบูลฯ ได้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้บัญญัติกฎหมายยกเลิกบรรดาศักดิ์ไทยเดิม โดยสถาปนา "ฐานันดรศักดิ์" (Lordshin) ตามแบบฝรั่งขึ้นใหม่ คือ ดยุค. มาควิส, เคานท์, ไวสเคานท์, บารอน ฯลฯ โดยตั้งศัพท์ใหม่ขึ้นเพื่อใช้สำหรับฐานันดรศักดิ์เจ้าศักดินาใหม่ คือ สมเด็จเจ้าพญา, ท่านเจ้าพญา, เจ้าพญา, ท่านพญา ฯลฯ ส่วนภรรยาของฐานันดรศักดินาใหญ่นั้นให้เติมคำว่า "หญิง" ไว้ข้างท้าย เช่น "สมเด็จเจ้าพญาหญิง"
"แต่หลวงวิจิตรวาทการเสนอให้เรียกว่า "สมเด็จหญิง" และฐานันดรศักดินาให้มีคำว่า "แห่ง" (of) ต่อท้ายด้วยชื่อแคว้นหรือบริเวณท้องที่ เช่น สมเด็จเจ้าพญาแห่งแคว้น..., พญาแห่งเมือง... ฯลฯ ทำนองฐานันดรเจ้าศักดินายุโรป เช่น ดยุค ออฟ เบดฟอร์ด ฯลฯ ฐานันดรเจ้าศักดินาใหม่นี้ให้แก่รัฐมนตรี และข้าราชการไทย ตามลำดับตำแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์สายสะพาย เช่น จอมพลพิบูลฯ ได้รับพระราชทางสายสะพายนพรัตน์ ก็จะได้ดำรงฐานันดรเจ้าศักดินาเป็น "สมเด็จเจ้าพญาแห่ง..."
"ฐานันดรเจ้าศักดินาใหม่นั้น ทายาทสืบสันตติวงศ์ ได้เหมือนในยุโรปและญี่ปุ่น อันเป็นวิธีการซึ่งนักเรียนที่ศึกษาประวัติ นายพลนโปเลียน โบนาปาร์ด ทราบกันอยู่ว่า ท่านนายพลผู้นั้นได้ขยับขึ้นทีละก้าวทีละก้าว จากเป็นผู้บัญชาการกองทัพ แล้วเป็นกงสุลคนหนึ่งในคณะกงสุล ๓ คน ที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดปกครองประเทศฝรั่งเศส ครั้นแล้วนายพลนโปเลียน โบนาปาร์ด ก็เป็นกงสุลผู้เดียวตลอดกาล ซึ่งมีสิทธิ์ตั้งทายาทสืบตำแหน่ง
"รัฐมนตรีที่เป็นผู้ก่อการฯ จำนวนหนึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วยนั้น โต้คัดค้านจอมพลพิบูลฯ ว่าขัดต่ออุดมคติของคณะราษฎร อันเป็นเหตุให้จอมพลพิบูลฯ ไม่พอใจ ท่านจึงเสนอให้ที่ประชุมเลือกเอาสองทาง คือทางหนึ่งตกลงตาม แผนสถาปนาฐานันดรนครเจ้าศักดินาอย่างใหม่ ทางที่สองเวรคืนบรรดาศักดิ์เดิมทุกคน
"รัฐมนตรีส่วนข้างมาก จึงลงมติในทางเวรคืนบรรดาศักดิ์เดิม เมื่อจอมพลพิบูลฯ แพ้เสียงข้างมาก ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว ท่านจึงเสนอว่า เมื่อเวรคืนบรรดาศักดิ์เก่าแล้ว ผู้ใดจะใช้ชื่อและนามสกุลเดิม หรือเปลี่ยนนามสกุลตามชื่อบรรดาศักดิ์เดิมก็ได้
"โจทก์ (ท่านปรีดีฯ-ผู้เขียน) กับรัฐมนตรีส่วนหนึ่งกลับใช้ชื่อและนามสกุลเดิม แต่จอมพลพิบูลฯ เปลี่ยนนามสกุลเดิมของท่านมาใช้ตามราชทินนามว่า "พิบูลสงคราม" และรัฐมนตรีบางท่านก็ใช้ชื่อเดิม โดยเอาสกุลเดิมเป็นชื่อรอง และใช้ราชทินนามเป็นนามสกุล ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งชื่อและนามสกุลยาว ๆ แพร่หลายจนทุกวันนี้"
ต่อกรณีดังกล่าวนี้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา อดีตประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ให้การเป็นพยานในคดีอาชญากรสงคราม ที่มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นจำเลย มีความตอนหนึ่งรับกันกับคำฟ้องของท่านปรีดีฯ ข้างต้น ดังนี้
"ตอนที่จอมพล ป.ฯ นำให้มีการลาออกหรือให้พ้นจากบรรดาศักดิ์กันนั้น ขุนนิรันดรชัยได้มาทาบทามข้าพเจ้าว่า จะได้มีการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์กันใหม่ เป็นสมเด็จเจ้าพญาชายบ้าง สมเด็จเจ้าพญาหญิงบ้าง และขุนนิรันดรชัยถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ โดยยึดหลักเกณฑ์ว่า ผู้ที่ได้สายสะพายนพรัตน์ จะได้เป็นสมเด็จเจ้าพญาชาย ซึ่งมีจอมพล ป.ฯ คนเดียวที่ได้สายสะพายนั้น เมื่อตั้งสมเด็จเจ้าพญาชายแล้ว เมียของผู้นั้นก็ได้เป็น สมเด็จเจ้าพญาหญิงตามไปด้วย"
"ข้าพเจ้ารู้สึกว่า จอมพล ป.ฯ นั้น กระทำการเพื่อจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง แล้วภรรยาจอมพล ป.ฯ ก็มีความมักใหญ่ใฝ่สูงทำนองเดียวกัน เอารูปไปฉายในโรงหนัง ให้คนทำความเคารพโดยมีการบังคับ ในการทำบุญวันเกิดก็ทำเทียม วันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระเจ้าแผ่นดิน เช่น มีตราไก่กางปีกประดับธงทิวทำนองเดียวกับ ตราครุฑหรือตราพระบรมนามาภิไธยย่อ และได้สร้างเก้าอี้ขึ้นทำนองเดียวกับ เก้าอี้โทรนของพระเจ้าแผ่นดิน เว้นแต่ใช้ตราไก่กางปีกแทนตราครุฑเท่านั้น..."
ในคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๘๙ ถึงคณะกรรมการจังหวัด ชี้แจงการโฆษณาหลอกลวงของพรรคประชาธิปัตย์ (ในขณะนั้น) ที่ใส่ร้ายท่านปรีดีฯ ในกรณีสวรรคตของในหลวงอานันท์ฯ คำสั่งกระทรวงมหาดไทย ได้ยกข้อเท็จจริงในการแสดงความจงรักภักดี ของท่านปรีดีฯ ต่อในหลวงอานันท์ฯ มีความตอนหนึ่งว่า ดังนี้
"เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกษฐ์ ทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว นายกรัฐมนตรีปัจจุบันนี้ (ปรีดี พนมยงค์) เมื่อครั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็ได้อัญเชิญทูล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เสด็จกลับมาครองราชย์ มิได้ปรารถนาที่จะกุมอำนาจที่จะทำหน้าที่เป็นประมุขของรัฐ และไม่ได้กระทำการขัดขวางอย่างใด แต่ตรงกันข้ามกลับอันเชิญเสด็จกลับมา มอบถวายราชสมบัติแด่พระองค์"
"ในระหว่างที่พระองค์ประทับอยู่ในต่างประเทศ เมื่อมีผู้ปองร้ายต่อราชบัลลังก์ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนี้ (ปรีดี พนมยงค์) เมื่อครั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็ได้เสียสละและเสี่ยงภัย เพื่อป้องกันราชบัลลังก์ให้ปลอดภัยตลอดมา เวลานั้นหามีผู้ใดเสี่ยงภัยเช่นนั้นไม่ แต่ตรงกันข้ามกลับประจบสอพลอผู้มีอำนาจ รัฐบาลนี้มีความเสียใจที่พรรคประชาธิปัตย์บางคน ได้ฉวยโอกาสเอาพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะ มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง (เพื่อทำลายท่านปรีดี-ผู้เขียน)
--------------------------------------------------------------------------------

ปกป้องพระเกียรติ
ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ท่านปรีดีฯ ได้ปกป้องพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ไว้อย่างดียิ่งชีวิต ดังเช่นในกรณีที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น เมื่อนำพระราชบัญญัติหรือพระบรมราชโองการใดก็แล้วแต่ เสนอผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อลงพระนามและลงนาม ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จอมพล ป.พิบูลสงคราม จะลงนาม ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ไปเป็นการล่วงหน้า เป็นการบีบบังคับให้ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องลงนาม ในพระราชบัญญัติหรือพระบรมราชโองการนั้น ๆ เสมือนกับตรายาง อันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

--------------------------------------------------------------------------------

นายทวี บุณยเกตุ ในฐานะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้นำพระราชบัญญัติขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ได้บันทึกไว้ในหนังสือความทรงจำของท่านว่าดังนี้
"...ตามระเบียบนั้น จะเป็นพระราชบัญญัติก็ตามหรือพระบรมราชโองการใด ๆ ก็ตาม พระมหากษัตริย์หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จะต้องทรงลงพระปรมาภิไธยหรือลงนามก่อน แล้วนายกรัฐมนตรีจึงจะเป็นผู้ลงนาม รับสนองพระบรมราชโองการในภายหลัง แต่ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น จอมพล ป.พิบูลสงคราม มักจะลงนามรับสนองพระบรมราชโองการก่อน แล้วจึงได้ให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลงนาม..."
แต่ในสมัยที่ท่านปรีดีฯ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ท่านไม่ยอมให้จอมพล ป.ฯ ทำเช่นนั้น โดยท่านอ้างว่า การกระทำของจอมพล ป.ฯ เช่นนั้นเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ
ในคราวที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขัดใจกับคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (เวลานั้นมีอยู่สองท่าน คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา กับท่านปรีดีฯ) ท่านปรีดีฯ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ ว่า ดังนี้
"...ต่อมาประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๘๖ จอมพล ป.ฯ ได้ยื่นใบลาออกตรงมายังประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วจอมพล ป.ฯ ก็ได้ออกจากทำเนียบสามัคคีชัย ไม่รู้ว่าไปไหน ชะรอยพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ จะทรงทราบว่าจอมพล ป.ฯ ต้องการลาออกจริงเพื่อปรับปรุงคณะรัฐมนตรีใหม่ พระองค์จึงส่งใบลาจอมพล ป.ฯ มาให้ข้าพเจ้าพิจารณา ข้าพเจ้าจึงเขียนความเห็นในบันทึกหน้าปกใบลานั้นว่า "ใบลานั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญแล้ว อนุมัติให้ลาออกได้" ข้าพเจ้าลงนามไว้ตอนล่าง ทิ้งที่ว่างตอนบนไว้เพื่อให้พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ทรงลงพระนาม ซึ่งพระองค์ก็ทรงลงพระนาม"
"ข้าพเจ้าเชิญนายทวี บุณยเกตุ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มาถามว่า จอมพล ป.ฯ จะจัดการปรับปรุงรัฐบาลหรืออย่างไร ? ก็ได้รับคำตอบว่า คงจะปรับปรุงรัฐบาลและตามหาตัวจอมพล ป.ฯ ก็ยังไม่พบ แต่เมื่อคณะผู้สำเร็จราชการฯ ส่งคำอนุมัติใบลาออกของจอมพล ป.ฯ แล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งบังคับบัญชากรมโฆษณาการอยู่ด้วย ก็ให้วิทยุของกรมนั้นประกาศการลาออกของจอมพล ป.ฯ"
"ฝ่ายจอมพล ป.ฯ ขณะนั้นจะอยู่ที่แห่งใดก็ตาม เมื่อได้ฟังวิทยุกรมโฆษณาการ ประกาศการลาออกเช่นนั้นแล้ว ก็แสดงอาการโกรธมาก ครั้นแล้วได้มีนายทหารจำนวนหนึ่ง ไปเฝ้าพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ณ พระที่นั่งอัมพรสถานซึ่งท่านผู้นี้ประทับอยู่ขณะนั้น ขอให้จัดการเอาใบลาคืนให้จอมพล ป.ฯ"
"เป็นธรรมดาเมื่อพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ เห็นอาการของนายทหารเหล่านั้นจึง.....พระทัย เพราะไม่สามารถเอาใบลาคืนให้จอมพล ป.ฯ ได้ ฉะนั้นพระองค์พร้อมด้วยหม่อมกอบแก้วชายา ได้มาที่ทำเนียบที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำใกล้ท่าช้างวังหน้า ขออาศัยค้างคืนที่ทำเนียบ ข้าพเจ้าจึงขอให้เพื่อทหารเรือช่วยอารักขาข้าพเจ้าด้วย เพื่อนทหารเรือได้ส่งเรือยามฝั่งในบังคับบัญชาของ ร.อ. วัชรชัย ชัยสิทธิเวช ร.น. มาจอดที่หน้าทำเนียบของข้าพเจ้า ฝ่าย พ.ต. หลวงราชเดชา ราชองครักษ์ประจำตัวข้าพเจ้า และ พ.ต.ประพันธ์ กุลวิจิตร ราชองครักษ์ประจำองค์พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ก็มาร่วมให้ความอารักขาด้วย"
"เราสังเกตดูจนกระทั่งเวลาบ่ายของวันรุ่งขึ้น ก็ไม่เห็นทหารบกหรืออากาศมาคุกคามประการใด ดังนั้น พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ กับหม่อมกอบแก้วจึงกลับไปพระที่นั่งอัมพรสถาน"
จากการที่พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ และท่านปรีดีฯ ได้ลงพระนามและลงนามอนุมัติให้จอมพล ป.ฯ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และวิทยุกระจายเสียงของกรมโฆษณาการ ก็ได้ออกอากาศให้รู้กันทั่วไป อันเป็นการปฏิบัติราชการ ที่ถูกต้องตามแบบแผนทุกประการ แต่ไม่ถูกใจจอมพล ป.ฯ เพราะเจตนาการลาออกของจอมพล ป.ฯ ก็เพื่อหยั่งเชิงการเข้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จแบบนโปเลียน ด้วยคาดคิดว่าคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คงไม่กล้าลงพระนามและลงนามอนุมัติให้ท่านลาออก และถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับในอำนาจเบ็ดเสร็จของท่าน แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น อันเป็นสัญญาณบอกให้ท่านรู้ว่า การเข้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จยังมีปัญหา ซึ่งหมายถึงยังมีคนต่อต้านขัดขวาง
เพื่อแก้ปัญหาการต่อต้านขัดขวาง การขึ้นสู่อำนาจเบ็ดเสร็จจอมพล ป.ฯ จึงอาศัยอำนาจตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตามกฤษฎีกาลงวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ ออกคำสั่งให้พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ และท่านปรีดีฯ เข้าประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด (อันอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการทหารสูงสุด คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม-ผู้เขียน) และให้ไปรายงานตัวต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดภายใน ๒๔ ชั่วโมง
ต่อคำสั่งดังกล่าว พระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ รีบไปรายงานตัวทันที ส่วนท่านปรีดีฯ ไม่ยอมไป ท่านให้เหตุที่ไม่ยอมไปรายงานตัวว่าดังนี้
"ข้าพเจ้ามีตำแหน่งเป็นผู้แทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นจอมทัพตามรัฐธรรมนูญ ถ้าข้าพเจ้าไปรายงานตัวยอมอยู่ภายใต้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็เท่ากับข้าพเจ้าลดพระราชอำนาจ ของพระมหากษัตริย์ลงอยู่ภายใต้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีรัฐมนตรีบางนายได้ชี้แจงขอร้องให้จอมพล ป.ฯ ถอนคำสั่งที่ว่านั้น ซึ่งจอมพล ป.ฯ ก็ได้ยอมถอนคำสั่ง เป็นอันว่าพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ และข้าพเจ้าคงสามารถปฏิบัติภารกิจ แทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเป็นจอมทัพตามรัฐธรรมนูญได้ต่อไป"
--------------------------------------------------------------------------------

ถวายความจงรักภักดี
ต่อมาเมื่อพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ลาออกจากผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ สภาผู้แทนราษฎรจึงได้มีมติและประกาศลงวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๘๗ ให้ท่านปรีดีฯ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่ผู้เดียว และในวันนั้นเองท่านได้ลงนามในพระปรมาภิไธย แต่งตั้งให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ลาออกไปเพราะแพ้มติในสภาฯ เรื่องพระราชกำหนดระเบียบบริหารนครบาลเพ็ชรบูรณ์ และพระราชกำหนดจัดสร้างพุทธบุรีมณฑล

--------------------------------------------------------------------------------

เพื่อสร้างความปรองดองทางการเมืองระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับฝ่ายเจ้าศักดินา ท่านปรีดีฯ ในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทย ได้มอบหมายให้นายทวี บุณยเกตุ ซึ่งร่วมงานเสรีภทยอยู่กับท่านและมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี อยู่ในรัฐบาลนายควงฯ ดำเนินการปลดปล่อยนักโทษการเมือง ซึ่งมีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชบริพารในระบอบเก่าหลายคน
ท่านปรีดีฯ ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ฯ มีความตอนหนึ่งว่าดังนี้
"นายควง อภัยวงศ์ ได้จัดตั้งคณะรัฐมนตรี โดยมีรัฐมนตรีหลายนาย และโดยเฉพาะนายทวี บุณยเกตุ เข้าร่วมด้วยตามที่นายควงฯ ได้ตกลงกับข้าพเจ้าไว้ คือนอกจากนายทวีฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ก็เป็นรัฐมนตรีสั่งราชการ ในสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย โดยมีหน้าที่ดำเนินงานของ คณะรัฐมนตรีอยู่เบื้องหลังนายควงฯ กิจการใดอันเกี่ยวกับขบวนการเสรีไทย ซึ่งนายทวีฯ เป็นผู้บัญชาการพลพรรคในประเทศไทยนั้น ถ้าจะต้องเกี่ยวข้องกับรัฐบาลอย่างใดแล้ว นายควงฯ ก็อนุญาตตามที่ตกลงกันไว้ก่อนว่าให้นายทวีฯ ปรึกษาตกลงกับข้าพเจ้าโดยตรง โดยนายควงฯ ไม่ขอรับรู้ด้วย นอกจากที่จะต้องทำเป็นกฎหมาย หรือแถลงต่อสภาผู้แทนราษฎร
"ดังนั้น มีหลายเรื่องที่นายทวีฯ ได้ปรึกษาข้าพเจ้าจัดทำขึ้นก่อนแล้วจึงแจ้งให้นายควงฯ รับไปปฏิบัติการ อาทิ การประกาศพระบรมราชโองการ ว่าการประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่ และสหรัฐอเมริกาเป็นโมฆะนั้น นายทวี บุณยเกตุ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ดังปรากฏข้อเท็จจริงในราชกิจจานุเบกษา ไม่ใช่นายควงฯ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ (ตามที่นายควงฯ กล่าวอ้าง-ผู้เขียน)
"การอภัยโทษและนิรโทษกรรม ผู้ต้องหาทางการเมืองนั้น นายทวีฯ ก็เป็นหัวแรงสำคัญ ในการร่างกฎหมายอภัยโทษและนิรโทษกรรม เพราะแม้ข้าพเจ้าแจ้งแก่สัมพันธมิตรไว้ก่อนว่า เพื่อความสามัคคีของคนไทย ที่มีอุดมคติตรงกันในการต่อสู้กับญี่ปุ่น ให้ได้รับอภัยโทษและนิรโทษกรรมตามที่ ม.จ. ศุภสวัสดิ์ได้ทรงปรารภมานั้น เวลาปฏิบัติเข้าจริงก็ยังไม่อาจทำได้ง่าย ๆ เหมือนดังที่นายควงฯ พูดที่คุรุสภาว่า พอนายควงฯ เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วก็สั่งปล่อยนักโทษการเมือง" (นายควง อภัยวงศ์ ไปแสดงปาฐกถาที่คุรุสภา เมื่อ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ เรื่องชีวิตของท่าน ปรากฏข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ว่านายควงฯ พูดมุสาหลายเรื่องหรือเกินความเป็นจริง รวมทั้งเรื่องปลดปล่อยนักโทษการเมือง ซึ่งท่านอวดอ้างว่าพอท่านขึ้นเป็นนายก ก็สั่งปลดปล่อยนักโทษการเมืองทันที-ผู้เขียน)
"จริงอยู่ นายควงฯ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แต่ในการร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว ต้องทำความเข้ากับ พล ต.อ. อดุลฯ อธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งเป็นผู้สั่งจับผู้ต้องหาการเมือง ให้เขาเห็นความสมควรที่จะอภัยโทษและนิรโทษกรรม..."
นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ในบทความของท่านเรื่อง "พระบรมวงศานุวงศ์และขบวนการเสรีไทย" มีความตอนหนึ่งว่า
"ต่อมาท่านขึ้น (ม.จ. ศุภสวัสดิ์ฯ) ได้ส่งโทรเลขของท่านเองมาอีกฉบับหนึ่ง ตรงถึงนายปรีดี พนมยงค์ ขอบใจที่หัวหน้าเสรีไทยยินดีต้อนรับ และทรงแสดงเจตนาว่า จะร่วมงานด้วยความจริงใจ แต่ใคร่จะขอถามว่าเพื่อนฝูงของท่านชิ้นหลายท่านต้องโทษการเมือง อยู่ที่เกาะตารุเตาบ้าง บางขวางบ้างที่อื่น ๆ บ้างนั้น นายปรีดี พนมยงค์ จะกระทำอย่างไร"
"หัวหน้าเสรีไทยตอนโทรเลขไปโดยฉับพลันว่า กรมขุนชัยนาทฯ และผู้อื่น ซึ่งต้องโทษทางการเมืองอยู่ที่ตะรุเตา และมิใช่จะปลดปล่อยอย่างเดียว จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมด้วย..."
และในที่สุดบรรดานักโทษการเมืองเหล่านั้น ก็ได้รับการนิรโทษกรรม ตามคำมั่นสัญญาที่ท่านปรีดีฯ ให้ไว้กับท่านนั้น และด้วยความสำนึกในบุญคุณท่านปรีดีฯ พระยาอุดมุพงษ์เพ็ญสวัสดิ์ (ม.ร.ว. ประยูร อิศรศักดิ์) นักโทษการเมืองผู้หนึ่ง ที่ได้รับนิรโทษกรรมครั้งนั้น จึงได้เขียนสักระวามอบแก่ท่านปรีดีฯ ในนามของนักโทษการเมืองที่ได้รับนิรโทษกรรม ความว่า
"สักระวารีเย่นต์เห็นเป็นธรรม
นิรกรรมผู้ต้องโทษโจทก์เท็จหา
ให้ไนทุกข์ทรมานกายวิญญา
หลุดออกมาจากคุกขุมอเวจีฯ"
ทันทีที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลงเมื่อ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ ท่านปรีดีฯ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ส่งโทรเลขลงวันที่ ๖ กันยายน ๒๔๘๘ อัญเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัติพระนคร ดังสำเนาโทรเลขต่อไปนี้
"วันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
โลซานน์
ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติแต่งตั้ง ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามประกาศลงวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ นั้น บัดนี้ถึงวาระอันสมควร ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงปฏิบัติ พระราชภาระกิจในฐานะทรงเป็นพระประมุขของชาติ เพราะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จะทรงบรรลุนิติภาวะในวันที่ ๒๐ กันยายน ศกนี้แล้ว ฉะนั้นข้าพระพุทธเจ้า จึงขอพระราชทานบรมราชานุญาต อัญเชิญเสด็จใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เสด็จนิวัติสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อจะได้ทรงปกครองแผ่นดิน ตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ และโดยที่ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ของข้าพระพุทธเจ้าจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๐ กันยายน ศกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม กราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ณ โอกาสนี้
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า นายปรีดี พนมยงค์"
ต่อโทรเลขกราบบังคมทูล อัญเชิญเสด็จนิวัติมหานครในหลวงอานันท์ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตอบให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ทราบในสัปดาห์ต่อมาว่าดังนี้
"วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๔๘๗
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
กรุงเทพฯ
ข้าพเจ้าได้รับโทรเลขของท่าน ซึ่งได้ขอร้องข้าพเจ้าให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้า ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะเป็นห่วงเป็นใยต่อประเทศชาติ แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าจะเป็นการเหมาะสมยิ่งขึ้น ถ้าข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสศึกษาให้จบเสียก่อน ข้าพเจ้าสอบไล่วิชากฎหมายปีที่ ๑ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่แล้ว แต่ข้าพเจ้ายังจะต้องสอบในชั้นอื่น ๆ ที่ยากยิ่งขึ้น และจะต้องใช้เวลาประมาณปีครึ่ง และหลังจากนั้น ข้าพเจ้าจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งปี เพื่อเตรียมเขียนวิทยานิพนธ์ ตามหลักสูตรชั้นปริญญาเอก ข้าพเจ้าหวังว่าท่านคงเข้าใจ ในความปรารถนาของข้าพเจ้าที่จะศึกษาให้จบ ถ้าท่านและรัฐบาลเห็นชอบด้วย ข้าพเจ้าก็ใคร่ที่จะกลับไปเยี่ยมบ้าน สักครั้งหนึ่งก่อนที่ข้าพเจ้าจะสำเร็จการศึกษา ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านอย่างจริงใจ ข้าพเจ้า ซาบซึ้งในผลงาน ที่ท่านได้กระทำ ด้วยความยากลำบาก และที่ท่านกำลังกระทำอยู่ ในนามของข้าพเจ้า
อานันทมหิดล"
ต่อพระราชโทรเลขข้างต้น ท่านปรีดีฯ ได้โทรเลขกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ ด้วยข้อความดังนี้
"ข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชโทรเลขลงวันที่ ๑๔ กันยายน ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ด้วยความสำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ของข้าพระพุทธเจ้า และรัฐบาลของ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท รัฐบาลและข้าพระพุทธเจ้า มีความปลื้มปิติเป็นอย่างมาก ที่ได้ทราบว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะ เสด็จนิวัติพระนคร สักครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะทรงจบการศึกษา บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้า ขอพระราชทาน พระบรมราชวโรกาส กราบบังคมทูลให้ทรงทราบ เหตุการณ์ต่าง ๆ (เกี่ยวกับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ) ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า การเสด็จนิวัติของ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จะเป็นคุณประโยชน์ แก่ประเทศชาติ เป็นอเนกประการ ถึงแม้ว่าพระองค์ จะประทับอยู่ในประเทศไทย เป็นเพียงระยะเวลาอันสั้นก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จะได้ทรงมีส่วนร่วม ได้ตัดสินพระทัยในเรื่องต่าง ๆ อันสำคัญยิ่ง ดังได้กราบถวายบังคมทูล ให้ทรงทราบข้างต้นแล้ว"
หลังจากที่ในหลวงอานันท์ฯ ทรงรับโทรเลขกราบบังคมทูล ตอบพระราชโทรเลขฉบับลงวันที่ ๑๔ กันยายน ของท่านปรีดีฯ แล้ว พระองค์ได้ทรงมีโทรเลขถึงท่านปรีดีฯ มีข้อความสั้น ๆ ว่า พระองค์ทรงเชื่อมั่นว่าท่านปรีดีฯ และรัฐบาลจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างยุติธรรมและเป็นผลดียิ่ง พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า การที่พระองค์ประทับอยู่ในประเทศไทยก็คงไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก เพราะพระองค์ทรงไม่มีประสบการณ์ พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสในที่สุดว่า "ถ้าท่านเห็นว่าข้าพเจ้าควรจะกลับไปเยี่ยมประเทศไทยชั่วคราว ข้าพเจ้าก็ยินดีรับคำเชิญของท่าน"
ในที่สุดในหลวงอานันท์ฯ พร้อมด้วยสมเด็จเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช พระอนุชาและสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (พระนามขณะนั้นก็ได้เสด็จนิวัติสู่กรุงเทพมหานคร โดยเครื่องบินพระที่นั่งที่รัฐบาลอังกฤษจัดถวาย มาถึงสนามบินดอนเมือง ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๘๘ และ ณ ที่นั้น นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช คณะรัฐมนตรีและประชาชนไปเฝ้ารับเสด็จอย่างล้นหลาม
จากสนามบินดอนเมือง ได้ประทับรถไฟพระที่นั่งมาถึงสถานีรถไฟสวนจิตรลดา และ ณ ที่นั้ ท่านปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ได้เฝ้าคอยรับเสด็จ ทันทีที่พระองค์เสด็จลงจากรถไฟพระที่นั่งสู่สถานีจิตรลดาแล้ว ท่านปรีดีฯ ได้เฝ้ากราบถวายบังคมทูลพระกรุณา ดังนี้
"ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
บัดนี้เป็นศุภวาระดิถีมงคลที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้เสด็จพระราชดำเนินนิวัติสู่มหานครโดยสวัสดิภาพ ข้าพระพุทธเจ้าของพระราชทาน พระบรมราชวโรกาสกราบบังคมทูลพระกรุณา โดยอาศัยประกาศ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๘๘ ว่า ความเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ของข้าพระพุทธเจ้าได้สิ้นสุดลงตั้นแต่ขณะนี้เป็นต้นไป ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพรชัยให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เสด็จอยู่ในราชสมบัติวัฒนาสถาพร เป็นมิ่งขวัญของประชาชน และประเทศชาติในระบอบประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญชั่วกัลปาวสาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
ขอเดชะ"
แล้วทรงพระราชดำรัสตอบจากน้ำพระทัย อันเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาและชื่นชมโสมนัส ดังนี้
"ท่านปรีดี พนมยงค์
ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้กลับมาสู่พระนคร เพื่อบำเพ็ญพระกรณียกิจตามหน้าที่ ของข้าพเจ้าต่อประชาชนและประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอันมากที่ได้ปฏิบัติกรณียกิจแทนข้าพเจ้า ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อข้าพเจ้าและประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ แสดงไมตรีจิตในคุณงามความดีของท่าน ที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และช่วยบำรุงรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้"
เพื่อเชิดชูยกย่องคุณงามความดีของท่านปรีดีฯ ให้ปรากฏแก่โลก ต่อมาอีกสามวัน คือ ในวันที่ ๘ ธันวาคม พระองค์ได้ทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ โปรดกระหม่อมให้ประกาศยกย่องท่านปรีดีฯ ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ดังคำประกาศพระบรมราชโองการต่อไปนี้

"ประกาศ
อานันทมหิดล
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า
โดยที่ทรงพระราชดำริเห็นว่านายปรีดี พนมยงค์ ได้เคยรับหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในตำแหน่งสำคัญ ๆ มาแล้วหลายตำแหน่ง จนในที่สุดได้รับความเห็นชอบ จากสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และปรากฏว่าตลอดเวลาที่นายปรีดี พนมยงค์ ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และด้วยความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ ทั้งได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ในความปรีชาสามารถบำเพ็ญคุณประโยชน์ แก่ประเทศชาติเป็นอเนกประการ
จึงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมยกย่อง นายปรีดี พนมยงค์ ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส และให้มีหน้าที่รับปรึกษากิจราชการแผ่นดิน เพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบไป
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศมา ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘ เป็นปีที่ ๑๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช
นายกรัฐมนตรี"
อ่านต่อ คลิกด้านล่าง
http://www.sarakadee.com/feature/2000/04/pridi2.htm