Thursday, February 19, 2009

กฎหมายหมิ่นฯ : กฎหมายกินคน

กฎหมายหมิ่นฯ : กฎหมายกินคน

สมุดบันทึกสีแดง

17 กุมภาพันธ์ 2009

ความเละเทอะป่าเถื่อนเกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นมีเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ล่าสุดมีการล่ารายชื่อเพื่อขับไล่ให้อาจารย์สมเกียรติ ตั้งนะโม หนึ่งในคนที่ร่วมลงราย ชื่อ ยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯเพื่อสนับสนุนให้ยุติการใช้กฎหมายหมิ่นมาเป็นเครื่องมือรังแกคนอื่น แต่ถูกตอบโต้จากกลุ่มอาจารย์ขวาจัดปฏิกิริยาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พวกนั้นเรียกร้องให้ไล่อาจารย์สมเกียรติ ตั้งนะโม ออกจากตำแหน่งหน้าที่การงาน ในสังคมประชาธิปไตยการกระทำของอาจารย์กลุ่มนี้ต่างหากที่ทำให้สถาบันเสียชื่อ เสียศักดิ์ศรีของความเป็นคนในโลกสมัยใหม่ ทำให้สถาบันที่ให้การศึกษากับคนต้องมัวหมอง อาจารย์ฟาสซิสต์พวกนี้เมื่อสวมใส่เครื่องแบบสีเหลืองแล้วจะรู้สึกพองตัวเต็มที่กับอำนาจที่จะรังแกคนอื่น การรับมือที่ได้ผลมากที่สุดไม่ใช่ไปชกหรือสู้กลับในกติกาของพวกนี้ เพราะกติกาของพวกนี้ยืนอยู่บนความคลุ้มคลั่งและการใช้ความรุนแรงไม่สนใจกติกาประชาธิปไตยโดยสิ้น ถ้านักวิชาการไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพก็จะหายไป นักวิชาการกจะมีสภาพเหมือนนกแก้วนกขุนทองท่องสูตรตามชนชั้นปกครองที่เป็นเผด็จการเท่านั้น

ในระดับแนวคิดทางการเมืองของพวกนี้นั้นมีลักษณะเป็นพวก "ฟาสซิสต์" คือ คลั่ง ชาติ คลั่งกษัตริย์ ไม่ใช้เหตุผลมีความเกลียดชังพวกที่อยู่นอกกรอบของการคลั่งชาติ คลั่งกษัตริย์ ว่าเป็นสาเหตุของปัญหาสังคมที่ต้องกำจัดให้สิ้นซาก สันติสุขในสังคมถึงจะกลับมา เหมือนกับในเยอรมันในช่วงเผด็จการฮิตเลอร์ที่ใช้ชาวยิวเป็นแพะรับบาป โดยการป้ายสีให้เป็นสาเหตุของปัญหาสังคมทั้งปวง วิธีการที่พวกนี้นิยมใช้คือการใช้ความรุนแรงสุดขั้วในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้คนอื่นเกิดความกลัวอย่างถึงที่สุด กติกาดังกล่าวคนที่รักประชาธิปไตยย่อมยอมรับไม่ได้ อีกทั้งเราไม่สามารถประณีประนอมนอกจากทำลายอุดมการณ์ทางการเมืองชนิดนี้ลงเสีย

การจะขับไล่คนออกจากการทำงานควรจะมีเหตุผลจากการไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน ไม่ใช่ถูกไล่ออกเพราะมีจุดยืนทางการเมือง สถานการณ์แบบนี้ที่เกิดขึ้นกับกรณีของอาจารย์สมเกียรติ ตั้งนะโม ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรกภายใต้สถานการณ์การเมืองที่แหลมคม ปีที่แล้วมีกรณีของประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ คุณจิตรา คชเดช เช่นเดียวกัน ซึ่งถูกนายจ้างใช้เงื่อนไขจุดยืนทางการเมืองของเธอไล่เธอออก หลังจากที่เธอได้ไปออกรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับ "สิทธิทำแท้งของสตรี" ทางช่อง 11 โดยเธอได้ใส่เสื้อรณรงค์เพื่อสิทธิเสรีภาพให้แก่คุณโชติศักดิ์ อ่อนสูง ที่โดนคดีหมิ่นฯจากการไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯในโรงหนัง จากนั้นสื่อสกปรกอย่าง "ผู้จัดการ" ได้ทำการปลุกระดมเรื่องดังกล่าวเพื่อทำให้เป็นอาวุธทางการเมืองทำลายฝ่ายตรงข้าม จากนั้นนายจ้างบริษัทไทรอัมพ์ฯได้ใช้เงื่อนไขที่ผู้จัดการปลุกขึ้นมา กล่าวหาเธอว่าไม่จงรักภัคดีต่อพระมหากษัตริย์ทำให้บริษัทเสียชื่อ ข้อกล่าวหาต่ำทรามนี้ถูกนำมาใช้เพื่อล้มสหภาพแรงงานลดคุณค่าและทำลายการเป็นผู้นำสหภาพแรงงานก้าวหน้าที่เรียกร้องสิทธิประโยชน์ให้คนงาน ซึ่งคนงานตอบโต้โดยการนัดหยุดงาน 40 กว่าวันจากนั้นกระบวนการไปจบลงที่ศาลแรงงาน จ.สมุทรปราการ โดยศาลแห่งนั้นได้ทำหน้าที่สแตมป์ความอยุติธรรมให้กรณีจิตรา คชเดช อย่างเป็นทางการด้วยข้อหาว่า "ไม่วิญญาณประชาชาติไทย" (!!!&&!!อยากตั้งศาลประชาชนตัดสินผู้พิพากษาคนนี้เสียจริง)

ทั้งสองกรณีนี้ คือ วงจรชีวิตของคนธรรมดาที่อยู่ภายใต้สังคมเผด็จการ การร้องหาเสรีภาพเฉยๆเพื่อขอความเห็นใจและเรียกร้องให้พวกนี้เคารพสิทธิของเรานับเป็นเรื่องที่ไม่เพียงพอ หรือ แนวทางการแสดงจุดยืนทางสังคมที่แข่งขันกันเปล่งเสียงร้องว่า "ฉันรักเจ้านะ หรือ ฉันรักเจ้ายิ่งกว่าเธออีก" มีแต่จะนำพาเราไปสู่พบเจอความป่าเถื่อนและลดพื้นที่ประชาธิปไตยลงทุกวินาที ความขัดแย้งของสังคมปัจจุบันมันมาถึงจุดที่เราต้องเลือกข้างอย่างชัดเจน เลือกข้างแล้วก็ยังไม่พอเราต้องเป็นนักสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงกติกาของสังคมอีกด้วย นักวิชาการเองต้องยกระดับมาเป็นนักเคลื่อนไหวที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่เช่นนั้นเราจะถูกละเมิดสิทธิและพื้นที่ไปเรื่อยๆจนไม่มีที่จะยืน เราต้องเข้าร่วมกับกลุ่มประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยแท้อย่าง "คนเสื้อแดง" เราต้องพยายามยืนยันว่าการมีจุดยืนทางการเมืองไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่การอ้างความเป็นกลาง กลัวสังคมแตกแยก นำมาสู่การไม่มีจุดยืนและกลายเป็นขุนพลปกป้องระบบเผด็วจการนั้นน่ารังเกียจยิ่งกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดอันหนึ่งคืออย่าลืมว่าสังคมแตกแยกเพราะพวกเสื้อเหลืองก่อเรื่องขึ้นมาตั้งแต่แรก

ในมุมมองของผู้เขียน วิธีการรับมือกับ 4 อาจารย์ฟาสซิสต์อันประกอบไปด้วย "พงศ์เดช-เกศ-ผดุงศักดิ์-พีระพงษ์" ผลงานของพวกนี้คือ ทำลายมาตรฐานทางวิชาการอย่างเลวทราม เราต้องล่ารายชื่อเหมือนกันเพื่อแสดงว่าเราไม่เห็นด้วยกับการล่าหัวมนุษย์แบบนี้ ต้องไปมอบดอกไม้ให้อาจารย์สมเกียรติ พวกที่นิ่งเฉยกับการรังแกแบบนี้เท่ากับเปิดประตูให้ทรราชครองเมือง หากอาจารย์ฟาสซิสต์ 4 คนนี้ชนะ จะเกิดอะไรขึ้นในรูปธรรม? เราจะไม่เห็นคนทำผิดได้รับการลงโทษถ้าใส่เสื้อสีเหลือง เราจะไม่เห็นคนยึดสนามบินต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้น ต่อไปเราจะเห็นคนที่ยกรูปในหลวงไล่ตี ไล่ฆ่า ไล่ยิงคนอื่นเพิ่มขึ้นอีก เพราะทำในนามกษัตริย์นั้นไม่ผิดกฎหมายแม้จะป่าเถื่อนแค่ไหนก็ตาม

ฉะนั้นเราต้องเรียกร้องให้อาจารย์ต่างๆออกมาแสดงจุดยืนเพื่อร่วมแสดงความรับผิดชอบและปกป้องเสรีภาพต่อสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเราต้องพูดพร้อมกันหลายๆเสียง เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของปัจเจก เราเรียกร้องกับอาจารย์ในประเทศไทยไม่พอต้องเรียกร้องกับองค์กรระหว่างประเทศที่พวกฟาสซิสต์เหล่านี้สังกัดและสมาคมอยู่ด้วย เอาให้มันชัดเจนกันถ้วนหน้าไปเลยว่าแนวคิดฟาสซิสต์ของอาจารย์ 4 คนนี้ หรือ แนวปกป้องสิทธิเสรีภาพของอ.สมเกียรติ ตั้งนะโม อันไหนน่ารังเกียจมากกว่ากันในยุคโลกาภิวัตน์นี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์ ถ้าเราอยากเขียนประวัติเพื่อเชิดชูเสรีภาพก็ถึงเวลาแล้วที่จะเขียนซึ่งอาจจะไม่โรแมนติกหรือสบายเหมือนกับการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์เฉยๆ






--
http://wdpress.blog.co.uk/
ยกเลิกกฏหมายหมิ่นเดชานุภาพ
พัฒนาประชาธิปไตย

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.