ล้มอำมาตย์ฯ
เขียนโดย เจ้าพ่อ USA
วันศุกร์ที่ 04 กันยายน 2009 เวลา 10:24 น.
ถ้าล้มพวกอำมาตย์เท่ากับเราล้มสถาบันฯ การเมืองเมืองไทยนั้นเราต่อสู้กันมานานถึงกว่าสามปีแล้วนับจากมีขบวนการสื่อสารมวลชนพากันลุกขึ้นมาใช้สื่อเป็นอาวุธใส่ร้ายศัตรูที่ตัวเองต้องการแก้แค้น จนทำให้ศัตรูของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหมายถึง คุณทักษิณ ชิณวัตร ที่ในขณะที่กำลังบริหารประเทศได้อย่างบรรลุเป้าหมายทั้งในการแก้ปัญหาและวางแผนพัฒนาประเทศได้อย่างดี จนทำให้ประชาชนในประเทศโดยเฉพาะชาวรากหญ้า และชาวต่างชาติต่างชื่นชมในผลงาน
ความพยายามของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพวกได้ใช่กลไกของสื่อเข้ามาใส่ร้ายทำลายภาพพจน์จนทำให้คนไทยกลุ่มหนึ่งหลงเชื่อถือจนสามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ ลุกขึ้นมาร่วมกันขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร จนเป็นเหตุให้ทหารคณะหนึ่งโดยการนำของพลเอก สนธิ บุญรัตนกลิน และคณะได้ทำการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อยึดอำนาจจากประชาชน โดยการนำของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เป็นใบเบิกทางในการเข้าเฝ้าคืนนั้น ในขณะยามวิกาลเมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 เพื่อขอพระราชทานให้ในหลวงทรงยอมรับการยึดอำนาจจากประชาชน และยกเลิกกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และในหลวงก็ทรงยอมรับการยึดอำนาจของทหารคณะนั้น จนทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีที่หมายถึงตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร ไม่สามารถเดินกลับประเทศไทยได้
โดยรับการขอร้องจากคณะปฎิวัติฯ คณะนั้น เมื่อคณะทหารเข้ามายึดอำนาจ เป็นที่สังเกตว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าคณะทหารที่เข้ามายึดอำนาจจากประชาชนนั้น กลับกลายเป็นคนกลุ่มเดียวกับคณะองคมนตรี ซึ่งหมายถึงคณะที่ปรึกษาของในหลวงทีทรงตั้งขึ้นมาเพื่อขอคำแนะนำอยู่เบื้องหลัง และวางแผนการปฎิวัติทั้งหมด การยึดอำนาจของคณะปฎิวัตินั้นมีหลักฐานปรากฎอย่างชัดเจน ว่าคณะทหารคณะนี้มีความผูกพันกับคณะองคมนตรีกลุ่มหนึ่ง ที่นำโดยพลเอก เปรมฯ บุคคลผู้นี้คือคนที่บงการ และจัดการให้คำแนะนำทุกเรื่องในการดำเนินการของคณะปฎิวัติตามที่หลักฐานปรากฎว่า บุคคลผู้นี้แต่งตั้ง พลเอกสุรยุทธิ์ จุลานนท์ คนสนิทที่สุดของพลเอก เปรมฯ ให้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่คนๆ นี้เป็นองคมนตรี (ที่ปรึกษาในหลวง) ไปแล้ว
การลาออกจากองคมนตรีและโดดลงมาข้างล่างเพื่อทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีนั้น ดูประหนึ่งว่าคนไทยทั้งประเทศไม่มีใครมีความเหมาะสมมาทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว มีเพียงคนที่ให้คำปรึกษาในหลวงหมายถึงองคมนตรีเพียงเท่านั้น และปรากฎว่าเมื่อครบกำหนดการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว บุคคลท่านนี้ยังได้กลับไปเป็นองคมนตรีอีกครั้ง แม้แต่การการแต่งตั้งคณะกรรมการองค์กรอิสระ หรือ คณะกรรมต่างๆ รวมถึงคณะศาล ที่มีหน้าที่ให้ความยุติธรรมประชาชนในประเทศ คนเก่าถูกย้ายออกไปเข้ากรุ แล้วนำบุคคลใหม่หรือคณะที่ทำงานใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนโดยพลเอกเปรม ฯ เป็นผู้เลือกเฟ้นด้วยตัวเองด้วย
จึงเป็นหลักฐานที่ปรากชัดเจนว่าการยึดอำนาจของคณะปฎิวัติ เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นั้นบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการปฎิวัติก็คือ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์องคมนตรีเฒ่าที่มากด้วยความคิดที่พิศดาร และสกปรกโดยไม่คิดหาวิธีแก้ไขปัญหาตามหลักการที่ประเทศที่เจริญแล้ว ที่เขามีวิธีการแก้ไขปัญหาภายในประเทศของเขาโดยการกระบวนการยุติธรรมคือฝ่ายตุลาการเท่านั้น ที่มีหน้าที่ตรวจสอบและสอบสวนพร้อมประจักษ์พยานทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย มาเป็นข้อหักล้าง
การทำการปฎิวัติและยึดอำนาจจากอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร นั้นย่อมสรุปว่าเป็นการยึดอำนาจโดยไม่ผ่านการตรวจสอบประจักษ์พยานตามแบบสากลที่ประเทศที่เจริญแล้วเขาปฎิบัติกัน แต่การยึดอำนาจครั้งนี้เป็นการยึด และยัดเยียดข้อกล่าวด้วยซ้ำ โดยเพียงใช้เหตุผลสี่ประการ และหลังจากนั้นก็ไม่สามารถหาหลักฐานมาอ้างได้
สรุปอีกครั้งว่าการยึดอำนาจนั้นหมายถึงการยัดเยียดข้อกล่าวหาต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบผลการสอบสวนใดๆ ทั้งสิ้น จนทำให้ข้ออ้างในการปฎิวัติกลายเป็นเรื่องเท็จที่ต้องมีการลงโทษ แต่ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ กลับลงพระปรมาภิไท ลงพระนามออกกฎหมายคุ้มครองนิรโทษกรรมคณะปฎิวัติคณะนี้ว่าสิ่งที่ทำการทั้งหมดจะดีหรือชั่วก็ไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น การที่พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นำทหารเข้ามายึดอำนาจเองทั้งที่ตัวเองเป็นถึงประธานองคมนตรี หมายถึงบุคคลที่มีความไกล้ชิด และเป็นที่ปรึกษายามที่ในหลวงต้องการขอคำปรึกษา โดดลงมาเป็นผู้กำกับการแสดงในการล้มอำนาจของประชาชนเสียเอง เท่ากับการแสดงถึงคณะองคมนตรี และสถาบันฯ ไม่ยอมปล่อยอำนาจทั้งหลายทั้งปวงเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง และก็ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชน หมายถึงเจ้าของประเทศมีส่วนแก้ไขปัญหากันเอง ตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ทั้งๆ ที่ครั้งที่ตัวเองขณะเข้ารับตำแหน่งองคมนตรี ก็เคยสาบถสาบานต่อหน้าในหลวงตามกฎระเบียบว่า จะต้องปกป้องรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
สรุปว่าทั้งคนกล่าวสาบาน และคนที่ฟังการสาบานอยู่ในเหตุการณ์วันที่ยึดอำนาจ และฉีกรัฐธรรมของประชาชนทิ้งทั้งสองคน เท่ากับเป็นการโกหกตัวเองทั้งคู่ ทั้งคนพูด และคนฟัง การที่ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือ ที่เรียกว่ากลุ่ม นปช.เพื่อขับไล่กลุ่มอำมาตยาธิปไตยที่นำโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์นั้น เท่ากับว่าคนใส่เสื้อแดงไม่สามารถแยกได้ว่ากลุ่มพวกอำมาตย์กับสถาบันนั้นเป็นคนกลุ่มเดียว ถ้าคนเสื้อแดงต้องขับไล่อำมาตย์เท่ากับว่าต้องการขับไล่สถาบันเช่นกัน เพราะทั้งอำมาตย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น มีความผูกพันกันทุกอย่างทั้งอำนาจ และผลประโยชน์มากมาย ที่ต่างฝ่ายต่างปกป้องให้กันและกัน และหยิบยื่นให้กันตลอดเวลา ทั้งทางตรงและทางอ้อม
อาทิเช่น ตามหลักฐานที่ปรากฎว่าทุกปีการโยกย้ายกำลังพลทั้งส่วนของกองพันทหารรักษาพระองค์หรือกองพันอื่น ที่มีกำลังมากมายในการปกป้องคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ จะเป็นผู้เข้าไปแซกแซงการทำงานของรัฐบาล โดยเป็นผู้จัดโผรายชื่อโยกย้ายนายทหารทุกเหล่าทัพเองโดยเอาคนสนิทหรือคนไกล้ชิดตัวเองที่สามารถสั่งได้ เพื่อนายทหารเหล่านั้นสามารถปกป้อง และดูแลสถาบันฯ ได้อย่างดี ตลอดจนต้องเชื่อฟังในการสั่งการของพลเอก เปรมฯ และต้องย้ำให้ดังอีกครั้ง ถ้าคนเสื้อแดงไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสามเกลอ หรือกลุ่มใดก็ตามหากพวกคุณต้องการขับไล่พวกอำมาตย์ทั้งหลาย เท่ากับว่าคุณต้องขับไล่สถาบันตามไปด้วย
แต่ถ้าคุณต้องการขับไล่พวกอำมาตย์เพียงอย่างเดียว หรือพวกคุณพูดว่า พวกคุณกำลังต้องการเรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข หรือ ต่อลองเพียงแค่เอาอดีตนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ชิณวัตร กลับเมืองไทย รับรองว่าเอาคอผมเป็นประกันว่า พวกคุณไม่มีทางที่จะขับไล่ และโคน่ล้มพวกอำมาตย์ที่มีหัวหน้าชื่อ พลเอก เปรม ติณสุลานนท์ได้ เพราะกลุ่มอำมาตย์กลุ่มนี้เขาได้รับการคุ้มครอง และป้องกันโดย สถาบันที่ประชาชนในประเทศต้องถูกบังคับให้จงรัก และภักดี และก็ไม่สามารถวิพากวิจารณ์ได้ตามที่มีกฎหมายปกป้องคนฝ่ายเดียว ที่ขัดต่อหลักกฎหมายสากลเป็นเครื่องคุ้มกันพวกเขา
เพราะฉะนั้นสรุปว่าหากกลุ่มสามเกลอต้องการล้มพวกอำมาตย์จริงๆ เท่ากับว่าพวกคุณก็ต้องล้มสถาบันพระมหากษัตริย์โดยปริยาย เพราะคนสองกลุ่มนั้นพวกเขาคือตนกลุ่มเดียวกัน
ที่มา www.redthai.org
No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.