Sunday, September 6, 2009

ใคร? คือคนที่ล้มอำนาจประชาชน

ใคร? คือคนที่ล้มอำนาจประชาชน
เขียนโดย เจ้าพ่อ USA
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2009 เวลา 12:33 น.
ที่มาผู้เขียนไม่ได้มีวิชาชีพเป็นนักเขียน ไม่มีความรู้เรื่องวิชาการ ไม่ได้เรียนจบมาจากสถาบันอันมีชื่อ ข้อเขียนที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เกิดจากความรู้สึกและความเป็นจริงในสิ่งที่พบเห็นจุดประสงค์ในการเขียนก็เป็นเพียงข้อบอกเล่าจากหลักฐานที่ปรากฏ จุดประสงค์ในการเขียน อาจนำเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ไปแก้ไขข้อขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในระบบการเมืองไทยซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า ไม่มีบุคคลใดมีความสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เว้นแต่ว่า ทุกคนหันกลับไปยอมรับกฎและกติกาที่ร่วมกันตกลงกันเอาไว้ในกฎหมายมาตราต่างๆ อย่างเคร่งครัด และเป็นธรรมไม่มีคนที่มีอำนาจเหนือกว่ากฎหมายเข้าไปแทรกแซง หรือบงการ ทำให้กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย สาเหตุทั้งหลายคือที่มาของข้อเขียนเรื่องนี้

หลังจากประเทศไทยนั้นมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ประเทศไทยก็ไม่ได้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การอ้างอิงว่า การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นไปตามหลักฐานหรือแบบแผนของระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้หมายถึงระบอบระชาธิปไตย อย่างนานาอารยประเทศ เพราะหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475

รัฐบาลในขณะนั้น ก็ได้ไปกราบบังคมทูล ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล ขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็นพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชการที่ 8 โดยก่อนหน้านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 7 พระองค์ก็ได้ทรงสละราชสมบัติให้กับประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ให้เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศ แล้วพระองค์ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินไปพำนักอยู่ในประเทศอังกฤษ

โดยก่อนหน้านั้น พระองค์ก็ไม่เคยมีพระราชดำริว่า ประเทศไทยจะกลับมามีกษัตริย์ รัชการที่ 8 อีกครั้ง การพระราชทานอำนาจให้กับประชาชนชาวไทยทั้งประเทศนั้น ย่อมเป็นที่ปลาบปลื้มของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ เพราะพระองค์ทรงเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง หลังจากที่ประเทศไทยมีในหลวงรัชกาลที่ 8 กลับมา การปกครองในระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย เราเรียกว่า การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

นับแต่นั้นมา ประเทศไทยโดยรัฐบาลไทยก็พยายามบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยแต่ก็ไม่ได้นำ รูปแบบการบริหารหรือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาใช้อย่างถูกต้องตามแบบแผน ของประเทศที่เจริญแล้วที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการ ตัดสินและมีสิทธิ์ในการปกครองบริหารบ้านเมืองอย่างแท้จริง การบริหารของรัฐบาลไทยในแต่ละยุคนั้น ย่อมมีความผิดพลาดและมีข้อบกพร่องต่างๆ มากมาย ทั้งนี้ ทั้งนั้น ย่อมเกิดขึ้นจากบุคคลที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวไม่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ตามวัตถุประสงค์ในการเข้ามา ดำรงตำแหน่งเป็นนักการเมือง



ปัญหาข้อขัดแย้งของนักการเมืองที่เข้ามาฉกฉวยหรือแย่งชิงผลประโยชน์โดยไม่มองและไม่เคารพต่อข้อกฎหมาย ข้อขัดแย้งของนักการเมืองจึงเกิดขึ้นและมีการแก่งแย่งทั้งตำแหน่งหน้าที่ซึ่งหมายถึงผลประโยชน์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จนทำให้กองทัพทหารที่เป็นข้าราชการภายใต้บังคับบัญชาของรัฐบาลต้องลุกขึ้นมายึดอำนาจจากประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า การยึดอำนาจของทหารในแต่ละครั้งมักอ้างว่า นักการเมืองมีพฤติกรรมที่ฉ้อฉล ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อชาติบ้านเมืองตลอดจนราชบัลลังค์และทำให้ประชาชนในประเทศแตกความสามัคคีเกิดขึ้น



สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นเพียงข้ออ้างที่ทำให้ทหารเข้ามายึดอำนาจจากประชาชน หากเรามองดูให้ดีว่า ทหารทุกคณะที่เข้ามายึดอำนาจโดยการโค่นล้มอำนาจของประชาชน ฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการบริหารประเทศไทยทิ้ง เท่ากับว่า คณะทหารชุดนั้น นอกจากไม่ให้ความเคารพรัฐธรรมนูญและระบอบตุลาการในประเทศไทยแล้ว ที่จริงแล้วคณะทหารที่เข้ามาปฏิวัติย่อมมีฐานะเป็นข้าราชการไทยที่อยู่ภายใต้กฎหมายและรัฐธรรมนูญของประเทศไทย แน่นอนคณะทหารคณะนี้ย่อมได้รับเงินเดือนในแต่ละเดือนมาจากภาษีอากรของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ



การที่คณะทหารได้ทำการยึดอำนาจจากประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่าก็ได้รับการยอมรับจากพระมหากษัตริย์ที่ได้ทรงลงพระปรมาภิไทย ในการยอมรับการปฏิวัติทุกครั้ง ซึ่งไม่ใช่การถูกบังคับที่มีหน้าที่ต้องยอมรับ เพราะคณะทหารที่ได้เข้ามาทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากประชาชนเพียงเท่านั้น ไม่ได้ยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์แม้แต่ครั้งเดียวพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ยังคงดำรงอยู่ และพระองค์ก็ทรงสามารถที่จะปฏิเสธไม่ให้คณะทหารเข้ามายึดอำนาจจากประชาชนได้ เพราะฉะนั้น การที่พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไทย ยอมรับการปฏิวัตินั้น เท่ากับว่าเป็นการเห็นดี เห็นชอบในการที่คณะทหารได้เข้ามายึดอำนาจจากประชาชน ซึ่งเท่ากับเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญการปกครองในระบอบประชาธิปไตย



หากหันไปมอง เหตุผลในก่อการปฏิวัติไปจนถึงทำให้มีการปฏิวัตินั้นบรรลุผล เหตุผลที่สำคัญก็คือคณะทหารชุดนี้ไม่ได้ยึดถืออยู่บนพื้นฐานของหลักสากลเลยแม้แต่นิดเดียว คณะทหารที่เข้ามาทำการปฏิวัติ ก็ไม่ได้เคารพต่อหลักการตุลาการภายใต้การปกครองรัฐธรรมนูญแม้แต่น้อยเดียว หมายถึงคณะทหารที่เข้ามาทำการปฏิวัตินั้น ไม่ยอมรับระบบตุลาการ จนเกิดความไม่ไว้วางใจของระบบยุติธรรมและมักสรุป ตัดสินว่าคณะของตัวเองมีความชอบธรรมและมีความยุติธรรมมากกว่าตุลาการที่เป็นหน่วยงานที่ยื่นความยุติธรรมให้กับคนในประเทศ หลังจากนั้น คณะทหารในแต่ละชุดที่เข้ามาทำการปฏิวัติก็ได้ร่างกฎหมายของตัวเองขึ้นมาบังคับให้ประชาชนในประเทศใช้กฎหมายของคณะตัวเอง ซึ่งในแต่ละมาตราก็เกิดขึ้นจากความพอใจของตัวเองและพวกพ้องเป็นที่ตั้ง



สรุปความว่าคณะทหารที่ได้เข้ามาทำการปฏิวัตินั้นมีความคิดว่าคณะของตัวเอง นั้นหยิบยื่นความยุติธรรมให้กับคนในประเทศมากกว่าคณะตุลาการและสามารถแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศซึ่งไม่ต่างกับการดูถูกดูแคลน คณะศาลที่ไม่มีความสามารถหยิบยื่นความยุติธรรมและมักมองเห็นว่าคณะของตัวเอง นั้นมีพฤติกรรมและมีความสามารถดี กว่านักการเมืองที่ประชาชนเลือกเข้ามาบริหารงานและการอ้างอิงทั้งหลายที่ได้ ปรากฏอย่างชัดของคณะปฏิวัติมาโดยตลอดนั้นก็เป็นที่ยอมรับของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นพระประมุขในระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยมาโดยตลอด ซึ่งเท่ากับว่า สิ่งที่คณะทหารที่ได้เข้ามาทำการยึดอำนาจจากประชาชนทุกครั้งนั้น เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ยินยอมในอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทย



ซึ่งหากพวกเราใน ฐานะที่เป็นประชาชนคนไทย ที่สามารถพูดได้ว่า พวกเรานั้นหมายถึงเจ้าของประเทศที่แท้จริงสามารถลุกขึ้นมาท้วงติงในความคิด และการตัดสินของคณะทหารที่เข้ามาล้มล้างอำนาจของประชาชนได้ว่าเรากำลังยึด หลักข้อบังคับอะไรบ้างในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เรายังคงยึดหลักในอำนาจของระบบตุลาการในประเทศไทยหรือเปล่า หรือเรายินดีต้องการยึดหลักของพวกทหารที่เข้ามาทำการปฏิวัติ หากมองระบบในการบริหารตามหลักประชาธิปไตยสากลโลก อำนาจตุลาการนั้นย่อมสามารถแก้ไขและตัดสินข้อขัดแย้งที่เป็นปัญหาของคนใน สังคมได้ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือประชาชนในประเทศได้



หากคณะทหารที่เข้ามาทำการปฏิวัติไม่ให้ความเคารพการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งประกอบไปด้วยอำนาจ 3 อำนาจ คืออำนาจตุลาการ อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหารนั้น หมายถึงผู้ที่ทำลายระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ก็คือคณะทหารที่เข้ามาทำการปฏิวัตินั่นเอง หากมองไปที่คุณสมบัติและความสามารถของคณะทหารที่เข้ามาทำการปฏิวัติทุกครั้งนั้น เราสามารถมองเห็นอย่างชัดเจนว่า คณะทหารเหล่านี้ ไม่มีความรู้ในการบริหารบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อยเดียว มีเพียงอำนาจในการควบคุมกองทัพเพียงเท่านั้น กำลังที่ทหารคณะปฏิวัติพวกนี้ที่มีอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาก็มีเพียงกำลังของพวกทหารและอาวุธปืน ซึ่งไม่ใช่คณะบุคคลที่มีความสามารถและความรู้ด้านการเมืองและการปกครอง และก็ไม่มีความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม คณะทหารปฏิวัติพวกนี้จบมาจากโรงเรียนนายร้อย จปร. ที่ไม่มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์ แม้กระทั่ง นิติศาสตร์ ถึงแม้ว่าจะพอเรียนมาบ้างแต่ก็ไม่มีความสำนึกและยึดถืออยู่ในจิตใจแม้แต่น้อยเดียว เราสามารถระบุได้จากการที่พวกเขาเข้ามาทำการปฏิวัติ ดังนั้นทหารคณะนี้มีหน้าที่ปกป้อง ดูแลอธิปไตยของชาติ หมายถึงรั้วของชาติเพียงอย่างเดียว



แต่ก็มีหลักฐานปรากฏให้ประชาชนทั้งประเทศได้เห็นว่า ขนาดหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบในการปกป้องประชาชน ปกป้องประเทศดังเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ปรากฏว่ากองทัพไทยไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนเป็นเหตุให้ประชาชนและทหาร ตำรวจ ข้าราชการต้องสังเวยชีวิตเป็นจำนวนมาก ไปกับเหตุการณ์ในความไม่สงบเรียบร้อยของขบวนการก่อการร้าย มันเป็นหลักฐานที่ประชาชนทั้งประเทศเห็นว่า กองทัพไทยไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาที่เป็นหน้าที่ในความรับผิดชอบของตัวเอง



สรุปได้ว่า การที่ประเทศไทยมีคณะทหารเข้ามายึดอำนาจจากประชาชนแต่ละครั้งนั้น ปรากฏตามหลักฐานว่า คณะทหารทุกคณะไม่เคยได้สร้างความเจริญให้กับประเทศชาติเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตรงกันข้าม ทุกครั้งที่คณะทหารเข้ามายึดอำนาจจากประชาชน ประเทศชาตินั้นไม่ได้รับการพัฒนาและปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง คณะทหารและนักการเมืองมักร่วมมือกันกอบโกยผลประโยชน์ที่เป็นทรัพย์สมบัติของประเทศชาติ ตลอดจนร่วมมือกันโกงกินชาติบ้านเมืองตามหลักฐานที่ปรากฏ และก็ไม่เคยได้รับการยอมรับจากประชาชนแม้แต่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้นการปฏิวัติของคณะทหารทุกครั้ง เท่ากับว่าเป็นการทำลายระบบการบริหาร ระบบการพัฒนาและระบบสังคมของประเทศชาติ ซึ่งทำให้ประเทศชาตินั้น ไม่ได้รับการพัฒนาไปตามระยะเวลาอันควรและยังส่งผลให้นานาอารยประเทศเกิดความไม่เชื่อมั่นต่าง ๆ นานาในการบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย จึงพากันหวาดผวาและไม่มีความเชื่อมั่นในข้อตกลงใด ๆ ทั้งสิ้น จนเป็นเหตุให้เศรษฐกิจในประเทศชาติ ขาดสภาพคล่องและไม่ได้รับความไว้วางใจจากคนในต่างประเทศ



การปฏิวัติรัฐประหารในแต่ละครั้ง จึงถือได้ว่า เป็นการทำลายความเจริญของชาติ หากคณะทหาร หมายถึงข้าราชการในกองทัพไทย ยังไม่มีความสำนึกในการเป็นข้าราชการที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง ประเทศไทยควรทำการยุบกองทัพทหารที่ตั้งขึ้นมามากมาย ซึ่งเปลืองทั้งเนื้อที่ และเปลืองทั้งงบประมาณแผ่นดินโดยจัดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เป็นทหาร และมีความรู้สึกว่า เป็นรั้วของชาติอย่างแท้จริง ดูแลความปลอดภัยของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ เพียงมีหน้าที่เป็นรั้วของชาติเท่านั้น และมีฐานทัพตั้งอยู่บริเวณตามเขตชายแดนของประเทศเพียงเท่านั้น



อนึ่ง หากพวกเราคนไทยในฐานะเจ้าของประเทศต้องการให้มีการบริหารประเทศในระบอบ ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงพวกเราควรช่วยกันต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหารและช่วย กันสาปแช่ง พฤติกรรม ของคณะทหารที่เข้ามายึดอำนาจของประชาชน และช่วยกันสาปแช่งผู้ที่ให้การสนับสนุนคณะทหารที่ยึดอำนาจจากประชาชนทุกคน



ทั้งนี้ การที่ผู้เขียนมีความตั้งใจที่อยากจะพูดเรื่องนี้ก็เพราะเห็นว่า การปฏิวัติรัฐประหารนั้น ในประเทศที่เจริญแล้ว ที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เขาไม่นิยมและไม่ยอมรับการปฏิวัติรัฐประหาร (แสดงว่าเป็นเรื่องที่ล้าสมัยและสังคมชาวโลกไม่ยอมรับ ยกเว้น สังคมไทยและพระมหากษัตริย์ไทยเท่านั้น ที่ยังยอมรับการปฏิวัติรัฐประหาร) การปฏิวัติหมายถึงการล้มล้างอำนาจของประชาชน หมายถึงการล้มล้างอำนาจของคณะศาล และตุลาการ หมายถึงการล้มล้างอำนาจของนิติบัญญัติ ผู้ใดก็ตามที่ให้การยอมรับคณะทหารปฏิวัติ ที่เข้ามาทำการล้มล้างอำนาจในการบริหารประเทศทุกอำนาจ บุคคลผู้นั้นถือว่ามีส่วนในการล้มล้างและทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย


ที่มา www.redthai.org

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.