Wednesday, October 26, 2011

SCCกำไรQ3กระฉูด โชว์ยอด8.6พันล้าน :ยอดขายปูนซีเมนต์พุ่ง ธุรกิจปิโตรเคมีฟื้น!

SCCกำไรQ3กระฉูด โชว์ยอด8.6พันล้าน :ยอดขายปูนซีเมนต์พุ่ง ธุรกิจปิโตรเคมีฟื้น!
วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2554


ปูนใหญ่" ไตรมาส 3/54 โกยกำไร 8.6 พันล้านบาท โต 31% จากไตรมาส 3/53 และโต 15% จากไตรมาสก่อน อานิสงส์ยอดขายปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้น บวกธุรกิจปิโตรเคมีฟื้นตัว รับดีมานด์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีดีขึ้น หลังลูกค้าสต๊อกวัตถุดิบเพิ่มเพื่อผลิตสินค้าส่งมอบช่วงปลายปี โบรกฯแนะ "ซื้อ" เป้าหมาย 454 บาท



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 3/54 ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC แนวโน้มสดใส โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่า SCC จะประกาศกำไรสุทธิไตรมาสที่ 3/54 อยู่ที่ 8.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยบวกจากธุรกิจปูนซีเมนต์ที่มีปริมาณขายเพิ่มขึ้นเทียบกับ Low Season ในไตรมาสที่ 2/54 และกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ที่มีอุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ 2/54 เกิดจากกลุ่มลูกค้าเริ่มเก็บสต๊อกวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเพื่อผลิตสินค้าส่งมอบในช่วงปลายปี

โดยแนวโน้มค่าเฉลี่ย Spread ของผลิตภัณฑ์หลัก HDPE-Naphtha เพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 396 เหรียญต่อตันในไตรมาสที่ 2/54 มาที่ปัจจุบัน 441 เหรียญต่อตัน บันทึกค่าเผื่อด้อยค่าสต๊อกสินค้าในไตรมาสที่ 3/54 ลดลงเทียบกับการตั้งด้อยค่าสต๊อก Ethylene ประมาณ 1 พันล้านบาท ตามราคาในตลาดโลกที่ลดลงในช่วงไตรมาสที่ 2/54 กำไรพิเศษจากการทยอยขายหุ้น PTTCH ประมาณ 900 ล้านบาทในขณะที่ไม่มีกำไรพิเศษดังกล่าวในไตรมาสที่ 3/53 และไตรมาสที่ 2/54

สำหรับการเข้าซื้อกิจการถือว่าเป็นจังหวะที่ดีโดยที่ SCC ซึ่งเชี่ยวชาญในสาย Olefins สามารถใช้ประสบการณ์นี้ขยายการลงทุนไปในประเทศที่มีอัตราเติบโตสูงด เช่น อินโดนีเซีย และอาจรวมถึงภูมิภาค ASEAN ในอนาคต โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันที่ Spread ของผลิตภัณฑ์หลักแกว่งตัวอยู่ในระดับที่ต่ำ ซึ่งเราคาดว่าจะอยู่ในระดับนี้ไปจนถึงกลางปี 2555 และปรับตัวดีขึ้นชัดเจนในครึ่งปีหลัง จากภาวะอุปทานและอุปสงค์ในตลาดโลกที่ใกล้เคียงกันมากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งรอปรับประมาณการผลประกอบการจากการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นคาดว่ายังไม่ส่งผลบวกต่อ Equity Account ของ SCC ในปี 2554-2555 เนื่องจากภายหลังที่เข้าไปร่วมลงทุน SCC อาจจะต้องเข้าไปช่วยเหลือการปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น De-bottleneck โรงงาน Cracker เพียงแห่งเดียวของ CAP และเพิ่มผลิตภัณฑ์ Downstream ใหม่ๆ ให้ขึ้นมาใกล้เคียงกับธุรกิจของ SCC ในปัจจุบัน

ดังนั้น คงคำแนะนำ ซื้อ ประเมินมูลค่าพื้นฐานของหุ้น SCC ตามวิธี DCF เท่ากับ 400 บาท (Implicit P/E ที่ 14.7 เท่า) อิงสมมุติฐาน WACC 10.5% และ Terminal Growth Rate 3.5% และคาดการณ์อัตราตอบแทนเงินปันผลประมาณ 4% ต่อปีสำหรับผลประกอบการปี 2554-2555

ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิในปี 2554 ลดลง 12.5% จากปีก่อน จากบันทึกกำไรจากการขายหุ้นบริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH ในไตรมาสที่ 4/53 สูงถึง 1 หมื่นล้านบาท คาดหวังการเริ่มต้นฟื้นตัวของ Spread ของผลิตภัณฑ์หลักในธุรกิจปิโตรเคมีที่เริ่มต้นในไตรมาสที่ 3/54 และต่อเนื่องในปี 2555 เป็นปัจจัยหลักผลักดันผลประกอบการโดยรวมในปี 2555 ให้เติบโตในระดับที่ดี 16.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ประกอบกับแนวโน้มการขยายการลงทุนตามแผนงานเริ่มชัดเจนมากขึ้นภายหลังเข้าซื้อธุรกิจปิโตรเคมีในอินโดนีเซีย แม้ว่าจะยังไม่ส่งผลบวกในระยะสั้น แต่เราคาดว่าจะส่งผลบวกในระยะยาวได้ภายหลังที่ SCC ใช้ความเชี่ยวชาญในสาย Olefins เข้าไปปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า จากกรณีที่ SCC แจงผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยมีบริษัทย่อย 6 แห่ง ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะดิน และนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ที่ต้องหยุดการผลิตเป็นการชั่วคราว เนื่องจากน้ำท่วมโรงงาน ขณะที่บริษัทย่อยอีก 3 แห่งคือ 1.โรงงานของบริษัทกระเบื้องกระดาษไทย ที่ท่าหลวง สระบุรี 2. บริษัทผลิตภัณฑ์กระเบื้อง (ลำปาง) จำกัด และ 3. บริษัทปูนซีเมนต์ไทย (ท่าหลวง) ต้องหยุดการผลิตเป็นการชั่วคราว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการขาดวัตถุดิบสำหรับการผลิต แม้ว่าจะยังสามารถป้องกันน้ำท่วมโรงงานได้ก็ตาม

ทั้งนี้ ประเมินผลกระทบต่อยอดขายของ SCC ซึ่งจะนับรวมเฉพาะบริษัทที่ SCC ถือหุ้นมากกว่า 50% ว่าน่าจะทำให้ยอดขายในงบการเงินรวมของ SCC ลดลงราว 2 พันล้านบาท/เดือน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 6-7% ของยอดขายทั้งหมดของ SCC ขณะที่ผลกระทบต่อกำไรโดยรวม ทั้งในส่วนที่รับรู้ผ่านการจัดทำงบการเงินรวมและส่วนแบ่งกำไรตามวิธีส่วนได้เสีย น่าจะมีราว 200-300 ล้านบาท/เดือน

โดยหาก SCC หยุดการผลิตไปจนกระทั่งสิ้นปี 2554 ก็น่าจะกระทบต่อกำไรของ SCC ให้ลดลงประมาณ 600-800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2% จากประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิจัยที่ประเมินไว้ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังน้ำลด SCC น่าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างในการบูรณะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอาคารบ้านเรือนและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ โดยฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยกำหนด Fair Value ด้วยวิธี DCF จะให้ราคาหุ้นที่เหมาะสมอยู่ที่ 454 บาทต่อหุ้น