สาระขันไทยแลนด์: คนเดินตรอก
วีรพงษ์ รามางกูร มติชนวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประชาธิปัตย์ต้องการปฏิรูป พรรคประชาธิปัตย์ก็เหมือนกับพรรคการเมืองอื่นที่ต้องถือว่าเป็นของประชาชน มิใช่ พรรค ของกรรมการบริหารพรรคหรือ สมาชิกพรรคเท่านั้น เพราะได้รับเงินจากภาษีอากรที่เก็บ จาก ประชาชนทั่วประเทศไปทำกิจกรรมของพรรค
เรื่องแรก พรรคต้องเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ว่า การเอาแต่คิดโค่นล้มคู่ต่อสู้ทุกวิถีทางนั้น ต้องเปลี่ยนใหม่ แม้ว่าตอนที่ก่อตั้งพรรคเมื่อปี 2489 พรรคประสบความสำเร็จในการโค่น ล้มพรรคแนวรัฐธรรมนูญและพรรคสหชีพ โดยการร่วมมือกับทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ จอมพลผิน ชุณหะวัณ และจอมพลป.พิบูลสงคราม ลงเลือกตั้งโดยการช่วยเหลือของทหาร ในเดือนมกราคม 2491 เป็นรัฐบาลอยู่ได้4เดือน
ก็ถูกทหารหักหลังจี้ให้ลาออก หลังจาก นั้นก็ไม่ได้อะไร จนเกิดกรณี 14 ตุลาคม 2516 เพราะทหารแตกคอกันเองไม่ใช่ฝีมือของ พรรค ทรรศนะที่ถูกต้องก็คือ ต้องสร้างผลงานในทางสร้างสรรค์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และการต่างประเทศ ในด้านการต่างประเทศประเทศเราใหญ่พอที่ผู้นำของเรา สามารถจะเป็นผู้นำของภูมิภาคอย่าง ดร.โมฮัมเหม็ด มหาเธร์ ได้ นำเห็นใจผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ส่วนมากเป็นทนายความ เป็นครู เป็นข้าราชการที่เกษียณ อายุแล้ว มีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จน้อย หัวหน้าพรรคแม้ว่าจะมีอายุพอสมควรแล้ว มี การศึกษาจากสถาบันชั้นนำของโลก แต่ไม่เคยทำงานรับผิดชอบจริง ๆ ข้อสำคัญอยู่ไป ๆ ถูกพรรคล้างสมองลืมหลักการทางปรัชญา กฏหมาย รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ เสีย สิ้น
ค้านทุกเรื่องที่ฝ่ายตรงกันข้ามทำ หรือฝ่ายตรงกันข้ามคิด ผลจึงออกมาในสายตา ประชาชน ว่าที่คิดที่พูดนั้น ตนเองก็ไม่ได้เชื่ออย่างนั้นเลยแต่พูดไปตามมติพรรคซึ่งล้าสมัยแล้ว เรื่องที่สอง เหตุที่พรรคมีทัศนคติในทางลบและไม่สร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา ก็เพราะพรรค ถูกครอบงำด้วยผู้นำรุ่นเก่าที่เคยประสบความสำเร็จโดยการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามที่เป็น รัฐบาลทหาร ขณะนั้น
ขณะนั้นโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นรัฐบาลไม่มี เพราะทหารกุมอำนาจ เบ็ดเสร็จเอาไว้ พรรคประชาธิปัตย์จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ดีที่สุด ผู้นำพรรค ซึ่งบัดนี้อายุ อยู่ระหว่าง 65-75 ปี จึงติดยึดอยู่กับยุทธวิธีแบบนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมีพรรคใหม่ที่ผู้นำพรรคเกือบ 100 คน มาจากคนที่มีประสบการณ์ทั้งทางธุรกิจและทาง ราชการ มีวิสัยทัศน์ยาวไกลทันต่อก
ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ ทำการบ้าน ว่าคนชั้นล่างซึ่งมีสัดส่วนที่สูงต้องการอะไร และสามารถทำอย่างที่ตนสัญญาไว้ตอบหา เสียง เลือกตั้งได้ พรรคประชาธิปัตย์จึงพ่ายแพ้อย่างยับเยินครั้งแล้วครั้งเล่าผู้นำพรรคก็ไม่ยอมรับ ความบกพร่องของตน แต่หลอกตนเองว่าพ่ายแพ้การเลือกตั้งเพราะฝ่ายตรงกันข้ามซื้อ เสียง
แต่ในกรณีที่ทหารและข้าราชการถูกสั่งให้มาช่วยอย่างเต็มที่ทั้งกำลังคน กำลังอำนาจ และกำลังเงินซื้อเสียงให้ แล้วยังแพ้อย่างยับเยินตนกลับไม่คำนึงถึง หลายคนบอกว่าแม้ ฝ่ายตรงกันข้ามไม่ซื้อเสียงเลยก็ยังชนะพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งที่พิสูจน์ได้ก็คือ ผู้ที่ออก จากพรรคไทยรักไทยไปอยู่พรรคอื่นกลับสอบตกเป็นจำนวนมาก ทั้ง ๆ ที่มีกระสุนจาก ทหาร
มาช่วยจำนวนมาก เรื่องที่สาม ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์อาจแบ่งเป็นสองพวก พวกนักกฏหมายกับพวกครู จะ ไม่ค่อยยอมรับการเปลี่ยนแปลง กฏหมายระเบียบแบบแผนเป็นอย่างไรก็ถือเป็นคัมภีร์ให้ ข้า ราชการเป็นผู้แนะนำและชี้นำนโยบายในการทำงาน อีกพวกหนึ่งเป็นพวกที่มีผลประโยชน์ จึง ไม่ยอมให้คนรุ่นใหม่เข้าไปรับผิดชอบพรรคจริง ๆ ยังกุมอำนาจพรรคไว้ด้วยผลประโยชน์ส่วนฝ่ายตรงกับข้ามพูดเสมอว่า กฏหมายระเบียบแบบแผนเป็นเครื่องมือที่จะทำให้งาน สำเร็จ ประชาชนได้ประโยชน์ถ้ากฏหมายข้อบังคับเป็นอุปสรรคก็ต้องแก้ไข เพราะกฏหมาย ข้อบังคับระเบียบแบบแผนสร้างมาโดยมนุษย์ มนุษย์ย่อมสามารถแก้ไขได้ มนุษย์ต้องเป็น นายกฏหมายไม่ใช่ให้กฏหมายมาเป็นนายมนุษย์ข้าราชการไม่ใช่ผู้กำหนดนโยบายแต่เป็นผู้นำนโยบายของฝ่ายการเมืองไปปฏิบัติ กลับกัน กับวิธีคิดของประชาธิปัตย์ ผลงานของประชาธิปัตย์ในฐานะเป็นรัฐบาล ไม่ใช่ในฐานะของ ฝ่ายค้านจึงไม่ค่อยมีเป็นรูปธรรม ทั้ง ๆ ที่เคยร่วมรัฐบาลมาหลายยุคหลายสมัยเป็นเวลากว่า 15 ปีเคยถามเพื่อนฝูงชาวปักษ์ใต้ที่ภูเก็ต กระบี่ พังงา สุราษฎร์ฯ ว่าชอบผลงานของรัฐบาลพรรค ไหน ไม่มีใครบอกว่าผลงานของประชาธิปัตย์ดีกว่าคู่ต่อสู้ ทุกคนบอกว่าผลงานของรัฐบาล คู่ต่อสู้ดีกว่า แต่ที่เลือกประชาธิปัตย์เพราะพ่อแม่ปู่ย่าตายายเลือกประชาธิปัตย์ หรือที่เลือก ก็เพราะผู้นำพรรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายหัวเป็นคนใต้ เคยถามต่อว่าถ้านายหัวไม่อยู่แล้วจะเลือกอย่างไร ผู้ตอบก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันเอาไว้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยคิด พฤติกรรมการเลือก ส.ส.ของคนใต้ จึงต่างกับคนอีสานและคนเหนือ ที่เน้นว่า ส.ส.คนนั้น เคยทำประโยชน์ให้กับคนหรือชุมชนของคนแค่ไหน ส่วนในกรุงเทพฯ เลือกไปตามกระแส ที่สื่อมวลชนยัดเยียดให้ เพราะตนก็ไม่เคยได้ประโยชน์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันจาก ส.ส.ของตน อยู่แล้ว เพราะตนเองก็มีเส้นสายโยงใยเองอยู่แล้วไม่เดือดร้อนเหมือนคนในต่างจังหวัด
เรื่องที่สี่ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถเข้าถึงหรือไม่พยายายเข้าถึงคนระดับล่างไม่ ว่าจะเป็นภาคอีสานภาคเหนือภาคกลาง และแม้แต่ในกรุงเทพฯ พรรคไม่เน้นที่จะสร้างผล งานแต่เน้นในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทุกวิถีทาง พรรคจึงกลายเป็นทาร์ซานพยายามจะ
ช่วยเจนนี่โดยการโหนเถาวัลย์ โหนกระแส และโหนทหาร แล้วให้เจนนี่คอยกอดเอว พอเจน นี่จับพลาดในที่สุดทาร์ซานก็ต้องป้องปากโห่อย่างโหยหวนลั่นป่า การทำตัวเป็นทาร์ซานจะไปถึงที่หมายโดยวิธีไหน จึงต้องละทิ้งอุดมการณ์ประชาธิปไตย อุดมการณ์ทางกฎหมาย ความถูกต้อง จารีต ประเพณีในการปกครองระบอบประชาธิปไตยร่วมมือกับทหารสร้างทางตันเพื่อเชื้อเชิญให้ทหารปฏิวัติ ทำลายรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พรรค ฝ่ายตรงกันข้ามถูกยุบ ให้นักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามถูกตัดสิทธิทางการเมือง จะต้อนพรรคการเมืองไม่ให้โต สร้างองค์กรอิสระที่ไม่มีใครตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นผลเสียกับตัวเองด้วยใน ระยะยาวแต่ก็ยอมทำ ทำให้พรรคเสียคะแนนจากผู้คนที่หัวก้าวหน้าและคนรุ่นใหม่อย่างน่า เสียดายการที่พรรคประณามนโยบายและโครงการที่เป็นประโยชน์กับคนระดับล่าง ทั้ง ๆ ที่อยู่ใน กรอบที่การเงินการคลังของประเทศรับได้ เพราะมีทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือเฟือจน ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่อยากจะได้ว่าเป็นโครงการ”ประชานิยม” เท่ากับการทำลาย เลียงของตนเองกับคนระดับล่างทั่วประเทศและจำกัดตัวเองเพราะถ้าตนเองเป็นรัฐบาลก็คง ต้องทำหรืออาจจะทำมากกว่าเพราะที่ใช้หาหาเสียงสัญญาว่าจะทำมากกว่า เรื่องที่ห้า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคปิด มีระบบอาวุโสที่เหนียวแน่น สมาชิกใหม่ให้อยู่ ระดับล่าง หรือในสภาก็อยู่แถวหลังหรือที่อังกฤษเรียกว่า “Back Benchers” แต่อังกฤษผู้ นำพรรคที่นำพรรคไปแพ้เลือกตั้งจะลาออกเกือบหมดเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มาแทน แต่ ของเราไม่มีประเพณีอย่างนั้น สมาชิกรุ่นใหม่จึงไม่มีโอกาสมานำพรรค ผู้นำพรรคไม่มุ่งจะ ทำพรรคให้ชนะการเลือกตั้ง เพียงแค่ได้ ส.ส.มากเพิ่มขึ้นก็พอใจจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป แล้วส่วนฝ่ายตรงกันข้ามเน้นในเรื่องผลงานทางเศรษฐกิจของผู้ออกเสียง เน้นคะแนนนิยมในตัว ส.ส. เน้นการเมืองที่มีผลสำเร็จของการเลือกตั้ง เน้นทางด้านการหาเงินช่วยพรรค ซึ่งไม่ ต้องบอกก็คงเข้าใจ ดังนั้น จึงมีการสับเปลี่ยนตัวผู้นำพรรคระดับรอง ๆ ลงไปอยู่ตลอดเวลา พรรคฝ่ายตรงกันข้ามจึงสามารถ “ดูด” นักการเมืองให้เข้าพรรคได้มากขึ้นเสมอเพราะมา อยู่แล้วโอกาสชนะการเลือกไม่ใช่เพราะเงินอย่างเดียวอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์เข้า ใจ เรื่องที่หก พรรคไม่เคยหวังว่าจะชนะการเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว หวังแต่เพียงเป็นแกนนำของรัฐบาลผสม เมื่อหวังเพียงเท่านี้ก็ทำให้มีทัศนคติว่า ถ้าสามารถ ทำลายพรรคคู่แข่งไม่ให้ลงมาแข่งในการเลือกตั้งก็พอแล้ว ถ้าพรรครู้จุดอ่อนความสามารถในการสร้างนโยบายใหม่ ๆ ไว้ขายกับประชาชน ถ้าคิดไม่ ออกก็ขวนชวายหาบริษัทที่ปรึกษาที่ชำนาญการ แต่ก็ไม่มีความพยายามแต่ใช้วิธีสะกดจิต ตนเองว่า ตนเองเป็นฝ่ายเทพ ฝ่ายตรงกันข้ามเป็นฝ่ายมาร แท้จริงในงานการเมืองไม่มีใคร เป็นเทพไม่มีใครเป็นมารมีแต่ผู้ชนะกับผู้แพ้การเลือกตั้งเท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นจุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เสียภาษีอย่างพวกเราน่าจะมีสิทธิ์วิพากษ์ วิจารณ์และเสนอแนะให้แก้ไขปฏิรูปตนเอง เพราะผลการดำเนินงานของพรรคไม่คุ้มกับเงิน ภาษีที่รับไปจะโกรธจะเคืองอย่างไรก็ไม่ว่าเพราะไม่อยากเห็นเมืองไทยเป็นระบบการเมืองแบบพรรค เดียว ถ้าเมืองไทยเป็นการเมืองพรรคเดียวก็ต้องโทษประชาธิปัตย์อย่าไปโทษใคร คิดแล้ว อ่อนใจ