Monday, August 15, 2011

กษัตริย์มีความสำคัญจริงหรือสำหรับประเทศไทย

กษัตริย์มีความสำคัญจริงหรือสำหรับประเทศไทย
FAQ คำถามที่ถามกันบ่อยครั้ง

Q. กษัตริย์เป็นสมมุติเทพ เป็นที่เคารพสักการะของปวงชน
A. กษัตริย์ไม่ใช่สมมุติเทพ เป็นมนุษย์ธรรมดา กิน นอน เข้าห้องน้ำ มีเมีย มีลูก เหมือนคนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเคารพสักการะบูชาแต่อย่างใด กษัตริย์เป็นบุคคลที่โชคดี เพราะพ่อหรือปู่ทวดเป็นกษัตริย์ ส่วนกษัตริย์คนแรก ก็คือ คนที่ฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยม เป็นนักเลงใหญ่ สามารถเอาชนะนักเลงคนอื่น ๆ ได้ก็ตั้งตัวเองเป็นใหญ่ ขูดรีดชาวบ้านชาวเมือง มีเงินทองมากหน่อย ก็เอามาสร้างวัง สร้างมงกุฏ ตั้งบนหัว แล้วให้คนเคารพบูชา
Q. เว็บ ๐มนุษย๐ ทำอย่างนี้เป็นการหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง มีโทษถึงประหารชีวิต
A. เป็นตายมีเพียงครั้งเดียว ร้ายดีมีไม่กี่ครั้ง หา่กเสียดายชีวิต ความอธรรมก็จะครอบคลุมมนุษย์จนไม่มีวันโงหัวขึ้นมาได้ ตกเป็นขี้ข้าของการมอมเมานี้ตลอด ในประวัติศาสตร์พวกกษัตริย์คือพวกที่ฉ้อฉลมากที่สุด เป็นพวกที่รีดนาทาเร้น ใครมีลูกสาวสวยก็ถูกฉุดเข้าวังเป็นนางบำเรอ ซ้ำยังบังคับให้บูชาพวกเขาเป็นพระเจ้า เป็นศาสนา เช่น กษัตริย์ในบาบิโลเนีย ฟาโรห์ในอิยิปต์ จักรพรรดิ์ในโรมันและเปอร์เซีย ล้วนเป็นตัวอย่างของสุดยอดของความชั่วร้าย
Q. กษัตริย์ไทยไม่ได้ชั่วร้ายเหมือนกษัตริย์อื่น ๆ กษัตริย์ไทยทุกคนมีบุญคุณต่อแผ่นดินอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะ ร. 5 ท่านเป็นที่เคารพบูชาสักการะของปวงชนชาวไทย
A. มีอะไรจะชั่วร้ายยิ่งกว่าการอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า มอมเมาผู้คนให้เคารพบูชา หากเพื่อนบ้านของท่านคนหนึ่ง อ้างว่าเขาเป็นเทพจุติลงมา ขอให้ผู้คนในหมู่บ้านบูชาเขา ท่านคิดว่า คนนี้บ้า หรือโกหก?
นายทองด้วง ร. 1 อ้างว่าตัวเองเป็น พุทธยอดฟ้า หวังจะมอมเมาให้ผู้คนเคารพบูชาเสมือนพระพุทธองค์
นายจุฬา ร. 5 อ้างว่าตัวเองเป็น พระพุทธเจ้าหลวง คือ พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อเป็นอย่างนี้ ร. 5 ก็อวดอ้างและดูหมิ่นพระพุทธองค์ที่แท้จริง
Q. กษัตริย์ไทยเสียสละความสุขส่วนตัว ออกไปเยี่ยมชาวบ้านตามท้องถิ่นทุรกันดาร ออกไปแจกยาและผ้าห่มให้แก่พสกนิกร
A. ถ้าท่านเองเป็นกษัตริย์ ท่านก็ทำได้เช่นกัน เพราะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นั้น เขาออกให้หมด หยูกยาและผ้าห่มก็มีคนที่อยากเอาหน้าเข้าไปบริจาค อีกทั้งยังมีพวกเมามายวันละร้อยสองร้อยคนขอเข้าไปกราบเท้า เอาเงินเอาทองไปประเคนให้อีก กษัตริย์มีทรัพย์สมบัติมากมายไม่พอ ยังมีคนเอาไปให้อีกอย่างนี้ เงินทองมากมายจะเอาไปทำอะไร ถ้าเป็นเสี่ยโอก็เอาไปแจกสาว ๆ ถ้าเป็นภูมิพลก็เอาไปเก็บที่สวิตเซอร์แลนด์
Q. หมิ่นประมาทอย่างนี้นรกไม่กินกบาลหรือ?
A. กษัตริย์ไทยไปซื้อนรกไว้เมื่อไหร่ไม่ทราบ กษัตริย์ไทยไม่ใช่ศาสดา ไม่ใช่พระอรหันต์
Q. พวก๐มนุษย๐เป็นคนไทยได้อย่างไร อยู่ในแผ่นดินของพระองค์แล้วยังเนรคุณต่อพระองค์
A. แผ่นดินไทย และทุกแผ่นดินไม่ใช่ของกษัตริย์ แต่เป็นของมนุษย์ทุกคน
Q. ประเทศไทยจะขาดสถาบันกษัตริย์ไม่ได้ เพราะสถาบันกษัตริย์เท่านั้น ที่จะยังความอยู่รอดของประเทศไทย
A. ไม่จำเป็น ประเทศในโลกนี้ มีประเทศเป็นร้อยที่อยู่ได้อย่างสงบสุข โดยไม่ได้มีกษัตริย์เป็นประมุข
FAQ คำถามที่ถามกันบ่อยครั้ง

Thursday, April 14, 2011

เรื่องหลังบ้าน 002 : ป้าสมจิตและสมาชิก

เรื่องหลังบ้าน 002 : ป้าสมจิตและสมาชิก
.......
ป้าสมจิต : พิศวาสไม่ขาดรัก
ป้าสมจิตกับลุงสมชายเป็นญาติที่ใกล้ชิดกันเพราะพ่อของป้าเป็นหลานแท้ๆของท่านย่าสว่าง ป้าสมจิตและบุษบันผู้เป็นน้องสาวต้องมารดน้ำคุณย่าสว่างช่วงสงกราต์เป็นประจำทุกปี รัชกาลที่ 5 เป็นปู่ของลุงสมชายและเป็นปู่ของพ่อของป้าสมจิต
ป้าสมจิตหรือหญิงหริมีพ่อเป็นคนชั้นสูงเป็นทูตอังกฤษ เกิดปี 2475 อายุน้อยกว่าลุงสมชาย 5 ปี พบลุงสมชายครั้งแรกเมื่ออายุ 13 ปี ตอนที่พ่อไปรายงานตัวรับหน้าที่ทูต ได้มีโอกาสใกล้ชิดกันในช่วงที่ลุงสมชายประสบอุบัติเหตุขับรถยนต์ชนรถบรรทุก จนบาดเจ็บสาหัสเสียตาข้างขวา เมื่อปี 2491 ขณะที่ลุงสมชายอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ ลุงสมชายสั่งให้ตามตัวหญิงหริและหญิงบุบเข้าไปพบ โดยพ่อแม่ของหญิงหริยอมให้หญิงหริเรียนต่อที่สวิสและคอยดูแลปรนนิบัติลุงสมชาย
ต่อมามีการประกาศหมั้น เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2492 และจัดการแต่งงานเมื่อ 28 เมษายน 2493 เมื่อป้าสมจิตหรือหญิงหริมีอายุย่าง 18 ปี โดยคนชั้นสูงในขณะนั้นมองว่าเป็นรวบรัด แทนที่จะให้ลูกสาวเรียนให้จบปริญญาก่อนเหมือนลูกผู้ดีคนอื่นๆ เพราะพ่อแม่ของฝ่ายหญิงต้องการผูกมัดลุงสมชายผู้มีตำแหน่งสูงสุด ทั้งลุงและป้าจึงเรียนไม่จบปริญญาทั้งคู่ หญิงหริเป็นคนรูปร่างหน้าตาและบุคคลิกดี มีบทบาทช่วยเชิดชูบารมีของลุงสมชาย เป็นผู้มีอิทธิพลในเรื่องการวิ่งเต้นโยกย้ายตำแหน่งและการให้เหรียญตราบรรดาศักดิ์ จนก่อให้เกิดทหารสายบูรพาพยัคฆ์หรือทหารเสือราชินีที่โด่งดังและเข้าคุมอำนาจบังคับบัญชาทั้งหมดของกองทัพไทย
ป้าสมจิตเป็นคนชอบสนุกสนานรื่นเริง ชอบเล่นไพ่ กินเหล้ากับเมียนายตำรวจทหาร และหญิงรับใช้ที่อยู่รายล้อม ป้าเป็นคนหูเบา งมงายเชื่อไสยศาสตร์และหมอดู เป็นคนเจ้าชู้ไม่แพ้พี่ๆน้องๆ ที่ชอบมีคู่ครองหลายคน
มีช่วงหนึ่งที่ป้าแสดงออกนอกหน้าว่าป้ารักนายทหารคนหนึ่งยิ่งกว่าลูกชายของป้าเองเสียอีก
ช่วงวันมาฆะบูชา ป้าชอบมาที่วัดโพธิ์ สถานที่ที่ทำให้รำลึกถึงคนที่เป็นที่รักยิ่ง คือ คุณน้ำผึ้ง หรือ ที่รัก ที่เมื่อราว 30 ปีก่อนทหารหนุ่มอนาคตไกลได้ถูกส่งมาดูแลป้า และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่ว่าป้าจะเดินทางไปไหน จะขึ้นเขาลงห้วยก็จะเห็นคุณผึ้ง คอยเป็นเงาดูแลป้าอย่างใกล้ชิด
คุณผึ้งเป็นนักรบศิลปิน เพราะนอกจากจะเก่งการรบแล้วยังมีความสามารถแต่งบทกลอน แต่งเพลง ถ่ายรูปและรวมไปถึงวาดภาพเหมือนจริง คุณผึ้งมีภรรยาเป็นครูอยู่โรงเรียนดังแถวถนนพัฒนาการ มีลูกชายหญิงสองคน คนโตเป็นหญิง เป็นคนที่รักลูกมาก พูดกับลูกด้วยคำที่ไพเราะ การที่คุณผึ้งเป็นที่โปรดปรานของป้าสมจิตอย่างออกนอกหน้า ทำให้ภรรยาของคุณผึ้งไม่ค่อยสบายใจนัก ถ้าอยู่อย่างธรรมดาน่าจะดีกว่า คุณผึ้งเคยบ่นให้ฟังว่ามีคนจงใจหาเรื่องเพราะความเด่นดังของตน
เมื่อวันเวลาผ่านไปคุณผึ้งและป้าสมจิตก็สนิทสนมรู้ใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์หรือนอกเวลาราชการ ก็จะเห็นทั้งสองคนออกไปทำกิจกรรมและอยู่ด้วยกันตลอดเวลา บางทีคุณผึ้งก็มาหาป้าที่บ้านหลังใหญ่บ่อยครั้ง
ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มก่อตัวขึ้นตามลำดับ ทำท่าว่าจะดีมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนอาจถึงขั้นยอมตายแทนกันได้ ขนาดว่าเคยอารักขาอยู่ตลอดทั้งคืนโดยมิได้หลับเลยแม้แต่งีบเดียว คุณผึ้งเป็นคนที่ภักดีต่อลุงสมชายและป้าสมจิตเป็นอย่างยิ่ง ช่วงเกิดกบฏเมษา 2524 คุณผึ้งเพิ่งผ่าตัดกระดูกไม่ถึงสัปดาห์ยังเจ็บแผลและเข้าเฝือกอยู่ ก็ยังพาลุงและครอบครัวลี้ภัยไปโคราช
ลุงสมชายเฝ้าดูพฤติกรรมของทั้งสองคนมาโดยตลอด จนอดรนทนไม่ได้ที่เห็นภรรยาของตนทำงามหน้าอย่างนั้นมาเป็นปี ลุงยอมทนให้ทั้งสองไปออกงานที่นิวยอร์คด้วยกันโดยให้คุณผึ้งทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ลุงทนเก็บความไม่สบายใจและความเสียใจ กับสิ่งที่คนรอบข้างมาเล่าให้ฟัง แต่ลุงก็เลือกที่จะเชื่อคำของป้าทุกครั้ง จนลุงต้องส่งคุณผึ้งไปเรียนต่อที่แคนซัส สหรัฐอเมริกา เพื่อหวังยุติความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง แต่หลังจากที่คุณผึ้งถูกส่งตัวให้ไปเรียนต่อหลักสูตรในต่างประเทศได้ไม่นาน ป้าก็นั่งเครื่องบินตามไปหาคุณผึ้ง ไปล่องเรือในแม่น้ำมิสซิปซิปปี้ด้วยกัน
คุณผึ้งได้เขียนในการ์ดรูปดอกกุหลาบให้ป้าสมจิตขณะเรียนเสนาธิการทหาร ว่า “คิดถึงยอดหฤทัยใจจะขาด แต่ไม่อาจไปตามความเป็นห่วง โพ้นขอบฟ้ามีศรัทธากล้าทั้งดวง ถึงแดนสรวงด้วยภักดีชีวีวาย”
หลังจากป้ากลับมาก็เริ่มรู้สึกว่ามีความไม่ชอบมาพากลเพราะลุงได้พูดกับป้าว่าถ้ารักแท้ไม่แพ้ระยะทาง อยากรู้นักว่ารักแท้ยังจะไม่แพ้ความตายหรือไม่
คืนวันพุธ ที่ 22 พฤษภาคม 2528 ขณะที่คุณผึ้งเดินกลับจากการออกกำลังกายที่สวนสาธารณะไม่ไกลจากบ้านพักรับรอง ปรากฎกายของชายลึกลับสามคนตรงปรี่ไปที่คุณผึ้ง ข่าวว่ามีการฉีดสารบางชนิดที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นคล้ายกับอาการของคนที่เป็นโรคหัวใจเฉียบพลัน
ภรรยาของคุณผึ้งแทบจะไม่เชื่อว่าสามีเสียชีวิต เพราะได้ฟังมาว่าคุณผึ้งตีเทนนิสกับรุ่นพี่และน้องชาย ขณะกำลังนั่งพักเหนื่อย อยู่ๆก็สิ้นใจ เมื่อนำส่งโรงพยาบาล ก็ทำการชันสูตรทันที
ป้าเองก็รู้สึกถึงความประหลาดที่เย็นยะเยือกในคืนนั้น จึงรีบตรงไปที่บ้านพักของคุณผึ้งย่านพหลโยธิน เพื่อพิสูจน์ข้อข้องใจบางอย่าง สิ่งที่ป้าเห็น ก็คือ สมุดภาพถ่ายรูปของป้าที่มีดอกเฟื่องฟ้าแห้งเก็บทับอยู่ในสมุดเล่มนั้น ป้าจำได้ดีเพราะเป็นดอกที่ป้าเคยมอบให้ไว้กับเขาและสิ่งที่ทำให้ป้าต้องนอนไม่หลับไปอีกหลายคืนก็คือ กระดาษโน้ตลายมือคุณผึ้งที่เขียนข้อความไว้ว่า
สิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็คือ พรุ่งนี้ผมตื่นมาแล้วจะไม่ได้เห็นหน้าคุณ
แสดงว่าคุณผึ้งต้องรู้อะไรมาก่อนหน้านี้ ป้าจึงรีบส่งโทรเลขไปถามข่าว ใช้เวลารออยู่หลายวัน ป้าก็ได้รับโทรเลขตอบกลับมาว่าคุณผึ้งเสียชีวิตแล้ว เมื่อวันพุธที่ 22 พฤษภาคม 2528 จากอาการเส้นเลือดหัวใจอุดตัน
ยิ่งใกล้วันมาฆบูชา ภาพความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับคุณผึ้งก็ย้อนกลับเข้ามาเตือนใจป้าทุกครั้ง สมัยที่คุณผึ้งยังอยู่ ช่วงเวลานี้ทั้งสองจะมาพบกันที่วัดโพธิ์เพื่อมาทำบุญร่วมกันทุกปี รวมทั้งนั่งสมาธิที่วิหารพระนอน สวดมนต์ไหว้พระ และเวียนเทียนในช่วงเย็น ทำบุญร่วมกันทุกปีไม่เคยว่างเว้น กระทั่งในปีสุดท้ายของคุณผึ้ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ป้ามารอคุณผึ้งอยู่ที่เดิม แต่คุณผึ้งไม่มาโดยบอกว่าไม่สบายต้องนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลต่างจังหวัด จึงไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนป้าได้ ปีนั้นเป็นปีแรกที่ป้าต้องมาวัดโพธิ์ตามลำพังโดยไม่มีคุณผึ้ง แต่ป้ามารู้ทีหลังว่าคุณผึ้งโกหก เพราะคนรับใช้ป้าบอกว่า คุณผึ้งไม่ได้เข้าโรงพยาบาล เขาแข็งแรงและสบายดี เรื่องนี้ทำให้ป้าผิดหวังและไม่พอใจมากเพราะป้าคิดว่าคุณผึ้งไม่รักษาสัญญาที่ว่าจะไม่โกหกกัน และป้าก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่มาเหยียบสถานที่นี้กับคุณผึ้งอีกเลย หลังจากนั้นไม่กี่เดือนถัดมาคุณผึ้งก็จากไป ทำให้ป้าโศกเศร้าเสียใจมาก และไม่คิดที่จะกลับมาที่วัดนี้อีก
แต่ไม่กี่ปีมานี้ คนใกล้ชิดคุณผึ้งได้นำสมุดบันทึกประจำวันของคุณผึ้งมาให้ป้าอ่าน และป้าได้อ่านจนมาสดุดกับย่อหน้าที่ว่า ......
วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ปี 2528
วันนี้ นอกจากจะเป็นวันมาฆบูชา มันยังเป็นวันที่ผมจะได้มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดท่าน แต่วันนี้มีภัยอันตรายรอบตัวท่าน ผมไม่สามารถปกป้องดูแลท่านได้เหมือนทุกๆปี เพราะมันจะทำให้ท่านเดือดร้อน สูญสิ้นทุกอย่าง ซึ่งผมทนเห็นมันไม่ได้
ที่จริงวันนั้นผมไปที่วิหารพระนอนและได้เห็นท่าน เพียงแต่ผมเข้าใกล้ท่านไม่ได้จริงๆ ผมได้เห็นท่านมีความสุขก็เพียงพอแล้ว แต่ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า ปีหน้าหลังจากที่ผมเรียนจบผมจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนท่านในวันมาฆบูชา และจะไม่หนีท่านไปไหนอีก ผมสัญญาว่า เราจะมานั่งสมาธิ และบำเพ็ญบุญกุศลร่วมกัน ผมขอให้สัญญา...
ป้าอ่านบันทึกดังกล่าวไม่ทันจบ ก็รู้ทันทีว่าคุณผึ้งทำทุกอย่างได้เพื่อป้า ยอมเสี่ยงชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วน และอยู่เคียงข้างป้าเสมอ สิ่งที่ทำให้ป้าเสียใจมากที่สุด คือ ที่คุณผึ้งสัญญาว่าหลังเรียนจบปีหน้าจะมานั่งปฏิบัติธรรมด้วยกันแต่ก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นทุกๆ ปีในวันมาฆบูชา ป้าจึงมาที่วัดโพธิ์เพื่อมาระลึกถึงความทรงจำของความรักที่คนทั้งสองมีต่อกัน
ป้ายังมีความรักที่ไม่รู้จบต่อมาเรื่อยๆกับพวกทหารหนุ่มใหญ่หลายคน ท้ายสุดก็มาหยุดพักยาวกับลิ้มนักรักรุ่นใหญ่
ก่อนหน้านี้ลิ้มก็ได้รู้จักและครองใจสุวันทาหลานสาวของป้าภรรยาของสุรากึกที่เบื้องลึกเป็นเกย์ควีนที่ชอบแอบแต่งตัวเป็นหญิงโดยเธอมารู้ตอนตั้งครรถ์ได้ 5 เดือน เพราะเธอเห็นกับตาว่า สามีของเธอกำลังจูบปากกับคู่ขาผู้ชายในห้องนอนของเธอ หลังจากนั้น เธอก็เก็บตัวและปล่อยตัวกินไม่เลือก จนน้ำหนักปาเข้าไปร่วม 100 กิโล
ตอนที่เธอไปทำบุญ ที่วัดหลวงตามัว จังหวัดอุดร ก็ได้พบลิ้มนักล่าผู้หญิงทุกวัย ต่อมาได้อยู่กินกันอย่างเปิดเผย โดยลิ้มสัญญากับสุวันทา ว่าให้ช่วยเป็นสะพานเชื่อมไปหาลุงกับป้า เมื่อล้มรักสินได้แล้วจะยอมแต่งงานจดทะเบียนกับเธอ แต่ลิ้มก็ไม่ทำตามสัญญา แถมยังใช้แผนสกปรกเพราะรู้จุดอ่อนของป้าว่าเป็นคนหูเบาชอบดูหมอ ตอนนั้นป้าเริ่มเชื่อลมปากลิ้ม จนวันหนึ่งลิ้มหลอกป้า ให้เล่นเกมส์ดูหมอ จนเป็นที่มาของฉากที่ลือกันว่ามีการเทเบียร์ราดลงบนตัวและใช้ลิ้นเลีย ในขณะที่ป้านอนอยู่บนโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ เป็นที่มาของคลิ้ปปลาวาฬที่มีฉากเดิมพันเล่นไพ่แก้ผ้า แต่มีข่าวการข่มขู่วัดสามพระยาว่าจะมีการเผาวัดถ้ามีซีดีดังกล่าวออกมาเผยแพร่ ถึงตอนนี้ทั้งป้าและหลานรู้ตัวแล้วว่า ถูกลิ้มหลอก เพราะลิ้มขู่ว่าจะเปิดเผยแผนการต่างๆ รวมไปถึงบรรดา ภาพไฟล์ และคลิ้ปอื่นๆอีกมาก ซึ่งคลิ้ปฉาวอันลือลั่นนี้เคยมีคนเคยเห็นมาแล้วแต่ห้ามนำออกมาเพราะกลัววัดจะถูกเผา หลังจากนั้นมีข่าวว่าลิ้มก็ยังเข้าหาหญิงใหญ่จูลี่ ลูกสาวคนโตของป้าด้วยอีกคน
เมื่อก่อนลิ้มชอบพูดจาพาดพิงป้าหลายครั้ง เวลาเมาชอบตำหนิลุงว่าโง่ ไปคว้าป้ามาทำเมีย เพราะที่จริงลุงรักน้องของป้าที่ชื่อบุษบันซึ่งตอนนี้เป็นแม่ของเมียใหม่ลิ้ม แต่ลุงต้องไปเอาป้าก่อนตามลำดับอาวุโส
แต่มีครั้งหนึ่ง ที่ลุงเรียกปุ๊กกี้ที่เป็นนางงามจักรวาล เข้าพบสองต่อสอง อยู่หลายครั้ง เป็นโอกาสของลุง ที่จะคว้าคนสวยที่สุดมาเป็นเมียตัวจริง แต่ป้ารีบไปจัดการให้ปุ๊กกี้ไปแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของป้าโดย ป้าเป็นธุระจัดการเรื่องทั้งหมดเพื่อสกัดปุ๊กกี้
การที่ลิ้มเริ่มพูดพาดพิงป้าหลายครั้ง ที่สำคัญไปบอกคนวงในผู้ใกล้ชิดว่ามีคลิ้ปเด็ดที่สามารถใช้เป็นยันต์วิเศษสะกดป้าให้อยู่ในกำมือได้ เพราะลิ้มเป็นทั้งราชบุตรเขยและชู้รักสตรีผู้สูงศักดิ์ เรื่องโอหังของลิ้มไปถึงหูป้า และเสี่ยอูก็อยากทำตัวเป็นลูกที่ดี จึงสั่งจัดการลิ้มที่บังอาจลามปามหนักข้อขึ้นทุกวัน แต่เสี่ยไม่มีกองกำลังของตนเองจึงต้องอาศัยคนอื่นให้ช่วย มีทั้งกลุ่มนายห้อย กำนันเทือกและพลเอกปลาวิดที่มีน้องชายเป็นหัวหน้าตำรวจชื่อพัดชาวาด คนทั้งหมดได้ช่วยกันสนองความประสงค์ของเสี่ยอู
แต่เนื่องจากเป็นทีมงานเฉพาะกิจที่ยังขาดความเด็ดขาด ทำให้ลิ้มรอดมาได้ราวปาฏิหารย์ ทำให้ลิ้มต้องรีบสงบปากสงบคำและกบดานทันทีไม่ออกไปไหนอีกเลยพักใหญ่ แม้แต่ที่บ้านพระอาทิตย์ก็ยังต้องขึงตาข่ายป้องกันลูกระเบิด
เมื่อก่อนป้าอาศัยรัศมีจันทร์เป็นเครื่องมือกำจัดสุทธิดา แต่มาภายหลังลุงต้องการให้เสี่ยเลิกกับรัศมีจันทร์โดยหวังจะฟื้นคืนตำแหน่งภรรยาหลวงให้แก่โสภาวลีหลานรัก ป้าก็รับรู้และเริ่มช่วยกันไล่บี้รัศมีจันทร์เหมือนที่เคยเล่นงานสุทธิดา หญิงเล็กก็เคยไปฟ้องป้าว่ารัศมีจันทร์แอบไปนินทาป้าว่า ป้าไม่ค่อยเอาใจใส่ลุง วันๆนอนตื่นสาย เอาแต่ร้องคาราโอเกะ เล่นไพ่ และชอบเรียกบริวารหนุ่มมาคอยนวดให้ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง แต่ป้าไม่ชอบให้ใครมานินทา
ป้าเป็นคนขี้เมื่อย ยิ่งระยะหลังอ้วนขึ้น เลยมีอาการของคนอ้วนที่ปวดเมื่อยตามร่างกาย เวลาป้าไปต่างประเทศ ก็ต้องเอาหนุ่มหมอนวดประจำตัวไปด้วย สถานะของรัศมีจันทร์ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก หลังจากที่ลุงมานอนโรงหมอสีหราชได้หลายเดือนแล้ว เธอแทบไม่มีโอกาสได้มาเยี่ยมเยียนเลย เพราะช่วงหลังๆ ลุงไม่ค่อยชอบหน้าเธอเท่าไร ส่วนสามีของเธอก็ทำตามคำสั่งของพ่อคือเหินห่างแทบไม่มองหน้ากันเลย เมื่อก่อนรัศมีจันทร์รักและเคารพป้ามาก ที่เธอมีวันนี้ก็เป็นเพราะป้าที่คอยสนับสนุนและสั่งสอน ถึงแม้เธอจะรู้ว่าตอนนั้นป้าต้องการใช้เธอเพื่อที่จะกำจัดสุทธิดาออกไปเท่านั้นเอง
มาถึงตอนนี้เธอรู้แล้วว่าป้าไม่ได้รักเธออีกแล้ว ป้าไม่อนุญาตให้เธอใช้ของต่างๆที่เป็นมรดกตกทอดมา เธอไม่เคยได้ออกงานเป็นตัวแทนของป้า เพราะป้าเลือกใช้บริการของโสภาวลีหลานในใส้ของตนเองตลอด ทำให้รัศมีจันทร์อดที่จะน้อยใจไม่ได้ขณะที่เสี่ยอูก็กำลังหลงระเริงอยู่กับเมียคนใหม่ แต่ป้าก็ไม่เคยเรียกลูกชายมาตักเตือนเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่หลานปังปอนก็เริ่มโตขึ้นทุกวัน เรื่องนี้ทำให้รัศมีจันทร์รู้ตัวดีและไม่พอใจลุงและป้าเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เธอจึงยังต้องอดทนต่อไป เพราะไม่มีทางเลือก
ตอนนี้ลิ้มหวนกลับมาคืนดีกับป้า ทั้งคู่เคยมีคนเห็นแอบนัดกันไปเจอที่โรงแรมดุสิตธานีและโรงแรมสุโขทัย ป้าบอกให้ลิ้มสบายใจได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องคดีใดๆทั้งสิ้น แต่ป้าขอให้ลิ้มสัญญากับป้าว่า จะไม่ไปมีอะไรกับใครอีก ไม่ว่าใครทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณเล็กเจ้าของโรงละครริมแม่น้ำ ที่ป้าจะกำชับเป็นพิเศษ เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา เป็นภรรยาที่ลิ้มทั้งรักและบูชา แถมไม่ค่อยกลัวเกรงป้า แต่คุณเล็กไม่อยากมีเรื่อง จึงทำเป็นว่าเลิกกับลิ้มไปแล้ว แต่ป้าก็รู้ดีว่าลิ้มติดอกติดใจผู้หญิงคนนี้มากเป็นพิเศษ ตอนนี้ลิ้มก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง แถมลุงยังบอกว่าลิ้มเป็นคนดี ช่วยครอบครัวของลุงไว้หลายครั้ง

...............

อุบารัตนน : คุณป้าอยากเป็นนางเอก

หญิงใหญ่หรือจูลี่เป็นลูกสาวคนโตของลุงที่ลุงรักมากที่สุดและก็ทำให้ลุงผิดหวังมากที่สุดเช่นกัน เป็นลูกที่ฉลาดที่สุดและมีบุคคลิกดีที่สุด ที่ลุงรักตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นเพื่อนเล่นกีฬา ตีแบดมินตันด้วยกัน ที่โด่งดังมาก คือ การแข่งเรือใบกีฬาแหลมทอง ที่กำหนดไว้ให้สองพ่อลูกได้ครองเหรียญทองร่วมกันและสร้างประวัติศาสตร์ของวันกีฬาแห่งชาติเมื่อปี 2510
ลุงได้ส่งหญิงใหญ่คนเก่งไปเรียนสถาบันเทคโนโลยี่ชื่อดังระดับโลกเอ็มไอทีที่สหรัฐ แต่หญิงใหญ่ใจแตกไปหลงเสน่ห์หนุ่มอเมริกันจนมีลูกด้วยกันสามคน และขอลาออกจากวงศ์ตระกูลเมื่อปี 2515 เชื่อกันว่าหญิงใหญ่เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในวงศ์ตระกูล เธอจบปริญญาตรีชีวเคมีที่เอมไอที และจบโทสาธารณสุขที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียยูซีแอลเอสหรัฐอเมริกา หญิงใหญ่หย่ากับนายปีเตอร์จันทร์เสนในปี 2541 และลุงแต่งตั้งเธอกลับสู่วงศ์ตระกูลอีกครั้งในปี 2544
เธอกลับมาปรากฏตัวเป็นดาวเด่นโดยเฉพาะโครงการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เน้นเยาวชนหรือโครงการนัมเบอร์วันที่มีตัวเลขสมาชิกถึง 37 ล้านคน รวมทั้งจัดรายการตอบปัญหาของเยาวชนทางโทรทัศน์ แสดงละคร แสดงภาพยนต์ ร้องเพลง ด้วยสไตล์การแต่งกายที่มีสีสรรค์นำสมัยและท้าทาย
วันที่หญิงใหญ่จูลี่มาเยี่ยมลุง คนที่โรงหมอสีหราชตื่นเต้นกันใหญ่ เธอสวยยิ่งกว่าตอนสาวๆ เป็นคนน่ารัก ใครเห็นเธอพูดจาก็จะอดขำเธอไม่ได้เพราะทำตัวเหมือนเด็ก เธอพึ่งมาจากการเปิดกล้องหนังเรื่องใหม่มายเบบี้กาก ที่เธอเป็นนางเอกใหม่ของชาคริต ว่ากันว่าเธอมีส่วนในการร่วมประพันธ์เนื้อเรื่อง เธอรับบทเอกเป็นนักข่าวสืบความลับ เกี่ยวกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ของบริษัทยาข้ามชาติที่เธอต้องรีบสืบหาเพื่อช่วยชาวโลกให้พ้นจากหายนะ
หญิงใหญ่สวมเสื้อสีเขียวผ่าอกลึกมาก กระโปรงแดง รองเท้าสีขาว ผิวพรรณมีแสงออร่า หุ่นดี เธอเคยเป็นลูกรักของลุง ตอนสาวๆ ลุงหวงเอามากๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ ชาย เมืองสิงห์เป็นนักร้องที่กำลังดังมากๆ แต่ต้องหยุดร้องเพลงกระทันหันและหนีไปอาศัยวัดเป็นที่อยู่ชั่วคราว เพราะคุณลุงขอร้อง
แล้วลุงก็ส่งหญิงใหญ่ไปเรียนเอมไอทีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี่ชื่อดังของสหรัฐ แต่เหมือนหนีเสือปะจระเข้ เพราะหญิงใหญ่ไปสร้างวีรกรรมรักกับหนุ่มอเมริกัน เป็นที่โจษจันกันมาก ลุงมารู้ทีหลังตอนที่หญิงใหญ่ตั้งครรภ์ลูกคนแรกได้ราว 3 เดือนแล้ว ตอนนั้นลุงถึงกับช็อคไปเลย ต้องนอนโรงหมอไปหลายวัน ปกติลุงสูบบุหรี่จัดอยู่แล้ว ช่วงนั้นเล่นสูบซิก้ากันเลยไม่ต่ำกว่าวันละสิบมวน และต้องกินน้ำใบบัวบกแก้ช้ำในวันละหลายแก้ว
พอเวลาผ่านไป หญิงใหญ่จูลี่ทำมาหากินอะไรไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องหอบลูกกลับมาหาคุณยายสมจิตและคุณทวดสังวอนให้ช่วยโอ้โลมพ่อของเธอให้ใจอ่อน เธอก็เทียวไปเทียวมาใช้ความพยายามอยู่หลายรอบจนลุงต้องยอมให้เธอกลับมาสู่ร่มเงาของวงศ์ตระกูลเพื่อจะได้อาศัยบารมีของลุงทำมาหากินด้วยวิธีพิเศษจนเธอกลายเป็นเศรษฐินีคนใหม่ ที่ใครต่อใครต้องสยบต่อเธอ อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ตอนแรกสามีฝรั่งนายปีเตอร์ จันทร์เสนที่ใช้ชื่อไทยว่าประสิทธิ์ได้เข้ามารับสัมปทานวางท่อแก๊สทั้งบนบกและในทะเลแถวภาคตะวันออกชลบุรี ระยอง สัตหีบ
ตอนนั้นนายปานลูกชายเสี่ยชิวชลบุรีไปปล้นเงินที่เตรียมไว้จ่ายคนงานวางท่อแก๊สถึงสองครั้ง ลุงสมชายซึ่งเป็นพ่อตาของนายปีเตอร์จึงสั่งเก็บเสี่ยชิวและลูกชายโดยให้เสธสายหยุดนักปราบคอมมิวนิสต์รับไปดำเนินการ ใช้รถกระบะ 2 คันบรรทุกชายฉกรรจ์นับสิบคนตามประกบใช้อาวุธสงครามนานาชนิดกราดยิงถล่มรถเบนซ์ของเสี่ยจิว โยนระเบิดมือเข้าใส่ช่องกระจกรถแล้วกราดยิงถล่มซ้ำจนดับคาที่หมดทั้งคัน
ต่อมานายปีเตอร์ก็นำกิจการแชร์ลูกโซ่มาเผยแพร่ในประเทศไทย โดยเป็นผู้ก่อตั้งแชร์แม่ชม้อยที่ลือลั่น ตอนที่โดนจับนางชม้อยยังพูดออกทีวีขอให้คุณประสิทธิ์ซึ่งก็คือนายปีเตอร์ จันทร์เสนสามีหญิงใหญ่ให้ช่วยเธอด้วย
ทุกวันนี้หญิงใหญ่เธอมีโครงการเบอร์หนึ่งกับพวกเด็กวัยรุ่นโดยเฉพาะพวกเด็กหนุ่มๆรูปร่างหน้าตาดีที่ทำให้เธอกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาจากวัยป้ามาเป็นวัยเดียวกันกับวัยรุ่น เธอเข็นลูกสาวของเธอฟอยไฟลิงให้เป็นดารา โดยไปทาบทามพระเอกหนุ่มหล่อระดับต้นๆ คือ ติ๊ก เจษฎา กับ แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ ที่คุณฟอยคลั่งไคล้มาก เคยไปเฝ้าถึงกองถ่าย คุณฟอยอยากเล่นคู่กับ ติ๊ก แต่สติ๊กไม่เอา เลยไปทาบทามแท่ง แท่งก็ไม่เอา หญิงใหญ่ถึงขนาดลงมาขอด้วยตัวเองแต่ก็ไม่สำเร็จ จนติ๊กและแท่งต้องตกงาน เพราะโดนแบนไปพักใหญ่ ฐานไปขัดใจหญิงใหญ่ลูกสาวลุงสมชายผู้กว้างขวางคับประเทศ
ตอนหลังลุงมารู้ว่าหญิงใหญ่แอบหนีไปเล่นหนังหวังแข่งกับแองเจลีน่าโจลี่นางเอกหนังดาราดังของฮอลลีวู้ด ทั้งๆ ที่ลุงสั่งกำชับแล้วเพราะต้องการรักษาภาพของตระกูลให้สูงส่ง แม้ว่าในชีวิตจริงลุงก็เป็นนักดื่มตัวยงและเป็นสิงห์อมควันมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ที่จริงครอบครัวของลุงก็ไม่ได้ดีไปกว่าครอบครัวทั่วๆไป เพียงแต่ลุงมีกฎระเบียบห้ามใครวิจารณ์โดยเด็ดขาดเท่านั้นเอง
ตอนที่หญิงใหญ่ไปถ่ายหนังแถวเมืองทองธานีก็จะมีการปิดถนนแบบเต็มอัตราใช้กำลังทั้งทหารและตำรวจคอยอารักขานางเอกรุ่นคุณป้าดาราสุดพิเศษคนนี้ กำหนดเวลาตอนสี่โมงเย็นแต่กว่าเธอจะมาก็ต้องหลังพระอาทิตย์ตกดินเพราะเธอห่วงสวยมาก มาทีไรก็สายทุกที เธออยากจะทำอะไรก็ได้ไม่มีใครกล้าว่าเธออยู่แล้ว ชอบแต่งกายหวือหวาชวนตื่นตาเร้าใจ การถ่ายทำที่เมืองทองธานีกว่าจะเสร็จก็เกือบตี 2 หลายคนต้องทนลำบากเพื่อการเป็นนางเอกหนังของเธอ เวลาแสดงก็ต้องถ่ายใหม่หรือเทคบ่อย เธอเล่นนอกบทตลอด พระเอกชาคริตทำหน้าบอกบุญไม่รับ แต่ก็ต้องทนเพราะไม่อยากตกงานแบบรุ่นพี่ที่เคยโดนมาแล้ว
หนังฟอร์มใหญ่เรื่องมายเบบี้กาก มีผู้สนับสนุนใหญ่มากมาย ตั้งแต่การสื่อสาร การท่องเที่ยว การบินไทย ปตท. ซึ่งล้วนเป็นกิจการของรัฐ ที่ไม่มีส่วนได้ประโยชน์อะไรจากหนังเรื่องนี้เลย บางหน่วยงานก็ขาดทุนตลอดกาลอยู่แล้ว ข่าวว่าขนาดแจกตั๋วฟรียังไม่มีคนไปดู ทั้งๆที่ขนดาราชายระดับแนวหน้ามาตั้งหลายคน ดูๆไป คล้ายกับคนไม่เจียมสังขาร ถ้าใช้เงินของตนเองก็คงไม่มีใครว่า แต่การที่อยากเด่นอยากดังด้วยการถลุงเงินราชการ หรือไปบังคับกะเกณฑ์กึ่งรีดไถ ทำให้น่าเกลียดและน่าดูถูกมากๆ
มีรายงานสรุปว่าหนังเรื่องมายเบบี้กากซึ่งทุ่มทุนสร้างมากกว่า 100 ล้าน หลังจากเข้าฉายครึ่งเดือนแรก ได้เงินเพียง 7.2 ล้าน แม้จะไม่ค่อยมีคนดู แต่ก็ยังต้องทนฉายต่อไป บางโรงต้องทนฉายเป็นเดือน ทั้งๆที่ได้จัดงานเปิดฉายรอบแรกใหญ่โตมากโดยหญิงกลางไปเป็นประธานเปิดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2552 โฆษณาใหญ่โตว่าเป็นหนังบู๊ที่มีสาระ ระดับฟอร์มยักษ์ ทุ่มทุนสร้างกว่า 100 ล้าน ฝีมือคนไทย นำแสดงโดยหญิงใหญ่นางเอกวัยดึก และนักแสดงหนุ่มหล่อแถวหน้าของวงการบันเทิงแถมมีพระเอกฮ่องกงชื่อดังร่วมสมทบอีกด้วย
เสี่ยอู : ลูกไม่รักดีขนานแท้
ลุงและป้าส่งเสี่ยอูไปเรียนชั้นประถมและมัธยมที่โรงเรียนประจำในประเทศอังกฤษ พอเป็นหนุ่ม ลุงและป้าส่งให้ไปเรียนที่วิทยาลัยการทหารเวสปอยต์ที่สหรัฐโดยหวังว่าเสี่ยคงจะได้เป็นนายร้อยติดดาวบนบ่ากลับมาให้พ่อแม่ได้ชื่นใจและสานฝันให้เป็นจริง เพราะก่อนหน้านี้ลุงกับป้าต้องผิดหวังกับหญิงใหญ่จูลี่ลูกสาวคนโตที่ลุงหวังใจว่าเธอจะไปคว้าใบปริญญาสาขานิวเคลียร์ฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี่แมสสาจูเสทหรือเอ็มไอทีที่โด่งดังของสหรัฐ
แต่หญิงใหญ่ก็ทำให้ผิดหวัง เพราะใจแตกมีสามีอเมริกันจนมีลูกถึงสามคน ในที่สุดก็ต้องบากหน้ากลับมาพึ่งพ่อแม่ไปไหนไม่รอด เสี่ยอูจึงเป็นความหวังที่สองที่จะสานฝันให้ลุงและป้า เพราะทั้งสองท่านไม่มีโอกาสเล่าเรียนจบเป็นบัณฑิตเนื่องจากช่วงนั้นลุงต้องไปเก็บตัวให้พ้นคดีและไปประสบอุบัติเหตุขับรถชนบาดเจ็บสาหัสต้องเสียตาข้างขวา ส่วนป้าก็ต้องรีบผูกมัดแต่งงานกับลุงตามแผนที่ครอบครัวของป้าวางไว้ขณะที่อายุแค่ 18 ปีไม่ทันเรียนจบวิชาพยาบาลด้วยซ้ำ
แต่เสี่ยอูก็ทำให้ลุงผิดหวังซ้ำสอง เพราะนอกจากจะไม่สามารถเรียนให้จบเพื่อคว้าดาวมาติดบนบ่าได้แล้ว ยังไปสร้างวีรกรรมนอกลู่นอกทาง ชกต่อย เกเร ไม่ยอมเชื่อฟังครูบาอาจารย์ ไม่ยอมเข้าเรียนจนทางวิทยาลัยต้องเชิญผู้ปกครองมาพบและให้ออก เสี่ยจึงต้องย้ายไปเรียนที่ใหม่ที่วิทยาลัยทหารดันทรูนของออสเตรเลียและเรียนจนจบแบบไม่ค่อยสมบูรณ์ คือแทนที่จะได้เป็นนายร้อยติดดาวบนบ่า แต่ทำได้แค่เป็นจ่าติดบั้ง จนมีชื่อเล่นว่าจ่าห้าว
ก็เหมือนกับลุงและป้า แต่ด้วยอำนาจบารมีที่มีมากล้นฟ้าทำให้ลุงกับป้ามีใบปริญญารวมกันได้หลายกิโลเพราะลุงก็มีร้อยกว่าใบ ว่ากันว่าลุงมีใบปริญญามากที่สุดในโลกทั้งๆที่ลุงไม่เคยจบปริญญาตรี มีครั้งหนึ่งลุงเคยได้ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วันเดียวถึงสิบใบ
ลุงสมชายได้แต่งตั้งเสี่ยอูเป็นทายาทเมื่ออายุครบ 20 ปี ในปี 2515 และได้เรียกเสี่ยอูกลับมาช่วยปราบปรามนักศึกษาในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ด้วยการเชื้อเชิญให้จอมพลถนอมกลับเข้ามาบวชที่วัดบวรนิเวศน์ ลงท้ายสร้างเรื่องว่านักศึกษาแสดงละครแขวนคอลบหลู่เสี่ยอู ให้ลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง ตชด.และตำรวจนครบาลเข้าทำการล้อมฆ่าในธรรมศาสตร์
เพื่อกำจัดอิทธิพลความคิดสังคมนิยมที่กำลังแผ่ขยายเข้ามา โดยปลายปีก่อนหน้านั้นพรรคประชาชนปฏิวัติลาวได้รับชัยชนะโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ลาวในวันที่ 2 ธันวาคม 2518
หลังจากที่เสี่ยอูได้แค่บั้งระดับจ่าหรือนายสิบกลับมาจากเมืองนอกได้ไม่นาน แต่เนื่องจากเป็นลูกของผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินจึงต้องมีหน้ามีตา แค่เข้ารับการฝึกพอเป็นพิธีและใช้เวลาไม่กี่ปีก็ได้ตำแหน่งสูงสุดในทุกเหล่าทัพโดยง่ายดาย รวมไปถึงใบขับขี่เครื่องบิน ที่เพิ่งได้เมื่อปี 2549 ในวัยที่ใกล้เกษียณเต็มทีแล้ว ถึงแม้ว่าจ่าจะช้ากว่าคนทั่วไปถึง 20 กว่าปี เพราะคนที่ได้ใบอนุญาตขับเครื่องบินมักจะอยู่ในวัย 30 ต้นๆ เท่านั้น แต่ที่แปลกก็คือเสี่ยได้เป็นครูสอนนักบิน ในปี 2552 ทั้งๆที่เพิ่งจบและยังไม่มีความชำนาญ
เสี่ยอูก็เป็นชายชาตินักรบที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักมาพอสมควร สมัยหนุ่มๆ เสี่ยเป็นคนที่ดูแลตัวเองได้ดี ชอบออกกำลังกายวิ่งจ็อกกิ้ง เข้ายิมเพื่อออกกำลังกายเป็นประจำ จึงมีรูปร่างดี
แต่ภาพของเสี่ยอูในช่วงหลัง กลับเป็นภาพของชายวัยใกล้เกษียณที่อมโรค โหนกแก้มยกสูง แก้มตอบ สีผิวบนใบหน้าหมองคล้ำ เนื้อที่บริเวณขมับยุบตัวลง ผิวหนังตามลำตัวเหี่ยวย่น เอ็นขึ้นตามหลังมือ รูปร่างซูบ ผอมโกรก เหมือนคนตายซาก ข่าวลือที่ว่าเสี่ยอูเป็นโรคเอดส์หรือปล่า ไม่มีใครยืนยัน แต่คนใช้บ้านนั้นบอกว่า เสี่ยต้องกินยาตรงเวลาทุกวันเช้า-เย็น กินมานานหลายปีแล้ว จะต้องมีคนเตือนให้กินยาตลอด ห้ามลืมเป็นอันขาด เมื่อไปรักษาโรคเลือดกับหมอที่เยอรมัน ต้องรับเลือดใหม่อย่างเดียว ข่าวว่าเสี่ยมีเชื้อเอชไอวีแต่ได้กินยาเพิ่มภูมิต้านทานเป็นประจำ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน
เมื่อก่อน ตอนดึกๆ เสี่ยจะสวมเสื้อกล้ามสีดำ คาบไปบ์ ขับรถเบนซ์สองที่นั่ง สีดำ แอบไปเที่ยวกลางคืนเป็นการส่วนตัว โดยมีตำรวจท้องที่ประสานงานดูแลรับผิดชอบเรื่องถนนหนทาง ถ้ามีปัญหาไม่สะดวกหรือรำคาญตาก็มีสิทธิ์โดนย้ายภายใน 24 ชั่วโมง
เสี่ยอูเดินตามรอยเท้าพ่อแม่คือเรียนไม่จบปริญญาไม่ได้เป็นบัณฑิต แต่กลับเดินสายเที่ยวแจกปริญญาให้คนที่เรียนจบเป็นบัณฑิต โดยได้ค่าหัวคนละหลายร้อยบาท ทั้งปีก็รวมแล้วได้ไปหลายสิบล้านบาท แถมยังได้อบรมสั่งสอนให้โอวาทส่งท้าย
ลุงสมชายกับกับป้าสมจิตก็ได้รับแจกปริญญามาไม่ต่ำกว่า 10 กระบุงแบบไม่ต้องไปเรียนให้เสียเวลา ส่วนลูกๆก็ได้ปริญญาเกียรตินิยมล่วงหน้า ทั้งๆที่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ไปเรียน เพราะการไปเรียนแต่ละครั้งเป็นเรื่องโกลาหลที่ทำให้อาจารย์และนักศึกษาต้องลำบากกันทั้งมหาวิทยาลัย อย่างมากก็แค่ไปเพื่อถ่ายรูปพอเป็นพิธี
มีครั้งหนึ่งที่พลเอกชายชาติได้รับมอบปริญญาเอกจากลุง แต่พลเอกชาติชายไม่เอาเพราะไม่ได้มีความรู้ในสาขานั้นเลย ผิดกับลุงและป้าที่ไม่เคยปฏิเสธเลย ทำเป็นอัจฉริยะมีความรอบรู้ในทุกเรื่อง
งานอดิเรกเพื่อหารายได้พิเศษอย่างหนึ่งของเสี่ยอูที่ทราบกันในวงการหวยใต้ดินคือการเป็นคนบงการล้อคเลขสลากกินแบ่งเพื่อเอาไปซื้อหวยใต้ดินหารายได้พิเศษ เสี่ยอูจึงสามารถบอกเลขที่จะออกรางวัลได้แม่นยำกว่าพระหรือสำนักทรงเจ้าทุกแห่งทั่วประเทศ เรื่องนี้วงการหวยใต้ดินทราบกันดี รวมทั้งการที่หวยมักออกตัวเลขที่แสดงความศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหารย์ที่เกี่ยวโยงกับลุงสมชายในโอกาสสำคัญๆที่มักจะปรากฏข่าวให้เป็นที่ฮือฮากันเป็นประจำ
เสี่ยอูมีตำแหน่งเป็นทายาทอย่างเป็นทางการ แต่ยิ่งนานวันไปเสี่ยอูยิ่งทำท่าถอดใจมากขึ้น เพราะลุงไม่มีทีท่าว่าจะลงจากเก้าอี้และก็คงไม่เสียชีวิตง่ายๆเพราะลุงเล่นยึดเอาโรงหมอที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดเป็นบ้านถาวร เสี่ยเคยบ่นให้คนใกล้ชิดฟังว่าตนเองคงเป็นได้แค่ทายาทที่แก่ที่สุดในโลก ขณะที่เสี่ยต้องไปรักษาตัวที่เยอรมัน ถ่ายเลือด และกินยาจนมีอาการข้างเคียงอย่างที่เห็น และวัคซีนที่ทดลองใช้ก็มีผลออกมาไม่ค่อยดี ปังปอนก็เป็นเรื่องที่เสี่ยเริ่มกังวล หลังจากที่เสี่ยได้ให้หมอฝีมือดีอย่างหมอจงเจตน์แห่งโรงพยาบาลเจตนินย่านชิดลม เป็นคนทำกิฟท์ โดย ล้างเชื้อโรค คัดเชื้อเลือกเพศชาย ฉีดเชื้อเข้าท่อนำไข่ และทำคลอด
แต่ผลลัพธ์ คือ ปังปอนกลายเป็นเด็กที่มีความผิดปกติทางสมอง ที่ชาวบ้านเรียกว่า เด็กเอ๋อ ข่าวว่าเสี่ยอูรับไม่ได้ เลยเนรเทศหมอจงเจตน์ไปอยู่ต่างประเทศจนกระทั่งได้มาแก้ตัวเรื่องทำกิฟท์ให้น้องนุ้ย จึงได้มีโอกาสกลับมา ภายในเวลา 5 ปี หมอคนนี้ เลื่อนจากพ.ต.อ.มาเป็น เป็นพล.ต.ท.แสดงให้เห็นถึงบารมีของเสี่ยในการแต่งตั้งนายตำรวจ จนเคยทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจได้ในช่วงปี 2552
เสี่ยอูอยากส่งปังปอนเข้าเรียนที่โรงเรียนจิตรลดา แต่ทางโรงเรียนไม่อยากรับ เพราะกลัวจะเรียนไม่ทันเพื่อน เสี่ยต้องส่งไปเรียนที่เยอรมัน แต่เขาก็ไม่รับ สุดท้ายต้องบังคับให้โรงเรียนจิตรลดารับจนได้ พร้อมทั้งเตรียมทำป้ายนักเรียนดีเด่นระดับเหรียญทองไว้ให้ล่วงหน้า ทั้งๆที่ปังปอนตอนอายุ 4 ขวบ ครึ่ง ยังอมนิ้วมือตัวเองตลอดเวลา เวลาเดินชอบเดินด้วยปลายเท้า กระโดดไปกระโดดมา พอคนอื่นพูดก็จะชอบพูดตาม ตำรวจที่รับใช้เล่าว่า ถ้าปังปอนโตกว่านี้หน่อยจะให้ไปฝึกขี่ม้าที่บางขุนเทียนกับตำรวจม้า เพื่อไปฝึกการทรงตัวและฝึกสมาธิ
เสี่ยอูได้บอกกับทูตของสหรัฐเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 ว่าหากไม่มีลุงสมชายประเทศไทยอาจเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบดังเช่นที่เคยเป็นในสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ลุงสมชายได้ช่วยปกป้องประเทศไทยและอดีตนายกรักสินเป็นเผด็จการที่ขึ้นสู่อำนาจโดยการเลือกตั้ง สะท้อนให้เห็นความคิดทางการเมืองที่ล้าหลังของเสี่ยอู ทั้งๆที่เสี่ยอูได้รับการอุปถัมภ์ทางการเงินจากนายกรักสินหลายครั้ง แต่ก็ยังต้องขึ้นกับคำสั่งของลุงสมชายและป้าสมจิตในทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องการแต่งงานและคู่ครองที่เปลี่ยนมาแล้วหลายครั้งหลายหน หม่อมอุ๋ยได้บอกท่านทูตสหรัฐว่าที่เสี่ยอูมีรูปร่างผอมเกร็งเพราะสวมเครื่องรัดรูปไม่ได้เป็นเอดส์อย่างที่ลือกัน
เสี่ยอู ผู้ไม่เกรงใจใคร
เสี่ยต้องการให้ลุงโอนทรัพย์สินบางส่วนให้เป็นของเสี่ย เช่น บ้านหลังใหญ่ตามหัวเมือง และของสะสมมีค่า พวกวัตถุโบราณต่างๆ ลุงไม่ยอมให้ทั้งหมดแต่ให้เสี่ยนำของโบราณบางอย่างเช่นเสาโคมไฟกินรีที่ถนนราชดำเนินเอาไปตกแต่งบ้านของรัศมีจันทร์ภรรยาใหม่ ซึ่งเสี่ยได้เคยทำมาแล้วหลายครั้ง บางทีก็ไปเอาของในวัดพระแก้วแล้วก็ทำของเทียมวางไว้แทน
เมื่อหลายปีก่อนช่วงที่เสี่ยยังอยู่กับสุทธิดา ที่คฤหาสน์นนทบุรี เสี่ยไล่ยึดที่ดินของชาวบ้านบริเวณนั้น โดยไม่มีการจ่ายเงินค่าเวณคืน แต่ชาวบ้านไม่มีใครกล้าปริปาก
การสร้างบ้านหลังใหญ่ของเสี่ยให้บรรดาเมียๆทั้งหลาย จะมีการทยอยสร้างและค่อยๆขยายพื้นที่ออกไป แต่มีชาวบ้านที่เป็นมุสลิมบางส่วนไม่พอใจเสี่ย ทั้งยังไม่กลัวและไม่เคยเคารพศรัทธาอยู่แล้ว จึงไม่ยอมและรวมตัวกันยื่นหนังสือร้องเรียนลุง ลุงจึงสั่งให้เสี่ยระงับการกระทำดังกล่าว ทำให้เสี่ยไม่พอใจมาก แต่หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ชุมชนมุสลิมดังกล่าว ตำรวจไม่สามารถจับผู้วางเพลิงได้ ชาวบ้านละแวกนั้นทราบดี แต่ทำอะไรไม่ได้
หลังจากนั้นเสี่ยก็มักทำอะไรโดยที่ไม่ฟังเสียงทัดทานหรือเกรงใจลุงอีกต่อไป
ต่อมาเสี่ยต้องการที่ดินใกล้คฤหาสน์นนทบุรี เพื่อสร้างท่าเรือและที่เก็บเรือหรูของเสี่ย แต่ที่ดินผืนที่ติดกันเป็นที่ดินของวัดที่อยู่ไม่ไกลจากตัววัดชลประทาน ตามข่าวว่ามีโบสถ์หรือเจดีย์เก่าอยู่ด้วย เสี่ยถูกต่อต้านอย่างหนัก จากพระปัญญาและพระลูกวัด แต่เสี่ยไม่ฟังเสียง ยังไงก็จะเอาให้ได้ และไม่พอใจพระปัญญา หาว่าท่านเป็นตัวตั้งตัวตี ถึงขนาดไปทะเลาะกับพระ และใช้กำลังยึดเอาที่ดินแปลงนั้น สั่งรื้อถอนศาลเจ้าพ่อเสือ และเอาของในวัดมาปลูกสร้างใหม่ในที่ดินใกล้ๆกัน
ทำให้พระปัญญาเสียใจมาก ถึงขนาดเอ่ยปากว่า ใครที่มีจิตใจชั่วช้า ทำกับสถานที่เก่าแก่แห่งนี้ เพียงเพื่อต้องการสนองกิเลส บาปกรรมจะตกถึงตัว และคนในครอบครัว ต่อมาเสี่ยก็ได้ครอบครองที่ดินผืนดังกล่าว เพียงเพื่อเอามาสร้างที่เก็บเรือและท่าขึ้นเรือ
ช่วงที่เสี่ยประกาศเลิกกับสุทธิดามีการตั้งเต็นท์ นำเอาของใช้ของสุทธิดามาเผาประจานที่หน้าคฤหาสน์นนทบุรี เป็นที่ฮือฮาไปทั้งจังหวัด เป็นไปตามคำสั่งของลุงเพราะสุทธิดาไปพลาดท่าโดนจับเรื่องลักลอบขนแป้งที่อังกฤษ จึงต้องรีบตัดตอนไม่ให้เกี่ยวโยงมาถึงธุรกิจของลุงและครอบครัว และถือโอกาสไล่ลูกสะใภ้ที่ลุงถือว่าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำที่เคยมีสามีมาแล้ว
หลังจากเลิกรากับสุทธิดาแล้ว เสี่ยอูมักยึดเอาทรัพย์สมบัติและของมีค่าของส่วนรวม รวมทั้งของเก่าของโบราณในวัดพระแก้วไปเป็นสมบัติส่วนตัว เอาไปประดับบ้านหลังใหม่ที่สร้างไว้อยู่กับรัศมีจันทร์ โดยทำของเลียนแบบแทนของจริงที่ไปเอามา บางส่วนยังเอาไปตกแต่งให้ฟู่ฟ่าสุนัขตัวโปรด เป็นสุนัขพุดเดิ้ลตัวผู้ที่ผู้ขายยกให้ศิริวารีตอนไปเที่ยวตลาดนัดจตุจักรเมื่อปี 2540
เสี่ยรักฟู่ฟ่ามาก เสี่ยมีอะไรฟู่ฟ่าก็จะต้องมีเหมือนเสี่ย เสี่ยมี ชุดพลร่ม ฟู่ฟ่าต้องมีเหมือนกัน เสี่ยเป็นกัปตันขับเครื่องบิน ฟู่ฟ่าก็ได้เป็นกับตันขับเครื่องบินและมีชุดกัปตันเหมือนกัน แถมมียศมีเงินเดือนเหมือนกัน ข่าวว่ามียศระดับร้อยโท แถมมีบ้านส่วนตัวอย่างดีหรูหรา โดยมีทีมเลี้ยงอยู่ 2ทีม ผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ ทุกคนต้องปฏิบัติต่อฟู่ฟ่าเหมือนเป็นเจ้านายชั้นสูง ต้องหมอบคลานกราบไหว้ และกินอาหารที่สั่งจากเมืองนอกด้วย วันที่ 15 มิถุนายน เป็นวันคล้ายวันเกิดของฟู่ฟ่า จะมีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ มีการให้ฟู่ฟ่ามากินอาหารร่วมกับคนรับใช้ของเสี่ย และห้ามใครตีหรือทำร้ายฟู่ฟ่าเด็ดขาดมิฉะนั้นจะต้องโดนลงโทษอย่างหนัก
รัศมีจันทร์ได้บอกทูตสหรัฐว่าฟู่ฟ่าได้รับชั้นยศเป็นพลอากาศเอก ถูกนำออกมาแสดงตัวในงานโดยแต่งตัวเป็นทางการในชุดสำหรับงานราตรีที่ครบเครื่องโดยมีถุงครอบอุ้งเท้า และในตอนหนึ่งขณะที่วงดนตรีกำลังเล่นเพลงที่สอง ฟู่ฟ่าก็กระโดดขึ้นบนหัวโต๊ะและเริ่มเลียน้ำจากแก้วของแขกในงาน รวมทั้งของท่านทูตสหรัฐด้วย ท่ามกลางความตกตะลึงของแขกจำนวนกว่า 600 คนในงาน และยังเป็นที่กล่าวขานเรื่อยมา

...............

สิรินเทพ : เธอคือความหวังเดียวของตระกูล

หญิงกลางหรือสิรินเทพ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2498 ชื่อเล่น น้อย เป็นลูกสาวคนกลาง จึงอาจขาดการเหลียวแลจากลุงและป้า เพราะลุงรักลูกสาวคนโตหญิงใหญ่อุบลรัตนานน ขณะที่ป้ารักลูกสาวคนเล็กจุฬาพอง ตอนจบประถม 7 ได้คะแนนสูงสุดของประเทศ ถึง 96.6% เรียนเก่งทุกวิชา มีความสามารถทุกด้านตามแบบลุงสมชาย ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้เป็นที่หนึ่งของประเทศแผนกศิลปะ ปี 2515 ด้วยคะแนน 89.3%
หญิงกลางแม้จะเป็นหญิงแต่ก็ขยันอดทน ตามลุงและป้าเดินทางไปเยี่ยมราษฎรทุกหนแห่ง จนแทบจะไม่มีเวลาเรียนหรืออ่านหนังสือ
บางทีพอมีเวลาบ้างก็จะหอบหิ้วตำรับตำราสารพัดจำนวนมากพะรุงพะรังจนเป็นที่สะดุดตาเป็นพิเศษ เนื่องจากนิสิตทั่วๆไป มักถือสมุดหนังสือกันคนละไม่กี่เล่มเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ต่อมาได้เข้าเรียนคณะอักษรศาสตร์ ทั้งๆที่ไม่ค่อยมีเวลาเรียนแต่ก็สอบได้เป็นที่หนึ่งทุกปี จนถึงปีสุดท้ายได้เกรด 3.98 เป็นที่หนึ่งของคณะอักษรศาสตร์ เช่นเคย ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากลุง และรางวัลเหรียญทองในฐานะที่สอบได้ที่หนึ่งมาทุกปี
ระหว่างเรียนก็เล่นดนตรีไทยได้หลายชนิดโดยเฉพาะซอด้วง เคยเป็นผู้แทนคณะอักษรศาสตร์ แข่งขันกลอนสดระหว่างคณะในมหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลชนะเลิศ เป็นคนที่รอบรู้ในวิชาการ ต่างๆ เช่น ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษาไทย และภาษาตะวันออก เป็นอย่างดี และเรียนปริญญาโททั้งที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬา และคณะโบราณคดี ศิลปากร วิชาบาลีสันสกฤต และวิชาจารึกภาษาตะวันออก ทั้งสองมหาวิทยาลัยพร้อมกัน
พอจบโททั้งสองแห่งได้เรียนต่อปริญญาเอกสาขาวิชาพัฒนศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ โดยผ่านการสอบคัดเลือกอย่างยอดเยี่ยมด้วยคะแนนเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาผู้เข้าสอบทั้งหมด และสอบผ่านวิทยานิพนธ์อย่างยอดเยี่ยม ในระดับปริญญาเอก เมื่อปี 2529
หญิงกลางได้เป็นตัวแทนของลุงและป้าไปเยี่ยมเยียนหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ที่ไปมากที่สุดถึง 20 ครั้ง ครบทุกมณฑลของจีน จนได้ชื่อว่าทูตสันถวไมตรีไทย-จีน และยังเรียนภาษาจีนตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา
เคยไปศึกษาภาษาและวัฒนธรรมจีนเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน เป็นเวลา 1 เดือนเมื่อปี 2544
เรียนการเล่นซอสองสายซอเออร์หูของจีน เรียนการเขียนลายภาษาจีน การวาดภาพแบบจีน และฝึกรำมวยไทเก๊ก สร้างความซาบซึ้งแก่ชาวจีนจนได้รับรางวัลเป็นมิตรที่ดีที่สุดในโลกของชาวจีนเป็นอันดับที่สอง
เป็นรองแค่นายฮวน อันโตนิโอ ซามารานซ์(Juan Antonio Samaaranch) อดีตประธานโอลิมปิกสากล ชาวสเปน ผู้สนับสนุนให้จีนได้จัดกีฬาโอลิมปิกปี 2008 ทั้งๆที่ครอบครัวลุงสมชายเคยเป็นปฏิปักษ์กับจีนอย่างรุนแรงในยุคสงครามเย็นปลุกฝีคอมมิวนิสต์
สิรินเทพได้ติดตามลุงและป้าเดินทางไปเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ต่างๆด้วยความขยันอดทนทั้งๆที่เป็นผู้หญิง เพราะพี่ชายคือเสี่ยอูและพี่สาวคือหญิงใหญ่ได้ไปเรียนต่างประเทศ ภาระจึงตกแก่หญิงกลางผู้ขยันขันแข็งและอดทน ทั้งยังรับผิดชอบมูลนิธิสายใยไทยที่ดูแลทหารตำรวจ สภากาชาด ทุนการศึกษาหลวง
ลุงสมชายได้แต่งตั้งให้มีฐานะเท่าเสี่ยอู เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2520 นับเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีฐานะเดียวกับทายาทผู้สืบทอดอำนาจ หญิงกลางยังทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนนายร้อยทหารเพื่อปูฐานอำนาจทางทหาร และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการพิเศษโรงเรียนนายร้อยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2553
หญิงกลาง มีแววเป็นทายาททางการเมืองของลุงสมชาย เพราะได้รับมอบหมายงานสำคัญทั้งในและนอกประเทศที่สำคัญหลายอย่าง
โดยเฉพาะการดูแลทรัพย์สิน หุ้น ที่ดิน ห้างร้าน องค์กรสร้างบารมีต่างๆ เช่น ทุนการศึกษา มูลนิธิ กาชาด เนื่องจากเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ อัธยาศรัยดี รู้จักการสร้างบารมี และให้เป็นตัวแทนติดต่อสร้างความสัมพัน์ระหว่างประเทศ รวมทั้งมหาอำนาจจีน และเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดคือ ลาว เป็นตัวแทนของลุงและป้าในงานสำคัญๆและพิธีการสำคัญๆรวมทั้งการแจกปริญญา
อย่างไรก็ตาม ทายาทที่จะสืบทอดอำนาจของลุงยังเป็นเสี่ยอูตามระเบียบประเพณีที่มีมานาน
วีรกรรมของหญิงกลาง
หญิงกลางทำหน้าที่ของสมาชิกในตระกูลเหมือนลูกคนอื่นๆ คือ เมื่อตอนสาวๆก็เดินสายแจกธงพวกลูกเสือชาวบ้านให้ทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ครอบครัวลุงสมชาย คอยเยี่ยมเยียนให้กำลังใจพวกลูกเสือชาวบ้านและทหารตำรวจที่ปราบปรามกวาดล้างศัตรูของครอบครัว แบบเดียวกับที่ป้าสมจิตและหญิงเล็กไปงานศพน้องโบว์วีรชนของพวกเสื้อเหลือง
บทบาทที่เด่นมากคือการออกโรงสร้างข่าวทำลายการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเสื้อแดง ที่ปรากฏเป็นข่าวคือ วันที่ 20 เมษายน 2553 ให้ตำรวจนครบาลขอให้กลุ่มเสื้อแดงร่นพื้นที่ชุมนุม เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ใกล้กับคฤหาสน์สระปทุมของหญิงกลาง ให้ผู้ว่ากทม.ไปเตือนเสื้อแดงว่าการกระจายเสียงของการชุมนุมเข้าไปถึงห้องนอนของหญิงกลาง
วันที่ 26 เมษายน 2553 หญิงกลางได้บอกผ่านรัฐมนตรีศึกษาของพรรคประชาธิปัตย์แสดงความห่วงใยนักเรียนในพื้นที่การชุมนุมของพวกเสื้อแดง เพื่อให้รัฐมนตรีนำมาชี้แจงต่อผู้บริหารและครูอาจารย์ เพื่อขยายผลให้เกิดภาพที่ไม่ดีต่อการชุมนุมของเสื้อแดง ก่อนการล้อมปราบประชาชนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ หญิงกลางได้เดินทางไปให้กำลังใจแพทย์และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจุฬา ในช่วงที่พวกเสื้อแดงขอเข้าตรวจค้นเพราะมีทหารแอบซุ่มใช้สถานที่โรงพยาบาลจุฬาดักยิงประชาชน
หญิงกลางได้ไปเยี่ยมสังฆราชและสั่งให้ย้ายสังฆราชจากโรงหมอจุฬาไปโรงหมอศิริราช ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ แต่เพื่อให้เป็นข่าวให้เห็นว่าพวกเสื้อแดงคุกคามโรงพยาบาลและผู้ป่วย ทั้งยังส่งกาชาดไทยเข้าดูแลวัดปทุมวนารามเพื่อกันไม่ให้กาชาดสากลเข้าไปสังเกตการณ์ บทบาทที่สำคัญมากก็คือการเข้าร่วมประชุมผู้บัญชาการหน่วยรบระดับกองพันที่ค่ายราบ 11 พร้อมป้าสมจิตระหว่างเวลาตีสองถึงตีสี่ช่วงย่างเข้าวันสังหารประชาชน 19 พฤษภาคม 2553

...........

หญิงเล็ก : ผู้เปล่าเปลี่ยวตลอดเวลา
หญิงเล็กจุฬาพอง เกิดเมื่อ 4 กรกฎาคม 2500 เรียนชั้นประถมและมัธยมที่โรงเรียนจิตรลดา จบเคมีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เนื่องจากเธอเรียนเก่งมากทั้งๆที่ไม่ค่อยมีเวลาเรียนและเป็นโรคแพ้สารเคมี แต่ได้รับรางวัลเรียนดีตลอดระยะเวลา 4 ปีการศึกษา ด้วยคะแนนยอดเยี่ยม มหาวิทยาลัยมหิดลจึงอนุมัติให้เธอเรียนปริญญาเอกโดยไม่ต้องเรียนปริญญาโท แถมเธอยังเข้าห้องทดลองแม้ว่าจะเป็นโรคแพ้สารเคมี และจบปริญญาเอกสาขาเคมีอินทรีย์ในปี 2528 ได้เป็นศาสตราจาย์ดอกเตอร์เป็นอาจารย์พิเศษสอนที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
หญิงเล็กเป็นทั้งโรคซึมเศร้าและโรคลมชักหรือลมบ้าหมู เป็นคนไม่ค่อยแข็งแรง บอบบางอ่อนแออ้อนแอ้นแต่ไม่น่ารัก แถมกระเดียดไปทางน่ากลัว ไม่มีเสน่ห์ หาสามียาก วันดีคืนดีก็นั่งรถเข็นทำตัวเป็นคนพิการแบบไม่มีสาเหตุ ป้าสมจิตเคยให้สัมภาษณ์ว่าหญิงเล็กมีปอดทำงานได้เพียง 65% จึงต้องอาศัยหายใจทางปาก ต้องอ้าปากตลอดเวลา ทำให้เหนื่อยง่ายและร่างกายซูบผอม ดังนั้นเธอจึงก่อตั้งสถาบันวิจัยโรคมะเร็งและภูมิแพ้ รวมทั้งโรคลมชักหรือลมบ้าหมู เพื่อค้นคว้ารักษาตัวเองและถือเป็นการสร้างกุศลการสะเดาะเคราะห์ให้ตนหายจากโรคที่เป็นอยู่
เมื่อตอนวัยรุ่น หญิงเล็กชอบนักเรียนนายร้อยทหารเรือคนหนึ่ง ขนาดตามง้อกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฝ่ายชายต้องหนีไปเรียนต่างประเทศกับแฟน ลูกสาวหัวหน้ากองเรือยุทธการ
พอผิดหวังก็พยายามหาแฟนจนมีนายพลทหารอากาศประธานบริษัทการบินเกลี่ยกล่อมลูกชายที่เป็นทหารอากาศให้อาสามาเป็นสามีหญิงเล็ก ซึ่งนับเป็นโชคดีที่สุดในชีวิตรักของหญิงเล็กผู้มักผิดหวังในเรื่องความรักเป็นประจำ
หญิงเล็กเป็นคนเรื่องมากเอาใจยาก จะหยิบจับจำทำอะไรเป็นต้องใช้คนอื่นตลอด เป็นคุณหนูขี้โรค ตอนที่เธออยู่กับลีลายุทธขณะที่เป็นทูตทหารที่สหรัฐหลายปี ก็ทะเลาะกันบ่อยเพราะเธอเป็นคนหงุดหงิดง่ายเอาแต่ใจตนเองคอยให้คนอื่นต้องปรนนิบัติรับใช้ตลอดเวลา
ที่แย่กว่านั้นคือเธอแอบไปมีสัมพันธ์กับหมอโรคหัวใจลูกนายตำรวจใหญ่ช่วงที่อยู่ลอนดอน ลูกสาวคนเล็กเห็น จึงไปฟ้องลีลายุทธผู้เป็นพ่อทำให้ลีลายุทธเหลืออด ลงมือลงแข้งจนหญิงเล็กซี่โครงหัก พอเสี่ยอูรู้ว่าลีลายุทธ์บังอาจทำร้ายน้องสาวขี้โรคของตน ก็จัดการซ้อมลีลายุทธปางตาย จนลูกสาวคนเล็กของลีลายุทธต้องมาห้าม ขอชีวิตพ่อไว้ ทำให้ลูกสาวเธอเลือกที่จะอยู่กับพ่อที่อเมริกา และเธอเกลียดทั้งแม่และลุงเสี่ยมาก ข่าวว่าลีลายุทธจะย้ายกลับมาเมืองไทยแบบถาวรปลายปี 2552 คงได้ขออนุญาตเสี่ยอูไว้แล้ว
ตอนที่หญิงเล็กไปผ่าตัดไส้ติ่งที่โรงหมอสีหราช เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เธอได้พบหลวงตามัว คงถูกชะตากัน หลวงตามัวจึงรับเป็นพ่อบุญธรรม เธอก็ไปนั่งปฏิบัติธรรม ที่วัดหลวงตามัว จากเหตุการณ์ที่ต้องเลิกร้างกับลีลายุทธ์ ทำให้หญิงเล็กต้องไปสงบใจนั่งทำสมาธิต่อไปที่วัดหลวงตามัว อุดรธานี
ทำให้เธอได้เจอหมอไชชอนสามีใหม่ที่เป็นหมอจุฬารักษาโรคลมบ้าหมู เป็นหมอที่ชอบดนตรีและงานเขียน แต่มีข่าวว่าหมอชอนไชเป็นเกย์ควีนที่มีคนแอบมีความสัมพันธ์กับคนไข้ชายบางคน หญิงเล็กให้หมอไชชอนทำงานเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลและศูนย์วิจัยโรคมะเร็งของเธอ
ที่จริงหญิงเล็กชอบร้องเพลงและเล่นดนตรีปักกิ่งกู่เจิง แต่พี่สาวคือหญิงกลางจองงานด้านศิลปะวัฒนธรรมไปแล้ว หญิงเล็กจึงต้องมาเอาดีด้านวิทยาศาสตร์ ถึงขนาดจะเอารางวัลโนเบล ทั้งๆที่ก็ไม่ค่อยได้เรียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแบบจริงๆจังๆ ส่วนใหญ่ได้แค่อ่านตามที่มีคนเขียนมาให้ บางทีอ่านผิดอ่านถูก เพราะไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังอ่านอะไร ทำเอาฝรั่งสงสัยว่าเธอคงได้ค้นพบทฤษฎีใหม่ๆที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน เธอให้คนไปวิ่งเต้นขอรางวัลโนเบล แต่ฝรั่งเขาดูออกว่าหญิงเล็กเป็นพวกมั่วนิ่ม ขืนให้ไป ก็จะทำให้รางวัลของเขากลายเป็นที่ดูถูกเปล่าๆ เขาเลยไม่ให้ไม่ว่าจะใช้เส้นลุงหรือเส้นใครก็ตาม
มีข่าวว่าหญิงเล็กเคยเดินไปประเทศลาว เพื่อให้หมอพื้นบ้านที่เรียกกันว่าหมอเทวดาทำการรักษาโรคมะเร็ง
ต่อมาหญิงเล็กถูกหมอไชชอนจับได้ว่าเธอไปมีความสัมพันธ์กับทหารที่ติดตามเธอ จึงเกิดการลงมือลงไม้ ถึงขั้นใช้เท้าเตะหญิงเล็กตกบันไดซี่โครงหักที่บ้านเรือนหอจักรีบงกชปทุมธานี
เมื่อเสี่ยอูทราบข่าวจึงจัดการสั่งสอนหมอไชชอนที่บังอาจทำร้ายน้องสาวขี้โรคของตนเหมือนอย่างที่เคยสั่งสอนลีลายุทธ
หมอไชชอนได้หนีไปหลบซ่อนตัวอยู่กับหลวงตามัว ทหารของเสี่ยได้ตามไปจับตัวหมอไชชอน และเกิดการฉุดกระชากกันเพราะหลวงตามัวไม่ยอม ทำให้หลวงตามัวซึ่งชราภาพมากล้มลง ถึงกับป่วยและเสียชีวิตในเวลาต่อมาไม่นาน ด้วยวัย 97 ปี โดยมีการสร้างข่าวว่าหญิงเล็กเดินสะดุดเวทีทำให้กระดูกต้นขาซ้ายหัก ต้องนั่งรถเข็นและพักรักษาตัวอยู่ที่โรงหมอสีหราช ที่เดียวกับลุงสมชาย โดยเปิดชั้นสองให้ราษฎรเข้าเซ็นชื่ออวยพร ออกรายการทางทีวีแบบเดียวกับลุง
หญิงเล็กมีอาการซึมเศร้ามากจากการมรณภาพของหลวงตามัว มีการประโคมข่าวจัดงานศพอย่างใหญ่โตว่ามีราษฎรร่วมงานกว่าหนึ่งล้านคน ขณะที่มีการเตรียมเสนองบประมาณจำนวน 1,509 ล้านบาทให้สถาบันวิจัยของหญิงเล็กโดยให้กระทรวงศึกษาธิการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอภิเสกเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2554
วีรกรรมของหญิงเล็กจุฬาพอง
หลังจากที่ไปงานศพน้องโบว์กับป้าสมจิตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2551จนทำให้คนไทยตาสว่างเพราะได้เห็นชัดเจนว่าครอบครัวลุงและป้าให้ท้ายพวกลิ้มสร้างความปั่นป่วนล้มรัฐบาลรักสิน
พอมาวันที่ 6 มิถุนายน 2553 จุฬาพองไปพูดต่อคนไทยในนิวยอร์คว่า
การที่มีประท้วงนานๆ มีความรุนแรงเกิดขึ้นทำให้ภาคธุรกิจของเราเดือดร้อน ซึ่งก็กระทบเศรษฐกิจของประเทศไทย
ต่อมามีการออกเทปรายการสัมภาษณ์ในรายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย ของนายวุฒิธร มิลินทจินดา ช่อง 9 อสมท. วันที่ 3 และ 10 เมษายน 2554
โดยให้นายวูดดี้สวมทักซิโด้ นั่งพับเพียบพนมมือกับพื้นเหมือนทาสไพร่สมัยโบราณ โดยจุลวพองย้ำว่า เหตุเผาบ้านเมืองนำความทุกข์เหลือเกินสู่ลุงสมชายและป้าสมจิต กระทั่งอาการป่วยที่เริ่มดีกลับทรุดลง เพราะในยามประเทศวิกฤติลุงและป้าแทบไม่มีเวลานอน ทั้งนี้เพื่อหวังจะให้ร้ายและเตรียมทำลายล้างพวกเสื้อแดงต่อไป
สอดคล้องกับการที่รองนายกเทพเมือก เปิดตัวหนังสือ ประเทศไทยของเรา อย่าให้ใครเผาอีก ในพิธีทำบุญครบรอบ 65 ปี ของพรรคประชาธิปัตย์ ใน ราคา 100 บาท โดยเอาเงินไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้
..........

โสภาวลี : สตรีที่เสี่ยไม่ต้องการ
โสภาวลีหรือหญิงอึ่ง เกิด 13 กรกฎาคม 2500 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นลูกสาวของพี่ชายป้าสมจิต ศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนจิตรลดา ต่อมาเมื่อพ่อของเธอย้ายมาเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ 2510 จึงย้ายมาเรียนเชียงใหม่ หมั้นกับเสี่ยอูเมื่อ 17 ธันวาคม 2519 และแต่งงานเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2520 คลอดลูกสาวคือ วัลภาเมื่อ 7 ธันวาคม 2521
โสภาวลีกับเสี่ยเป็นญาติที่สนิทกันมาก ทุกปีตอนงานปีใหม่ ทั้งคู่ก็เล่นด้วยกัน กินด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน แต่ว่าไปแล้ว เลือดของทั้งคู่ก็แทบจะเป็นขวดเดียวกันเลย มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งคู่จะมาเป็นสามีภรรยากัน แต่โสภาวลีก็ถูกบังคับให้แต่งงานเหมือนการคลุมถุงชนสมัยโบราณ ทั้งๆ ที่เธอบอกแล้วว่าเธอยังไม่อยากแต่งงาน เพราะเธอเห็นเสี่ยอูมาตั้งแต่เด็กๆ เธอทำใจให้รักไม่ได้ และเธอก็รู้ดีว่าตอนนั้นเสี่ยมีสุทธิดาอยู่ก่อนแล้ว
แต่ในที่สุดป้าก็จัดการให้หมดทุกอย่าง ป้าอยากได้ลูกสะใภ้เป็นคนในตระกูลเดียวกับป้า อาจเป็นเพราะป้าไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ เลยไม่รู้กฏทางพันธุกรรมที่เขาไม่ให้ญาติพี่น้องแต่งงานกัน เพราะจะทำให้ลูกที่เกิดออกมามักมีปัญหาไม่เหมือนคนปกติ มีคนทักท้วงหลายคน รวมทั้งคุณย่าสังวอนก็ไม่เห็นด้วย ท่านย่าบอกว่าเลือดที่ใกล้กัน ไม่ควรมาแต่งงานกัน เพราะลูกที่ออกมาจะเชื้อไม่ดี แต่ก็ไม่มีใครทัดทานป้าได้ เรื่องนี้ป้าไม่เชื่อในความหวังดีของแม่สามีกลับหาว่ากันท่าหลานสาวของป้า แถมตอกกลับย่าสังวอนไปว่า ถ้าปล่อยให้เสี่ยหาเมียเอง ก็ไม่รู้ว่าอาจจะไปคว้าลูกสาวพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวข้างถนนมาทำเมีย เมื่อป้าพูดออกมาแบบนี้ คุณย่าสังวอนถึงกับสะอึก พูดอะไรไม่ออก เพราะไม่คิดว่าป้าจะพูดแดกดันตนถึงเพียงนี้
โสภาวลีทำใจอยู่หลายเดือน เธอเคยขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย เพราะเธอไม่อยากแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รัก แถมเสี่ยและเธอก็เป็นญาติที่ใกล้ชิดกัน ส่วนเสี่ยอูก็ไม่คิดอะไรอยู่แล้ว แค่ทำตามใจแม่ เพราะอยากเอาใจแม่จะได้นั่งเก้าอี้แทนพ่อไวๆ มีวันหนึ่งที่ป้าจัดการให้ทั้งคู่ไปเที่ยวบ้านใำหญ่ ที่ภูพาน จังหวัดสกลนคร แล้วเสี่ยก็สร้างวีรกรรม หนีกลับมาหาสุทธิดา ทำให้ลุงและป้าโกรธมาก ลุงถึงกับเอ่ยปากกับเสี่ยว่า พ่อรักลูกมากนะลูกอยากได้อะไรพ่อไม่เคยขัด แต่ตอนนี้พ่อขอลูกอย่างเดียว ถ้าลูกทำได้พ่อจะวางมือ คือขอให้ลูกบวชแบบไม่ต้องสึกเลยตลอดชีวิตจะได้ไหม
ป้าเกลี้ยกล่อมโสภาวลีอยู่นาน โดยบอกว่า จะเลื่อนตำแหน่งให้ได้สวมชฎา จะให้บ้านหลังใหญ่ ให้เงินจากลุงอีกปีละ 120 ล้านบาท โสภาวลีจึงยอมแต่งงานแต่โดยดี ในวันแต่งงาน นิตยสารชื่อดังสกุลไทย มาถ่ายรูป ถึงกับออกเป็นเล่มพิเศษ เฉลิมฉลองออกข่าวกันยกใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยก็นอกใจโสภาวลี แถมไปป่าวประกาศว่า การแต่งงานกับโสภาวลีเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ ทั้งยังประจานว่าเธอไม่มีคุณสมบัติของการเป็นเมียที่ดี เพราะวันๆ เอาแต่อ่านการ์ตูน เล่นตุ๊กตา ความรู้ก็ไม่มี แถมโง่และก็ทึ่มอีกด้วย
เมื่อเสี่ยพูดแบบนี้ พันสาวารีแม่ของโสภาวลีก็ไม่ยอม เธอขู่ว่าถ้าป้าไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบ รับรองมีเรื่องแน่ ตอนนั้นป้ากำลังหวานอยู่กับคุณผึ้ง คุณผึ้งก็เลยอาสาไปเคลียร์ให้ เพราะแม่ของโสภาวลีชอบนิสัยคุณผึ้ง ลุงกับป้าช่วยสั่งการให้แก้กฎหมายว่าถ้าสามีภรรยาไม่ได้อยู่ด้วยกันถึงสามปีก็มีสิทธิ์ฟ้องหย่าได้ เพื่อเปิดช่องให้เสี่ยฟ้องศาลขอหย่าขาดจากโสภาวลีได้สำเร็จ ทำเอาพันสาวารีแม่ของโสภาวลีทนไม่ไหวเลยแจกใบปลิวเปิดโปงความสำส่อน ฟอนแฟะของตระกูลลุงและป้าอย่างไม่ไว้หน้า
หลังจากศาลตัดสินให้เสี่ยหย่าได้แล้ว โสภาวลีก็ได้แต่ต้องปลงด้วยความเสียใจ วันๆ ก็เอาแต่กิน ตอนนี้น้ำหนักของเธอปาเข้าไปร่วม 100 กิโลแล้ว กลายเป็นหญิงอึ่งอ่างไปอีกคน
รัศมีจันทร์ : ซินเดอเรลล่าคาเฟ่
รัศมีจันทร์เกิดในครอบครัวยากจน ย่านตลาดสดใกล้วัดเพลง ราชบุรี ในห้องเล็กๆ ที่สี่ด้านประกบกันหยาบๆ ด้วยแผ่นไม้เก่า ด้านบนมุงด้วยสังกะสีและผ้าแสลนกันแดด ไม่มีบ้านเลขที่
ตอนเด็กๆ รัศมีจันทร์เติบโตที่นี่ เธอเป็นลูกคนกลาง มีพี่น้องหลายคน เธอเป็นเด็กน่ารัก ขี้อาย
เธอมักจะตอบผู้ใหญ่ว่าถ้าเลือกได้โตขึ้นเธออยากเป็นเจ้าหญิง เธอชอบจินตนาการเป็นเจ้าหญิงซินเดอเรลลา แล้วจินตนาการเธอตอนเด็กก็กลายเป็นจริงในอีกไม่กี่สิบปีต่อมา
รัศมีจันทร์จะเดินไปเรียนพร้อมพี่สาวคนโต หลังเลิกเรียนเธอต้องรีบกลับบ้านเพื่อมาช่วยแม่กลัดใบตอง ทำขนมตาลและขนมใส่ไส้ เตรียมไว้ขายในเช้าวันรุ่งขึ้นที่ตลาดใกล้ๆวัด ต่อมาบ้านเธอถูกวัดไล่ที่ ต้องย้ายมาอยู่อาศัยกับญาติทางแม่ที่สมุทรสาคร
พ่อของเธอมาจากกาญจนบุรีมีอาชีพครูและทำสวน แม่ก็เป็นครูอยู่สมุทรสาคร ต่อมาย้ายมาอยู่บ้านแพร้วนครปฐม พ่อเป็นผู้มีอิทธิพลเป็นหัวเรือใหญ่มีธุรกิจพิเศษเป็นรายได้หลักเหมือนครอบครัวของลุงและป้า
เธอเข้าเรียนต่ออาชีวะที่โรงเรียนกรุงเทพการบัญชี แถวพันธ์ทิพย์พลาซ่า ระหว่างเรียนอยู่นี้เธอเริ่มหนีเรียนไปเที่ยวตามห้าง เริ่มทำงานหารายได้พิเศษ ไปเป็นเด็กเชียร์เบียร์ และนั่งดริ๊งค์ ตามร้านอาหารกึ่งผับแถวสมุทรสาคร
ต่อมาก็ยกระดับมาร้องเพลงที่อัมรินทร์คาเฟ่ พระรามเก้าคาเฟ่ ธนบุรีคาเฟ่ นาซ่าสเปซี่โดม เธอสามารถทำดริ๊งค์ได้เป็นอันดับหนึ่งของร้าน ได้มีโอกาสรู้จักเจ้าของนิตยสารไทยเพลย์บอย ได้ถ่ายรูปขึ้นปกหนังสือหลายเล่ม เช่น ทีเด็ด สะบัดช่อ มาดาม เล่มที่ดังมากคือเพ็ญพักตร์ ที่มีเรื่องเปิดใจสัมภาษณ์เธอ เป็นเล่มที่ขายดีมาก มีภาพเธอสวมเสื้อกล้าม และกางเกงในสีดำ เมื่อปี 2538 ใช้ชื่อ ช่อผกา ศิริวรรณ
ผู้ติดต่อแนะนำให้เธอได้พบเสี่ยอูคือ พลตำรวจเอกสันติ มือปราบร่างสูงใหญ่ลูกเศรษฐีผู้ดี ผู้ทำหน้าที่เป็นจัดส่งสาวๆให้เสี่ยโดยใช้สำนักงานตำรวจเป็นที่ติดต่อและส่งตัวกันที่โรงแรมใหญ่ใกล้ๆกันนั้น
ลุงและป้าไม่ได้รักใคร่เอ็นดูรัศมีจันทร์สักเท่าไร เพราะเบื้องหลังของรัศมีจันทร์ก็มีตำหนิอยู่ไม่ใช่น้อย เพียงแต่อาศัยเป็นเครื่องมือกำจัดสุทธิดาที่กำลังมาแรง และป้าพยายามให้ลูกสาวคนสุดท้องของสุทธิดาเกลียดแม่ของตัวเอง จากการที่ถูกแม่ทุบตีระบายอารมณ์เพราะพ่อเริ่มไม่รักแม่และไปปันใจให้หญิงอื่น
ลือกันว่าสุทธิดาทำเสน่ห์ยาแฝดให้เสี่ยอูหลง จนป้าสมจิตต้องมาให้พระแถวฝั่งธน แก้ของให้ พอสุทธิดาไปพลาดท่าโดนจับเรื่องขนแป้งที่อังกฤษ ลุงได้โอกาสสั่งให้เสี่ยรีบตัดตอนอย่าให้เกี่ยวพันมาถึงครอบครัวใหญ่เด็ดขาด เสี่ยจึงต้องจัดฉากไล่สุทธิดาออกจากคฤหาสน์นนทบุรีอย่างเอิกเกริก เอาเสื้อผ้ามากองไว้แล้วเผาที่หน้าคฤหาสน์ ประจานสุทธิดาไม่มีชิ้นดี และมีการตั้งเต๊นท์เลี้ยงน้ำอัดลม และแจกใบปลิวประจานสุทธิดา กล่าวหาว่าสุทธิดาค้ายาเสพติด มีการประกาศยกเลิกหนังสือเดินทางของสุทธิดาและลูกชายทั้งสี่คน กล่าวหาว่าสุทธิดาเป็นชู้กับนายพลอากาศเอกอานาน และยังทุบตีลูกสาวคนเล็กที่ชื่อบูดน้ำพลอย ทั้งยังห้ามผู้ใดไปเยี่ยมเยียนติดต่อหรือให้ความช่วยเหลือทั้งสิ้น เพราะกลัวว่าสุทธิดาจะไปเปิดเผยความลับของครอบครัวลุงและเสี่ย ถ้าใครไปเยี่ยมครอบครัวสุทธิดา ก็จะโดนตำรวจเรียกมาสอบสวน แถมปล่อยข่าวว่าสุทธิดากับชู้เครื่องบินตกตาย เพื่อต้องการกลบเรื่องทั้งหมด
แต่เหมือนกรรมตามสนอง หลังจากที่รัศมีจันทร์ได้เป็นสะใภ้หลวง เข้าพิธีรดน้ำสังข์ จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และรับการแต่งตั้งยศเป็นภรรยาของเสี่ยอู ลูกชายที่คลอดออกมาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหลานเป็นทายาทลำดับถัดไปของลุงผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในที่สุดลุงก็มีคำสั่งให้ป้าบอกเสี่ยให้กำจัดรัศมีจันทร์ออกไปโทษฐานเป็นผู้หญิงชั้นต่ำทำให้วงศ์ตระกูลของลุงและป้าเกิดความเสื่อมเสีย ให้เสี่ยทำอะไรก็ได้เพื่อบีบให้รัศมีจันทร์ทนอยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะลุงและป้าไม่ต้องการผู้หญิงคนนี้อีกต่อไปแล้ว รัศมีจันทร์จึงถูกทอดทิ้งต้องไปนอนที่บ้านทวีวัฒนา เธอมักจะไปที่บ้านพ่อแม่ที่อยู่แถวนั้นตอนดึกๆ บ้านพ่อแม่หลังนี้ปลูกบนที่ดินกว่า 5 ไร่ ซึ่งพี่สาวทั้งสองซื้อบ้านมาราคาราว 20 ล้านบาท ข่าวว่าร่ำรวยมาจากธุรกิจพิเศษที่มีพ่อเป็นหัวเรือใหญ่ ส่วนน้องชายเธอก็ทำงานพิเศษกับเสี่ย
บ้านใหม่ของเสี่ย ก็สร้างไม่เสร็จสักที เพราะเสี่ยสั่งให้ทุบแล้วทุบอีก เห็นว่าครั้งนี้เป็นรอบที่ 3 แล้ว เหตุผลก็เพียงเพราะกรมโยธาทำได้ไม่ถูกใจเสี่ย ครั้งแรกสร้างทึบเกินไป ครั้งที่สองทำโล่งเกินไป แต่ละครั้งสร้างตัวบ้านเสร็จแล้ว ครั้งหนึ่งเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ตอนนี้กำลังปรับพื้นที่เพื่อก่อสร้างเป็นครั้งที่ 3
ช่วงที่ลุงเข้าโรงหมอปลายปี 2552 เสี่ยอูไปหาเมียอีกคนที่เป็นหมอฟันที่อุบล ทิ้งให้รัศมีจันทร์ไปขี่ช้างกับปังปอนตามลำพังสองแม่ลูก แถมรัศมีจันทร์ก็ยังโดนเสี่ยคาดโทษห้ามไปอาละวาดกับน้องเก๋ เหมือนคราวที่ไปทำกับน้องพลอยสว่าง ถ้ายังไม่เชื่อฟังเป็นเจอดีแน่ รัศมีจันทร์ก็เริ่มรู้รู้ตัวเองดี ส่วนปังปอนก็ยังต้องให้แม่อุ้มตลอด เพราะติดแม่มาก และแทบจะจำหน้าพ่อตัวเองไม่ได้แล้ว เดือนธันวาจะมีงานสายใยรักครอบครัวที่เมืองทองธานี รัศมีจันทร์หวังใช้งานนี้เป็นใบเบิกทางที่จะเอาชนะใจคนทั่วไป ก่อนที่จะก้าวไปเป็นเบอร์หนึ่งตัวจริง
รัศมีจันทร์น่าจะรู้แล้วว่าทั้งลุงและป้าเริ่มไม่ชอบเธอมาก และอาจต้องถูกลดอันดับลงแบบสุทธิดา ลุงและป้าเริ่มรังเกียจพื้นเพอันต่ำต้อยและน่ารังเกียจที่เธอเคยเป็นนักร้องคาเฟ่และถ่ายโป๊ขึ้นปกหนังสือปลุกใจเสือป่า แถมยังมีลูกที่สติปัญญาไม่ค่อยสมประกอบ เหมือนที่ลุงและป้าเคยรังเกียจสุทธิดาที่เคยเป็นแค่ดาราหนังและผ่านผู้ชายมาแล้ว โดยลุงเชื่อว่านายอ้วนลูกชายคนโตของสุทธิดาน่าจะเป็นลูกพระเอกดาราหนังหนุ่มหล่อพุงโย ทองปน
ลุงเคยบอกกับเสี่ยอูว่า เมื่ออายุครบหกสิบก็จะขอวางมือ แต่ครั้นเสี่ยไปขอทวงเก้าอี้จากลุง กลับถูกลุงปฏิเสธ แถมยังไล่ให้ไปบวชแบบไม่ต้องสึกมาแล้ว ต่อมาก็ตามด้วยคำสั่งให้เลิกกับสุทธิดา และตอนนี้ก็กำชับให้เลิกกับรัศมีจันทร์ ลุงกับป้าก็คงจะหลอกเสี่ยตามเคยว่าจะมอบเก้าอี้ให้ พร้อมทั้งจะผลักดันโสภาวลีหลานรักให้กลับมาเป็นหมายเลขหนึ่งอีกครั้ง
รัศมีจันทร์ต้องหาเรื่องทำฆ่าเวลา ไปฝึกโยคะและเรียนปริญญาเอกเพราะเหงาเนื่องจากเสี่ยกลับบ้านเดือนละครั้ง น้องนุ้ยสาวแอร์เมียใหม่ที่อยู่เยอรมัน คลอดลูกเป็นหญิง ใช้นามสกุล วชิราภักดี ส่วนน้องพลอยสว่าง ใช้นามสกุล วชิรารักภักดี เพื่อให้คนได้รู้ว่าเป็นเมียเสี่ยอู
พลอยสว่างเป็นที่โปรดปรานมาก เคยมีแววจะเป็นเบอร์หนึ่ง แทนรัศมีจันทร์ เสี่ยเห็นเธอครั้งแรกที่ป้ายโฆษณาการบินไทยที่มีรูปเธอติดอยู่ เสี่ยรีบสั่งให้ตามตัวทันที พลอยสว่างเป็นลูกสาวของพระเอกหนังชื่อดังสรพันธุ์ ชาตรีกับภรรยาคนแรกที่เป็นแอร์สายการบิน พลอยสว่างมีคู่หมั้นอยู่แล้วเป็นกัปตันขับเครื่องบิน หน้าตาดีเคยเป็นดาราประกอบช่อง 3
แต่มาโดนเสี่ยแย่งไป พลอยสว่างเคยเป็นดาวจุฬา จบโทเศรษฐศาสตร์จุฬาเมื่อปี 2550 เธอจึงมีชาติตระกูลและพื้นเพการศึกษาเหนือกว่ารัศมีจันทร์มาก เสี่ยกำลังพยายามมีลูกกับพลอยสว่าง โดยให้ทีมหมอที่โรงพยาบาลเจตนินแถวชิดลมทำให้โดยใช้เข็มดูดน้ำเชื้อ
แต่พลอยสว่างได้กลับไปแต่งงานกับแฟนเก่าที่เป็นกัปตันนักบินเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเสี่ยอูผิดคำสัญญาที่ว่าจะไม่มีเมียใหม่อีก แต่เสี่ยยังไม่ยอมเลิก แฟนเก่าจึงขออนุญาตแต่งงานกับพลอยสว่าง แต่ถูกเสี่ยยิงที่ขา และกำลังจะบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เสี่ยจึงต้องยอมให้พลอยสว่างแยกทางไปแต่งงานได้
เสี่ยอูมีเมียอีกคนหนึ่งเป็นหมอฟันอยู่ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ อุบลราชธานี มีลูกแฝดหญิงสองคน โรงพยาบาลได้จัดห้องพักโดยเฉพาะสำหรับเสี่ยเวลาไปหาภรรยาคนนี้
ส่วนน้องนุ้ย วชิราภักดีตอนนี้เลี้ยงลูกสาวที่คลอดเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2552 ที่แฟรงเฟิร์ต เยอรมัน เธอเป็นแอร์หลังพลอยสว่างหนึ่งปี เธอคงอยากให้ลูกของเธอได้เป็นใหญ่ให้ได้เพราะตอนนี้ปังปอนลูกของรัศมีจันทร์มีปัญหาเจ็บป่วยบ่อย มานอนโรงหมอเพราะเป็นลมบ้าหมูหลายครั้ง คงหมดสิทธิ์เป็นใหญ่ รัศมีจันทร์คงไม่มีลูกกับเสี่ยอีกแล้ว ขนาดมาโรงหมอ เสี่ยยังไม่มองหน้าเธอเลย เพราะลุงสั่งให้รีบๆเลิกกันซะถ้ายังอยากนั่งเก้าอี้ต่อจากลุง
รัศมีจันทร์คงต้องหน้าชื่นอกตรมทนออกงานกับสามีเพื่อต้องการแสดงให้ราษฎรเห็นว่ายังรักกันดีอยู่ และปังปอนก็อาการไม่สู้ดี สามวันดีสี่วันไข้ อาการทางสมองก็เริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ต้องส่งไปฝึกสานปลาตะเพียนบ่อยๆ และเสี่ยก็ไม่ใส่ใจภรรยาหลวงคนนี้อีกเลย
รัศมีจันทร์จึงต้องพึ่งตนเอง ต้องมีบทบาทในระดับหน้าของสังคมชั้นสูงหรือไฮโซของไทย ต้องขยันออกงานเป็นข่าวบ่อยๆ ทั้งงานแต่งงานคนระดับสูง งานตัดริบบิ้น ขึ้นปกนิตยสารดังทุกฉบับ บางทีก็ข้ามน้ำข้ามทะเลไปถ่ายทำถึงต่างประเทศ ต้องจัดทำแผนโฆษณาตัวเองโดยมีปังปอนเป็นนายแบบ มีทีมงานทำงานต่อเนื่อง เช่น
โครงการครอบครัวอบอุ่น เริ่มสมัยปังปอนแรกเกิด สร้างภาพความรักความผูกพันของพ่อแม่ลูก
-โครงการกินนมแม่ เริ่มสมัยปังปอนเริ่มกินนม สร้างภาพว่าเธอเป็นแม่ตัวอย่างที่ให้ลูกกินนม
-โครงการรักษาเด็กที่เป็นโรคลมชักหรือลมบ้าหมู อันนี้ก็ตรงไปตรงมา เพราะปังปอนเป็นโรคลมชักบ่อย จึงต้องตั้งโครงการเพื่อรักษาปังปอน และได้โฆษณาผลงานไปด้วย แต่เธอก็ไม่กล้าบอกใครว่าปังปอนเป็นโรคลมบ้าหมู
-โครงการกินอาหารตามอายุ เพื่อโฆษณาว่าเธอให้ความสำคัญกับอาหารการกินของลูก
โครงการครัวเกษตรกรรม ไปบังคับให้พวกอาสมัครสาธารณสุขมาทำกับข้าวแล้วใช้ชื่อของเธอขายของ เพื่อโฆษณาว่าเธอเก่งเรื่องทำกับข้าวสมกับเป็นที่ปรึกษาครัวการบินไทย กินเงินเดือน 800,000 บาท
-โครงการเด็กน้อยออกกำลังกาย เพื่อโฆษณาว่าเธอสนใจให้ลูกออกกำลังกาย
มีการจัดงานสายใยพิศวาสครอบครัวที่เมืองทองธานี เป็นประจำเริ่มตั้งแต่ปังปอนเกิด ใช้งบของราษฎรไปเกือบสี่สิบล้านบาท
รัศมีจันทร์ว่าที่ดอกเตอร์ได้เกรดเฉลี่ยล่วงหน้าตอนลงทะเบียน 3.99 ที่มหาวิทยาลัยเกษตรบางเขน เธอเรียนจบปริญญาตรี คหกรรมที่สุโขทัย จบปริญญาโทที่เกษตรได้เกรดถึง 3.94
ตอนนี้เธอเข้าเรียนที่เกษตรบางเขนวันจันทร์ถึงพฤหัส โดยเธอก้าวเดินบนพรมแดง มีคนคอยกางร่มคันใหญ่ให้ พร้อมคนติดตามข้างกายอีกเกือบ 10 คน รวมทั้งทหารและตำรวจ ที่ต้องมาคอยยืนตากแดด ตากฝน คอยต้อนรับเธอ
การปืดถนนเป็นเรื่องปกติเพื่ออวดศักดาบารมีกันในครอบครัวของลุง รัศมีจันทร์ในฐานะภรรยาหมายเลขหนึ่งของทายาทท่านประธานใหญ่ก็เริ่มแสดงบารมีของเธอให้เห็นมากขึ้นด้วยขบวนติดตามและการปิดถนนแสดงความยิ่งใหญ่โดยไม่ต้องเกรงใจราษฎร
คลิ้ปริมสระ นางฟ้าตกสวรรค์
ถ่ายทำเมื่อ 9 ธันวาคม 2544 เป็นงานวันเกิดของรัศมีจันทร์ ซึ่งเกิดปีหมู มีรูปหมูอยู่บนเค้ก มีการเผยแพร่วีดีโอกันอย่างรวดเร็วแพร่หลายในวันต่อๆมาโดยไม่รู้ว่าใครทำ เพราะมีคนร่วมรู้เห็นในงานนี้หลายคน
คลิ้ปอันโด่งดังที่สุดนี้ก็มีผลกระทบต่อคนตระกูลนี้เป็นอย่างมากโดยเฉพาะลุงสมชายหัวหน้าตระกูล และป้าสมจิตถึงกับเป็นลมล้มหมอนนอนเสื่อเลยทีเดียว
คลิ้ปนี้ถ่ายที่คฤหาสน์สุโขไทบ้านใหญ่ของเสี่ย เป็นงานวันเกิดของรัศมีจันทร์ เริ่มประมาณ 6 โมงเย็น ที่จริงมีเนื้อเรื่องมากกว่าที่เห็นในคลิ้ป มีนางเอกใส่ชุดไทยห่มสไบ งานนี้รัศมีจันทร์เป็นคนจัดการทั้งหมด ทั้งริเริ่ม วางโครง วางเรื่องเองทั้งหมด ทั้งรายการอาหาร สีของลูกโป่ง หน้าเค้ก
และที่สำคัญยอมลงทุนแปลงกลายเป็นคลีโอพัตรา สวมใส่ชุดโปร่งใสโชว์หน้าอก สวมกระจับปิ้ง มีสายรัดรอบเอว มีสร้อยถัก วับๆแวมๆ เอาใจเสี่ยเต็มที่ เสี่ยเองคงไม่คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะใจกล้าทุ่มเทได้ถึงขนาดนี้ ท่ามกลางคนในงานไม่ต่ำกว่า 30 คน
ต่อมาเสี่ยอูก็กลับทำตัวเป็นคนเจ้าชู้ที่ไม่รู้จักอิ่มเหมือนเดิม รัศมีจันทร์ก็คงทำใจได้แล้ว เธอจึงตั้งหน้าตั้งตาสะสมเงินทองเอาไว้ให้มากที่สุด รวมทั้งเพชร นิล จินดาและของมีค่าสารพัด
หลังจากที่เสร็จงานสายยางรักแห่งครอบครัวช่วงวันที่ 8-13 ธันวาคม 2552 ชูแนวคิดครอบครัวเข้มแข็งเพื่อโฆษณายกย่องครอบครัวของเสี่ยกับรัศมีจันทร์และปังปอน ที่อิมแพกซ์เมืองทองธานี โดยงานนี้ใช้เงินของ กรมอนามัย ถึง 34 ล้านบาทโดย กระทรวงสาธารณสุขเป็นแม่งาน
มีการออกร้านที่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านในเครือข่ายของรัศมีจันทร์ จ้างอาสาสมัครสาธารณสุขจากทั่วประเทศโดยให้ค่าหัวคนละ 400 บาท ให้มาเที่ยวฟรี กินฟรี และของในงานรัศมีจันทร์ก็ใช้เงินหลวง ไปเหมาเอามาขาย เช่น ผ้าไหม พรม เสื่อทอ เรียกว่าอัฐยายซื้อขนมยายแบบครบวงจร ใช้เงินหลวงมาจ้างชาวบ้าน เอาเงินหลวงมาซื้อของขายเอาเงินเข้ากระเป๋า ใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท เพื่อหน้าตาของรัศมีจันทร์และครอบครัวตัวอย่างของเธอ เธอคงจะหลงกับบทบาทครอบครัวอบอุ่น จึงบุกตามไปหาเสี่ยถึงบ้านเมียน้อย เลยโดนเสี่ยชกเข้าเบ้าตา ตอนนั้นเธอคงยังไม่รู้ว่าคนในตระกูลของลุงและป้าเขาไม่ต้อนรับเธออีกแล้ว ตามคำสั่งของลุงนั่นเอง
รัศมีจันทร์ตอนนี้จึงเหมือนถูกบีบ เพราะเธอไม่เคยใช้ชีวิตอยู่กับเสี่ยตามประสาสามีภรรยาเลย แค่ออกงานด้วยกันเพื่อสร้างภาพทางทีวีเท่านั้น ตกดึกเธอไปนอนบ้านพ่อที่เสี่ยปลูกไว้ให้แทบทุกคืน บ้านอยู่ไม่ไกลบ้านพันล้านของเธอเท่าไร เป็นบ้านหลังใหญ่อย่างดีมีบริเวณเกือบ 5 ไร่ ทั้งพ่อแม่และพี่สาวของเธอกลายเป็นผู้ดีไฮโซจัดที่ร่ำรวยมั่งคั่งแบบผิดหูผิดตาจากธุรกิจพิเศษที่ทำร่วมกับเสี่ย และใช้จ่ายแบบไม่ต้องเสียดายเงิน
รัศมีจันทร์เริ่มเปลี่ยนไปมากในช่วงหลังที่เธอไปเรียนต่อปริญญาเอกที่เกษตรศาสตร์บางเขน เธอมักจะมีปาร์ตี้กินเหล้ากับเพื่อนๆ ร้องเพลง หันมาสูบุหรี่มากขึ้น และเธอก็เริ่มติดนิสัยมากเรื่องเอาใจยาก ไม่เรียบง่ายเหมือนแต่ก่อน เริ่มทำตัวเหมือนคนอื่นๆในครอบครัวของลุงและป้า เธอเริ่มเข้ามาวุ่นวายกับการวิ่งเต้นโยกย้ายตำแหน่งตำรวจและข้าราชการ
รัศมีจันทร์ย้ายไปสงบใจที่หมู่บ้านธนาซิติ้ แถวบางนากม. 14 เพราะเสี่ยไปหลงภรรยาใหม่ไม่สนใจเธออีกแล้ว แต่รัศมีจันทร์ก็ยังมุ่งมั่นเรียนภาษาอังกฤษ และทำปริญญาเอกเพื่อไม่ให้มีเวลาคิดฟุ้งซ่าน และเตรียมตัวให้พร้อมเป็นสตรีหมายเลขหนึ่ง ชาวบ้านที่อยู่ย่านนั้นต้องคอยหลบทางเวลาที่เธอเข้าออก เพราะเธอจะมาเป็นขบวนและต้องหยุดให้เธอไปก่อน บ้านราคาหลายสิบล้านก็ได้มาแบบเดียวกับบ้านของพ่อและพี่สาวเธอคือใช้เงินหลวงซื้อหรือมีคนยกให้เป็นของกำนัล และใช้หน่วยงานของราชการ เช่น กรมโยธาในการก่อสร้างต่อเติม กรมวิชาการเกษตร ทำสวนและคอยดูแลเกี่ยวกับการปลูกและบำรุงต้นไม้ กรมประมง จัดหาคัดเลือกสัตว์น้ำ ทำบ่อปลา และคอยมาดูแลรักษา ใช้ไม้สักทองจากเขตป่าสงวนในการก่อสร้าง โดยจะมีรถหลวงนำขบวนรถขนไม้
ไม่ว่าเธอต้องการอะไร เธอก็ต้องได้เสมอ แม้ว่าเมื่อก่อนเธอเคยเป็นแค่นักร้องคาเฟ่ที่เคยถ่ายปกหนังสือโป๊ ซึ่งมันก็เป็นอดีตไปแล้ว เธอเปลี่ยนไปมากหลังจากที่เสี่ยได้นอกใจเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ประกอบกับปังปอนมีอาการทางสมองชัดเจนขึ้น รัศมีจันทร์เริ่มอวดศักดาแข่งบารมีกับป้าและลูกๆของลุง เธอมีรถในขบวนบางครั้งมากกว่า 25 คัน แถมเอาญาติฝั่งพ่อของเธอ ไปกว้านซื้อที่ดินที่บ้านแพร้ว ทั้งยังสั่งปิดถนนให้อาเขย มาผ่าตัดที่โรงหมอสีหราชเมื่อ 2 เดือนก่อน โดยงานนี้หญิงกลางรู้เข้าเพราะเธอจะมาเฝ้าลุงทุกคืนและจะกลับตอนเช้า หญิงกลางเห็นรัศมีจันทร์แต่งชุดกีฬา ออกไปเล่นโยคะ โดยเธอมักจะปิดลิฟท์ ปิดบันไดเลื่อน ปิดตึก เดินบนพรมแดงไปขึ้นรถเป็นขบวน จึงไปฟ้องป้า ทำให้คนในครอบครัวลุงเริ่มไม่พอใจรัศมีจันทร์มากขึ้นเรื่อยๆ ป้าจึงอยากให้เสี่ยพาลูกแฝดของหมอฟันที่อุบล และให้พากิ๊กใหม่ล่าสุดอายุ 18 ปี มาเย้ยมากดดันเพื่อเฉดหัวรัศมีจันทร์ออกไปให้พ้นหูพ้นตา

.......

ศิริวารี : ผู้โชคดีกว่าพี่ชายทั้งสี่คน
เมื่อครั้งที่สุทธิดาภรรยาสุดที่รักของเสี่ยอูอยู่คฤหาสน์นนทบุรี และกำลังไล่เบียดโสภาวลีผู้เป็นภรรยาหลวง มีหมอดูทำนายว่าถ้าสุทธิดาสามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ห้าคนเธอก็จะได้เป็นหมายเลขหนึ่งที่สมบูรณ์แบบ สุทธิดามีลูกสี่คนแรกเป็นผู้ชายล้วน แต่ลูกคนที่ห้ากลับเป็นหญิง ชื่อ บูดน้ำพลอย เกิดเมื่อ 8 มกราคม 2530 ทำให้สุทธิดาผิดหวังมาก ประกอบกับเสี่ยอูเริ่มปันใจให้หญิงอื่น เป็นเหตุให้สุทธิดาหันมาระบายอารมณ์กับลูกสาวคนสุดท้อง ทำให้ลูกสาวคนนี้เกิดอาการหวาดกลัวไม่มีความเชื่อมั่นมาตั้งแต่เด็ก พอสุทธิดาโดนกักตัวที่อังกฤษด้วยข้อหามียาเสพติด ทำให้ลุงต้องสั่งขับไล่และตัดขาดออกจากวงศ์ตระกูล
โดยเสี่ยอูบินไปรับตัวลูกสาวด้วยข้ออ้างว่าสุทธิดารังแกลูกสาวคนนี้ ต่อมาป้าสมจิตเปลี่ยนชื่อให้เป็นศิริวารี
ลุงสมชายผู้เป็นปู่มักเรียกศิริวารีว่าตัวเล็กเพราะตอนเด็กๆ ตัวเล็กน่าสงสารมาก เธอกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของสุทธิดาผู้เป็นแม่ จนเธอเป็นโรคหวาดกลัวไม่กล้าเข้าสังคมและเคยถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนเด็กพิเศษอยู่ช่วงหนึ่ง
เคราะห์ดีของเธอที่ย่าสมจิตรับเธอมาเลี้ยงดูทำให้ชีวิตของศิริวารีต่างกับแม่และพี่ชายของเธอมาก เธอพักอาศัยอยู่กับแม่เลิ้ยงรัศมีจันทร์ที่บ้านสุโขไท ซึ่งต่างจากความเป็นอยู่ของพี่ชายทั้งสี่ของเธอ ที่โดนตัดความช่วยเหลือตามคำสั่งเด็ดขาดของเจ้าคุณปู่สมชาย เธอจึงไม่คิดที่จะเจอพี่ชายของเธออีกเลย
ตอนนี้เธอรู้แต่ว่าเธอมีแม่คือรัศมีจันทร์ และมีพี่น้องคือวัลภาและปังปอน จบมัธยม 6 จากโรงเรียนจิตรลดา จบศิลปกรรมศาสตร์เกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง จากจุฬา เป็นนิสิตดีเด่นปี 2551 ได้เป็นตัวแทนนักก๊ฬาแบดมินตันไทยไปแข่งกีฬาซีเกมส์ที่ฟิลิปินส์
เธอมักจะชอบไปดูงานแฟชั่นโชว์ ที่ โรม มิลาน นิวยอร์ค โดยเฉพาะที่ปารีส การไปแต่ละครั้งก็จะมีการออกข่าวว่าได้รับเชิญ เช่น จากห้องเสื้อชื่อดังของโลกปิแอร์บาลแมงให้แสดงผลงานออกแบบเสื้อ 39 ชุดที่ฝรั่งเศสเมื่อ ปี 2550 ได้รับเชิญให้ออกแบบหีบหรือกระเป๋าเดินทางยี่ห้อดังหลุยส์วิตตอง แต่ที่จริงใช้ทีมงานของราชการติดต่อทำเรื่องเชิญกันเอง และคอยอำนวยความสะดวกสบายให้ โดยรัฐบาลเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด รวมถึงที่พักโรงแรมหรูระดับห้าดาว และค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าใช้จ่ายของทีมงาน มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เจ้าภาพออกค่าใช้จ่ายให้
ศิริวารี ไม่ใช่คนที่ออกแบบหรือตัดเย็บเป็นแต่อย่างใด เธอจ้างทีมงานออกแบบฝรั่งที่มีชื่อ และใช้ทีมงานตัดเย็บของบ้านสุโขไท โดยเธอแค่เป็นคนเลือกและให้ใช้ชื่อของเธอ ใช้วิธีเดียวกับคุณปู่สมชายของเธอ คือใช้ให้คนอื่นทำแล้วใส่ชื่อเป็นผลงานของตัวเอง เธอไปยุโรปบ่อยและได้บรรจุตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่กินเงินเดือนไม่ต่ำกว่าแสนบาท บวกสวัสดิการอีกสารพัด โดยมีหน้าที่ติดต่อกับคนจากประเทศไทยที่จะไปเปิดการแสดงหรือไปทำบุญที่วัดไทย แต่เธอไม่เคยไปทำงาน เพราะเอาแต่ท่องเที่ยวและดูงานแฟชั่น ตอนนี้มีการเปิดภาควิชาศิลปะประยุกต์แขนงแฟชั่นสำหรับศิริวารีโดยเฉพาะ และเธอก็เป็นคนแรกที่ได้เกรด 3.9 กว่าๆ ศิริวารียังทำงานให้กับการบินไทยโดยเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าชุดทำงานของการบินไทย

Sunday, April 10, 2011

เรื่องหลังบ้าน ท่านเจ้าของคอกม้า001

เรื่องหลังบ้าน ท่านเจ้าของคอกม้า001

โดย : หลวงไพเราะวิเคราะห์ราชการ
และ ขุนชำนาญวิจารณ์ราชกิจ

อำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนเท่านั้น
ก่อนการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 เปรมิกาประธานที่ปรึกษาของลุงสมชาย ได้เดินสายปลุกระดมบรรดานายทหาร ว่าทหารเปรียบเสมือนม้า รัฐบาลเป็นแค่คนขี่หรือจอกกี้มิใช่เจ้าของม้า เจ้าของม้าที่แท้จริงก็คือพระราชาซึ่งเป็นเจ้าของคอกม้า ...
ภาคที่ 1 แนะนำสมาชิกในบ้าน
ลุงสมชาย : เสาหลักที่เริ่มพิการ
คนจีนมีภาษิตเก่าที่กล่าวว่า เมื่อเข้าสู่วัยชราก็จะมีสิ่งที่พึ่งพาได้สามสิ่ง คือ ทรัพย์สมบัติเก่า เพื่อนเก่า และภรรยาเก่า ชีวิตในวัยสูงอายุเป็นวัยของการพักผ่อน เป็นวัยเกษียณ ปล่อยวาง เข้าหาความสงบสุข อยู่กับบ้าน ดูการเติบโตและความเจริญของลูกหลาน
ลุงสมชายประสบความสำเร็จสูงสุดได้ขึ้นสู่ตำแหน่งหมายเลขหนึ่งตั้งแต่อายุได้เพียง 19 ปี สืบต่อจากพี่ชายที่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำในบ้านหลังใหญ่ ที่ลุงสมชายน่าจะตกเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญด้วยพยานหลักฐานแวดล้อมรอบด้าน แต่อาศัยสิทธิพิเศษและการช่วยเหลือจากหลายฝ่าย ทำให้ลุงสามารถหลุดรอดคดีฐานฆ่าพี่ชายที่เป็นเบอร์หนึ่งของประเทศและได้กลายเป็นผู้ที่ครองอำนาจสูงสุดที่ยาวนานที่สุดและมั่งคั่งกว่าใครทั้งในด้านทรัพย์สมบัติและอิทธิพลบารมี
ชีวิตในวัยชรากว่า 80 ปี น่าจะเป็นชีวิตที่สงบสุขหลุดพ้นจากภารกิจ ได้เสวยความสุขสำราญจากทรัพย์สินและอำนาจบารมีที่สะสมมากว่าหกสิบปี แต่ลุงสมชายต้องกลายเป็นผู้ป่วยที่อาศัยโรงหมอเป็นที่พำนักระยะยาวในบั้นปลายของชีวิตและใช้เป็นสำนักงานบัญชาการอย่างไม่มีกำหนด
ตอนนี้ลุงเป็นอะไร ทำไมถึงไม่กลับบ้าน
ลุงสมชายเข้ารักษาตัวกับหมอทางระบบประสาทมือหนึ่งเป็นหมอประจำตัวของลุง โดยอาการเจ็บป่วยของลุงเริ่มเป็นมากตั้งแต่ ช่วงเย็นวันอังคารที่ 15 กันยายน 2552 ลุงไปโรงหมอสีหราช ด้วยอาการปวดศีรษะ ความดันขึ้น ลิ้นขยับไม่ค่อยได้ แต่ยังไม่ได้นอนโรงหมอ และลุงสมชายต้องมาโรงพยาบาลอีกรอบในวันพุธ ด้วยอาการเดิม โดยแอบไปเงียบๆ สุดท้ายก็ต้องมานอนโรงหมอจนได้ เพราะหมอเห็นท่าจะไม่ดี
วันนั้นลุงมีอาการสมองขาดเลือดเล็กน้อย และมีไข้ติดเชื้อที่ปอด ได้ทำการตรวจคลื่นสมองแล้ว อาการยังไม่น่าไว้ใจ นอนอยู่ ชั้น 16 ชั้นนี้คนอื่นห้ามใช้ มีทีมหมอเก่งๆที่ไประดมกันมาหลายสิบคน อาการของลุงยังทรงๆอยู่
เนื่องจากลุงมานอนเป็นคืนแรกๆ จึงนอนไม่ค่อยหลับ หมอให้ยาช่วยให้หลับ ป้าสมจิตมาสักพักก็กลับ ตัวจริงของลุงแก่ลงไปมาก เจ้าหน้าที่ไปเก็บปัสสาวะไปตรวจ
วันนี้ลุงไม่ค่อยมีไข้ แต่อาการโดยรวมยังไม่ค่อยดี มีการตามตัวหมอจากอเมริกาที่เคยผ่าหลังให้ลุงเมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อมาช่วยดูอาการปวดหลัง
เมื่อวานลุงไปตรวจหามะเร็ง แต่ลุงมีพฤติกรรมแปลกๆ ชอบพูดเรื่องเก่าๆ กินข้าวแล้วก็บอกยังไม่ได้กิน ทำให้หมอสงสัยว่าลุงเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง
ตอนเย็นลุงมักเริ่มสับสน ลุงเพ้อถึงหมอนิดตลอดเวลา(หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์) ลุงบอกว่าคราวนี้ หมอนิดต้องช่วยด้วยนะ หมอนิดเป็นหมอที่เรียนเมืองนอกพร้อมคุณย่าสังวอนและสนิทกับครอบครัวของลุงมาก เล่ากันว่าตอนที่พี่ชายลุงถูกยิงตาย ลุงถึงกับคุกเข่าขอให้หมอนิดช่วย

24 กันยายน 2552

เสี่ยอูกลับจากเยอรมันตั้งแต่เมื่อวาน เพราะต้องมาถวายดอกไม้ให้ปู่ เสี่ยไปเยอรมันกับน้องนุ้ย ไปพักที่โรงแรมเคมเพนสกี้(Adlon Kempinski)ที่เยอรมันของลุงที่เสี่ยมีหุ้นอยู่ด้วยพอลงเครื่องที่กองบิน แกก็ตรงไปหาเมียใหม่ล่าสุดที่เป็นแอร์เหมือนกันทันที อายุคราวลูกชื่อ พลอยสว่าง เสี่ยสั่งรถทหารไปขนเอาไม้สักทองที่เชียงรายโดยมีรถตำรวจทางหลวงนำทางเพื่อ มาสร้างบ้านหลังใหม่ให้พลอยสว่าง จะทำเป็นสถานที่รับรองแขกวีไอพี มีการติดต่อ กรมประมงค์ กรมการเกษตร เพื่อหาปลา ต้นไม้ ต่างๆ มาลง และกรมโยธาธิการเป็นแม่งาน แบบเดียวกับบ้านของของพ่อรัศมีจันทร์ แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าจะ
สร้างและทุบอีกกี่รอบ
วันก่อนปังปอนลูกชายของรัศมีจันทร์มาเยี่ยมปู่ ปังปอนเป็นโรคสมาธิสั้นคือซนมาก อยู่ไม่สุข วุ่นวายตลอด อาจเป็นเพราะเกิดมาโดยวิธีพิเศษ ใช้น้ำเชื้อเสี่ยอูโดยการเจาะดูดน้ำเชื้อออกมา แล้วต้องการเลือกเพศชาย เลยอาจมีผลแทรกซ้อนจากเชื้อไม่แข็งแรง ปังปอนเป็นโรคลมชักมาที่โรงหมอสีหราชหลายครั้ง อาจมีผลกับการพัฒนาการทางสมอง ที่ชาวบ้านเรียกว่าเอ๋อหรือเป็นเด็กพิเศษที่สมัยก่อนเรียกว่าโรคปัญญาอ่อน
ลุงกินได้มากขึ้น แต่ต้องใส่ผ้าอ้อม เพราะควบคุมปัสสาวะไม่ได้ ไม่ค่อยเพ้อแล้ว ช่วงก่อนลุงเพ้อตลอดว่า "หมอนิด ต้องช่วยอีกทีนะ อย่าทิ้งเรานะ" พูดซ้ำไปซ้ำมาทั้งวันเลย หมอเจาะเลือดไปตรวจก็ปกติ ไข้ลดลง แต่ยังหาสาเหตุไม่พบ
ลุงมานอนโรงพยาบาลด้วยอาการนอนหลับนานผิดปกติ และเมื่อตื่นก็ยังดูเหมือนตื่นไม่เต็มที่ ทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์(Computer Topography) ผลยังไม่ชัดเจน ลุงไม่ได้ตรวจคลื่นสมองเพราะลุงบ่นว่าอยู่ในอุโมงค์ มันอึดอัด ถ้ายังบังคับให้ทำ ลุงจะขอย้ายไปโรงหมอจุฬา
หมอเห็นว่าลุงยังดูซึมๆอยู่ ปกติลุงจะแผลงฤทธิ์มากกว่านี้ เมื่อ 3 ปีก่อนหลังการผ่าหลัง หมอจะให้ลุงฝึกเป่าเครื่องขยายปอด(Pulmonary Function Test) ลุงไม่ยอมทำ แถมยังประชดจะไปเป่าแซกโซโฟนแทน ครั้งนี้ลุงเริ่มป่วยตั้งแต่อยู่ที่หัวหิน เพราะคนรับใช้เห็นลุงตื่นผิดเวลาบ่อยๆ เมื่อตื่นนอนแล้วก็ยังดูเบลอๆ หมอที่หัวหินจึงส่งมารักษาที่สีหราช หมอที่รักษาลุงมีหลายทีม แต่ได้ตรวจลุงอาทิตย์ละครั้ง เพราะลุงไม่ชอบให้มาตรวจบ่อยๆ
30 กันยายน 2552
ลุงทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจอาการทางปอด เพราะสมัยหนุ่ม ลุงสูบุหรี่จัดมาก สูบวันละเป็นซอง และลุงมักจะดื่มวิสกี้ ตอนเลี้ยงวันเกิดก็ดื่มแต่วิสกี้ ช่วงหลังลุงเปลี่ยนมาดื่มบรั่นดีเฮนเนสซี่ คนไทยก็แห่มาดื่มบรั่นดีตามลุง จนบางครั้งทำให้บรั่นดีขาดตลาด ลุงพึ่งเลิกกินเหล้าเมื่อไม่นานมานี้เอง
ปกติชั้น 16 ห้ามบุคคลขึ้นไป คนธรรมดาก็ไปได้แค่ชั้น 15 เท่านั้น ชั้น 15 ทำเป็นห้องผู้ป่วยพิเศษ แต่ชั้นที่ 16 มีห้องลุงเพียงห้องเดียว ภายนอก ตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาว ภายในห้องใหญ่จะแบ่งเป็นหลายห้อง มีห้องคนเฝ้าไข้ ห้องหมอเวร ห้องญาติ ห้องต่างๆ ตกแต่งหรูมาก
เมื่อวานลุงมีไข้สูง จึงเอาเสมหะไปตรวจ พบว่าเป็นปอดปวม ตอนแรกก็กินได้มากขึ้น แต่ตอนนี้กลับกินไม่ค่อยได้ ยังไม่รู้ว่าไข้มาจากอะไร เทียบกับเมื่อ 3 ปีก่อน ที่ลุงมาผ่าหลังกับหมออเมริกัน ตอนนั้นลุงยังเดินคล่องอยู่เลย คงเป็นอาการทางสมอง ซึ่งเป็นอาการหลักที่ลุงต้องมานอนโรงหมอ ส่วนอาการไข้เพิ่งมาเป็นหลังจากนอนโรงหมอแล้วพยาบาลเข็นลุงไปเอกซเรย์สมอง ผลการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองของลุง พบว่าเนื้อสมองฝ่อลงคือ สมองเสื่อม หรือเซลล์สมองบางส่วนตาย (Stroke /Brain Attack)ไม่พบเลือดออกในเนื้อสมอง โพรงสมองขยายขึ้นเล็กน้อย
แต่ไม่เคยมีการแถลงการณ์ เกี่ยวกับอาการทางสมองแม้แต่ครั้งเดียว มีแต่การแถลงว่าลุงมีอาการปอดอักเสบ มีคำสั่งให้หมอด้านสมองดูแลลุงอย่างใกล้ชิด ห้ามไปทำงานที่อื่น หมอให้ความเห็นว่า อนาคตของลุงมีทางเป็นไปได้สามทาง
แบบที่หนึ่ง อยู่โรงพยาบาลไปเรื่อยๆ กินข้าวได้ ไม่มีไข้ นอนหลับได้ดี เหมือนพระสังฆราชที่ตอนนี้อายุ 96 ปีแล้ว อยู่โรงหมอจุฬามาไม่รู้กี่ปีแล้ว กินข้าวได้ ไม่มีไข้ นอนหลับดี มีโอกาสเป็นไปได้ 65 เปอร์เซนต์
แบบที่สอง เสียชีวิต มีความเป็นไปได้ 25 เปอร์เซนต์
แบบที่สาม กลับบ้านโดยหายดี มีความเป็นไปได้ 10 เปอร์เซนต์ หมอสรุปผลการวินิจฉัยว่า ลุงเป็นเส้นเลือดสมองตีบตันเป็นครั้งที่ 2 ทำให้การทำงานต่างๆ ของร่างกายลดลงไปมาก เดิมทีลุงเคยเป็นเส้นเลือดสมองตีบตันมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี 2550 ลุงเป็นโรคหัวใจเคยผ่าตัดใส่บอลลูนและเป็นโรคพาร์กินสันร่วมด้วย(คือโรคสมองและประสาทส่วนกลางผิดปกติ มีอาการมือสั่นศีรษะสั่น เคลื่อนไหวช้า ทรงตัวไม่ค่อยดี) โดยอาการจะออกทางขามากกว่าแขน เดินเองไม่ค่อยได้ ขาสั่นตลอดเวลา
ลุงมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ความจำลดลง เพ้อถึงเรื่องพี่ชาย พี่สาว ตลอดเวลา ต้องทำกายภาพแขนและขา เพื่อให้มีแรง มีการดูดเสมหะ และเคาะปอด(คือ เอามือตบเบาๆบริเวณปอดเพื่อขับเสมหะที่คั่งค้าง) พอลุงมีอาการปอดอักเสบ วันรุ่งขึ้นไข้กลับหายไป เพราะว่าเส้นเลือดที่สมองตีบ ทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้กลืนอาหารมีปัญหา เมื่อกินอาหารจะสำลักลงปอดเกิดอาการปอดอักเสบ และมักจะมีเสมหะอุดตัน พอทำกายภาพ เคาะปอดดูดเสมหะออก ไข้ก็ลดลง
พอกินทางปากไม่ได้ เพราะกินแล้วกลัวว่าลุงจะสำลักอีก หมอจึงให้อาหารทางสายน้ำเกลือ แต่พอเริ่มกินทางปาก บางวันก็สำลักเพราะอาหารลงปอดทำให้กลับมามีไข้อีก ตอนนี้ต้องทำกายภาพเพราะกลัวว่าแขนขาจะลีบ
หมอบอกว่าต่อไปอาการทางสมองน่าจะหนักขึ้น เช่นช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ความจำเลอะเลือน สุดท้ายก็จะตายอย่างทรมาน แต่ถ้ามีครอบครัวที่อบอุ่น ก็คงจะช่วยให้อะไรๆดีขึ้นบ้าง
ต่อไปก็คงจะมีแต่ข่าวว่า กินได้ดี นอนหลับ ไม่มีไข้ ทำกายภาพ ปอดไม่อักเสบแล้ว ก็จะวนไปวนมาแบบนี้ตลอด แต่สิ่งสำคัญคืออาการทางสมอง เช่น ความจำ สติสัมปชัญญะ การรับรู้ ว่าต่อไปลุงจะบริหารงานเองได้หรือไม่
13 ตุลาคม 2552
ลุงมีอาการทางสมองค่อนข้างชัด ขนาดจะเดินไปเข้าห้องน้ำเอง หรือจะเปลี่ยนช่องทีวีเองก็ยังทำไม่ได้ ร่างกายซูบลงไปมาก น้ำหนักลดไปไม่ต่ำกว่า 10 กิโล คงต้องนอนโรงหมอต่อไปแบบไม่มีกำหนด เปรียบเหมือนรถที่แล่นไปโดยไร้จุดหมายปลายทาง ไม่รู้ว่าจะดับลงตรงที่ใดเพราะดูจากสภาพแล้วไม่มีอะไรแน่นอน หมอเวรที่มานอนเฝ้า ก็เป็นหมอระบบประสาททั้งนั้น คงกลัวจะมีอาการทางสมองกำเริบอีก
ทุกวันตอนเช้า ก็ฝึกกายภาพแขน ขา นั่งๆ นอนๆ แบบเดิมทั้งวัน ช่วงบ่ายบางวันก็ให้เป่าลมทำกายภาพปอด ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก บางวันก็เอาเลือดไปตรวจ บางวันก็เอาปัสสาวะไปตรวจ บางวันก็ลงไปทำเอ็กเรย์ปอด มันเป็นเรื่องน่าเบื่อและน่าทรมานที่ต้องมาอยู่สภาพอย่างนี้ทั้งผู้ป่วยรวมทั้งหมอและพยาบาลที่ต้องทำงานซ้ำๆกับผู้ป่วยรายเดิมโดยไม่ได้ทำหน้าที่อื่นเพื่อฝึกฝนยกระดับความรู้ความสามารถของตนอย่างที่เคยปฏิบัติเป็นปกติ
ช่วงนี้ลุงเพ้อถึงคุณย่าสังวอน คงเพราะใกล้วันเกิดแม่สังวอน คือวันที่ 21 ตุลา
แต่หญิงเล็กกลับออกมาแถลงข่าวว่า ลุงสมชายจะแข่งกินผัก แต่ลุงกินไม่ได้เพราะสำลักลงปอดกลายเป็นปอดบวมเนื่องจากสมองและประสาทมีปัญหา หมอต้องให้อาหารทางเส้นเลือดเกือบทั้งหมด หญิงเล็กพูดแต่เรื่องของอาการที่ปอด ทั้งๆที่เอกซเรย์สมองไปไม่รู่กี่ครั้ง กลับไม่แถลงเรื่องอาการทางสมอง
เมื่อก่อนหมอเคยให้อาหารทางสายยางผ่านทางรูจมูก แต่ลุงคงเจ็บและอึดอัด หมอก็เลยเปลี่ยนมาให้ทางเส้นเลือดอีกครั้งหนึ่ง
ช่วงนี้ลุงไม่ค่อยมีแรง เดินเองไม่ได้ แทบจะนอนเตียงตลอดเวลา มีไข้ต่ำๆ พอมาเป็นโรคพาร์กินสันอีก ทำให้อาการสั่นรุนแรงมากขึ้น ยิ่งทำกายภาพยากขึ้นไปอีก หน้าจะแข็งๆ ไม่ค่อยมีสีหน้า วันๆต้องทำกายภาพทั้งเคาะปอด(Lung Percussion) ฝึกเป่าลมช่วยให้ปอดไม่แฟบ และการทำกายภาพแขน ขา เพื่อเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ แต่ก็ทำได้ลำบาก เพราะลุงเป็นพาร์กินสัน แขน ขาเกร็งตลอดเวลา
ไม่สามารถยืนหรือเดินด้วยตัวเองได้ กินข้าวเองยังไม่ได้ ต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ความจำค่อนข้างเลอะเลือน ต้องใส่ผ้าอ้อมตลอด ป้องกันไม่ให้อุจจาระเลอะเปรอะเปื้อน ป้าสมจิตมาเฝ้าทุกคืน แต่ก็นอนดึกเพราะต้องอยู่คอยต้อนรับลูกๆ ที่จะมาเยี่ยมลุง หญิงกลางที่เป็นอาจารย์สอนจปร.ก็มาทุกวัน และนอนค้างกับลุงตลอด ส่วนหญิงเล็กตอนนี้ไปญี่ปุ่นและจีน ปกติหญิงเล็กมักจะมาตอนสี่ทุ่ม และกลับประมาณตี 4-5 ส่วนเสี่ยอูอาทิตย์หนึ่งจะมา 2-3ครั้ง แต่อยู่ไม่เกิน 15 นาที
ส่วนรัศมีจันทร์ข่าวว่ามีคำสั่งจากเสี่ยอูไม่ให้มา สามีภรรยาคู่นี้ในทางพฤตินัยต้องถือว่าหย่าขาดจากกันแล้ว เพราะตอนนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เสี่ยกำลังอยู่กับเมียใหม่ที่ดอนเมือง คงอยากมีลูกกัน ส่วนรัศมีจันทร์ต้องทนอยู่เพื่อหน้าตา ต้องแสดงละครว่ายังรักกัน
ลุงเพ้อว่าอยากไปมุกดาหาร ไปอนุสาวรีย์จอมพลสฤษดิ์ผู้เปรียบเสมือนลูกรักของลุง ที่สามารถปราบศัตรูของลุงได้อย่างเด็ดขาด ระยะนี้มีเรื่องที่ทำให้ลุงเครียดที่วงศ์ตระกูลถูกเปิดโปงสารพัด และมีนักวิชาการเอาเอกสารของนายปรีดีออกมาเผยแพร่ ว่าอะไรเป็นอะไรในเช้าวันที่พี่ชายลุงถูกยิงเสียชีวิต เรื่องนี้ครอบครัวลุงถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนยิง ทำให้ลุงเครียดขึ้นมาทันที
30 พฤศจิกายน 2552
ลุงยืนและเดินนานไม่ได้ เพราะขายังไม่มีแรง และเคยผ่าหลังมาก่อน ถ้ายืนนานๆ ขาจะสั่นมาก งานทุกอย่างจึงต้องยกเลิกไปก่อน แต่ป้าสมจิตไม่อยากให้ยกเลิกงานสำคัญ เพราะป้าถือว่าเป็นลางไม่ดี ป้าได้ไปดูดวงมา หมอดูให้แก้เคล็ดโดยให้ใช้เลข 12 ที่เป็นวันเกิดของป้าเป็นเลขมงคล โดยให้จัดงานฉลองให้ลุงเป็นจำนวนทั้งสิ้น 12 วัน โดยเริ่มตั้งแต่ 2-13 ธันวาคม โดยจัดงานให้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจัดมา ให้ใช้งบประมาณทั้งสิ้น อาจจะ 1,200 ล้านบาท ในวันเกิดลุง ให้มีการจุดดอกไม่ไฟ 120,000 ลูก ถ้าทำได้เช่นนี้ตามที่หมอดูแนะนำ อำนาจของลุงก็จะยังดำรงอยู่ต่อไป ค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เบิกจากงบประมาณส่วนกลางเพื่อความสะดวกรวดเร็ว โดยเกณฑ์คนไปเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นแบบนี้ทุกงาน ไม่ว่าญาติของลุงคนไหนจะเกิด จะตาย แต่ปีนี้อภิเสกและห้อยได้เป็นรัฐบาล จึงระดมคนมางานได้เต็มที่ โดยเกณฑ์ข้าราชการให้เบี้ยเลี้ยงคนละ 100 บาท กับข้าวหมูทอดหนึ่งกล่อง ถ้าใครไม่มา ต้องถูกลงโทษทางวินัย และต้องชี้แจงเหตุผลต่อหัวหน้างาน โดยมีการเช็คชื่อกันทุก 2 ชั่วโมงเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครแอบหนีกลับบ้านไปก่อน แต่ที่เต็มใจมาเองก็มีประมาณร้อยละ 20
วันเกิดช่วงเช้าที่ลุงต้องออกโรงเองเพราะต้องการแสดงให้เห็นว่าตนยังแข็งแรงดีและยังอยู่ได้อีกนาน ยังไม่ตายง่ายๆ
วันเกิดปีที่ 82 ลุงยังใหญ่ได้อีกนาน
8 ธันวาคม 2552
ลุงสมชายยังไม่ค่อยหายดีนัก ทีมงานเองไม่อยากให้ลุงออกงานโชว์ตัว เพราะยังมีอาการปอดบวมอยู่ ยังเดินเองไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา แต่ลุงเป็นคนดื้อ ใครพูดก็ไม่ฟัง เลยต้องปล่อยให้ลุงออกไปออกงานโชว์ตัวในงานฉลองวันเกิด คราวนี้แท่นที่ลุงนั่งแทบจะเตี้ยติดดิน เพราะลุงไม่อาจปีนบันไดขึ้นไปบนแท่นได้สูงเหมือนแต่ก่อน ถ้าเป็นสมัยก่อนแท่นจะสูงมาก แทบจะต้องแหงนหน้าขึ้นไปคุยด้วย ภาพที่เห็นในทีวีก็ไม่ใช่การถ่ายทอดสด มีการป้องกันเหตุการณ์ที่อาจคาดไม่ถึง จึงต้องดีเลย์หรือชะลอภาพและเสียงประมาณ 15-45 นาที
ตอนที่กำลังเคลื่อนย้ายลุงจากรถเข็นไปที่รถตู้ กล้องจะจับภาพไปที่ป้า ไม่ให้ถ่ายภาพลุง จังหวะนี้ต้องใช้เวลาในการเคลื่อนย้ายลุงเกือบครึ่งชั่วโมง แต่ในภาพดูเหมือนแป๊บเดียวเพราะมีการตัดต่อภาพ และตอนอยู่หลังม่าน
ก่อนที่ลุงต้องปีนไปอยู่บนแท่น ฉากนี้ก็มีการชะลอภาพเกือบครึ่งชั่วโมง และลุงก็เกือบพลาดตกรถเข็น ยังดีที่มีคนมาจับไว้ทัน กว่าที่ภาพจะออกมาอย่างที่เห็นก็เล่นเอาทุลักทุเลเต็มที ที่จริงลุงไม่มีความจำเป็นต้องออกมาแสดงตัวเลย มันเป็นการทรมานสังขารตัวเองมากกว่า
งานฉลองวันเกิดลุง 5 ธันวา 2552 ถ้าสังเกตเปลือกตาข้างขวาของรัศมีจันทร์ จะมีรอยบวมช้ำ จากการที่รัศมีจันทร์โดนเสี่ยสั่งสอน เพราะตามไปด่าเมียน้อยเสี่ยอูถึงบ้าน
15 ธันวาคม 2552
สีหน้าของลุงดูบึ้งตึง ดูแข็งกร้าวกว่าเมื่อ 3 ปีก่อน อาการสั่นของโรคเก่ากำเริบหนักขึ้น ร่วมกับอาการเส้นเลือดสมองอุดตันทำให้ลุงดูแย่ลง ไม่คล่องแคล่วว่องไวเหมือนก่อน ลุงมีอารมณ์แปรปรวนมากขึ้น ตอนเช้าก็จะต้องกินข้าวกล้องงอก แถมกำชับว่าต้องได้กินแบบขนาดเม็ดข้าวต้องเท่ากันทุกเม็ด สีก็ต้องสีเดียวกันทุกเม็ด น้ำก็ต้องเอามาจากหัวหินเท่านั้น มิฉะนั้นคนรับใช้จะเดือดร้อน ตอนเย็นหลังจากเสร็จภารกิจประจำวัน ลุงก็เริ่มเปล่าเปลี่ยว คล้ายคนไร้ญาติขาดมิตรที่ไว้ใจได้ บางทีก็เริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า แกคงกำลังคิดถึงใครสักคนเพราะตอนนี้ลุงคงจะรู้ว่าคนที่รักแกจริงๆโดยไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรจากตัวแกนับวันจะน้อยลงไปทุกที
ทีมงานลุงเริ่มหาสมาชิกห้างร้านที่อยากได้รูปปั้นครุฑที่เรียกว่าครุฑพ่าห์ไปติดที่หน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท โดยลดราคากระหน่ำ และไม่ต้องจ่ายค่าเปอร์เซนต์เหมือนแต่ก่อน เพราะรู้ดีว่าเศรษฐกิจไม่ดี และยี่ห้อของลุงก็ไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนแต่ก่อน เพราะแม้แต่รักสินที่ได้ครุฑไปติดที่หน้าตึกชินวัตรถึงสามตัวก็ยังโดนลุงและป้าสั่งไล่ล่าไม่เลิก
22 ธันวาคม 2552
ลุงยังมีอาการทางร่างกายซีกซ้าย โดยเฉพาะมือซ้ายที่อ่อนแรงไปอย่างเห็นได้ชัด ลุงทรงตัวไม่ได้ดี ยังนั่งตัวเอียง เดินเองไม่ได้ อาการเส้นเลือดตีบคราวนี้มีผลมาก ถ้าลุงสามารถกำจัดและขุดรากถอนโคนรักสินกับพวกเสื้อแดงได้หมดสิ้นแล้ว ลุงก็คงจะกลับไปอยู่บ้านที่ริมชายหาดหัวหิน เพราะอากาศดี และลุงเคยมีสุนัขที่แกรักมากที่สุด เป็นสุนัขที่ฉลาดมาก แต่หลังจากที่มันจากไป มันทำให้แกคิดถึงมันมาก
มันคือคุณทองดำหรือที่จริงน่าจะเรียกว่าคุณหญิงทองดำเพราะมันมีลูกมีครอบครัวแล้ว เป็นสุนัขที่มีตำแหน่งสูงกว่าราษฎรทั่วไป ลุงรักมันมากถึงขนาดตั้งนามสกุลให้ และยังเอานามสกุลของมันมาตั้งเป็นชื่อบริษัทขายของกินให้ราษฎร ชื่อ สุวรรณกาฬ แปลว่า ทองดำ ลุงคงต้องการเปรียบเทียบให้ราษฎรได้สำนึกว่าแม้แต่สุนัขของลุงก็ยังสูงส่งกว่าราษฎรทั่วไป
ลุงต้องทำกายภาพ ตอนนั่งไม่สามารถทรงตัวได้ ร่างกายอ่อนแรงไปข้างหนึ่ง ตัวจะเอียงไปทางข้างขวา ราว 30 องศา ถึงขนาดต้องใช้มุมกล้องช่วยเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียด ยืนเองไม่ได้ และตอนนี้เริ่มกลับมาดูดซิก้าร์อีกแล้ว จริงๆ ทีมงานจะห้ามเด็ดขาด เพราะกลัวว่าจะมีอาการแบบที่เคยเป็นมาอีก ลุงคงเครียดเรื่องเหตุการณ์บ้านเมือง และวิตกว่าถ้าตนเป็นอะไรไปครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร ลูกชายก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเป็นผู้เป็นคนที่พอฝากฝังให้สืบทอดอำนาจได้ ลูกสะใภ้ก็เป็นอดีตนักร้องคาเฟ่ ที่ลุงและป้าอยากให้รีบๆเลิกกันเสียที เพราะมันทำให้วงศ์ตระกูลของลุงดูตกต่ำลงไปมาก เสี่ยอูก็ต้องหาทางเลิกลากับรัศมีจันทร์เพื่อเอาใจลุงและป้าโดยมีเก้าอี้ใหญ่เป็นตัวล่อ
ทุกคนในบ้านลุงรวมทั้งเปรมิกาและลูกน้องทั้งหมดอยากให้ลุงมีอายุเกินกว่าร้อยปีเพราะลุงเป็นหลักประกันความมั่นคงและมั่งคั่งของตระกูลและเครือข่ายทั้งหมด แม้ว่าลุงอาจจะป่วยเรื้อรังไปเรื่อยๆ แต่ตราบใดที่ลุงยังมีลมหายใจก็ย่อมเป็นที่อุ่นใจและที่พึ่งพิงที่ไว้ใจได้ของบริวารทุกคน ลุงต้องหอบสังขารมาอ่านคำปราศรัยในวันเกิด เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ลูกน้อง ทั้งๆที่ลุงแทบจะไม่มีเรี่ยวแรง ตักข้าวกินเองไม่ได้ นอนได้อย่างเดียว สมองยังรับรู้เรื่อง แต่เรื่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ ใช้คำผิดๆถูกๆ จะเอาแปรงสีฟันไปตักข้าวกิน และชอบนอนดึก
แต่หญิงเล็กกลับออกมาแถลงข่าวว่าลุงแข็งแรงดี ขี่จักรยานเสือหมอบได้ ก็ขนาดแค่นั่งให้ตรงลุงยังทำไม่ได้เลย สังเกตมือข้างที่ตามองไม่เห็นคือมือข้างขวา จะเกร็งเหมือนกำมือตลอดเวลา
แต่ต้องปกปิดความจริงเพื่อให้ราษฎรเชื่อว่าลุงไม่เป็นอะไรมากนัก เพราะลุงเป็นที่พึ่งเดียวและที่พึ่งสุดท้ายของวงศ์ตระกูล
บั้นปลายชีวิตของลุงสมชายผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่มีความสงบราบรื่นเท่าที่ควร เพราะเลี้ยงลูกไม่ได้ดังใจ ทั้งที่ลูกๆก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว คนโตก็ยังอยากเป็นนางเอกหนังตอนแก่ ลูกชายคนเดียวก็ยังทำตัวให้น่าเป็นห่วง ส่วนหญิงกลางแม้จะวางตัวดีกว่าพี่น้อง แต่ในครอบครัวก็มองว่าเธอทำตัวติดดินมากเกินไป ไม่มีสง่าราศรีสมฐานะเท่าที่ควรเหมือนคนอื่นๆในตระกูล
อาการเส้นเลือดอุดตันบวกกับพาร์กินสันของลุงทรุดลงไปมากและไม่อาจกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมอีก ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไปน่าจะอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี เพราะโรคพาร์กินสันรุกหนักมาก เห็นชัดจากภาพในจอทีวี แต่ลุงมีทีมหมอมือหนึ่งคอยเฝ้าดูแลตลอดเวลา จึงน่าจะอยู่ได้ต่อไปได้เรื่อยๆอีกนานโรคพาร์กินสัน(Parkinson's Disease)เกิดจากสมองและประสาทส่วนกลางเสื่อม ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการทางระบบประสาทที่เด่นชัด 3 ประการ ได้แก่ อาการสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า
-อาการสั่น มักเกิดขณะอยู่เฉยๆ คือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือยื่นมือทำอะไร อาการสั่นจะลดลงหรือหายไป มักเกิดขึ้นที่มือข้างใดข้างหนึ่ง มือจะสั่นเวลาเดิน
-อาการเกร็ง มักมีอาการแข็งตึงของแขนขาและลำตัว เคลื่อนไหวลำบาก ปวดตามกล้ามเนื้อ
-อาการเคลื่อนไหวช้า ทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก เดินช้าและงุ่มง่าม แบบสโลว์โมชั่น สังเกตได้ว่าแขนไม่แกว่ง แขนขาไม่มีแรง
และมีความผิดปกติของการทรงตัว เช่น หลังค่อม แขนงอ หกล้มง่าย นั่งตัวเอียง
อาการอื่นๆ ที่มักพบร่วมด้วย คือ ปวดกล้ามเนื้อ ซึมเศร้า นอนไม่หลับ สีหน้าเฉยเมย ไม่แสดงอารมณ์ น้ำลายไหลบ่อยไม่สามารถควบคุมได้ ลายมือเปลี่ยนไป
ขณะนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาให้โรคพาร์กินสันหายขาดได้ อาการจะเป็นในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยโดยทั่วไปมักจะเสียชิวิตภายในระยะ 2-3 ปี
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ลุงต้องนั่งตัวเอียง และหน้าบึ้งตึงยิ้มไม่ออก
เรื่องการออกงานโชว์ตัวของลุงคงไม่มีปัญหา เพียงแค่ต้องฉีดยากระตุ้นก่อนออกงานทุกครั้ง
ปีนี้ลุงสั่งให้โหมจัดงานประชาสัมพันธ์แสงสีเสียงสี่มิติ โดยทุ่มงบประมาณเต็มที่ ให้เหนือกว่างานฉลองวันเกิดอายุครบ 80 เมื่อ 4 ปีที่แล้ว โดยใช้คำขวัญว่า เดินตามรอยเท้าเตี่ย ใช้ชีวิตอย่างเจียมตัว ให้จัดงานตลอดทั้งปีเวียนไปทุกจังหวัด โดยเริ่มที่นครราชสีมา ใช้งบราชการไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์คุณงามความดีและผลงานของลุง ในปีต่อไปให้จัดงานไล่เลียงต่อเนื่องกัน ทั้งงานครบ 5 รอบวันแต่งงาน และการเข้ารับตำแหน่งประธานใหญ่คนที่อยู่ใกล้ชิดพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ลุงแก่ลงไปมาก ลุงเปรยออกมาว่า กลัวเป็นเหมือนอาคือรัชกาลที่ 7 อายุน้อยกว่าพ่อของลุงสองปี ที่ภายหลังถูกยึดอำนาจ ก็โดนยึดทรัพย์ และสุดท้ายถูกฟ้องต่อศาลในข้อหายักยอกเงินของประเทศ
14 กุมภาพันธ์ 2553
สิ่งที่สำคัญต่อสุขภาพของลุงคือความวิตกกังวลเรื่องความมั่นคงของครอบครัวและอนาคตที่เริ่มไม่แน่นอน เนื่องจากรักสินซึ่งเป็นศัตรูคนสำคัญยังคงลอยนวลและดูจะมีอิทธิพลอยู่มากไม่เหมือนศัตรูคนก่อนๆ ลุงจึงคงต้องแอบกำชับและสั่งการเองโดยใช้โรงหมอชั้น 14 เป็นกองบัญชาการ แต่ลุงมักจะอดไม่ได้ที่จะโชว์ปมเขื่องแสดงอำนาจ
ต่อไปทีมงานจะไม่ยอมให้ลุงออกงานและพูดโดยลำพัง ไม่ให้พูดนาน ไม่ให้พูดสดเหมือนก่อน เพราะลุงเริ่มมีอาการทางสมอง คิดช้าลง แถมยังพูดเรื่องที่ไม่ควรจะพูดออกมามากขึ้น ทีมงานเกรงว่าถ้าลุงไปเผลอพูดเรื่องสำคัญๆกลางจอทีวี มีหวังเกิดปัญหาใหญ่ตามมาแน่นอน
บารมี เช่น จัดแสดงดนตรีวงใหญ่ โดยลุงแต่งชุดหูกระต่ายให้สุนัขเดินนำหน้าเพียงเพื่อไปฟังดนตรีออเคสตร้า บางทีก็ปิดการสัญจรทางน้ำเป็นเวลานานเพื่อให้เรือลอยลำกลางแม่น้ำเล่นดนตรีคลาสสิคให้ลุงได้ฟัง ทำให้ชาวบ้านย่านใกล้เคียงต้องเดือดร้อนกันอยู่บ่อยๆ เพียงเพื่อการสร้างบารมีที่ไม่รู้จักพอ และเป็นการปลุกขวัญเป็นกำลังใจแก่บรรดาผู้ที่ซาบซึ้ง
เนื่องจากลุงเดินไปไหนไม่ได้จึงต้องสั่งการผ่านป้าและเปรมิกาให้ไปดำเนินการแทน แต่ปล่อยข่าวว่าป้าและเปรมิกาเป็นคนสั่งการเอง เพื่อไม่ให้เรื่องพัวพันมาถึงลุงซึ่งเป็นวิธีการอำพรางที่ลุงได้ใช้มาตลอด แต่มีหลายครั้งที่ลุงกลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ เช่นออกทีวีกำชับผู้พิพากษาศาลก่อนการตัดสินคดีทางการเมือง ทั้งๆที่ลุงได้มีการสั่งการไปก่อนแล้ว รวมถึงการสนับสนุนนายอภิเสกอย่างออกนอกหน้า ลุงได้สร้างระบบบริหารและสั่งการที่แบ่งหน้าที่ให้คนอื่นรับผิดชอบ ยอมรับหน้าแทนลุง ทำเป็นว่าลุงไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ถูกบังคับโดยป้าและเปรมิกา กองทัพและศาลบีบบังคับใช้ลุงเป็นเครื่องมือ ทั้งๆที่ทุกคนต้องทำตามที่ลุงสั่ง โดยมีป้าและเปรมิกาเป็นผู้รับนโยบายมาดำเนินการ เพราะลุงคือเสาหลัก คือ ถ้าลุงยังอยู่ ทุกคนก็ยังอยู่กันได้สะดวกสบายและยิ่งใหญ่มั่งคั่งเหมือนเดิม เหมือนโคลงสมชายมานุสติที่ว่า....หากสมชาย ยังอยู่ยั้ง ยืนยง เราก็เหมือน อยู่คง ชีพด้วย หากสมชายพินาศลง เราอยู่ ได้ฤา เราก็เหมือน มอดม้วย หมดสิ้น วงศ์เทวดา......
วันทำบุญล้างบาปที่ประหารคนเพื่อหนีความผิด
17 กุมภาพันธ์ 2498 ตรงกับวันประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์สามคนเพื่อปิดคดีปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 ลุงได้จัดงานพิเศษให้กับผู้บริสุทธิ์ ที่ถูกพวกของลุงเอาไปประหารเพื่อปิดคดีให้ผู้ต้องสงสัยตัวจริงได้รอดพ้นและมีอำนาจยิ่งใหญ่ต่อไป แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปกว่าห้าสิบปีแล้วแต่ลุงก็ไม่เคยลืม ทุกครั้งที่ลุงย้อนนึกไปถึงเช้าวันนั้น มันทำให้ลุงน้ำตาคลอทุกที ทีมงานของลุงต้องการให้ราษฎรลืมเรื่องราวในเช้าวันที่รัชกาลที่ 8 โดนยิงสวรรคต โดยไม่มีการจัดงานรำลึกใดๆ ในขณะที่พี่สาวของลุงซึ่งไม่ได้มีบทบาทหรือความสำคัญอะไรแต่พอเสียชีวิตกลับมีการจัดงานใหญ่โต ฉายหนังเล่นดนตรีเพื่อให้รำลึกถึงอยู่หลายเดือน แต่พี่ชายที่สำคัญกว่ามากกลับเงียบเฉย เพราะกลัวว่าถ้าโฆษณาเรื่องรัชกาลที่ 8 มากๆ ราษฎรจะเกิดคำถามว่า เขาเป็นใคร เป็นอะไรตาย แล้วใครฆ่าเขา อ้าวลุงยังมีพี่ชายอีกคนหนึ่งด้วยหรือ
ลุงไม่เคยไปเหยียบที่เกิดเหตุอีกเลย แต่ที่นั่นก็ยังเปิดใช้เป็นที่รับรอง ส่วนชั้นสองซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุถูกปิดตาย โดยลุงสั่งให้รื้อทำใหม่หมดทั้งห้องที่เกิดเหตุ ไม่ให้เหลือเค้าเดิม ทาสีใหม่ ทุบห้องเป็นห้องเดียว ใครอยากจะไปดูเพื่อศึกษาหาหลักฐานคงหมดสิทธิ์
สมัยที่แม่ของลุงยังอยู่ ท่านจะทำบุญ และนั่งสมาธิ อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ทำเช่นนี้มาทุกปี ขนาดปีที่ท่านเสียชีวิต ท่านยังฝากขอโทษ ขออโหสิกกรรมให้เลิกแล้วต่อกัน
ก่อนวันยิงเป้าประหารผู้บริสุทธิ์สามคน คุณย่าสังวอนลงทุนนั่งทำสมาธิ และชวนลุงนุ่งขาวห่มขาวก่อนวันประหารถึง 7 วัน งดกินเนื้อสัตว์ ท่านรู้ว่าการฆ่าคนบริสุทธิ์เป็นบาปมหันต์ หลังจากนั้นมาลุงก็ทำบุญให้กับพวกเขาเหล่านั้นทุกๆ ปี และเลิกกินเนื้อ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาทั้งหมด เมื่อวานลุงก็นุ่งขาวห่มขาว ทำเหมือนหลายๆ ปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้แปลกกว่าปีอื่นๆ เพราะลุงพูดว่า ที่เป็นเช่นนี้ ก็คงเป็นความผิดของฉันเอง ลุงเคยมีความคิดจะสารภาพผิดอยู่หลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งสมัยที่ลุงเพิ่งรับตำแหน่งและจะไปแนะนำตัวที่อังกฤษ แต่โดนเจ้าหน้าที่อังกฤษที่อินเดียปฏิเสธ เพราะเขาเชื่อว่า ลุงเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด และเมื่อเขามารู้ทีหลังว่า มีคนตายไปอีก 3 คน เขายิ่งรับไม่ได้ งานนั้นทำให้ลุงเสียหน้ามาก
ในช่วงเวลานั้น ลุงสมชายได้ให้นักหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกันเขียนหนังสือเรื่องกษัตริย์นักปฏิวัติโดยอนุญาตให้เข้าไปสัมภาษณ์ถึงในบ้านหลังใหญ่ อ้างว่าลุงสมชายไม่อยากแทรกแซงคดี ทั้งๆที่ได้แต่งตั้งพวกเดียวกันเล่นงานปรักปรำนายปรีดีและจ้างวานคนมาเป็นพยานเท็จ โดยหลอกว่าถ้ามีฎีกาก็จะยกโทษให้จำเลยทั้งสามคน แต่พลตำรวจเอกเผ่าได้ดำเนินการประหารชีวิตจำเลยไปโดยปกปิดข่าว และแอบเก็บหนังสือฎีกาเอาไว้ ทำให้ลุงสมชายไม่ทราบข่าวการประหารชีวิตเลย จนกระทั่งเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว ทำให้ลุงไม่พอใจมาก
ซึ่งเป็นเรื่องไม่มีมูลความจริง เพราะฎีกาขออภัยโทษของจำเลยทั้งสามได้ส่งผ่านจากคณะรัฐมนตรีไปถึงราชเลขาธิการซึ่งยืนยันว่าได้ส่งไปให้ลุงสมชายแล้ว และลุงสมชายได้ตอบปฏิเสธ โดยไม่ยอมยกโทษให้ หนังสือพิมพ์สมัยนั้น รวมทั้ง สยามรัฐ ก็ได้รายงานข่าวอย่างแพร่หลาย
มีหนังสือพิมพ์บางฉบับได้ไปสัมภาษณ์ ม.จ.นิกรเทวัญ เทวกุล ราชเลขาธิการ ซึ่งยืนยันว่าฎีกาของจำเลยทั้งสามคนนี้ได้ส่งให้ลุงสมชายมาหลายวันแล้ว
พอวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลาประมาณ 4.20 น. นายเฉลียว ปทุมรส ถูกนำตัวเข้าสู่หลักประหารเป็นคนแรก โดยอยู่ในท่านั่งงอขา หันหลังให้ที่ตั้งปืนกลของเพชรฆาต ห่างจากปืนกลประมาณ 5 เมตร นักโทษถูกมัดเข้ากับหลักประหาร มือทั้งสองพนมถือดอกไม้ธูปเทียนไว้เหนือหัวมีผ้าขาวมัดไว้ และมีผ้าขาวผูกปิดตา ด้านหน้านักโทษเป็นกองดิน ด้านหลังเป็นฉากผ้าสีน้ำเงิน บังระหว่างนักโทษกับเพชรฆาต บนฉากผ้ามีวงกลมสีขาวเป็นเป้าสำหรับเพชฌฆาต ซึ่งตรงกับบริเวณหัวใจของนักโทษ เมื่อได้เวลา เพชฌฆาตประจำเรือนจำ นายเหรียญ เพิ่มกำลังเมือง ก็ยิงปืนกลรัวกระสุน 1 ชุด จำนวน 10นัด เสร็จแล้วแพทย์เข้าไปตรวจดูนักโทษเพื่อยืนยันว่าเสียชีวิต
หลังการประหารนายเฉลียวประมาณ 20 นาที นายชิต ก็ถูกนำตัวมาประหารเป็นคนต่อไปในลักษณะเดียวกัน . . . . หลังจากนั้นไปอีก 20 นาที ก็ถึงคราวของนายบุศย์ ที่มีโรคประจำตัวเป็นลมบ่อย และเป็นลมอีกก่อนถูกนำเข้าหลักประหารเล็กน้อย ต้องช่วยให้คืนสติก่อน
เพชรฆาตยิงนายบุศย์เสร็จ 1 ชุดแล้ว ตรวจพบว่านายบุศย์ยังมีลมหายใจ จึงยิงซ้ำอีก 2 ชุด โดยยิงรัว 1 ชุด แล้วตามด้วยการยิงทีละนัดจนหมดอีก 1 ชุด
ผลการยิงถึง 30 นัดนี้ทำให้เมื่อญาติทำศพ พบว่านายบุศย์เหลือเพียงร่างที่แหลกเหลว และมือขาดหายไป . . .
ในครอบครัวลุงห้ามพูดถึงเรื่องนี้เด็ดขาด ลุงอยากให้ทุกคนลืม คิดเสียว่าลุงไม่เคยมีพี่ชาย ที่บ้านลุงไม่มีรูปของพี่ชายแม้แต่รูปเดียว มีครั้งหนึ่งที่นายกชาติชายต้องการจัดงานฉลองให้รัชกาลที่ 8 แต่ลุงปฏิเสธหัวชนฝา ลุงต้องการให้ทุกคนลืม แต่นายกชาติชายดันมาขุดคุ้ย ก็เลยโดนลุงตำหนิ ทั้งๆที่หวังดีแท้ๆ แต่คงเป็นเพราะไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้าม
เวลามีเรื่องทะเลาะกันทีไร พี่สาวลุงก็จะโทษลุงว่า เหตุที่ลูกๆ ของหมอนิด ไม่เอาถ่าน และตายโหงก่อนวัยอันควร ก็เป็นเพราะหมอนิด ไปช่วยปกปิดคนร้ายที่ยิงรัชกาลที่ 8 ผลกรรมจึงตกไปถึงรุ่นลูก ตอนนี้ลุงก็ยังแอบให้เงินครอบครัวของผู้บริสุทธิ์ที่ถูกยิงเป้า และดูแลกันอย่างเงียบๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นายปรีดี ต้องการกลับเมืองไทย มีนายส.ศิวรักษ์คอยทำเรื่องให้ ทีแรกลุงปฏิเสธไป แต่นายปรีดีมีคนรักคนชอบมาก ภายหลังลุงเลยต้องทำเป็นอนุญาต แต่มีข้อแม้ว่า ถ้ากลับมาต้องห้ามพูดเรื่องเช้าวันนั้น และต้องกลับมาเป็นฝุ่นใต้เท้าของลุงพร้อมทั้งต้องทำพิธีขอโทษรัชกาลที่ 7 อย่างเป็นทางการ แต่นายปรีดีรับไม่ได้ ตอนหลังนายปรีดีจึงได้กลับมาเมืองไทยแต่เพียงร่างที่ไร้วิญญาณ .....
สร้างเขื่อน เพื่อขายปูน รึเปล่า
ขณะที่ลุงยังไม่แข็งแรงดี แต่ก็ยังเรียกเจ้าหน้าที่ชลประทานเข้าพบ เพื่อต้องการให้มีการสร้างเขื่อนแห่งใหม่ ชีวิตลุงมีแต่การสร้างเขื่อน ฝาย และอ่างเก็บน้ำ
สำนักงานชลประทานรู้ดีว่า การสร้างเขื่อนในป่าต้นสักที่อุดมสมบูรณ์จะทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมมาก เพราะมันเคยเกิดขึ้นที่เขื่อนป่าสักที่โชว์อยู่บนแบ๊งค์ใบละพัน มีการถางป่าเป็นพันๆไร่ การก่อสร้างใช้ปูนตราช้างและตราเสือก็เป็นของลุง บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างก็ของลุง ส่วนไม้มีค่าที่ถูกตัดโค่นออกไปส่วนใหญ่จะไปตกอยู่กับทหารของลุง พี่สาวของรัศมีจันทร์ที่อยู่ในหมู่บ้านใหญ่ ราคาเกือบ 15 ล้านบาท ก็ได้ใช้ไม้สักเหล่านี้เหมือนกัน
ทั้งๆที่การก่อสร้างเขื่อนโดยทั่วไปนั้นสามารถใช้เถ้าลิกไนท์(Fly Ash)ที่ได้จากการเผาถ่านหินจากเหมืองแม่เมาะเป็นวัสดุที่ยืดหยุ่นเหมาะสมกับการนำมาใช้เป็นแกนเขื่อน มากกว่าปูนซีเมนต์ของลุง แต่ด้วยอำนาจที่ไม่อาจโต้แย้งได้ หน่วยงานรับผิดชอบจึงต้องเปลี่ยนไปใช้ซีเมนต์แทนเถ้าลิกไนท์ ทำให้งบประมาณการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น และเขื่อนเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นคุณประโยชน์อย่างที่มีการโฆษณา
มาระยะหลังที่ลุงเริ่มหันไปลงทุนด้านการพลังงานจึงยอมให้มีการเปลี่ยนมาใช้เถ้าจากลิกไนท์ที่เขื่อนคลองท่าด่านนครนายก โดยใช้เป็นส่วนผสมแทนซีเมนต์บางส่วน ทำให้คอนกรีตลื่นไหลได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มแรงยึดเหนี่ยวในระยะยาว ลดการแตกร้าวที่เกิดจากการหดตัวที่ไม่เท่ากัน สามารถลดปริมาณปูนซีเมนต์ลงได้มาก เป็นการประหยัดงบประมาณในการก่อสร้าง
ส่วนโครงการรถไฟต่างระดับโฮปเวลล์เขาว่าใช้ปูนทีพีไอ และไม่ได้ใช้เหล็กตราช้างของลุง เพราะรู้อยู่แล้วว่าทำไม่สำเร็จ เนื่องจากลุงไม่ให้สร้างเพราะลุงไม่ยอมให้มีการเวนคืนที่ดินของลุง เลยกลายเป็นแค่เสาตอม่อ นายประชัยขายปูนไปเป็นแสนคิว แต่เก็บเงินไม่ได้
เขื่อนของลุงที่ต้องการให้สร้างส่วนใหญ่ได้รับผลสำเร็จไม่ถึง 20 % แต่ลุงก็ยังได้รับรางวัลระดับโลก ทั้งๆที่มีปัญหามากมายเพราะฝนตกไม่เป็นที่ ไม่ตกในพื้นที่แห้งแล้ง แต่ดันไปตกในที่น้ำท่วม เจ้าหน้าที่ชลประทานจะพูดมากก็ไม่ได้ เคยมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเสนอความเห็นว่าเขื่อนของลุงไม่ได้ผล ไม่คุ้มค่า ก็โดนย้ายให้ไปเสี่ยงตายที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
แม่ผัวลูกเจ๊กกับลูกสะใภ้ผู้ดี
ป้ากับคุณย่าสังวอนมักจะไม่ค่อยชอบหน้ากันนัก ต่อหน้าคนอื่นก็จะปั้นหน้าทำดีต่อกัน สมัยที่ย่ายังอยู่ ป้าชอบเอาแม่ผัวมานินทากับคนรับใช้ใกล้ชิดอยู่เป็นประจำว่า สาแหรกเชื้อเถาเหล่ากอของย่าสังวอนเป็นแค่เจ๊กข้างถนน พ่อของย่าสังวอนเคยขายน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋และก็เคยขายก๋วยเตี๋ยว อยู่แถวๆท่าช้าง แม่ก็เป็นแค่คนเก็บเอาของเก่ามาขาย ไร้รสนิยม แถมพี่น้องย่าก็ไม่รู้จักทำมาหากิน วันๆเอาแต่เกาะคนอื่นกิน ชอบแบมือขอ ไม่รู้จักพึ่งตัวเอง
แถมยังมีเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนพยาบาล ชื่อคุณเนื่องซึ่งเป็นคนที่ช่วยทำลายหลักฐานตอนที่อานานลูกชายคนโตของย่าโดนยิงตาย ทั้งๆที่คุณเนื่องเคยช่วยเลี้ยงหญิงใหญ่จูลี่เมื่อตอนเป็นเด็ก ก็ไม่วายโดนป้านินทาว่างานการก็ไม่รู้จักทำ ดีแต่ร้องเพลงเต้นรำไปวันๆ
ป้ามักมีปากมีเสียงกับแม่สามีอยู่เป็นประจำ คำที่ป้ามักจะใช้เรียกคุณย่าสังวอน ลับหลัง ก็คือ ยายหูตึง เพราะย่าสังวอนแก่แล้วจึงฟังอะไรไม่ค่อยได้ยิน
เล่ากันว่าลุงสมชายมีเรื่องที่เสียใจมากที่สุดอยู่ 3 เรื่อง คือ
1. ตอนที่ลุงยังเด็ก หลังจากที่พ่อเสียได้ไม่กี่ปี ลุงต้องอยู่กับย่าที่ต่างแดน ตอนนั้นย่าสังวอนมีแผนจะแต่งงานใหม่กับฝรั่ง ก่อนหน้านี้ก็สนิทสนมกับฟรานซิสบีแซร์ที่ปรึกษากฎหมายอเมริกัน ลุงไม่อยากให้ย่าย้ายไปอยู่กับฝรั่งคนนั้นและต้องไปอยู่บ้านหลังเล็กๆที่ลุงไม่ชอบเลย ตอนหลังคุณย่าก็ยังมีคนรักเป็นฝรั่งหลายคน ส่วนกัญญาพี่สาวลุงก็มีสามีหลายครั้งหลายหนไม่แพ้กัน
2. ตอนที่ลุงเมาแล้วขับรถ พี่สาวลุงโกรธนายอร่ามสามีคนแรกของเธอที่ไปร่วมซิ่งรถกับลุง ทำให้ลุงบาดเจ็บสาหัสเสียตาข้างขวา และกัญญาก็แยกทางไปอยู่กับสามีฝรั่งและต่อมาลุงก็สนับสนุนให้พี่สาวได้แต่งงานเจ้าวรานนท์ธวัชผู้มีชาติตระกูลสูงและมีฐานะดีคนหนึ่งซึ่งต่อมาก็ต้องแยกทางกัน
3.กรณีที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าวันที่พี่ชายคนเดียวซึ่งเป็นท่านประธานใหญ่ถูกยิงเสียชีวิตในห้องนอนที่ลุงได้เดินเข้าไปก่อนที่จะมีเสียงปืนดังขึ้นไม่กี่นาที
05 มีนาคม 2553
คืนนั้น ลุงได้เปิดใจพูดคุยกับเสี่ยอู ขอให้เสี่ยไม่ต้องกังวล ตัวลุงเองก็ไม่รู้ว่าวันไหนจะจากไป ลุงรู้ดีว่า การเจ็บป่วยคราวนี้มันร้ายแรง และมีผลกระทบต่อลุงมากโรงหมอสีหราชเป็นสถานที่อยู่อาศัยที่เหมาะที่สุดสำหรับผู้บัญชาการรบที่ต้องนั่งรถเข็นอย่างลุง แถมมีคนมาลงชื่ออวยพร เอาเงินเอาของมาให้ ได้ทั้งบารมี ได้ทั้งความเห็นใจ สดวกสบายไปทุกอย่าง ได้ทั้งการเมืองการประชาสัมพันธ์ ในด้านความปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บก็น่าจะสบายใจได้มากเพราะมีหมอฝีมือเยี่ยมผลัดกันนอนเฝ้าตลอดเวลาพร้อมเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดอย่างครบครัน
เรื่องที่ใครจะคิดร้ายก็คงยากเพราะลุงอยู่ถึงชั้น 16 มีทั้งหมอพยาบาลและคนไข้ห้อมล้อมเป็นเกราะกำบังอย่างดี ใครจะเอาระเบิดเอ็ม79 หรือเครื่องยิงจรวดอาร์พีจีมายิงถล่มก็คงยาก ไม่เหมือนตอนอยู่บ้านหลังใหญ่ที่มีแค่สองสามชั้นมถนนล้อมรอบสี่ด้าน เป็นเป้าเด่นถูกถล่มง่าย และยังเป็นการถือเคล็ดตัดไม้ข่มนามตามที่หมอดูแนะให้ลุงมาอยู่ทางฝั่งธนบุรี ซึ่งพระเจ้าตากสินเคยถูกนายทองด้วนทวดปู่ของลุงสมชายหักหลังและกำจัดกวาดล้างก่อนย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่บางกอก
สภาพร่างกายของลุงตอนนี้แย่มากเพราะเดินไม่ได้และทรงตัวลำบาก ลุงรู้ตัวดีว่า ต่อจากนี้ไปลุงต้องต่อสู้กับอะไร งานนี้ไม่มีใครช่วยลุงได้ อนาคตของครอบครัวและบริวารก็อยู่ที่ลุงเพียงคนเดียวที่จะเป็นหลักยึดทั้งด้านอำนาจและบารมี
แม้ลุงจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้คนสำคัญมาได้โดยตลอดตั้งแต่นายปรีดีจนถึงรักสิน แต่ลุงไม่สามารถเอาชนะโรคพาร์กินสัน(Parkinson)ได้ เพราะมันจะทำลายเซลสมอง และ ทำให้การทำงานของสมองลดลง ยิ่งนานวัน ลุงจะช่วยตัวเองได้น้อยลง และต้องพึ่งคนอื่นมากขึ้น
แต่ลุงต้องรักษาภาพให้ดีอยู่เสมอ คือ เป็นคนสูงอายุที่ป่วยน่าสงสารแต่ก็แข็งแรงทำงานได้สั่งสอนอบรมคนได้ เป็นศูนย์รวมจิตใจคุ้มหัวให้ราษฎรผู้ต่ำต้อยที่ไม่เอาไหนต่อไปและคงยังอยู่ได้อีกหลายปีเพราะมีหมอที่ดีที่สุดของประเทศคอยผลัดเปลี่ยนดูแลใกล้ชิดชนิดนอนเฝ้ากันไม่ห่างตลอดเวลาทีเดียว ส่วนป้าสมจิตคงต้องการให้ลุงพัก อยากให้ลุงยกตำแหน่งให้คนอื่นรักษาการณ์แทน ซึ่งก็น่าจะหมายถึงตัวป้านั่นเองที่ใฝ่ฝันจะได้เป็นพระศรีสุริโยไท ป้าไม่อยากปล่อยให้เสี่ยอูลูกชายนั่งเก้าอี้ใหญ่ เพราะป้าไม่เคยเห็นเสี่ยอยู่ในสายตามานานแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าลุงต้องการให้เสี่ยอูเรียกนายอ้วนลูกชายคนโตของสุทธิดาให้กลับมา และให้เสี่ยช่วยดูแลลูกชายทั้งสี่คนของสุทธิดาก็คงไม่จริง เพราะเสี่ยเคยบอกกับคนสนิทว่าลุงเป็นคนสั่งให้เล่นงานสุทธิดาและครอบครัวและห้ามผู้ใดยื่นมือช่วยเหลือโดยเด็ดขาด
เพราะลุงเชื่อว่านายอ้วนเป็นลูกของดาราพระเอกหนังที่ชื่อพุงโย ทองปน ที่ผ่านมาลุงมีโอกาสหลายครั้งที่จะช่วยเหลือ แต่ลุงก็ไม่เคยเอาเป็นธุระเลย ร้อยวันพันปีลุงไม่เคยเรียกหาหลานอ้วนคนนี้แม้สักครั้งเดียว ทั้งๆ ที่ลุงก็รู้ความเป็นไปโดยตลอด เพราะลุงเป็นคนที่ผูกใจเจ็บไม่ค่อยลืมอะไรง่ายๆ แม้แต่หญิงใหญ่จูลี่ลูกสาวคนโตที่ลุงเคยรักมากที่สุด เรียกว่ารักมากกว่าหญิงกลางหลายเท่า ลุงอุตส่าห์ส่งเสียให้ไปเรียนถึงอเมริกา แต่ดันไปมีสามี ที่สำคัญไปท้องมีลูกกลับมาอีก ทำให้ลุงช้ำใจอย่างหนัก หันมากินเหล้าแทนน้ำเปล่า สูบซิกก้าร์ไม่ต่ำกว่าวันละ 10 มวน เพราะลุงแค้นใจมาก ไม่ยอมรับกลับสู่วงศ์ตระกูลง่ายๆ จนหญิงใหญ่ต้องพาลูกๆมากราบมาขอหลายครั้งจึงได้คืนสถานภาพเดิม ในเมื่อลุงเชื่อว่านายอ้วนเป็นลูกของพระเอกหนังคนหนึ่งไม่ใช่หลานของตนเอง แล้วลุงจะไปรักไปเรียกหานายอ้วนได้อย่างไร

16 มีนาคม 2553
ช่วงนี้ที่บ้านใหญ่ของลุงมีการเกณฑ์เอาพรามณ์ที่มีชื่อเสียง มาทำพิธี แก้ดวงชะตา ต่ออายุครอบครัว ให้ทายาทได้สืบต่อเจตนารมณ์ของลุงต่อไป หมอดูได้แนะนำให้ครอบครัวของลุงทำการกุศลตั้งมูลนิธิเพื่อคนอนาถาทุกข์ยากเพื่อสะเดาะเคราะห์ ถ้าใครป่วยเป็นโรคอะไรก็ให้ตั้งกองทุนเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น เช่น
หญิงเล็กไปเปิดโรงพยาบาลแถวถนนกำแพงเพชรใช้เงินงบประมาณกว่า 1200 ล้านบาท แล้วให้หมอที่เป็นสามีคนที่สองไปเป็นผู้อำนวยการ เพื่อวิจัยและรักษาโรคมะเร็งและโรคลมชัก พอสร้างเสร็จ บางส่วนยังไม่เปิดให้คนทั่วไปใช้บริการเพื่อรอให้หญิงเล็กเป็นผู้ใช้บริการคนแรก เพราะเชื่อว่าจะเป็นบุญกุศลให้หญิงเล็กหายจากโรคที่เธอเป็นอยู่ ซึ่งถือเป็นความลับเพราะเกรงว่าจะเสื่อมเสียเกียรติ
ปังปอนก็มีมูลนิธิโรคเด็กชัก และโรคเด็กพัฒนาการผิดปกติ
โสภาวลีก็มีโครงการช่วยคนติดเอดส์เพราะตอนอยู่กับเสี่ยอู เสี่ยเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ หลายคนเป็นดาราสาวสวย ที่ท่านยุ้ยผู้กำกับหนังระดับสูงใส่พานมาให้ และเสี่ยก็ไม่ชอบใช้ถุงยางอนามัย
8 พฤษภาคม 2553
วันฉลองพิธีรับตำแหน่งของลุง 5 พฤษภาคม เป็นวันที่สำคัญมากสำหรับคนในครอบครัวของลุง และเป็นวันที่ ทุกคนจะต้องมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน
หญิงใหญ่จูลี่แสดงอาการรักลุงมากเป็นพิเศษในช่วงที่เธอต้องการกลับสู่สถานะเดิม เธอต้องใช้ความพยายามอยู่สามปีหลังจากหย่าขาดจากสามีอเมริกัน จนลุงใจอ่อนยอมรับกลับวงศ์ตระกูล
ขณะที่เสี่ยก็ต้องมางานทุกปี ลุงเคยสัญญากับเสี่ยว่าจะมอบคฑาทองคำให้เสี่ย เมื่อลุงครบแซยิดวันเกิดปีที่หกสิบ แต่ลุงก็ไม่ยอมยกตำแหน่งให้เสี่ยจนเวลาล่วงเลยมากว่ายี่สิบปีแล้ว
และยังสั่งให้เสี่ยเลิกกับรัศมีจันทร์เพราะลุงเห็นว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี โรคร้ายที่เสี่ยเป็นมาหลายปีก็มีอาการชัดเจนขึ้น ถึงแม้จะลองรักษามาหมดทุกวิธี ทั้งกินยา เปลี่ยนถ่ายเลือดที่เยอรมัน เป็นอาสาสมัครทดลองใช้วัคซีน แต่ดูเหมือนว่าเชื้อโรคไม่ลดลง แต่กลับเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ทายาทคือปังปอนที่เสี่ยคาดหวังไว้ ก็กลายเป็นเด็กพิเศษที่ไม่ค่อยปกติ
หลังจากเสร็จงานฉลองเก้าอี้ เสี่ยอูก็มีปากเสียงกับลุงเรื่องเดิมๆ โดยลุงบอกว่าเสี่ยยังไม่พร้อมที่จะรับมอบคฑาทองคำ และสอนว่าการที่ลุงได้มายืนอยู่ที่จุดนี้ต้องอาศัยความพยายามและการต่อสู้ดิ้นรนมาโดยตลอด ลุงไม่เคยเล่าให้ใครฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ปริศนาของเมื่อเช้าวันนั้น แต่ทุกครั้งที่ลุงป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาล ภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าวันนั้น มันก็คอยกลับมาหาลุง ที่ลุงรอดจากความผิดฉกรรจ์ครั้งนั้นมาได้ก็เพราะคุณอาต่างมารดาที่ชื่อว่ารังสิต หรือเสด็จในกรมที่ลุงเป็นหนี้บุญคุณเขาเป็นอย่างมาก
ตอนที่ลุงได้ทำเรื่องร้ายแรงลงไป ท่านรังสิตได้ช่วยเหลือลุงให้พ้นคดีที่ลุงตกเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งจากในและนอกประเทศ ตอนนั้นลุงเครียดมาก หลังจากลุงได้ตำแหน่งไม่กี่เดือน ลุงก็ต้องไปอยู่ต่างประเทศ เพื่อหลบปัญหาตามคำแนะนำของรังสิต
มันเป็นช่วงเวลาที่ขมขื่นอย่างแสนสาหัส ที่ต้องหลบอยู่ต่างแดนในฐานะผู้ต้องสงสัย ลุงไม่เคยมีความสุขเลยตลอดเวลาที่ต้องอยู่ต่างเมือง บางแห่งไม่ยอมให้ลุงเข้าเมืองเพราะเขาหาว่า ลุงเป็นคนยิงพี่ชาย มันทำให้ลุงเกือบถอดใจสละตำแหน่ง
ด้วยสังขารของลุงในตอนนี้ ทำให้ลุงต้องหันกลับมาคิดว่าต้องมีใครสักคนที่เข้ามาสืบทอด ตำแหน่งที่ลุงต้องแลกมาด้วยความสูญเสียที่มากมายมหาศาล
ถ้าไม่ผลิกโผเดิม ก็คงจะเป็นเสี่ยอูที่เป็นทายาทตามกฎหมาย แต่มาระยะหลังๆลุงเริ่มป่วยทางสมอง ความคิดหลายเรื่องของลุงเริ่มเปลี่ยนไป ลุงอาจจะจัดโผเสียใหม่ อาจจะไม่เอาเสี่ยอีกต่อไปแล้วเพราะมือไม่ถึง โดยลุงคงต้องอยู่เป็นเสาหลักต่อไปเรื่อยๆแบบไม่มีกำหนด เพื่อซื้อเวลาต่อไปเรื่อยๆ เหมือนเดิม
ระยะหลังลุงไม่อยากกินยาเพราะกินแล้วมักทำให้ฝันร้ายและเห็นภาพหลอน ตั้งแต่ ย่า แม่ พี่สาว ลุง อา แต่คนที่ลุงฝันเห็นมากที่สุด ก็คือ พี่ชายที่คนใกล้ชิดเล่าว่า ลุงมักคอยโบกไม้โบกมือกวักมือเรียกหา จนทำให้คนที่อยู่เฝ้าลุงขนลุก เพราะไม่รู้ว่า เป็นผลข้างเคียงของยา หรือ บุคคลเหล่านั้นมาปรากฏให้ลุงได้เห็นจริงๆ ลุงเพ้อเรื่องพี่ชายมากขึ้น ส่วนมากจะเป็นการพูดย้อนไปถึงสมัยเด็กๆ ถ้ามีครั้งไหนที่ลุงกำลังจะเพ้อเล่าเหตุการณ์เช้าวันนั้น ทีมพี่เลี้ยงจะสั่งให้หมอฉีดยาให้ลุงผ่อนคลายและหลับทุกครั้งไป
6 มิถุนายน 2553
ครอบครัวลุงมีการจัดงานทำบุญในวันเสียชีวิตของพี่ชายลุง 9 มิถุนายนเป็นประจำทุกปี และมันเป็นวันเดียวกับที่ลุงรับตำแหน่งต่อจากพี่ชาย พี่ชายตายเวลาสามโมงครึ่งตอนเช้าแล้วลุงก็รับตำแหน่งเวลาสามทุ่มวันเดียวกัน ลุงสั่งกำชับว่าไม่อยากให้มีข่าวและภาพของงานทำบุญพี่ชายของลุงให้เอิกเกริกทั้งๆที่เป็นพี่ชายแท้ๆและเป็นถึงประมุขของประเทศ
แต่ถ้าเป็นคนอื่นในครอบครัวลุง ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่สาวจะมีงานยิ่งใหญ่และยาวนาน ช่วงนี้ ลุงมีอาการสับสนชอบพูดเรื่องเก่าๆ ตั้งแต่สมัยที่ลุงเป็นเด็ก โดนพ่อเลี้ยงต่างชาติทำร้ายร่างกาย เรื่องที่ลุงต้องเป็นคนพิการเสียตาข้างขวา เรื่องที่จูลี่แอบไปแต่งงาน ที่ลุงมักจะกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง แต่เรื่องที่สำคัญมากน่าจะเป็นเรื่องเหตุการณ์ในเช้าวันที่อานานพี่ชายของลุงถูกยิงเสียชีวิต ลุงได้สั่งไว้ว่า ถ้าลุงตายไป ขอให้เอากระดูกไปเก็บไว้ในสุสานใกล้กับของพี่ชาย และให้มีการจัดงานระลึกถึงอานานให้มากกว่าและยิ่งใหญ่กว่านี้ ในยุคของลุง ลุงไม่สามารถทำได้ เพราะไม่อยากให้มีใครสนใจเรื่องนี้ ปีนี้ครอบครัวลุงเตรียมงานของอานานเป็นการภายในเหมือนเช่นเคย แต่จัดให้ใหญ่กว่าทุกครั้ง เพราะลุงไม่แน่ใจว่าจะได้จัดอีกหรือเปล่า
ส่วนเรื่องที่ว่าลุงอยู่ในห้องนอนของพี่ชายขณะมีเสียงปืน มีการร้องไห้ข้างเตียงนอน คนเฝ้าประตูทั้งสองเห็นลุงในขณะเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุมีการทำลายพยานหลักฐาน มีการห้ามชันสูตรพลิกศพ หรือขอร้องหมอและเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเหลือผู้ต้องสงสัย ก็คงเป็นเรื่องที่พอจะทราบกันอยู่ แต่คนที่รู้ความจริงรวมทั้งเป็นที่พึ่งทางใจให้กับลุงมาตลอดก็คือแม่และพี่สาวของลุง
วันที่ลุงต้องเสียพี่สาวไปจึงเปรียบเสมือนว่าลุงหมดที่พึ่งทางใจคนสุดท้ายไปแล้ว เพราะคนที่แวดล้อมลุงอยู่ในตอนนี้เป็นคนที่ลุงคงไม่สามารถเล่าความลับเรื่องนี้ให้ฟังได้เลย กรรมที่เกิดจากการกระทำของลุงทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามนับตั้งแต่พี่ชาย ผู้บริสุทธิ์ทั้งสาม คือนายชิต นายเฉลียวและนายบุศย์ รวมทั้งประชาชนอีกเป็นจำนวนมากในหลายเหตุการณ์ ได้ตามมาหลอกหลอนลุงในบั้นปลายของชีวิต แล้วอีกกี่ชาติที่ลุงจะใช้หนี้ชีวิตให้พวกเขาเหล่านั้นได้หมด
ต้องนับว่าเป็นช่วงเวลาที่เป็นจุดวิกฤตมากที่สุด ทำให้ลุงเครียดและเป็นกังวลมากถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ ในสมัยลุงยังหนุ่มๆลุงก็เคยเจอปัญหาที่หนักใจมาก เพราะจอมพลป.จะนำนายปรีดีกลับมาเพื่อร่วมมือกันควานหามือปืนตัวจริงที่ยิงรัชกาลที่ 8 สวรรคตคาเตียงนอน เรื่องราวที่ลุงอยากให้ลืม ก็จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้ลุงเครียดและกังวลมาก โชคดีที่จอมพลสฤษดิ์จัดการยึดอำนาจเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็คงจะได้รู้ชัดว่าใครเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่ยิงรัชกาลที่ 8 แต่ตอนนี้ลุงไม่สามารถหวังให้ใครมาช่วยลุงได้ เหมือนเหตุการณ์คราวก่อน แถมลุงยังป่วยหนักและเรื้อรังกว่าทุกครั้ง และเป็นไปไม่ได้เลยที่ลุงจะกลับไปแข็งแรง มีกำลังวังชาเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
ศึกภายในครอบครัวก็พอมีบ้างเป็นธรรมดาเพราะผลประโยชน์อันมากมายมหาศาล เปรมิกาและจรุงจืดแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่สนับสนุนเสี่ยอูผู้เป็นทายาทอย่างเป็นทางการ เพราะรู้ดีว่าเสี่ยอูเป็นนักล่าผู้หญิงแถมเป็นโรคร้ายที่มีอาการชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ปังปอนก็กลายเป็นเด็กพิเศษ ที่ชาวบ้านเรียกว่าเด็กเอ๋อ เปรมิกาคิดว่าตนน่าจะมีโอกาสรับใช้ลุงได้ดีกว่าเสี่ย และเคยแก้รัฐธรรมนูญไว้แล้วว่าตนในฐานะหัวหน้าที่ปรึกษาสามารถทำหน้าที่แทนลุงถ้าลุงทำหน้าที่ไม่ได้และไม่ทันได้มอบหมายให้ใครทำหน้าที่แทน จนมีข่าวว่าโดนเสี่ยชกหน้าเพราะบังอาจข้ามหน้าคิดจะมาทำหน้าที่แทนลุง
มาช่วงหลังลุงมักเพ้อถึงพี่เลี้ยงที่ชื่อเนื่องซึ่งเป็นนักเรียนพยาบาลรุ่นเดียวกับคุณย่าสังวอน มีชื่อเล่นว่าแหนน เป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์เช้าวันที่อานานถูกยิงเสียชีวิตคาเตียงนอน โดยลุงมักจะพูดทำนองว่า แหนนมาหา ลุงเห็นแหนนมายืนอยู่ใกล้ๆ เตียงของลุง ลุงคงเห็นภาพและร้องเรียกทักแหนมอยู่บ่อยๆ บางครั้งลุงก็ทักพยาบาลบางคนที่เข้ามาวัดปรอทลุงว่าเป็นพี่แหนนก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้วลุงก็เคยเพ้อถึงหมอนิดมาก่อนแล้ว
แหนนเป็นพี่เลี้ยงที่ลุงรัก และนับถือมาก เพราะแหนนเป็นคนที่เลี้ยงลุง และพี่ๆ ของลุงมาตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะแหนนเป็นคนสำคัญที่ช่วยเหลือลุงไม่ให้ต้องติดคุกติดตะรางจากคดียิงพี่ชาย แหนน คุณย่าและคุณลุงรังสิตเป็นคนสำคัญที่ช่วยกันทำลายหลักฐานในเช้าวันนั้น เช่น เอากรรไกรตัดเสื้อผ้าและถอดแหวนของอานานออก เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เช็ดคราบเลือด จัดท่าทางอานานเสียใหม่ ถอดเอาผ้าปูเตียง และปลอกหมอนที่เปรอะเปื้อนเลือดชิ้นเก่าออกไปซัก เอาหมอนไปฝัง เคลื่อนย้ายศพอานานจากเตียงไปที่โซฟา และช่วยหมอนิดเย็บบาดแผล ถ้าไม่ได้พี่เลี้ยงแหนนช่วยทำลายหลักฐานต่างๆ เห็นทีคงยากที่ลุงจะอยู่รอดปลอดภัยจนถึงวันนี้

Wednesday, February 2, 2011

แอ็คชั่นเพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย

แอ็คชั่นเพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย

← ไม้ขีดก้านเดียวที่ปลี่ยนสังคมเกาหลีทำไมข้าพเจ้าจึงปฏิเสธการรัฐประหาร ไม่ว่าจะอ้างว่ากระทำในนามใดก็ตาม? →การปราบปรามประชาชนที่คิดต่าง และรายชื่อผู้เสียชีวิตจากการสังหารของมาเพียการเมืองไทยเท่าที่รวบรวมได้
Posted on January 10, 2011 by Time Up Thailand
แอ็คชั่นเพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย

กลุ่มแอ็คชั่นเพื่อประชาธิปไตย พยายามรวบรวมจากข้อมูลที่เผยแพร่ไว้ตามเวบไซด์ต่างๆ เพื่อนำมาร่วมอยู่ด้วยกัน ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ สำหรับรายชื่อที่ตกหล่น และ/หรือความผิดพลาดคลาดเคลื่อนต่างๆ เพราะจากการค้นคว้า มีหลายเวบไซด์ ที่อ้างข้อมูลเหล่านี้ จนไม่สามารถระบุได้ว่าต้นกำเนิดมาจากที่ไหนเป็นแห่งแรก แต่ขอให้รำลึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต้องร่วมกันเผยแพร่สู่ สาธารณชนอย่างกว้างขวาง และไม่ควรมีใครอ้างกรรมสิทธิบนชีวิตของวีรชน นักสู้ แต่ควรร่วมกันเผยแพร่ สรรเสริญและยกย่องในวีรกรรมของทุกคน


ขอร่วมบันทึกไว้สั้นๆ

ในช่วงการลุกขึ้นสู้ของ “ผู้มีบุญ” ที่ภาคอีสาน (สมัยรัชกาลที่ 5 ปี พ.ศ. 2444-2445) จากข้อมูลหลายแหล่งที่ค้นพบ มีการปราบปรามครั้งใหญ่จากกองทหารจากกรุงเทพกว่า 6,000 คน ที่ที่มีอาวุธปืน กับชาวบ้านหลายพันคนที่ไม่มีอาวุธอะไรมากไปกว่าดาบและหอก การปะทะทำให้มีผู้เสียชีวิต 200-300 คน บาดเจ็บ 500 คน และถูกจับกว่า 400 คน (แหล่งข้อมูลภาษาอังกฤษอ้างว่าผู้เสียชีวิตนับพันคน) แกนนำ 9 คน ยกเว้นพระสงฆ์ 1 รูป ถูกตัดคอประหารกลางทุ่งศรีเมือง แล้วเอาหัวเสียบประจานให้คนอีสานเห็นว่าผลของการกระด้างกระเดื่องกับรัฐบาลจากกรุงเทพจะเป็นเช่นไร พร้อมกับให้ชาวบ้านดื่มน้ำสาบานและให้สัญญาว่าจะไม่ทรยศต่อกษัตริย์สยาม


ภาพการประหารชีวิตในสมัยรัชกาลที่ 5

การปราบปราม สังหารประชาชนในนามมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ในนามเพื่อปกป้องสถาบันฯ ในนามสงครามแบ่งแยกดินแดน ในนามการปราบปรามยาเสพติด และหรือในนามการพัฒนาประเทศ ไม่มีใครรู้ได้แน่ว่ามีตัวเลข ร้อย พัน หรือหมื่น บางคนประมาณการสูงถึง 30,000 คน (ซึ่งจากการพยายามค้นคว้ายังไม่มีข้อมูลที่สนับสนุนข้ออ้างนี้ แต่ถ้าดูความรุนแรงที่ภาคใต้ และการปราบปรามช่วงสมัยรัชกาลที่ห้า ผนวกรวมเข้าไปด้วย ตัวเลขนี้ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน)

ถ้า ดูรายงานการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนประจำปี พ. ศ. 2550 ในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทย จัดทำโดยสำนักงานประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและแรงงาน ของสหรัฐฯ เผยแพร่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2551 ก็จะเห็นได้ว่าความตายภายใต้อุ้งมือของรัฐไทยนั้นง่าย และไม่มีมีค่าเพียงใด

ตัวเลข จากกองการสอบสวนและนิติการ กระทรวงมหาดไทยระบุว่าในช่วงปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำหรือระหว่างถูกเจ้าหน้าที่ ตำรวจควบคุมตัวทั้งสิ้น 751 ราย ในจำนวนนี้มี 52 รายที่เสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยทางการแจ้งว่าส่วนใหญ่เป็นการเสียชีวิตจากโรคภัยตามธรรมชาติ

รายชื่อต่อไปนี้ เป็นรายชื่อเท่าที่รวบรวมได้นับตั้งแต่ปี 2492 มีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 300 วีรชน
อาจะมีรายชื่อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้ค้นคว้าเพิ่มเติมมากขึ้น
ขอบคุณ และคารวะวีรชนทุกท่าน

การปราบปรามกลุ่มปรีดีในปี 2492 หลังกบฎวังหลวง 4 รัฐมนตรี และนายตำรวจที่สนับสนุนปรีดี

1.นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ อดีต ส.ส.จังหวัดอุบลราชธานี พรรคสหชีพ และเป็นอดีตรัฐมนตรีถึง 6 สมัย
2.นายถวิล อุดล อดีต ส.ส.จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นอดีตรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลนายทวี บุณยเกตุ
3.นายจำลอง ดาวเรือง อดีต ส.ส.จังหวัดมหาสารคาม
4.ดร.ทองเปลว ชลภูมิ อดีต ส.ส.จังหวัดนครนายก และเลขาธิการพรรคแนวรัฐธรรมนูญ
5.พันตรีโผน อินทรทัต ถูกกระสุนปืนยิงเสียชีวิตบริเวณหน้าผาก ศพอยู่ที่พบที่อำเภอดุสิต
6.พันตำรวจเอกบรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล
2495
1.เตียง ศิริขันท์ ถูกฆ่ารัดคอและเผาศพทิ้ง เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2495 เตียงและพวกรวม 5 คน ถูกเชิญตัวไปสบสวนที่สันติบาล ก่อนที่จะถูกสังหารโหดที่บ้านเช่าพระโขนงทีละคน และนำไปเผาที่ตำบลแก่งเสิ้ยน อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี พวกอีก 4 คนได้แก่
2.นายสง่า ประจักษ์วงศ์ พนักงานขับรถ
3.นายชาญ บุนนาค ลูกน้องคนสนิทของนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเคยถูกจับกุมที่ทำเนียบท่าช้างเมื่อครั้งเกิดกบฏวังหลวง
4.นายน้อย บุนนาค และ
5.นายผ่อง เขียววิจิตร
30 มิถุนายน 2502
1.ศุภชัย ศรีสติ กรรมกรที่ถูกตัดสินประหารด้วยมาตรา 17 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์

31 พฤษภาคม 2504
1.ครอง จันดาวงศ์ ถูกประหารชีวิต ข้อหามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์พร้อมกับ
2.ทองพันธ์ สุทธิมาศ
24 เมษายน 2505
1.รวม วงพันธ์ นักจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ถูกตัดสินประหารชีวิต เขาเปล่งเสียงก่อนกระสุนจะสังหารเขาว่า”จักรพรรดินิยมอเมริกาและเผด็จการสฤษดิ์ จงพินาศ !!!…ประชาชนไทย จงเจริญ จงเจริญ !!!….”

5 พฤษภาคม 2509
1.จิตร ภูมิศักดิ์ นักคิด นักเขียน และนักสู้ ถูกยิงเสียชีวิตที่เชิงเขาภูพาน
รายชื่อผู้เสียชีวิตในช่วงและเนื่องจากเหตุการณ์ 14 -16 ตุลาคม 2516
มีผู้เสียชีวิต 77 คน บาดเจ็บ 857 คน,

ผู้เสียชีวิตเพื่อประชาธิปไตยกลุ่มเดียวที่ได้รับการพระราชทานเพลิงศพ

ข้อมูลจากเวบไซด์ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา


1.นายคธากร ชีพธำรง อายุ 18 ปี นักเรียนปีที่ 4 พาณิชยการเซนต์จอห์น ถูกตำรวจยิง
2.นายคง เงียบตะคุ อายุ 28 ปี ลูกจ้างคนงาน ได้ยืนดูเหตุการณ์อยู่ที่หน้าต่างชั้นบนของร้าน และถูกกระสุนปืนเข้าบริเวณคอด้านหลัง
3.นายคงไฮ้ แซ่จึง อายุ 27 ปี ลูกจ้างคนขับรถยนต์ ถูกยิงด้วย M16 ที่สะโพกด้านซ้ายทะลุหน้าท้อง เสียชีวิตในวันที่ 16 ตุลาคม 2516
4.นายจีระ บุญมาก อายุ 29 ปี นักศึกษาปริญญาโทสถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และ พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นผู้ถือธงชาติเดินเข้าไปขอร้องมิให้ทหารยิงนักเรียน นักศึกษา และประชาชนบริเวณหน้ากรมประชาสัมพันธ์แต่กลับถูกยิง กระสุนปืนเจาะเข้าที่ขมับด้านซ้ายเสียชีวิตทันที
5.นายจำรัส ประเสริฐฤทธิ์ อายุ 47 ปี ผู้ช่วยช่าง สังกัดโรงเบ็ดเตล็ด แผนกผลิต กองซ่อมรถพ่วงการรถไฟแห่งประเทศไทย
6.ถูกยิงที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ณะที่กำลังไปช่วยเด็กนักเรียนที่ถือธงชาติ
7.นายเจี่ยเซ้ง แซ่ฉั่ว อายุ 17 ปี ช่างซ่อมเครื่องยนต์ ถูกยิงหน้ากรมประชาสัมพันธ์
8.นายจันทรครุป หงษ์ทอง อายุ 16 ปี เป็นนักเรียนชั้นปีที่ 1 โรงเรียนช่างกลบางซ่อน ถูกยิงทางด้านหลัง
9.นายฉ่อง จ่ายพัฒน์ อายุ 50 ปี ช่างแก้เครื่องยนต์ ได้นำข้าวห่อไปบริจาคให้นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถูกทหารยิงกระสุนเข้าเหนือคิ้วทะลุศีรษะด้านหลังเสียชีวิตทันที
10.นายชูศักดิ์ ไชยยุทะนันท์ อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม. 2 โรงเรียนสิงหราชพิทยาคม ถูกยิง หน้าโรงเรียนเพาะช่าง
11.นายชัยศิลป์ ลาดศิลา อายุ 25 ปี ช่างวิทยุ และโทรคมนาคมของสถานีวิทยุ 1 ปณ. และเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ถูกยิงที่หน้าอก หน้าสำนักงานกองสลาก
12.นายชีวิน ชัยโตษะ อายุ 18 ปี นักเรียนชั้นปีที่๒ แผนกช่างกลโรงงาน โรงเรียนช่างกล
พระนครเหนือ
13.นายไชยยศ จันทรโชติ อายุ 16 ปี ช่างเชื่อมเรือ ถูกกระสุนปืนในขณะขับรถเมล์ขาว พุ่งเข้าชนรถถัง
14.นางชูศรี พักตร์ผ่อง อายุ 42 ปี พับถุงกระดาษขาย ไปตามหาบุตรที่เชิงสะพานบางลำพู ขณะที่วิ่งหลบกระสุนปืนจากเฮลิคอปเตอร์ ได้หกล้ม ละศีรษะฟาดพื้นอย่างแรง
จึงเสียชีวิตขณะถูกนำส่งโรงพยาบาล
15.นายดนัย กรณ์แก้ว อายุ 24 ปี พนักงานขายไอศครีม บริษัทฟอร์โมส จำกัด
ได้ถูกแก๊สน้ำตา ขณะวิ่งหนีไปทางบางลำพู ถูกกระสุนปืนจากเฮลิคอปเตอร์
16.นายตือตี๋ แซ่ตั้ง อายุ 24 ปี ช่างปูพื้นปาเก้ถูกยิงใต้รักแร้ซ้าย
17.นายถนอม ปานเอี่ยม อายุ 19 ปี กุ๊กทำอาหารประจำโรงแรม ถูกยิง
บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ
18.นายทอง จันทราช อายุ 40 ปี ลูกจ้างขับรถยนต์ ถูกยิงบริเวณ
หน้าโรงเรียนเพาะช่างพาหุรัด
19.นายธาดา ศิริขันธ์ อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาช่างยนต์วิทยาลัยเอเชียอาคเนย์
ถูกยิงทะลุที่ซี่โครง เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2516 เพราะไปดื่มฉลองที่ประชาชนได้รับชัยชนะ ระหว่างดื่มพูดถึง 3 ทรราช ทำให้ชาย 4 คนในร้านไม่พอใจ และลุกขึ้นชักปืนยิง บริเวณถนนวิสุทธิกษัตริย์ เสียชีวิตทันที
20.นายนิยม อุปพันธ์ อายุ 20 ปี นักเรียนน ม. 5 แผนกช่างไฟฟ้าโรงเรียนช่างกลบางซ่อน เข้าร่วมในหน่วย “ฟันเฟือง” ถูกยิงกระสุนเข้ากะโหลกศีรษะข้างขวาหลังใบหู และกระสุนฝังใน เสียชีวิตที่โรงพยาบาลศิริราช
21.นายนพ พรหมเจริญ อายุ 40 ปี กรรมกรท่าเรือ ถูกยิงกะโหลกศีรษะแตกหน้ากรมประชาสัมพันธ์
22.นายนิติกร กีรติภากร อายุ 16 ปี นักเรียนชั้นม.2 โรงเรียนอำนวยศิลป์พระนคร ถูกตีและถูกแก๊สน้ำตา ที่บริเวณหน้าพระราชวังสวนจิตร และได้ถูกล้อมอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากเหตุการณ์มีอาการประสาทหลอนและเป็นลมตลอดมา เสียชีวิตวันที่ 21 พฤศจิกายน 2516 จากอาการหัวใจวาย
23.นายบรรพต ฉิมวารี อายุ 25 ปี นักศึกษาภาคค่ำชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
ไปร่วมเดินขบวน หกล้มหัวฟาดบาทวิถี แล้วมีคนล้มทับ แต่สามารถกลับถึงบ้าน และได้เสียชีวิตเนื่องจากเส้นโลหิตในสมองแตกในวันรุ่งขึ้น (15 ต.ค,)
24.นายบัญทม ภู่ทอง อายุ 18 ปี ลูกจ้างทำงานโรงแรม ถูกยิง บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
25.นายประเสริฐ วิโรจน์ธนะชัย อายุ 19 ปี นักเรียนชั้นปีที่ 4โรงเรียนช่างฝีมือ ปัญจวิทยา ที่บริเวณ สะพานผ่านฟ้าลีลาศขณะไปช่วยน้องที่ถูกยิงด้วM 16 จึงถูกยิง รวมทั้งนายสมควร แซ่โง้ว เพื่อนที่วิ่ง ตามมาจะเข้าช่วยก็ถูกยิงที่ท้อง และหน้าอก
26.นายประสาน วิโรจน์ธนะชัย อายุ 17 ปีนักเรียนโรงเรียนภาษาศาสตร์ ถูกยิงด้วยเอ็ม 16 ที่คอและหน้าอก พรุนทั้งร่าง
27.นายประเสริฐ เดชมี อายุ 19 ปี กำลังจะศึกษาต่อ ถูกยิงเสียชีวิต
28.นายประยงค์ ดวงพลอย อาย ุ21 ปี ขับรถรับจ้างสองแถว ถูกยิงที่สมอง เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม หน้าสถานีตำรวจสมุทรปราการ
29.นายประณต แซ่ลิ้ม อายุ 28 ปี ลูกจ้างทำเป็ดย่าง ส่งตามภัตตาคาร ถูกยิง
30.นายประยุทธ แจ่มสุนทร อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นม. 4 โรงเรียน ผดุงศิษย์พิทยา ถูกยิงที่หลังขณะเอาน้ำไปให้นักศึกษาที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ
31.นายประวัติ ภัสรากุล อายุ 18 ปี ค้าขาย ถูกยิงหน้าอกทะลุหัวใจ เสียชีวิตทันที
32.นายประสพชัย สมส่วน อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม จังหวัดนนทบุรี ขณะที่กำลังนั่งอยู่บนรถดับเพลิงที่ยึดมาได้ พร้อมกับกลุ่มนักเรียนได้ขับรถมุ่งไปทางบางเขน เพื่อไปบริจาคโลหิตที่โรงพยาบาลภูมิพลฯ ขณะที่รถผ่านบริเวณหน้ากรมป่าไม้บางเขต ถูกยิงที่หน้าท้องทะลุหลัง
33.นายพูลสุข พงษ์งาม อายุ 20 ปี นักเรียนชั้นปีที่ 2 แผนกช่างยนต์ โรงเรียนช่างกลวิทยา
ถูกยิงที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กระสุนเข้าหน้าอกขวา ถูกปอดแล้วทะลุเอวซ้าย
34.นายพันธุ์สิริ เกิดสุข อายุ28 ปี พลฯ สำรองพิเศษกำลังรอติดยศ (นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ถูกยิงที่รักแร้ซ้ายไปทะลุซี่โครงขวา
35.นายมณเฑียร ผ่องศรี อายุ 20 ปี นักเรียนชั้นปีที่ 1 ของโรงเรียนช่างกลนนทบุรี ถูกยิง บริเวณเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฯ กระสุนเข้าตรงขมับทะลุท้ายทอย เสียชีวิตทันที
36.สามเณรมนตรี โล่ห์สุวรรณ อายุ 15 ปี สามเณรที่กำลังศึกษาบาลีมัธยมสาธิต วัดบางแพรกเหนือ จังหวัดนนทบุรี ถูกยิงจากเฮลิคอปเตอร์ ที่บริเวณวัดบวรนิเวศ ถูกกระสุนเข้ากลางศีรษะ
37.นายมงคล ปิ่นแสงจันทร์ อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นม. 2 โรงเรียน อำนวยศิลป์ธนบุรี ถูกยิงบริเวณหน้าโรงเรียนเพาะช่าง
38.นายรัตน์ งอนจันทึก อายุ 40 ปี พนักงานขับรถบรรทุก 10 ล้อ ถูกยิงที่ศีรษะและหน้าอก
39.นายเรียม กองกันยา อายุ27 ปี ขับรถสามล้อเครื่องถูกยิง บริเวณใกล้หัวถนนนครสวรรค์ โดยตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ในขณะขับรถให้นักเรียน และบาดเจ็บสาหัส ได้คลานไปหลบกระสุนบริเวณใกล้ๆ กัน เจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศให้ผู้ที่ไม่ใช่พวกก่อการจลาจลออกมา นายเรียมจึงได้คลานออกมา และถูกยิงเสียชีวิตทันที
40.นายเลิศ คงลักษณ์ อายุ 46 ปี ลูกจ้างสำนักงาน ก.ต.ป. ถูกไฟคลอก เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เนื่องจากสำนักงานกองติดตามผลการปฏิบัติราชการ (ก.ต.ป.) ถูกประชาชนเผา
41.นายวิจิน บุญส่งศรี อายุ 19 ปี เป็นช่างเครื่องถูกยิงสะบักขวา
42.นายวิชัย สุภากรรม อายุ 18 ปี คนงานโรงงานทอผ้า ถูกยิงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ
43.นายวิเชียร พร้อมพาณิชย์ อายุ 25 ปี นักศึกษาแพทย์ปีที่ 6 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สติฟั่นเฟือน หลังจากได้ไปช่วยรักษาผู้บาดเจ็บ บริเวณกรมประชาสัมพันธ์ ้ผูกคอตายเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2517
44.นายศิลบุญ โรจนแสงสุวรรณ อายุ 18 ปี พ่อค้าขายอาหารสด ถูกยิงที่หน้าอกขวา บนดาดฟ้าตึกของบริษัทเดินอากาศไทย
45.นายสมควร แซ่โง้ว อายุ 18 ปี ทำงานเป็นช่างซ่อมรถยนต์ และขับรถรับจ้าง
ถูกยิงที่ศีรษะด้านหลัง เนื่องจากจะเข้าไปช่วย นายประเสริฐ และนายประสาน วิโรจน์ธนะชัย
46.นายสมชาย เกิดมณี อายุ 20 ปี แผนกช่างวิทยุโรงเรียนช่างกลนนทบุรีถูกยิง หน้าโรงภาพยนตร์เฉลิมไทย
47.นายสุรพงษ์ บุญรอดค้ำ อายุ 16 ปี พนักงานขายผ้า ถูกยิง บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้า โดนกระสุนเข้าที่หน้าอก 2 นัดศีรษะ 1 นัด
48.นายสุดที ปิยะวงศ์ อาย ุ26 ปี รับจ้างทำลังไม้ถูกยิงที่ขมับ
49.นายสมเกียรติ เพชรเพ็ง อายุ 19 ปี เป็นลูกจ้างขายแก๊ส ถูกยิง ที่บริเวณใกล้โรงพยาบาลศิริราช
50.นายสุรินทร์ ศรีวีระวานิชกุล อายุ 20 ปี พนักขายแก๊ส ถูกยิงที่โคนขาขวาด้วยปืนเอ็ม 16 บริเวณบางลำพู
51.นายสุภาพ แซ่หว่อง อายุ 16 ปี ช่างตัดเสื้อ ถูกยิง หน้ากรมประชาสัมพันธ์จากเฮลิคอปเตอร์ โดยกระสุนเจาะเข้าที่ไหปลาร้าทะลุสะโพก
52.นายเสวี วิเศษสุวรรณ อายุ 18 ปี นักเรียนชั้นปีที่ 2 ของโรงเรียนอาชีวศิลป์ รับประทานอาหารเป็นพิษ อาหารนี้มีผู้นำไปบริจาค บริเวณท่าช้างวังหลวง เมื่อวันที่ 13-14 ตุลาคม 2516
53.นายสุกิจ ทองประสูตร อายุ 18 ปี นักเรียนชั้นม. 1 โรงเรียนเสสะเวชวิทยา ได้ไปทำการช่วยระดมคนไปร่วมต่อสู้ทางฝั่งธนบุรี แต่ประสบอุบัติเหตุ รถที่นั่งไปชนกับสิบล้อ ถึงแก่ความตายบริเวณถนนเพชรเกษม
54.นายสุพจนา จิตตลดากร อายุ 16 ปี นักเรียนชั้นม. 1 โรงเรียนดุสิตพาณิชยการ ถูกกระสุนปืนจากเฮลิคอปเตอร์ ที่บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยกระสุนถูกที่ศีรษะ ไหปลาร้า และตามร่างกายอีกหลายแห่ง
55.นายสุรศักดิ์ พวงทองอายุ 25 ปี ลูกจ้างบริษัทเอกชน ถูกยิงที่หน้ากรมประชาสัมพันธ์ โดยกระสุนปืนกลรถถัง เจาะเข้าระหว่างเข่าซ้ายทะลุเข่าขวา เสียชีวิตวันที่ 27 ตุลาคม 2516 โรงพยาบาลกลาง
56.นายสาโรจน์ วาระเสถียร อายุ 48 ปี หัวหน้าแผนกจัดส่ง องค์การเภสัชกรรม ถูกลอบทำร้ายหลังจากกลับจากไปดูประชาชน บุกเข้าเผากองบัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้า
57.นายสุพจน์ เหรียญสกุลอยู่ดี อายุ 19 ปี ช่างทำเฟอร์นิเจอร์ ถูกยิงกระสุนเข้าท้ายทอยทะลุเบ้าตา จึงตกลงไปในคลอง บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เนื่องจากจะเข้าไปช่วยชายข้างเคียงที่ถูกยิง
58.นายสมเด็จ วิรุฬผล อายุ 18 ปี นิสิตชั้นปีที่ 1 คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกยิงทางด้านหลัง ทะลุอกและขาทั้ง 2 ข้าง จากทหาร-ตำรวจในกองบัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้า
59.นายสาย ฤทธิ์วานิช อายุ 44 ปี ช่างไม้ ถูกกระสุนปืนเข้าทางด้านหลังทะลุหน้าท้อง ขณะที่ผ่านไปหน้ากรมประชาสัมพันธ์
60.นายแสวง พันธ์บัว อายุ 16 ปี รับจ้างทั่วไป ถูกยิง ที่หน้าผาก หน้ากรมสรรพากร เพราะไปช่วยนักเรียนหญิงที่ถูกแก๊สน้ำตา
61.ด.ช. สมพงษ์ แซ่เตียว อายุ 14 ปี เป็นนักเรียนม. 1 โรงเรียนวัดมกุฎษัตริยาราม ถูกยิง บริเวณบางลำพู ขณะไปร่วมในเหตุการณ์
62.นายสมพงษ์ พลอยเรืองรัศมี อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ถูกแทงสีข้างซ้ายเข้าทรวงอกขณะเข้าแย่งปืนจากทหาร ใกล้กองบัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้า
63.น.ส.หนูผิน พรหมจรรย์ อายุ 17 ปี นักศึกษา ป.กศ. ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช นั่งรถสองแถวเล็กไปร่วมเรียกร้องรัฐธรรมนูญ รถชนกัน ถูกกระแทกที่บริเวณศีรษะส่วนหน้า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ตำบลท่างิ้ว อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
64.นายอภิสิทธิ์ พรศิริเลิศกิจ อายุ 18 ปี พนักงานขายอุปกรณ์วิทยุ ถูกยิงบริเวณขมับข้างซ้าย ขณะออกไปตามหาเพื่อน ที่บริเวณใกล้สะพานผ่านฟ้าลีลาศ
65.นายอรรณพ ดิษฐสุวรรณ อายุ 17 ปี ทำงานกับหนังเร่ฉายต่างจังหวัด ถูกยิงโดยปืนกลรถถัง ที่สนามหลวง
66.นายเอนก ปฏิการสุนทร อายุ 41 ปี เจ้าของร้านขายอาหาร ถูกยิงขณะบุกเข้ายึด
กองบัญชาการนครบาลผ่านฟ้า
67.นายเอี่ยมซวง แซ่โกย อายุ 22 ปี ลูกจ้าง ถูกยิงเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 บริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลศิริราช
68.วีรชนนิรนาม (สตรี)ถูกยิงที่อกทะลุหลัง ตกลงไปน้ำเสียชีวิตทันที ขณะไปร่วมเดินขบวนเรียกร้องรัฐธรรมนูญ บริเวณเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฯ (ศพไม่มีญาติ)
69.วีรชนนิรนาม (บุรุษ)
ถูกยิง บริเวณหน้ากอง บัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้า กระสุนปืนเข้าที่สีข้างซ้าย
70.ไม่มีข้อมูล
71.ไม่มีข้อมูล
72.ไม่มีข้อมูล
73.ไม่มีข้อมูล
74.ไม่มีข้อมูล
75.ไม่มีข้อมูล
76.ไม่มีข้อมูล
77.ไม่มีข้อมูล
หยื่อจากการลอบสังหารในห้วงระยะเวลาดังกล่าวมีลักษณะเป็นขบวนการ และไม่มีการคลี่คลายคดีแต่อย่างใด เกือบทั้งหมดเป็นผู้นำชาวนาในสังกัดสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย เฉพาะใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2518 รวมรวมโดย ดร. สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
1.5 เมษายน นายเฮียง สิ้นมาก ผู้แทนชาวนาสุรินทร์
2.10 เมษายน นายอ้าย ธงโต
3.18 เมษายน นายประเสริฐ โฉมอมฤต
4.21 เมษายน นายโง่น ลาววงศ์ ผู้นำชาวนาหมู่บ้านหนองบัวบาน จ.อุดรธานี
5.5 พฤษภาคม นายมงคล สุขหนุน ผู้นำชาวนานครสวรรค์
6.20 พฤษภาคม นายเกลี้ยง ใหม่เอี่ยม รองประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ อ.ห้างฉัตร
7.22 มิถุนายน นายพุฒ ปงลังกา ผู้นำชาวนาเชียงราย
8.3 กรกฎาคม นายจา จักรวาล รองประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่บ้านดง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
9.18 กรกฎาคม นายบุญทา โยธา ถูกยิงเสียชีวิตที่ลำพูน
10.31 กรกฎาคม นายอินถา ศรีบุญเรือง ประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคเหนือ
11.4 สิงหาคม นายสวัสดิ์ ตาถาวรรณ ผู้นำชาวนาดอยสะเก็ด
12.11 สิงหาคม นายพุฒ ทรายดำ ชาวนา ต.แม่บอน อ.ฝาง
13.22 ตุลาคม นายบุญรัตน์ ใจเย็น ผู้นำชาวนา อ.สารภี
วีรชนที่เสียชีวิตจากการสังหารโหด 6 ตลาคม 2519

ผู้เสียชีวิต 42 คน ถูกจับกุม 3,154 คน มีศพวีรชนที่ระบุชื่อได้มีการมอบให้ญาติไปจัดการตามประเพณี 30 คน ชาย 26 คน หญิง 4 คน

1.ถูกเผา ไม่ทราบชื่อ แยกเพศไม่ได้
2.ถูกเผา ไม่ทราบชื่อ แยกเพศไม่ได้
3.ถูกเผา ไม่ทราบชื่อ แยกเพศไม่ได้
4.ถูกเผา ไม่ทราบชื่อ แยกเพศไม่ได้
5.ไม่ทราบชื่อ
6.ไม่ทราบชื่อ
7.ไม่ทราบชื่อ
8.ไม่ทราบชื่อ
9.ไม่ทราบชื่อ
10.ไม่ทราบชื่อ
11.นายวันชาติ ศรีจันทร์สุข ผูกคอตายที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขน
12.นายพงษ์พันธ์ เพรามธุรส ถูกระเบิด
13.นายวิชิตชัย อมรกุล ถูกของแข็งมีคม ถูกรัดคอ
14.นายอับดุลรอเฮง สาตา ถูกกระสุนปืน
15.นายมนู วิทยาภรณ์ ถูกกระสุนปืน
16.นายสุรสิทธิ์ สุภาภา ถูกกระสุนปืน
17.นายสัมพันธ์ เจริญสุข ถูกกระสุนปืน
18.นายสุวิทย์ ทองประหลาด ถูกกระสุนปืน
19.นายบุนนาค สมัครสมาน ถูกกระสุนปืน
20.นายอภิสิทธิ์ ไทยนิยม ถูกกระสุนปืน
21.นายอนุวัตร อ่างแก้ว ถูกระเบิด
22.นายวีระพล โอภาสพิไล ถูกกระสุนปืน
23.นายสุพจน์ พันธุ์กาฬสินธุ์ ถูกกระสุนปืน
24.นางสาวภรณี จุลละครินทร์ ถูกกระสุนปืน
25.นายยุทธนา บูรศิริรักษ์ ถูกกระสุนปืน
26.นายภูมิศักดิ์ ศิระศุภฤกษ์ชัย ถูกกระสุนปืน
27.นางสาววัชรี เพชรสุ่น ถูกกระสุนปืน
28.นายดนัยศักดิ์ เอี่ยมคง ถูกกระสุนปืน
29.นายไพบูลย์ เลาหจีรพันธ์ ถูกกระสุนปืน
30.นายชัยพร อมรโรจนาวงศ์ ถูกกระสุนปืน
31.นายอัจฉริยะ ศรีสวาท ถูกกระสุนปืน
32.นายสงวนพันธุ์ ซุ่นเซ้ง จมน้ำ
33.นางสาววิมลวรรณ รุ่งทองใบสุรีย์ ถูกกระสุนปืน
34.นายสมชาย ปิยะสกุลศักดิ์ ถูกกระสุนปืน
35.นายวิสุทธิ์ พงษ์พานิช ถูกกระสุนปืน
36.นายสุพล พาน หรือ บุญทะพาน ถูกกระสุนปืน
37.นายศิริพงษ์ มัณตะเสถียร ถูกกระสุนปืน
38.นายวสันต์ บุญรักษ์ ถูกกระสุนปืน
39.นายเนาวรัตน์ ศิริรังษี ถูกกระสุนปืน
40.นายปรีชา แซ่เซีย ถูกของแข็ง อาวุธหลายชนิด และถูกรัดคอ
41.นางสาวอรุณี ขำบุญเกิด ถูกกระสุนปืน
รายชื่อเหล่านี้ยังไม่นับรวมถึงผู้สูญหายอีกจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่ติดตามหาศพไม่พบหรือมีการทำลายศพ โดยเฉพาะนายจารุพงษ์ ทองสินธุ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่โดนคนของรัฐลากคอที่สนามฟุตบอล

14 ตุลาคม 2533
ธนาวุฒิ คลิ้งเชื้อ นักศึกษารามคำแหง ตอนนั้นอยู่ในตำแหน่งประธานชมรมนักศึกษาและเยาวชน 14 จังหวัดภาคใต้ เผาตัวตายประท้วงรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ เพราะเชื่อว่า รัฐบาล พล.อ.ชาติชายปกครองประเทศคล้ายเผด็จการ ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตย อีกกระแสว่าเพราะเขาอยู่ในอิทธิพลแนวคิดทางการเมืองของกลุ่มประเสริฐ ทรัพย์สุนทร


เหตุการณ์พฤษภาเลือดปี 2535
มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 ราย ดังนี้
1.ทนง โพธิ์อ่าน ประธานสภาแรงงาน
2.กฤษฎา เนียมมีศรี ถูกตีและถูกกระสุนปืน
3.กิตติกรณ์ เขียวบริบูรณ์ ถูกกระสุน
4.กิตติพงษ์ สุปิงคลัด ถูกกระสุน
5.เกรียงไกร จารุสาร ถูกกระสุน
6.กอบกุล สินธุสิงห ถูกกระสุน
7.จักรพันธ์ อัมราช ถูกกระสุน
8.จักราวุธ นามตะ ถูกกระสุน
9.เฉลิมพล สังข์เอม สมองบอบช้ำ
10.ชัยรัตน์ ณ นคร ถูกกระสุน
11.ซี้ฮง แซ่เตีย ถูกกระสุน
12.ณรงค์ ธงทอง ถูกกระสุน
13.ทวี มวยดี ถูกตีศีรษะ
14.ทวีศักดิ์ ปานะถึก ถูกกระสุน
15.นคร สอนปัญญา ถูกกระสุน
16.บุญมี แสงสุ่ม
17.บุญมี วงษ์สิงโต ถูกกระสุน
18.บุญคง ทันนา ถูกกระสุน
19.ปรัชญา ศรีสะอาด ถูกกระสุน
20.ประสงค์ ทิพย์พิมล ถูกกระสุน
21.ปรีดา เอี่ยมสำอางค์ ถูกกระสุน
22.พิพัฒน์ สุริยากุล ถูกกระสุน
23.ภูวนาท วิศาลธรกุล ถูกกระสุน
24.ภิรมย์ รามขาว ถูกกระสุน
25.มะยูนัน ยีดัม ถูกกระสุน
26.มนัส นนทศิริ ถูกกระสุน
27.วีระ จิตติชานนท์ ถูกกระสุน
28.วงเดือน บัวจันทร์ ถูกกระสุน
29.วีรชัย อัศวพิทยานนท์ ถูกกระสุน
30.ศรากร แย้มประนิตย์ ถูกกระสุน
31.สมชาย สุธีรัตน์ ถูกกระสุน
32.สำรวม ตรีเข้มถูกกระสุน
33.สาโรจน์ ยามินทร์ ถูกกระสุน
34.สมเพชร เจริญเนตร ถูกกระสุน
35.สุชาต พาป้อ ถูกกระสุน
36.สุรพันธ์ ชูช่วย
37.สมาน กลิ่นภู่ ถูกกระสุน
38.สัญญา เพ็งสา ถูกกระสุน
39.หนู แก้วภมร ถูกกระสุน
40.อภิวัฒน์ มาสขาว ถูกกระสุน
41.เอกพจน์ จารุกิจไพศาล ถูกกระสุน
42.เอียน นิวมีเก้น
รัฐประหาร 2549 และการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

1.31 ตุลาคม 2549 นวมทอง ไพรวัลย์ คนขับรถแท็กซี่พุ่งชนรถถังเพื่อประท้วงการปฏิวัติ และผูกคอตายประท้วงที่หน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
2.2 กันยายน 2551 ณรงค์ศักดิ์ กรอบไทสง ถูกกลุ่มพันธมิตรรุมตีเสียชีวิต
การประท้วงของคนเสื้อแดงปี 2552
1.นายนัฐพงษ์ ปองดี อุดรธานี ถูกทำร้าย มัดมือแล้วผลักลงแม่น้ำเจ้าพระยา
2.นายชัยพร กันทัง แพร ่ ถูกทำร้ายมัดมือแล้วผลักลงแม่น้ำเจ้าพระยา
วีรชนคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตเพราะการให้ใบอนุญาตฆ่าโดยรัฐบาลอภิสิทธิระหว่าง 10 เม.ย.-19 พ.ค.”53
ที่มา สถาบัน การแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)รายงานรายชื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการ
เมืองของกลุ่ม นปช.ตั้งแต่ 10 เม.ย.- 19 พ.ค.2553 รวม 89 ราย บาดเจ็บ 1,855 คน

1.Mr. Hiroyuki Muramoto อายุ 43 ปี ถูกยิงอกซ้าย เสียชีวิตก่อนถึง รพ. (ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์)
2.นาย สวาท วงงาม อายุ 43ปี ถูกยิงศีรษะด้านบนข้างขวาทะลุขมับซ้าย
3.นาย ธวัฒนะชัย กลัดสุข อายุ 36 ปี ถูกยิงอกซ้าย ทะลุหลัง
4.นาย ทศชัย เมฆงามฟ้า อายุ 44 ปี ถูกยิงอกซ้าย ทะลุหลัง
5.นาย จรูญ ฉายแม้น อายุ 46 ปี ถูกยิงอกขวากระสุนฝังใน
6.นาย วสันต์ ภู่ทอง อายุ 39 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหลัง ทะลุด้านหน้า
7.นาย สยาม วัฒนนุกุล อายุ 53 ปี ถูกยิงอก ทะลุหลัง
8.นาย มนต์ชัย แซ่จอง อายุ 54 ปี ระบบหายใจล้มเหลวจากโรคถุงลมโป่งพอง เสียชีวิตที่รพ.
9.นาย อำพน ตติยรัตน์ อายุ 26 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหลัง ทะลุด้านหน้า
10.นาย ยุทธนา ทองเจริญพูลพร อายุ 23 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหลัง ทะลุด้านหน้า
11.นาย ไพรศล ทิพย์ลม อายุ 37 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหน้า ทะลุท้ายทอย เสียชีวิตที่ รพ.
12.นาย เกรียงไกร ทาน้อย อายุ 24 ปี ถูกยิงสะโพก กระสุนฝังในช่องท้อง เสียชีวิตที่รพ.
13.นาย คะนึง ฉัตรเท อายุ 50 ปี ถูกยิงอกขวา กระสุนฝังใน
14.พลฯ ภูริวัฒน์ ประพันธ์ อายุ 25 ปี แผลเปิดกะโหลกท้ายทอย
15.พลฯ อนุพงษ์ เมืองร าพัน อายุ 21 ปี ทรวงอกฟกช ้า น่อง 2 ข้างฉีกขาด
16.นายนภพล เผ่าพนัส อายุ 30 ปี ถูกยิงที่ท้อง เสียชีวิตที่ รพ.
17.พ.อ. ร่มเกล้า ธุวธรรม อายุ 43 ปี ท้ายทอยขวาฉีกขาดน่อง 2ข้างฉีกขาด เสียชีวิตที่รพ.
18.พลฯ สิงหา อ่อนทรง อกซ้ายและด้านหน้าต้นขาซ้ายฉีกขาด
19.พลฯอนุพงศ์ หอมมาลี อายุ 22 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะ เสียชีวิตที่รพ.
20.นายสมิง แตงเพชร อายุ 49 ปี ถูกยิงศีรษะ เสียชีวิตที่รพ.
21.นาย สมศักดิ์ แก้วสาน อายุ 34 ปี ถูกยิงหลัง ทะลุอกซ้าย เสียชีวิตที่รพ.
22.22 นาย บุญธรรม ทองผุย อายุ 40 ปี ถูกยิงหน้าผากซ้ายทะลุศีรษะด้านหลังส่วนบน
23.23 นาย เทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ อายุ 29 ปี แผลที่หน้าอกซ้าย เสียชีวิตที่รพ.
24.ชายไม่ทราบชื่อ อายุ 40-50 บาดแผลเข้าสะโพกขวาตัดเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ขาหนีบ เสียชีวิตที่รพ.
25.นาย มานะ อาจราญ อายุ 23 ปี ถูกยิงศีรษะ ด้านหลังทะลุหน้า
26.นายอนันต์ สิริกุลวานณิชย์ อายุ 54 ปี ถูกยิงเสียชีวิต
27.นางธันยนันท์ แถบทอง อายุ 50 ปี ถูกสะเก็ดระเบิด เสียชีวิตถนนสีลม
28.รายชื่อผู้เสียชีวิตจากการปะทะที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ วันที่ 28 เมษายน 2553
29.พลทหารณรงค์ฤทธิ สาระ เสียชีวิต จุดเกิดเหตุ
30.สต.อ.กานต์ณุพัฒน์ เลิศจันเพ็ญ อายุ 38 ปี มีบาดแผลกระสุนปืน เสียชีวิต จุดเกิดเหตุ
31.จ.ส.ต.วิทยา พรมสารี อายุ 35 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณหน้าอกด้านขวา เสียชีวิต รพ.
32.พล.ต.ดร.ขัตติยะ สวัสดิผล อายุ 58 ปี ถูกยิงที่บริเวณ ศีรษะ เสียชีวิตที่รพ.
33.นายชาติชาย ชาเหลา อายุ 25 ปี มีแผลเปิดบริเวณท้ายทอย เสียชีวิตที่จุดเกิดเหตุ
34.นายปิยะพงษ์ กิติวงค์ อายุ 32 ปี ถูกยิง เสียชีวิตที่สวนลุมพินี
35.นายประจวบ ศิลาพันธ์ ถูกยิง สวนลุมพินี
36.นายสมศักดิ์ ศิลารักษ์ ถูกยิง ที่ศาลาแดง
37.นายอินทร์แปลง เทศวงศ์ อายุ 32 ปี เสียชีวิตในที่จุดเกิดเหตุ
38.นายเสน่ห์ นิลเหลือง อายุ 48 ปี เสียชีวิตในที่จุดเกิดเหตุ
39.นายชัยยันต์ วรรณจักร อายุ 20 ปี เสียชีวิตในที่จุดเกิดเหตุ
40.นายบุญทิ้ง ปานศิลา อายุ 25 ปี ถูกยิงที่คอ เสียชีวิตในที่จุดเกิดเหตุ (อาสาสมัครวชิระฯ)
41.นายมนูญ ท่าลาด - เสียชีวิตที่ซอยหมอเหล็ง
42.นายพัน คำกลอง อายุ 43 ปี ถูกยิงหน้าอกซ้าย เสียชีวิตที่ซอยหมอเหล็ง
43.นายกิติพันธ์ ขันทอง อายุ 26 ปี แผลที่ชายโครง เสียชีวิตที่รพ.
44.นายสรไกร ศรีเมืองปุน อายุ 34 ปี แผลที่ศีรษะ
45.ชายไม่ทราบชื่อ โดนยิงขาหนีบ ราชปรารภ
46.ชายไม่ทราบชื่อ อายุ 14 ปี ถูกกระสุนเข้าท้องและแขน ซอยหมอเหล็ง
47.นายชาญณรงค์ พลอยศรีลา อายุ 32 ปี ถูกยิงหน้าท้องและแขน ที่ราชปรารภ
48.นายทิพเนตร เจียมพล อายุ 32 ปี แผลที่ศีรษะ
49.นายสุภชีพ จุลทัศน์ อายุ 36 ปี แผลที่ศีรษะ
50.นายวารินทร์ วงศ์สนิท อายุ 28 ปี แผลที่หน้าอกขวา
51.นายมานะ แสนประเสริฐศรี อายุ 22 ปี แผลถูกยิงที่ศีรษะ (อาสาสมัครปอเต็กตึ๊ง)
52.นางสาวสันธนา สรรพศรี อายุ 34 ปี ถูกกระสุนเข้าท้องและแขนเสียชีวิตที่ซอยหมอเหล็ง
53.นายธันวา วงศ์ศิริ อายุ 26 ปี แผลที่ศีรษะ
54.นายอำพล ชื่นสี อายุ 25 ปี เสียชีวิตในที่จุดเกิดเหตุ
55.นายสมพันธ์ ศรีเทพ 25 เสียชีวิตในที่จุดเกิดเหตุ
56.นายอุทัย อรอินทร์ 35 เสียชีวิตในที่จุดเกิดเหตุ
57.นายพรสวรรค์ นาคะไชย อายุ 23 ปี ถูกยิงหลายตำแหน่ง เสียชีวิตที่รพ.
58.นายเกรียงไกร เลื่อนไธสง อายุ 25 ปี ถูกยิงที่ศีรษะ เสียชีวิตที่รพ.
59.นายประจวบ ประจวบสุข อายุ 42 ปี เสียชีวิตที่เจริญกรุงประชารักษ์
60.นายเกียรติคุณ ฉัตรวีระสกุล อายุ 25 ปี ถูกยิงที่หน้าอกซ้าย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
61.นายวงศกร แปลงศรี อายุ 40 ปี ถูกยิงที่หน้าอก เลือดออกในช่องอก เสียชีวิตที่รพ.
62.นายสมชาย พระสุวรรณ อายุ 43 ปี ถูกยิงที่ศีรษะ เสียชีวิตที่รพ.
63.นายสุพรรณ ทุมทอง อายุ 49 ปี
64.ชายไม่ทราบชื่อ อายุ 26 ปี
65.นายเฉลียว ดีรื่นรัมย์ อายุ 27 ปี ถูกยิงใต้ราวนมขวา เสียชีวิตในที่จุดเกิดเหตุ
66.นายสุพจน์ ยะทิมา อายุ 37 ปี
67.นานธนากร ปิยะผลดิเรก อายุ 50 ปี
68.จ.ส.อ.พงศ์ชลิต ทิพยานนทกาญจน์ อายุ 31 ปี ถูกยิงที่ศีรษะ
69.นายสมพาน หลวงชม อายุ 35 ปี ถูกยิงที่ท้อง
70.นายมูฮัมหมัด อารี(ออง ละวิน ชาวพม่า) อายุ 40 ปี มีแผลที่หน้าอกทะลุหลัง
71.MR.Polenchi Fadio ( นักข่าวชาวอิตาลี ) อายุ 48 ปี ถูกยิงที่หน้าอก
72.นายธนโชติ ชุ่มเย็น อายุ 34 ปี บาดแผลกระสุนปืนทะลุไตซ้ายและเส้นเลือดใหญ่
73.หญิงไม่ทราบชื่อ ถูกยิง
74.นายถวิล คำมูล อายุ 38 ปี มีแผลที่ศีรษะ
75.ชายไม่ทราบชื่อ มีแผลที่ศีรษะ
76.ส.อ. อนุสิทธิ์ จันทร์แสนตอ อายุ 44 ปี
77.นายปรัชญา แซ่โค้ว อายุ 21 ปี บาดแผลกระสุนปืนทำลายตับ
78.นายอัครเดช ขันแก้ว อายุ 22 ปี บาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด หัวใจ
79.นายมงคล เข็มทอง อายุ 37 ปี ถูกยิงปอด หัวใจ (อาสาสมัครปอเต็กตึ๊ง)
80.กมนเกด อัคฮาดอายุ 25 ปี บาดแผลกระสุนปืนทำลายสมอง
81.นายวิชัย มั่นแพร อายุ 61 ปี บาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด ตับ
82.นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี บาดแผลกระสุนปืนทำลายปอด
83.ชายไม่ทราบชื่อ เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก สมองช ้า จากการถูกระแทก
84.นายนรินทร์ ศรีชมภู บาดแผลกระสุนปืนทำลายสมอง เสียชีวิตที่รพ.
85.น.ส.วาสินี เทพปาน
86.นายเยื้อน โพธิ์ทองคำ อายุ 60 ปี แผลที่ก้น เสียชีวิต 21 พค.53 06.15น
87.นายกิตติพงษ์ สมสุข อายุ 20 ปี ไฟใหม้ตึกเซ็นทรัลเวิร์ลพบศพวันที่ 21 พค.2553 เวลา 15.00 น.
88.นายทรงศักดิ์ ศรีหนองบัว อายุ 33 ปี ขอนแก่น แผลที่หน้าอก
89.นายเพลิน วงษ์มา อายุ 40 ปี อุดรธานี เสียชีวิตที่รพ.20 พค.53 เวลา 06.25น.
90.นายสมัย ทัดแก้ว อายุ 36 ปี เสียชีวิตจากการปะทะหลายจุด(เป็ยรายชื่อที่เพิ่มมาจากศูนย์เอราวัณ ซึ่งตามบันทึกของ สพฉ.ไม่มีชื่อนี้)
หมายเหตุ ทั้งหมดเป็นรายนามผู้เสียชีวิตจากเหตุคาวมไม่สงบ ในเขต กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ตั้งแต่ วันที่12 มีนาคม 2553 ถึง วันที่ 19 พฤษภาคม 2553

ผู้เสียชีวิตจากการกวาดล้าง
นอกจากผู้เสียชีวิตในช่วงการชุมนุม 91 ศพแล้ว หลังยุติการชุมนุม คนเสื้อแดงถูกสังหารเพิ่มอีก 5 ราย คือ
1.ศักรินทร์ กองแก้ว (อ้วน บัวใหญ่) เสื้อแดงโคราชที่เคยมีบทบาทไปยกป้ายประท้วงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
2.สวาท ดวงมณี การ์ดเสื้อแดงระยอง ถูกยิงเสียชีวิต
3.นายธนพงศ์ แป้นมี การ์ดของนาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ถูกรถกระบะพุ่งชนเสียชีวิต
4.กฤษดา กล้าหาญ (น้องเจมส์ การ์ด DJ อ้อ) เชียงใหม่ ถูกกระหน่ำยิงด้วยปืน M 16
5.น้อย บรรจง (แดง คชสาร) เชียงใหม่ ถูกกระหน่ำยิงด้วยอาวุธปืนร่วมร้อยนัด
บางคนบอกว่ามีหลายคนที่ถูกสังหารหลังปราบปราบเสื้อแดงที่ไม่สามารถระบุได้


มีผู้เสียชีวิตจากการปกป้องสิทธิมนุษยชน ช่วงปี พ.ศ.2535-2548 จนถึงปัจจุบันดังนี้

ขอบคุณการรวบรวมจาก ฅ. ฅนสิทธิมนุษยชน
ปี 2537

1.นางสุชาดา คำฟูบุตร ผู้คัดค้านโรงงานอุตสาหกรรม จ. ลำปาง ถูกอุ้มหายตัวไป
ปี 2538

1.อ.บุญทวี อุปการะกุล ผู้นำการรณรงค์คัดค้านมลพิษจากนิคมอุตสาหกรรม จ. ลำพูน ถูกทำร้ายตกรถไฟเสียชีวิต
2.ครูประเวียน บุญหนัก ผู้นำการคัดค้านโรงโม่หิน จ. เลย ถูกยิงเสียชีวิต ในปีเดียวกันนั้นเอง
3.นายวินัย จันทมโน นักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติชุมชน ผู้คัดค้านนายทุนตัดไม้ทำลายป่า บ้านน้ำหรา อ.ควนกาหลง จ.สตูล ถูกลอบสังหารเสียชีวิต เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๓๘
ปี 2539

1.นายทองอินทร์ แก้ววัตตา แกนนำผู้คัดค้านการสร้างโรงงานกำจัดกากสารอุตสาหกรรมของบริษัทบริหารและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (เจนโก้) จ.ระยอง ถูกลอบสังหารเสียชีวิต เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2539
2.นายทุนหรือจุน บุญขุนทด ผู้นำสมัชชาคนจน กรรมการบ้านห้วยทับนาย อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภุมิ แกนนำการคัดค้านการสร้างเขื่อนโป่งขุนเพชร จ.ชัยภูมิ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภอ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ ใช้อาวุธปืน. 38 ยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2539
ปี 2542

1.กำนันทองม้วน คำแจ่ม ผู้นำการคัดค้านการให้สัมปทานโรงโม่หินจ.หนองบัวลำภู ถูกยิงเสียชีวิต (พร้อมกับนายสมฯ ) ในปีเดียวกัน
2.นายสม หอมพรหม ถูกยิงเสียชีวิตพร้อมกำนันทองม้วน ฯ ขณะนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ไปกับกำนันทองม้วน ฯ
3.นายอารีย์ สงเคราะห์ ผู้นำการต่อต้านการบุรุกป่าและรณรงค์ร่วมกับชาวบ้านปกป้องผืนป่า ต้นน้ำคลองคราม จ.สุราษฎร์ธานี ถูกยิงเสียชีวิต
ปี 2544 มีนักอนุรักษ์ 5 คน ถูกยิงเสียชีวิต


1.นายจุรินทร์ ราชพล ผู้นำการรณรงค์ ปกป้องป่าชายเลนชุมชนบ้านป่าคลอก ๔๐๐ ไร่ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต มิให้ถูกนายทุนนากุ้งบุกรุก โดยกลุ่มนายทุนนากุ้งพยายามที่จะย้ายหมุดออกจากป่าชายเลน โดยการเป็นผู้นำตัวแทนชมรมผู้เลี้ยงกุ้งยื่นหนังสือคัดค้านการรังวัดสอบเขตป่าชายเลนต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ถูกยิงเสียชีวิตในวัย 50 ปี เมื่อวันที่ 30 มกราคม
2.นายนรินทร์ โพธิ์แดง ผู้นำการคัดค้านการระเบิดหินเขาชะอางกลางทุ่ง กิ่ง อ.ชะเมา จ.ระยอง ได้เข้ามาช่วยเหลือกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่เขาชะอางกลางทุ่ง ท่ามกลางความขัดแย้งกับ อบต.ห้วยทับมอญ ที่ให้ความเห็นชอบในเรื่องการตั้งโรงโม่หิน ที่มีความไม่ชอบมาพากลในการพิจารณา และการไม่รับฟังความเห็นของประชาชน รวมถึงผลกระทบจากโรงโม่หินซึ่งมีนักการเมืองท้องถิ่น และนักการเมืองระดับประเทศ ถูกยิงเสียชีวิตอยู่ที่หน้าบ้านตัวเอง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม
3.นายพิทักษ์ โตนวุธ ผู้นำคัดค้านโรงโม่หินบริษัทร็อค แอนด์ สโตน โรงโม่หินบริษัทอนุมัติการศิลา และ ได้ร้องเรียนให้ตรวจสอบ ส.ค.๑ ของโรงโม่หินในภูเขาแดงรังกาย บ้านชมภู อ.เนินมะปรางจ.พิษณุโลก พื้นที่ติดต่ออุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ถูก ยิงเสียชีวิตขณะขับขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านแยกเข้าบ้านชมภูฯ หลังที่พิทักษ์ฯ กลับจากการประชุมร่วมกับคณะตรวจสอบของทางอำเภอเพื่อรับทราบความคืบหน้าฯ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ศาลชั้นต้นยกฟ้อง และกลุ่มชาวบ้านกำลังดำเนินการอุทธรณ์
4.นายสุวัฒน์ ปิยะสถิตย์ ผู้นำการคัดค้านบ่อฝังกลบขยะราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ของ หจก.ไพโรจน์สมพงษ์พาณิชย์ เนื่องจากส่งกลิ่นเหม็นสร้างมลพิษรบกวนชุมชนในแถบ ต.ราชาเทวะ ถูกยิงเสียชีวิตขณะนั่งร่วมปรึกษาหารือกับกลุ่ม บริเวณร้านค้ากลางชุมชน ในหมู่บ้านจามจุรี ม. 15 ต.ราชาเทวะ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ศาลชั้นต้นพิพากษา ประหารชีวิตผู้จ้างวานจำคุกตลอดชีวิตมือปืนและผู้ที่เกี่ยวข้อง
5.นายสมพร ชนะพล แกนนำอนุรักษ์ป่าต้นน้ำคลองกระแดะ พื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งในภาคใต้ และสามารถรอดพ้นจากการสร้างเขื่อนในพื้นที่ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ถูกยิงเสียชีวิต ขณะนั่งเขียนรายงานข้อมูลของชุมชนอยู่ที่บ้าน
6.นางฉวีวรรณ ปึกสูงเนิน ผู้นำการต่อต้านการทุจริตในองค์การบริหารส่วนตำบลนากลาง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ประเด็นการต่อต้านอันเนื่องมาจาก การประมูลงานรับเหมาก่อสร้างในเขต อบต. นากลาง และ การที่ผู้ตายเป็นแกนนำขับไล่ประธาน อบต. และการทุจริตอื่นๆ ถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านพักตัวเอง เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ยังจับกุมคนร้ายไม่ได้
ปี 2545

1.นายแก้ว ปินปันมา สมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือและแกนนำชาวบ้านที่เข้าไปใช้ที่ดินในพื้นที่ กิ่ง อ.ดอย หล่อ จ.เชียงใหม่ ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2545 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 8 ปี
2.นายบุญสม นิ่มน้อย ผู้นำคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงกลั่นปิโตรเคมีขนาดใหญ่ ของ บริษัทสยามกัลฟ์ โม่หินบริษัทร็อค แอนด์ สโตน ปิโตรเคมีคอล จำกัด ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2545 ผู้ต้องหามอบตัว 2 ราย แต่ศาลยกฟ้องเพราะไม่มีใครกล้าเป็นพยาน เนื่องจากการถูกข่มขู่และกลัวถูกสังหารโหดเช่นเดียวกับ นายบุญสม ฯ
3.นายปรีชา ทองแป้น สารวัตรกำนันตำบลควนกรด อ.ทุ่งสง แกนนำเรียกร้องสิทธิชุมชนจากโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียเทศบาลตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ถูกลอบสังหารเสียชีวิต เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2545 เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย แต่ให้การปฏิเสธ
4.นายบุญฤทธิ์ ชาญณรงค์ ผู้นำการตรวจสอบการทำไม้เถื่อนในพื้นที่ป่าชนะ โดยได้รวบรวมหลักฐานการลักลอบทำไม้เถื่อนของกลุ่มนายทุนและข้าราชการบางกลุ่มเข้าร่วมด้วยและเป็นแกนนำการเรียกร้องการแก้ไข กรณีอุทยานแห่งชาติแก่งกรุง ประการเขตอุทยานทับที่ดินทำกินของชาวบ้านฯ ต่อมา ได้ถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ๔ คน ร่วมกันล้อมสังหารอย่างเหี้ยมโหดที่ชายป่า ขณะกำลังถางหญ้าบนพื้นที่ทำกินของตนเอง [เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทั้ง 4 ตัว] อ้างว่าต้องยิงป้องกัน โดยอ้างว่า พ่อผู้เฒ่าจะเอามีดฟัน เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2545 บริเวณสวนยางพาราและสวนกาแฟ ต.คลองพา อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล เจ้าหน้าที่ป่าไม้ของอุทยานจำนวน 4 คน และอนุมัติให้ประกันตัวไปแล้ว
5.นายบุญยงค์ อินตะวงศ์ ผู้นำคัดค้านโรงโม่หินดอยแม่ออกรู อ.เวียงชัย จ.เชียงราย ของบริษัทเวียงชัยผางาม ก่อสร้าง จำกัด ถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านพักตัวเองถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545
ปี 2546

1.พ่อหลวงคำปัน สุกใส ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑ ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ อดีตรองประธานเครือข่ายป่าชุมชนลุ่มน้ำปิงตอนบน ป่าชุมชนพื้นที่อำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์มีจำนวนทั้งสิ้น 54 ป่าชุมชน รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 380,000 ไร่ โดย นายคำปัน ฯ มาเป็นผู้ใหญ่บ้านก็เอาจริงเอาจังกับการดูแลรักษาป่าชุมชนเป็นอย่างมาก มีการจัดทำป้ายแนวเขตพื้นที่ป่าชุมชน ตรวจลาดตระเวณและตั้งคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านป่าบงขึ้นมา อนึ่ง นายคำปัน ฯ และคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านป่าบงได้จับกุมนายจันทร์แก้ว จันทร์แดง เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาวข้อหาบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 44 โดยในการจับกุมครั้งนั้นแม้ว่านายจันทร์แก้ว ฯ ได้ยอมรับผิดและเสียค่าปรับเป็นเงิน 25,000 บาท ในเรื่องนี้ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับนายจันทร์แก้ว ฯ เป็นอันมาก ต่อมา พ่อหลวงคำปันฯ ก็ถูก จนท.คนนี้บุกยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 ศาลได้พิพากษาตัดสินนายจันทร์แก้วฯ จนท.หน่วยพิทักษ์ป่า ฯ ปืนโหดเป็นเวลา 25 ปี
2.นายชวน ชำนาญกิจ ชาวบ้านผู้มีใจพิทักษ์ชุมชน เพื่อนำสันติสู่วิถีชุมชนต่อต้านการค้ายาเสพติด ร่วมกับตำรวจชุมชนสัมพันธ์ สภอ.ฉวาง จ.จ.นครศรีธรรมราชถูกคนร้านบุกยิงเสียชีวิตในบ้านของตนเอง เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2546
3.นายสำเนา ศรีสงคราม ประธานชมรมอนุรักษ์และฟื้นฟูลำน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ที่ร่วมกันเคลื่อนไหวต่อสู้กับชาวบ้านในพื้นที่ เรื่องผลกระทบจากลำน้ำพองเน่าเสียจากโรงงาน ฟีนิกซ์ พัลพ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด โรงงานผลิตเยื่อกระดาษโครงการส่งเสริมการร่วมทุนระดับชาติโครงการแรกในพื้นที่ภาคอีสาน จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน [ ก่อตั้งในปี 2518] โรงงานอภิโปรเจกนิรันกาลนี้ได้ปล่อยน้ำเสียลงในลำน้ำพอง สายน้ำแห่งชีวิตของชาวขอนแก่น จนเน่าเสียตั้งแต่ปี 2536 จนถึงปัจจุบัน – นักอนุรักษ์เลือดลำน้ำพองผู้นี้ ได้ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมที่เถียงนาใกล้บ้าน ที่บ้านคำบงพัฒนา ต.โคกสูง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2546 ภายหลังจากนั้นไม่กี่วัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้จับกุม นายสมบัติ ทองสมัคร มือปืนผู้ลงมือฆ่านายสำเนา ฯ และได้ให้การซัดทอดถึงนายสมพงษ์ นารี กำนันในตำบลโคกสูง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ว่าเป็นผู้จ้างวานฆ่าศาลชั้นต้นได้พิพากษาตัดสินให้จำคุกตลอดมือปืนโหด เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2547 และ ศาลให้ปล่อยตัวผู้จ้างวานไปในภายหลังเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ
ปี 2547

1.นายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งหายตัวไปอย่างลึกลับ เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2547 ในช่วงสมัยรัฐบาลทักษิณ 1 – ทนายสมชายฯ ทำคดีด้านสิทธิมนุษยชน เช่น คดีที่ชาวบ้านถูกกล่าวหาละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้ คดีคนพม่าลี้ภัยการเมือง คดีชาวอิหร่านที่ถูกจับในข้อหาเป็นผู้วางระเบิดสถานทูตอิสราเอลในประเทศไทย ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2547 ได้มีการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นาย ประกอบด้วย พ.ต.ต.เงิน ทองสุก, พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์, จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง, ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน ตำรวจกองปราบปราม ตกเป็นจำเลยที่ 1 – 5 ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ และข่มขืนใจผู้อื่น โดยใช้กำลังประทุษร้าย แต่ไม่สามารถตั้งข้อหาฆาตกรรมหรือข้อหาอื่นที่หนักกว่าได้เนื่องจากยังไม่พบศพหรือหลักฐานที่บ่งชี้ว่าทนายสมชายตายแล้ว – 12 มกราคม พ.ศ. 2549 ศาลตัดสินจำคุก พ. ต. ต. เงิน ทองสุก ในข้อหาขืนใจ ทำให้สูญเสียอิสรภาพและระบุว่าเกิดจากการกระทำของร่วมกันกับบุคคล 3 -5 คน ผู้ต้องหาซึ่งเป็นตำรวจอีก 4 นาย ยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่เพียงพอ (คดีของทนายสมชาย ยังเต็มไปด้วยเงื่อนงำ หลังจากการหายสาบสูญไปของ พ.ต.ต. เงิน ทองสุก)
2.นายสุพล ศิริจันทร์ ผู้นำการพิทักษ์ผืนป่าและชุมชน แกนนำคัดค้านขบวนการค้าไม้เถื่อนในลุ่มน้ำแม่มอก อ.เถิน จ.ลำปาง ต่อสู้คัดค้านกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และระดับชาติ ซึ่งนำไปสู่การจับกุมในหลายครั้ง แม้จะถูกข่มขู่สารพัดวิธี พ่อหลวงนักอนุรักษ์ ก็ไม่เคยหวาดหวั่นแม้แต่น้อย – โศกนาฎกรรม สะเทือนขวัญ เย้ยอำนาจรัฐ เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น.ของวันที่ 11 สิงหาคม 2547 กลุ่มมือปืนผู้มีอิทธิพลมืดในท้องถิ่นภายใต้ขบวนการค้าไม้เถื่อน ได้ลอบสังหารผู้ใหญ่บ้านนักอนุรักษ์ ภายหลังจากเหตุการณ์ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและป่าไม้บุกจับขบวนการค้าไม้เถื่อนผ่านไปเพียง 15 ชั่วโมงเศษ
3.นายเจริญ วัดอักษร ประธานกลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก จ.ประจงบคีรีขันธุ์ อายุ 36 ปี แกน นำต่อสู้คัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินและเคลื่อนไหวให้มีการตรวจสอบการใช้พื้นที่สาธารณะของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ โดยเปิดเผยตัวเต็มที่และได้ยื่นข้อเรียกร้องท้าทายอำนาจรัฐ 2 ข้อ คือ 1). ขอให้ยกเลิกการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในทันที 2). ถ้าไม่เข้าใจให้กลับไปดู ข้อ 1. เขาถูกยิงเสียชีวิตเมื่อเวลา 21.30 นาฬิกา วันที่ 21 มิถุนายน 2547 ด้วยอาวุธปืนกว่า 10 นัด ภายหลังลงจากรถโดยสารที่เพิ่งเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ในการมาพบคณะอนุกรรมการปราบปรามการทุจริต วุฒิสภา เรื่องข้อพิพาทที่ดินสาธารณะ – เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้ 5 ราย แต่ไม่สามารถ ขยายผลไปสู่กลุ่มผู้จ้างวานที่ลงขันฆ่านายเจริญฯ ได้ ขณะนี้คดีกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล
4.นางพักตร์วิภา เฉลิมกลิ่น แม่บ้านอนุรักษ์ปกป้องชุมชนจากท่าทราย จ.อ่างทอง ในฐานะรองประธานชุมชนบ้านหัวกระบือ ต.ป่าโมก อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง เป็นแกนนำคัดค้านการก่อสร้างท่าเทียบเรือขนทรายของนายทุนผู้ประกอบการบ่อทรายจากกรุงเทพฯ ซึ่งมีภรรยานักการเมืองดังของจังหวัดคอยหนุนหลัง ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2547
5.พระสุพจน์ สุวโจ อายุ 39 ปี (อายุพรรษาการบวช 13 พรรษา) พระนักพัฒนาและอนุรักษ์ลุ่มน้ำฝาง ผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาและรักษาสิ่งแวดล้อม จ.เชียงใหม่ เดิมท่านสังกัดวัดชลประทานรังสฤษฏ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ทุกวันนี้พื้นที่ลุ่มน้ำแม่ฝางมีสวนส้มอยู่ถึง 2๐๐,๐๐๐ ไร่ แต่ครึ่งหนึ่งของสวนส้มเป็นพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุก โดยกฎหมายเอื้อมมือไปไม่ถึง - ที่ผ่านมาบุคคลเหล่านี้ได้ใช้กำลังเข้าไปตัดฟันต้นไม้ แผ้วถางทำลายป่าบางส่วนในสวนเมตตาธรรม และยึดเอาไปขายให้กับคนนอกพื้นที่เพื่อปลูกสวนส้มอย่างหน้าตาเฉย
พระสุพจน์และกลุ่มพุทธทาสศึกษาได้พยายามปกป้องผืนป่าจากการถูกบุกทำลายหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ หลายครั้งที่พระไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีกับผู้บุกรุก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้คนเหล่านี้ไม่ได้ มิหนำซ้ำยังเหิมเกริมส่งนักเลงบุกเข้ามารุมกระทืบผู้ดูแลสถานปฏิบัติธรรมจนได้รับบาดเจ็บสาหัส

ผลพวงของสงครามปราบปรามยาเสพติดในปี 2546
ข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติระบุว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิต 2,596 คน เกี่ยว ข้องกับยาเสพติด 1,164 คน ไม่เกี่ยวข้องยาเสพติด 1,432 คน

ความรุนแรงที่ภาคใต้ 2547 – ปัจจุบัน
28 เมษายน 2547 เหตุการณ์มัสยิดกรือแซะ จังหวัดปัตตานี ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการสังหารของเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและทหาร 107 คน และเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 5 คน

25 ตุลาคม 2547 เหตุการณ์ ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ที่มีผู้เสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจในขณะที่ถูกลำเลียงไปโรงพักถึง 78 คน รวมกับที่ถูกยิงเสียชีวิต 6 คน เป็น 84 คนในวันเดียว พวกเขาเป็นคนไทยเช่นกัน

2 กรกฎาคม 2553 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ออกแถลงการประณามการใช้ความรุนแรงที่ภาคใต้ ว่านับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 4,000 ราย บาดเจ็บกว่า 7,000 คน มีภรรยาม่าย 2,000 คน ต้องรับผิดชอบเด็กกว่า 5000 คน ภายในระยะเวลาเพียง 6 ปี วิถีการจัดการที่ภาคใต้ด้วยวิถีทหารและความรุนแรง ไม่ทำให้เหตุการณ์สงบ และยังสูญเปล่างบประมาณของรัฐรวมกันว่า 145,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าใช้งบนี้ไปกับการพัฒนาภาคใต้โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วม ก็อาจจะทำให้สถานการณ์ความรุนแรงผ่อนคลายได้กว่าการใช้งบไปกับทหารและอาวุธ

แล้ว ยังมีอีกกี่สิบ กี่ร้อย กี่พัน หรือกี่หมื่นชื่อที่ตกลงเพราะผลพวงแห่งการปราบปรามนักต่อสู้เพื่อความเท่า เทียมและเพื่อประชาธิปไตย ที่ไม่มีใครรับรู้ และจดจำ

ที่มา -Time Up Thailand