Saturday, August 10, 2013
กษัตริย์ไทยปัจจุบันกับการรัฐประหาร
สำหรับท่านที่คิดจะปรองดองกับกษัตริย์ภูมิพล กรุณาอ่านและศึกษาจากบทความนี้ก่อน ท่านจะได้บทสรุปที่ชัดเจน เราขอเตือนมาด้วยความปราถนาดี
กษัตริย์ไทยปัจจุบันกับการรัฐประหาร
คำนำ
หลังการปฏิวัติประชาธิปไตยศักดินาเมื่อ 2475 แล้วได้มีการรัฐประหาร รัฐประหารเงียบ และการยุบรัฐสภากว่า 10 ครั้งตลอดช่วงเวลา 40 ปีมานื้ การรัฐประหารครั้งสำคัญๆนั้นกษัตริย์ไทยปัจจุบันมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม
บทความนี้จะยกเอาการรัฐประหารที่สำคัญๆเพียงสามครั้งมาเสนอ คือ ( 1 ) การรัฐประหารโดยโค่นรัฐบาล แปลก เผ่า ผิน เมื่อ 2500 (2 ) การโค่นล้มรัฐบาลถนอม ประภาส ณรงค์ เมื่อ 2516 และ ( 3) การรัฐประหารโหดโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตยเสนีย์ เมื่อ 2519
วัตถุประสงค์ในการเขียนบทความนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นบทบาทการเมืองของกษัตริย์ไทยปัจจุบัน เหตุผลที่กษัตริย์ต้องทำเช่นนั้น และในตอนท้ายจะชี้ให้เห็นทางเลือกในอนาคตของกษัตริย์วงค์จักรี
บทบาทของกษัตริย์ปัจจุบันกับการรัฐประหารครั้งสำคัญ
( 1 ) การโค่นล้มรัฐบาลแปลก เผ่า ผิน 2500
แปลกเป็นชื่อตัวของจอมพลหลวงพิบูลสงคราม ผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในการประฏิวัติประชาธิปไตยศักดินาเมื่อ 2475 พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เป็นอดีดอธิบดีกรมตำรวจและเป็นอดีดเลขาธิการพรรคเสรีมนังคสิลาซึ่งมีแปลกเป็นหัวหน้า ผินชุณหวันเป็นพลเอกและเป็นอดีดผู้บัญชาการทหารบก นอกจากนั้นยังมีอดีดผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือเอกหลวงยุทธศาสตร์โกสล และอดีดผู้บัญชาการทหารอากาศ พลอากาศเอก ฟื้นฤทธาณี ร่วมด้วยอย่างแข็งขัน เรียกกันว่า ” กลุ่มของราชครู ”
รัฐบาลแปลก เผ่าทำการกวาดล้างนักการเมืองฝ่ายค้านอย่างรุนแรง คดีสยองขวัญเช่นการยิงทิ้งสี่อดีตรัฐมนตรีจากภาคอิสานที่ซานกรุงเทพ โดยอ้างว่าย้ายที่คุมขังจากคุกกลางเมืองไปไว้นอกเมือง และถูกโจรจีนมลายูแย่งตัวกลางทาง นักการเมืองฝ่ายค้านหัวเห็ดคนหนึ่งจากภาคอิสานเช่นกันได้ถูกพาตัวจากกรุงเทพไปช้อม ทารุณและถูกย่างสดในป่าห่างจากกรุงเทพไปทางตะวันตกประมาณ 100 กิโลเมตร
พวกนักล่าเมืองขึ้นสหรัฐอเมริกาได้เดินทางเข้าประเทศไทยได้อย่างสง่าผ่าเผยในรัฐบาลชุดนี้ เผ่าได้ปรับปรุงและขยายกิจการตำรวจอย่างกว้างขวาง แน่ละด้วยความช่วยเหลือจาก ซี ไอ เอ ในนามของหน่วยงานนาวิกโยธินที่เรียกว่า ” ซีซัพพลาย ” ทั้งนี้เพื่อทำการต่อต้านและปราบปรามคอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสอันดีที่เผ่าจะได้ใช้ถ่วงดุลย์กับทหารและใช้ทำการค้าฝิ่นและของเถื่อนต่างๆด้วย เผ่าเองยังมีแผนจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสาธารณะรัฐโดยเชิดให้แปลกเป็นประธานาธิบดีคนแรกของไทยแผนนี้ได้รั่วไปถึงกษัตริย์เข้าจนได้ในภายหลังไม่ช้า
หลังจากแปลกได้ไปเยือนอเมริกามาแล้ว ไม่ช้าก็ปล่อยให้ประชาชนมีประชาธิปไตยส่วนหนึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนให้ประชาชนมีเสรีภาพในการเขียนและการพูดในสาธารณะ เผ่าเองได้จัดตั้ง
กลุ่มอิทธิพลของตนขึ้นมามากมาย จ้างนักพูดคนหนึ่งขึ้นไฮด์ปาร์คที่สะสนามหลวงโดยทำบอกใบ้ให้ผู้คนเข้าใจว่าฆาตกรที่สังหารยุวกษัตริย์อานันท์รัชกาลที่ 8 นั้นคือกษัตริย์ภูมิพลองค์ปัจจุบันนั่นเอง อธิบดีเผ่าสมัยนั้นให้ตำรวจจับมาคุมขังพอเป็นพิธีแล้วให้ประกันตัวออกไป รัฐบาลแปลก –เผ่าสนับสนุนให้กรรมกรจัดตั้งสหภาพแรงงานอย่างกว้างขวาง และมีการนัดหยุดงานกันอย่างเอิกเกริกนั่นก่อนจะถึงปี 2500 ไม่นานนัก
เมื่อปี 2500 มีการเลือกตั้งทั่วไปพรรคเสรีมนังคสิลาโกงการเลือกตั้งทุกวิถีทาง โอกาสของ
กษัตริย์ภูมิพลที่คอยอยู่นานก็ได้มาถึง เมื่อประชาชนเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้งที่สกปรกนั้น
แน่ละ ซี ไอ เอ เห็นท่าว่าจะไม่สู้ดีเท่าไหร่นักที่จะให้แปลกและเผ่าอยู่ในอำนาจต่อไป จอมพลสฤษดิ์ได้ออกมายืนอยูแถวหน้าของขบวนประชาชนนำทหารออกมาตั้งแถวต้อนรับขบวประท้วงโดยไม่ทำร้ายใครเหตุการณ์คราวนั้นทำให้สฤษดิ์กลายเป็นขวัญใจของประชาชน จากคำบอกเล่าของอดีตนายทหารคนสนิทคนหนึ่งของสฤษดิ์ กษัตริย์ยืนอยู่เบื้องหลังสฤษดิ์อย่างกระวนกระวายใจความขัดแย้งอย่างรุณแรงระหว่างผู้นำตำรวจกับผู้นำทหารสมัยนั้นปรากฏเป็นข่าวอยู่บอ่ยๆโดยเฉพาะการค้าฝิ่นค้าของเถื่อนและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอื่นๆ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเครื่องมือและอุปกรณ์จากอเมริกาพอฟัดพอเหวี่ยงกันทั้งทางบกและทางเรือ และทางอากาส
ตลอดจนกำลังคนเผ่าวางแผนจะทำรัฐประหารกลางเดือนกันยายน 2500 แปลกเกิดความไม่แน่ใจและกลัวว่าเผ่าจะทำการรุณแรงเกินเหตุ จึงลอบแจ้งข่าวให้กษัตริย์ทราบเมื่อวันที 16 กันยายนและ ในวันเดียวกันนั้นกษัตริย์ก็ได้เรียกให้สฤษดิ์เข้าพบและบอกว่า แปลกขอปลดสฤษดิ์ออกจากตำแหน่งและแจ้งกำหนดเวลาที่เผ่าจะทำการยึดอำนาจให้สฤษดิ์ทราบ สฤษดิ์จึงชิงยึดอำนาจในวันเดียวกันก่อนเผ่าไม่กี่ชั่วโมง
ทั้งแปลกและเผ่าถูกปล่อยตัวให้ออกไปอยู่ต่างประเทศจนตายแปลกอยู่ที่ญี่ปุ่น เผ่าอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ ก่อนจากแผ่นดินไทยเผ่าประกาสก้องว่า “ ขออย่าได้พบหน้าแปลกผู้หักหลังอีกเป็นอันขาด และไม่ขอร่ำลากษัตริย์ภูมิพลดว้ย ”
ตลอดช่วงเวลาที่เผ่าเรืองอำนาจอยู่นั้น เขาไม่เคยแยแสกษัตริย์เลย ผิดกับผู้เผด็จการคนอื่นๆซึ่งชอบเชิดกษัตริย์เป็นหุ่นบังหน้าเพื่อขูดรีดประชาชนและฉ้อราษฏร์บังหลวงขนาดหนักอย่างสะดวกสบาย เผ่าต้องมีเหตุผลของตนเอง
ก่อนที่ราชองครักษ์ 3 คนที่ถูกศาลตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยข้อหาว่าสมรู้ร่วมคิดในคดีฆาตกรรมยุวกษัตริย์อานันท์รัชกาลที่ 8 ซึ่งเป็นพีชายของกษัตริย์ภูมิพลนั้น คนหนึ่งได้ขอพบเผ่าเป็นส่วนตัวและได้พูดกับเผ่าตามลำพังประมาณ 10 นาที เมื่อหนังสือพิมพ์ได้ถามหลังการประหารสามคนนั้นแล้วว่าได้คุยกันเรื่องอะไรบ้าง เผ่าไม่ยอมตอบ แน่นอนเผ่าต้องรู้ว่าใครเป็นฆาตกรโหดในคดีดังกล่าว และไม่เป็นที่น่าสงสัยอะไรเลยว่า เผ่าจะไม่ได้บอกเพื่อนสนิทให้รู้ความลับนี้ในจำนวนเหล่านั้นแน่ละมี แปลก สฤษดิ์ และประภาสรวมอยู่ด้วย
วันหนึ่งเผ่ากับเพื่อนสนิทได้เข้าไปในวัง เพื่อนของเขาถูกราชินีสิริกิตยิงบาดเจ็บสาหัสออกมาและไปตายที่โรงพยาบาลเผ่าออกข่าวกลบเกลื่อนว่า เพื่อนไปผ่าตัดใส้ติ่งและเกิดอักเสบจนตายนับเป็นเรื่องตลกขบขันในวงเหล้าได้เป็นอย่างดี เมื่อสฤษดิ์ขึ้นครองอำนาจเต็มที่ เขาได้แสดงความจงรักพักดีต่อกษัตริย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยทำการปรับปรุงวังและรอบวังสวนจิตรที่รกไปดว้ยหญ้าและน้ำครำส่งกษัตริย์และราชินีไปทัศนาจรประเทศต่างๆทั่วโลกเพิ่มงบประมาณจากปีละไม่ถึงล้านบาทเป็นปีละ 5 ล้านบาทให้แก่กษัตริย์
สฤษดิ์เป็นนักดื่มและนักพล่าสวาทหญิงสาว ครั้งหนึ่งขณะกำลังมืนเมานายทหารคนสนิทคนหนึ่งถามถึงเหตุผลที่ถวายความจงรักพักดีถึงปานนั้นเขาตอบว่า “ ไอ้ห่ามึงนี่ช่างถามอะไรโง่ๆอย่างนั้นมีอย่างที่ใหนวะที่มึงจะเผด็จการโดยไม่มีหุ่นบังหน้า เงินของกูเสียเมื่อไหร่ละ “ โชคยังเข้าข้างกษัตริย์ที่สฤษดิ์ด่วนตายไปเสียก่อนด้วยโรคภายในเมื่อต้นเดือนธันวาปี 2506
( 2 ) การโค่นล้มรัฐบาลทรราชถนอม - ประภาส – ณรงค์ ปี 2516
ถนอม- ประภาส ขึ้นครองอำนาจต่อจากสฤษดิ์ และเพื่อความเป็นปึกแผ่นของสองตระกูล ณรงค์ลูกชายของถนอมจึงแต่งงานกับลูกสาวของประภาสตลอดช่วงเวลากว่า 9 ปี ที่สามทรราชครองเมืองนั้น ประภาส-ณรงค์ ก็เช่นเดียวกับเผ่าคือไม่แยแสต่อกษัตริย์ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เฒ่าถนอมแต่เพียงผู้เดียวคอยเสนอหน้าทุกโอกาสในที่สาธารณะถนอม-ประภาส-ณรงค์ โดยเฉพาะณรงค์ได้ใช้อำนาจทางการเมืองเข้าครอบครองที่ดินนับแสนไร่ทำการค้าอภิสิทธิ์ ค้าฝิ่น เฮโรอินและของเถื่อนทั้งในและต่างประเทศ เข้าครอบงำอุตสาหกรรมที่สำคัญทุกแห่งบีบบังคับธนาคารที่ไม่ใช่ของพรรคพวกตนให้ถอยออกไปจากเวทีของพวกเขามูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลนี้ที่ได้สร้างขึ้นในช่วงครองอำนาจนับเป็นหมื่นล้านบาท กว่าร้อยละสิบของรายได้ประชาชาติเสียอีก การกระทำเหล่านี้นอกจากต้องปะทะกับพวกนายทุนแล้วแน่ละยังต้องปะทะกับอำนาจอิทธิพลของกษัตริย์ที่กำลังขยายเข้าไปในวงการธุรกิจทุกด้านให้กว้างขวางยิ่งขึ้นด้วย
สำหรับคดีฆาตกรรมยุวกษัตริย์อานันท์นั้น เมื่อประภาสได้ล่วงรู้ความลับจากเผ่าณรงค์ก็ต้องรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน เขาได้ประกาสก้องในหมู่เพื่อนทหารขณะที่มึนเมาอย่างน้อยก็สองครั้งว่า “ กูนี่ละโว้ยจะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของไทยอย่างแน่นอน “ ครั้งหนึ่งที่เพชรบุรีทางใต้ของกรุงเทพ 80 กม.และอีกครั้งหนึ่งที่เพชรบูรณ์ทางเหนือกรุงเทพ 150 กม. กษัตริย์ภูมิพลและแม่มีอาการกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าความลับของตนจะถูกเปิดโปงแพร่หลายสักวันหนึ่ง เพราะณรงค์เป็นคนคุยโว เพลย์บอยและเหลิงอำนาจ เพื่อนขี้ประจบจึงมีมาก กษัตริย์จำยอมเป็นเบี้ยล่างดว้ยความคับแค้นใจอย่างยิ่งและหาทางโค่นทรราชทุกโอกาส การจัดตั้งลูกเสือชาวบ้านขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม 2514 ก็เป็นจุดเริ่มจุดหนึ่งที่นายตำรวจตระเวณซายแดนหน่วยหนึ่งสร้างขึ้นมา การแสวงหาพันธมิตรจากนายทหารที่มีฐานอำนาจพอควรในขณะนั้นก็เป็นอีกทางหนึ่งนายทหารผู้นั้นคือกฤษณ์ สีวรา
กฤษณ์เป็นผู้นำทหารหน่วยหนึ่งในกรุงเทพ เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในการโค่นล้มรัฐบาลแปลก-เผ่า สฤษดิ์เองเมื่อยังครองอำนาจอยู่ก็กลัวกฤษณ์ซ้อนกลอยู่ไม่ใช่น้อย จึงให้อภิสิทธิ์ทางเศรฐกิจแก่กฤษณ์อย่างไม่จำกัดเป็นการแลกเปลี่ยนกฤษณ์เองก็พอใจกับความมั้งคั่งร่ำรวยและสุรานารี เขาตั้งธนาคารของเขาเองขึ้นมาทำการค้าอภิสิทธ์ทุกด้านเช่นเดียวกับนายทหารที่มีอิทธิพลทางการเมือง สมัย ถนอม- ประภาส-ณรงค์ ก็ทำนองเดียวกันปล่อยให้กฤษณ์เสวยลาภผลต่อไปอย่างไม่อั้น เขาจึงสามารถสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจทางทหารและทางการเมืองได้อย่างสะดวกแน่ละผลประโยชน์ของกลุ่มกฤษณ์กับกลุ่มทรราชถนอมย่อมกระทบกระทั่งกันอยู่เสมอมากบ้างน้อยบ้าง
กฤษณ์ก็เช่นเดียวกับนายพลคนอื่นๆที่คิดทำการรัฐประหารคือจำต้องทำทีเป็นเทิดทูลกษัตริย์เหนือหัว ตัวเองเสมือนขี้ฝุ่นใต้ฝ่าเท้ากษัตริย์ ซึ่งเป็นสรรพนามแทนทุกคนเมื่อพูดกับกษัตริย์
ครั้นแล้วโอกาสก็เกิดขึ้น เมื่ออดีตผู้นำนักศึกษาและอาจารย์กลุ่มหนึ่งทำการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลถนอม- ประภาสอ้างว่าได้ร่างมาแล้ว 10 ปีแต่ไม่เสร็จสักทีประกาศสั่งจับบุคคลกลุ่มนั้นและจับไป 13 คนโดยตั้งข้อหาฉกาจฉกรรจ์ว่าเป็นกบฏและคอมมิวนิสต์ นักเรียนนักศึกษาและประชาชนทุกวงการซึ่งอยู่ใต้ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์มานานได้ลุกฮือกันขึ้นทั่วประเทศนับล้านคน เฉพาะในกรุงเทพมีการชุมนุมประท้วงและเดินขบวนกว่าครื่งล้านคนให้รัฐบาลปล่อยผู้ที่ถูกจับกุมและให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว
แน่ละกษัตริย์ภูมิพลและกฤษณ์อมยิ้มอยู่อย่างเงียบๆเบื้องหลังการชุมนุมใหญ่ของประชาชนในประวัติศาสตร์ สหรัฐอเมริกาเมื่อตระหนักถึงพลังประชาชนก็จำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบการครอบงำให้เหมาะสมกับสถาณะการณ์ดังที่เคยทำมาในหลายประเทศในโลกที่สามมาแล้วคือให้มีการเปลี่ยนรัฐบาลโอนอ่อนผ่อนปรนแก่ประชาชนระดับหนึ่งและชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
จากคำบอกเล่าของผู้ฟังการติดต่อทางวิทยุของพวกฉวยโอกาสในวันที่ 14 ตุลา 2516 ว่าตอนใกล้รุ่งวันนั้นขณะที่ฝูงชนกำลังสลายตัวจากหน้าวังสวนจิตรลดาเนื่องจากข้อเรียกร้องของตนประสบผลสำเร็จ มนชัย พันธ์คงชื่น นายตำรวจที่คุมกำลังตำรวจเผชิญหน้ากับฝูงชนอยู่นั้นได้รับคำสั่งทางวิทยุให้ตลุมบอนนักศึกษาและประชาชนทันทีคำบงการนั้นต้องอยู่ในรัศมีไม่เกิน 2 กม.ซึ่งอาจออกมาจากกองบัญชาการทหารที่สวนรื่นของ กอ.รมน. หรือมาจากสวนจิตรลดาของกษัตริย์ วันนั้นมีผู้เห็น วิทูรย์ ยะสวัสดิ์ รองอธิบดีตำรวจขณะนั้นอยู่ในสวนจิตรลดาด้วยคนหนึ่งเขาเป็นอตีตผูบัญชาการทหารรับจ้างไทยในลาว เขมร เมียของเขาเป็นเชื้อพวงค์และสนิทสนมกับราชินีสิริกิต วิทูรย์ได้ขนทหารรับจ้างเข้ามาไว้ในกรุงเทพเป็นจำนวนมากก่อนหน้านั้นแล้ว ในชุดแต่งกายพลเรือนหลังรัฐประหารโหดเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 เขาได้ถูกตะเพิดให้ออกไปเป็นผู้ดูแลนักเรียนไทยในญี่ปุ่น
การต่อสู้อย่างโกลาหลในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เริ่มออ่นลงบ้างในตอนบ่ายทหารรับจ้างของวิทูรย์ได้ยิงปืนเข้าใส่ฝูงชนและตึกกองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นการกระตุ้นการต่อสู้ให้ดุเดือดขึ้นและชี้แนะให้มีการทำลายอาคารที่สำคัญของรัฐบาล
ในที่สุดกษัตริย์ภูมิพลได้เรียกถนอม-ประภาสเข้าพบและขอให้ออกนอกประเทศไปเสียก่อนโดยสัญญาว่าจะไม่ยึดทรัพย์สมบัติอันมหาศาลของพวกเขา ณรงค์ผิดหวังอย่างที่สุดที่จะได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของไทยเขาประกาศก้องอย่างบ้าคลั่งที่ท่าอากาศยานดอนเมืองก่อนขึ้นเครื่องบินหนีออกนอกประเทศว่า “ เออ มึงดีละกูจะต้องกลับมาอีก ทีใครทีมัน “ เขาโกรธแค้นใครถึงปานนั้น
ตกค่ำวันเดียวกันนั้นกษัตริย์ภูมิพลได้ออกมาประกาศทางวิทยุและโทรทัศน์ขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ เขาได้จัดการให้ ถนอม-ประภาส- ณรงค์ออกนอกประเทศไปเรียบร้อยแล้ว นั้นหมายความว่าอาการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของบัลลังค์ของกษัตริย์ได้ผ่อนคลายลงไปในระดับหนึ่งซึ่งประชาชนชาวไทยก็จะได้ดูฉากการปล้นประชาธิปไตยของกษัตริย์ภูมิพลในโอกาสต่อไป สัญญาณแห่งการปล้นชัยชนะของประชาชนได้ฉายแสงออกมาอย่างโจ่งแจ้งแล้ว
(3 การโค่นรัฐบาลประชาธิปไตยของเสนีย์ 2519
ตลอดช่วงเกือบ 3 ปีแห่งประชาธิปไตยกระฎุมภีนั้นขบวนการนักศึกาและประชาชนได้เติบใหญ่อย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพในการเรียกร้องต่อสู้ความเป็นเอกราชของชาติ ความเป็นประชาธิปไตยของประชาชนและความเป็นธรรมของสังคมอย่างแท้จริงมีการศึกษาและเผยแพร่สัจธรรมแห่งชีวิตและสังคมรอบด้านทุกรูปแบบอย่างกว้างขวาง มีการหยุดงานเรียกร้องขอค่าจ้างและสวัสดิการให่สูงขึ้นของกรรมกร มีการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือชาวนาด้านต่างๆมีการประท้วงและเปิดโปงการกดขี่และการฉ้อราษฏร์บังหลวงมีการชุมนุมและเดินขบวนขับไล่พวกจักรวรรดิ์นิยมอเมริกา มีการชุมนุมต่อต้านการปูทางกลับมาของพวกทรราช ถนอม-ประภาส-ณรงค์ มีการจัดตั้งกลุ่มพลังของนักศึกษาและประชาชนขึ้นไปจนถึง สหภาพแรงงานกรรมกรและสหพันธ์ชาวนาเป็นต้น
ทางด้านชนชั้นปกครองก็ในทำนองเดียวกันอาศัยอำนาจทางการเมืองและอิทธิพลทางเศรษฐกิจตลอดจนความช่วยเหลือของ ซี. ไอ. เอ. จัดตั้งกลุ่มอันธพาลการเมือง กลุ่มพลังนายทุนใหญ่และกลุ่มลูกเสือชาวบ้านของกษัตริย์ เข้าครอบงำสื่อมวลชนทุกชนิด ซื้อกิจการหนังสือพิมพ์และออกหนังสือพิมพ์ใหม่ๆออกมา ทั้งนี้เพื่อต่อต้านกองทัพธรรมของนักศึกษาและประชาชนทุกด้านและทุกรูปแบบ พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นในช่วงนั้นเกือบทั้งหมดเป็นพรรคฝ่ายขวาและขวาจัดรวมทั้งหมด 60 พรรค มีเพียง 2-3 พรรคที่เข้าข้างประชาชน
การต่อสู้เพื่อเอกราชประชาธิปไตยและความเป็นธรรมของฝ่ายประชาชนที่มีแต่มือเปล่ามักได้รับความบาดเจ็บและล้มตายเสมอจากอาวุธสงครามของพวกรัฐบาลเผด็จการของกษัตริย์แม้กระนั้นฝ่ายประชาชนก็ไม่ได้หวั่นใหวได้ลุกขึ้นสู้ด้วยจิตใจอันห้าวหาญมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งถูกปราบก็ยิ่งกล้าแข็งและเติบใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นไปตามกฏเกณท์ที่ว่า “ ที่ไหนมีการกดขี่ที่นั่นมีการต่สู้ “ กษัตริย์รู้ดีว่าหากปล่อยให้ประชาชนมีประชาธิปไตยต่อไปพวกตนจะต้องสูญเสียอำนาจและอิทธิพลในเวลาอันใกล้นี้
แผนการรัฐประหารได้มีไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว ได้มีการแจกใบปลิวเกี่ยวกับโครงการปฏิรูปใส่ไว้ในช่องรับจดหมายของ สส ฝ่ายขวาที่สรรแล้ว ก่อนหน้าการสังหารโหด “ 6 ตุลาคม “ สัก 2-3 เดือน ก็ได้มีตัวแทนอย่างน้อย 2 กลุ่มที่คิดทำรัฐประหารมาติดต่อกับผู้นำนักศึกษาและผู้นำกลุ่มพลังประชาชนบางคนโดยเสนอว่าถ้ามีรัฐประหารเกิดขึ้นทางเลือกของผู้นำเหล่านี้ก็คือ ( 1 ) ให้ออกไปนอกประเทศก่อนจะไปไหนไปกี่คนจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดตลอดจนอำนวยความสะดวกให้ทุกประการ ( 2 ) ให้อยู่เฉยๆอย่าเคลื่อนไหวต่อสู้แม้แต่อย่างใดเสร็จแล้วจะปูนบำเหน็จให้อย่างงาม หรือ ( 3 ) ถ้าเคลื่อนไหวต่อสู้ก็ต้องถือว่าเป็นศัตรูกันและจะไม่ไว้ชีวิต บรรดาผู้นำเหล่านั้นไม่ต้องเสียเวลาประชุมปรึกษาหารือกันพวกเขาเลือกทางที่ 3 โดยไม่ต้องลังเลใจแต่ประการใด
เมื่อ 12 สิงหาคม 2519 อันเป็นวันครบรอบวันเกิดสิริกิต ข้าราชการและนักการเมืองระดับสูงต่างพากันไปอวยพรอย่างคับคั่งตามธรรมเนียม มีผู้เห็นนายสมัคร สุนทรเวชหมอบแทบเท้าของสิริกิตและได้ยินคำสนทนาว่าสิริกิตบ่นหนักอกหนักใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของบัลลังค์นายสมัครรับอาสาไปดำเนินการให้ สมัครเป็นผู้ที่สนิทสนมราชินีซึ่งมักจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับกษัตริย์อยู่เสมอและเป็นพวกขวาจัดที่สมคบกับประมาณ ชาติชายแห่ง “ ซอยราชครู “
แล้วประภาสก็กลับไทยเป็นครั้งแรกอย่างเปิดเผยเมื่อวันที่ 17 ในเดือนนั้น นักศึกษาและประชาชนชุมนุมประท้วงที่สนามหลวงและธรรมศาสตร์ ถูกกลุ่มอันพาลการเมืองของฝ่ายรัฐบาลยิงและขว้างระเบิดสังหารตายและบาดเจ็บหลายสิบคน ก่อนหน้านี้ถนอมได้เคยลักลอบเข้ามาสองครั้งครั้งแรกเมื่อปลายธันวาคม 2516 และครั้งที่สองก็ช่วงเดียวกันอีกปีหนึ่งถัดมาแต่ถูกพวกนักศึกษาและประชาชนตะเพิดออกไป
แผนรัฐประหารครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งคือเมื่อนักศึกษาและประชาชนเดินขบวนขับไล่อเมริกาในวันที่ 20-21 มีนาคม 2519 คราวนั้นนักศึกษาและประชาชนถูกขว้างระเบิดสังหารที่ศูนย์การค้าสยามสแควตายและบาดเจ็บร่วม 100 คน ศุนย์การค้านี้อยู่ในที่ทรัพย์สินของกษัตริย์มีหุ้นส่วนอยู่ด้วย แผนรัฐประหารไม่สำเร็จเพราะอเมริกาไม่เอาด้วยที่จะกระทำในวันนั้นประการหนึ่งขบวนการนักศึกษาและประชาชนไม่ได้แตกตื่นเหมือนอย่างที่พวกรัฐบาลได้คาดการเอาไว้ หากแต่ได้แสดงออกถึงความมีวินัยและขวัญดีอย่างสุงส่งมีความกล้าหาญและความสามัคคีเป็นอย่างดีพร้อมกันนั้นพวกชนชั้นปกครองยังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่สามารถปรานีปรานอมกันได้
แผนการรัฐประหารครั้งนี้ได้รั่วใหลออกมาจากการรับฟังจากการติดต่อกันด้วยวิทยุคลื่นสั้น ระหว่าง พล รอ. สงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล เอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันต์ ผู้บัญชาการทหารบก พล อากาศเอก กมล เตชะตุงคะผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล ตำรวจเอก ศรีสุข มหินทรเทพ อธิบดีตำรวจ ขณะที่แต่ละคนคอยจ้องโอกาศที่จะสั่งยาตราทัพของตนออกจากที่ตั้ง เมื่อแผนล้มเหลวในวันนั้น พวกเขาตกลงกันว่าจะยอมให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ในวันที่ 4 เมษายน 2519 หลังจากที่รัฐบาลคึกฤทธิ์ยุบสภาเมื่อกลางเดือนมกราคมปีนั้น ทั้งนี้พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก โดยจะยอมให้อยู่ในตำแหน่งสักครึ่งปีเพื่อจะได้มีเวลาสร้างสถาณะการณ์ให้เหมาะสมแก่การรัฐประหารครั้งใหม่อีก
น่าเสียดายที่พลเอกกฤษณ์ด่วนตายไปเสียก่อนด้วยการถูกรอบวางยาพิษขณะเข้าโรงพยาบาลทหารด้วยโรคธรรมดาเมื่อตอนที่ประภาสกลับเข้าไทยครั้งแรกนั่นเอง มีข่าวจากวงการภายในบอกว่ายาพิษนั้นได้ถูกส่งมาจากวังในรูปของข้าวเหนียวมะม่วงพระราชทานให้แก่กฤษณ์เป็นการส่วนตัว ความจริงแล้วถ้ากฤษณ์ไม่ตายพวกผู้บัญชาการทหารเหล่านั้นจะไม่มีความยุ่งยากในการทำรัฐประหารเลย นายพลคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าที่จริงกฤษณ์ตอ้งการใช้ห้องในโรงพยาบาลนั้นเป็นที่ประชุมสำหรับนายทหารที่ไว้ใจได้ แต่ถูกนายพล ยศ เทพหัสดินทร อัศวินคนหนึ่งของกฤษณ์หักหลังเอา ทั้งๆที่กฤษณ์ได้อุปถัมอย่างดีที่สุด ยศคงจะเอาแผนการรัฐประหารของกฤษณ์ไปบอกกษัตริย์ กฤษณ์จึงได้รับข้าวเหนียวมะม่วงเคลือบยาพิษพระราชทานจากทางวังเป็นการตอบแทนเพราะกฤษณ์มีแนวความคิดที่ไม่ต้องการให้กษัตริย์เข้ามามีอิทธิพลแทรกแซงในกองทัพ
แผนการณ์รัฐประหารหลายครั้งได้ล้มเหลวลงแล้วก็ตามแต่ความพยายามใหม่อีกครั้งประสบผลสำเร็จนั่นคือ การนำเอาถนอมเข้ามาในเสื้อคลุมของพระและเอาเข้าไปไว้ในวัดของครอบครัวกษัตริย์ในกรุงเทพ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2519 นักศึกษาและประชาชนยังไม่ทำการชุมนุมใหญ่ เพียงแต่ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลสอบสวนถนอม ขณะที่รอคอยคำตอบกษัตริย์และราชินีทำทีว่าไม่รู้เรื่องมาแต่ต้นโดยหลบไปชุ่มดูเหตุการณ์
อยู่ภาคใต้ก็ได้รีบกลับเข้ามากรุงเทพและเข้าเยี่ยมถนอมทันทีที่ลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาสยานดอนเมืองสิริกิตได้สั่งให้กลุ่มอันธพาลทางการเมือง ให้ป้องกันวัดจากการถูกลอบทำลายจากฝ่ายตรงข้าม
นักศึกษาและประชาชนก็ยังไม่มีการชุมนุมใหญ่อยู่ดี พวกคิดทำการรัฐประหารรู้สึกผิดหวังกษัตริย์และราชินีจึงสั่งให้เจ้าฟ้าชายจากออสเตรเลียเข้ามาโดยตรงและตรงเข้าเยี่ยมถนอมทันทีนับว่าครอบครัวกษัตริย์ได้แสดงบทบาทอย่างโจ่งแจ้งในการทำรัฐประหารครั้งนี้ โอกาสอันเหมาะสมที่สุดได้เกิดขึ้น เมื่อนักศึกษากลุ่มหนึ่งได้จัดแสดงละครเรียนแบบการแขวนคอประชาชน 2 คนที่ออกติดโปสเตอร์ต่อต้านถนอม วัตถุประสงค์ก็เพื่อปลุกเร้าใจผู้ดูให้เห็นความทารุณป่าเถื่อนของตำรวจ แต่พวกฉวยโอกาสได้ตกแต่งฟิล์มที่ถ่ายรูปตัวละครนั้นเสียใหม่ให้เหมือนเจ้าฟ้าชาย แล้วการรัฐประหารโหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยก็เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นักศึกษาและประชาชนถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก
กษัตริย์ภูมิพลเป็นประมุขของรัฐเป็นจอมทัพของทั้งสามเหล่าทัพพวกนายพลนายพันทั้งหลายเหล่านั้น กษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้งเขาขึ้นมาเองทั้งนั้น กษัตริย์มีอำนาจในการสั่งห้ามไม่ให้ทหารเหล่านั้นฆ่าประชาชนมือเปล่าได้ และมีอำนาจสั่งปลดพวกนายพลนายพันเหล่านั้นได้ถ้าเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งแต่กษัตริย์ไม่ทำ กษัตริย์ภูมิพลไม่ได้ทำหน้าที่สมเป็นกษัตริย์ ฉนั้นจึงไม่สมควรที่จะเป็นกษัตริย์ต่อไป แน่นอนนี่จะยังไม่ใช่การรัฐประหารครั้งสุดท้ายของชนชั้นกดขี่ขูดรีด การแก่งแย่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างดุเดือดระหว่างพวกเขา ความเสื่อมทรามของวัฒนธรรมศักดินาและการครอบงำของจักรวรรดิ์นิยมอเมริกาจะทำให้พวกเขาพาดฟันกันเองเพื่อครองความเป็นใหญ่แต่เพียงก๊กเดียวโดยเด็จขาดเป็นครั้งสุดท้าย นายพลคนหนึ่งในคณะปฏิรูปได้ปรารภอย่างอ่อนใจว่า “ พวกคอมมิวนิสต์เห็นทีจะไม่มีโอกาสโค่นสถาบันกษัตริย์ด้วยตัวเองเสียแล้ว พวกปฏิกิริยาขวาจัดนั่นแหละจะจัดการกันเอง
เหตุผลของกษัตริย์
ทำไมกษัตริย์จึงเข้าไปมีบทบาทในการรัฐประหารอยู่เป็นนิจสินแรกๆ ก็อยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆแล้วก็ค่อยโผล่ออกมา จนครั้งสุดท้ายกลายเป็นผู้นำทางรัฐประหารเสียเองอย่างโจ่งแจ้ง แน่ละกษัตริย์ย่อมมีเหตุผลของกษัตริย์เป็นการส่วนตัว บทความนี้จะใช้วิภาษวิธีวัตถุนิยมมองดูพลังผลักดันอยู่เบื้องหลังกษัตริย์ไทยปัจจุบันและจะพิจารณาเพียง 2 ด้านก็คงจะเพียงพอ คือทางด้านเศรษฐกิจและทางด้านวัฒนธรรม
1)ด้านเศรษฐกิจ
ตลอดประวัติศาสตร์ศักดินาไทยตั้งแต่สมัยสุโขไทยจนถึงประมาณกลางศตวรรษที่ 25 กษัตริย์เป็นผู้ผูกขาดการถือครองที่ดิน การค้าระหว่างประเทศและหัตถกรรมที่สำคัญ นอกจากนั้นยังมีทาสและไพร่ไว้ใช้แรงงานโดยไม่จ่ายค่าจ้างอีกด้วย เพียงแต่ให้มีชีวิตอยู่ไปวันๆเพื่อทำงานหนัก เมื่อฐานทางเศรษฐกิจแผ่กว้างไปทั่ว อำนาจทางการเมืองและวัฒนธรรมย่อมครอบงำประชาชนอย่างแน่นหนา ประวัติศาสตร์ไทยในช่วงเวลา
ดังกล่าวจึงเป็นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้แก่งแย่งอำนาจกันเองระหว่างพวกศักดินาด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ การต่อสู้ระหว่างสามัญชนกับศักดินาแทบไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ แน่ละก็พวกศักดินาเขียนขึ้นมาเองจะเขียนอย่างไรก็ได้ ประมาณ 100 ปีมานี้รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงค์จักรีกลายเป็นมหาราชเพราะสามารถรักษาบัลลังค์ของตนไว้ได้จากการล่าเมืองขึ้นของฝรั่งเศสและอังกฤษด้วยการสละที่ดินและประชาชนไปประมาณ 2 ใน 5 ของประเทศทั้งหมด และการประกาศเลิกทาสก็ถือว่ากษัตริย์เป็นนักมนุษย์ธรรมที่เลิดลอยทั้งๆที่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นเพื่อเปลี่ยนรูปแบบการขูดรีดเสียใหม่และเพื่อรักษาบัลลังค์ของตนให้พ้นรัฐประหารโดยพวกอัศวินที่มีทาสมากด้วยกัน
หลังการปฏิวัติประชาธิปไตยศักดินา 2475 แล้ว อำนาจอิทธิพลทางเศรษฐกิจของกษัตริย์ได้ลดลงไปแม้จะยังคงอยู่ในระดับเหนือคนอื่นก็ตามทั้งนี้เมื่อเทียบกับชนชั้นปกครอง ชนชั้นอื่นๆทีมีโอกาสเงยหัวขึ้นมาเช่น นายทุนขุนศึก นายทุนกฎุมภี นายทุนนายหน้า นายทุนธนาคาร นายทุนอุตสาหกรรม และนายทุน ต่างชาติ เป็นต้น นายทุนเหล่านี้รวมทั้งนายทุนศักดินาต่างแก่งแย่งแข่งขันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกันอย่างดุเดือด
ยิ่งเวลาผ่านมาครอบครัวกษัตริย์ต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์เช่นเดียวกับพวกซากเดนศักดินาทั้งหลาย มีการลงทุนโดยตรงและถือหุ้นในวิสาหกิจต่างๆ เช่น ธนาคาร อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และคมนาคม เป็นต้น ด้านธนาคารมีการถือหุ้นในธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นธนาคารแห่งแรกของไทย ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ ซึ่งมีคึกฤทธิ์อดีดนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นประธาน และธนาคารอื่นๆที่อยู่ภายใต้พระบรมราชานุญาตุโดยได้หุ้นลมจำนวนหนึ่งตอบแทน ด้านอุตสาหกรรมมีหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทปูนชิเมนต์ไทย บริษัทบุญรอดเบียร์ บริษัทยางไฟร์สโตน การค้าต่างประเทศก็มีอภิสิทธิ์ในโควต้าส่งออก เช่น ข้าว ข้าวโพดน้ำตาล ตามศูนย์การค้าในกรุงเทพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ดินของศักดินาเองนอกจากค่าเช่าที่ดินเงินกินเปล่าแล้วยังมีหุ้นนอนอีกด้วย เช่น สยามสแคว ราชประสงค์ วังบูรพา เยาวราช และราชวงค์ ค่าเช่าจากที่นากว่า ร้อยละ 50 ของนาทั้งหมดในจังหวัดใกล้เคียงกรุงเทพและอีกมากมายในจังหวัดต่างๆทุกภาค ตลอดจนร่วมตั้งสายการบินอิทธิพล “ แอร์สยาม” ภายใต้ชื่อของคนอื่น
เฉพาะภาษีเงินได้ส่วนบุคคลของกษัตริย์ในเวลานั้นไม่ต่ำกว่าปีละ 100 ล้านบาท
ในช่วงประชาธิปไตยกระฎุมภี 3 ปี ( 2516-2519 ) นั้น กรรมกรหยุดงานชุมนุมเรียกร้องค่าจ้างและสวัสดิการเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ ชาวนาชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลจัดสรรที่นาใหม่ลดค่าเช่าลง สงเคราะห์ปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืช จัดสินเชื่อในเงื่อนไขที่ไม่รัดตัวเกินไป ผู้เช่าตึกแถวของศักดินาในย่านการค้าต่อต้านการขึ้นเงินกินเปล่าและให้ยึดสัญาเช่า หลายอย่างเหล่านี้ทำให้ผลประโยชน์ของศักดินาสั่นสะเทือนอย่างแรง
สมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์ ( 2518 ) นั้น ชาวนาได้ถูกฆ่าหลายสิบคนเพื่อผ่อนคลายความตึงเคลียดทางการเมืองคึกฤทธิ์ได้ใช้เหตุผลนี้แนะให้กษัตริย์ขายที่ดินให้รัฐบาลเพื่อเอาไปปฏิรูปประมาณ 50,000 ไร่โดยหวังว่าพวกนายพลและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีที่ดินมากมายจะยอมทำตาม แต่ก็หามีใครยอมแม้แต่คนเดียวไม่ เรื่องนี้สร้างความขุ่นเคืองให้แก่กษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะได้อนุมัติขายที่ดินจำนวนนั้นไปในราคาต่ำกว่าตลาดเล็กน้อย กษัตริย์กล่าวหาว่าคึกฤทธิ์หลอกลวง นี่เป็นเหตุหนึ่งที่คึกฤทธิ์ต้องยุบสภาในเวลานั้น ต่อมาไม่นานขณะที่รักษาการอยู่ก็ถูกตำรวจบุกเข้าทำลายบ้านและทรัพย์สินคึกฤทธิ์พูดไม่ออก
2) ด้านวัฒนธรรม
กษัตริย์ไทยก็คล้ายกับกษัตริย์ทุกแห่งในโลกสมัยกลางไปทางโน้นได้สร้างวัฒนธรรมศักดินาครอบงำประชาชนทั่วไปให้หลงผิดว่าตนจุติมาจากเทวดาชั้นสูงเหนือฟากฟ้าเป็นผู้วิเศษเหนือมนุษย์ สรรหาภาษาประหลาดที่สามัญชนไม่รู้เรื่องมาพูด สร้างที่อยู่อาศัยวิจิตรพิศดารหรูหราใหญ่โต ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยมีบริวารขี้ประจบแห่แหน ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมอมเมาประชาชน สร้างเทพนิยายสรรเสริญบารมีของตนให้พระเทศน์
เช่นเวสสันดรชาดก ที่ให้ประชาชนอ่านและเล่นละคร เช่นรามเกียร์ล้วนแต่ขโมยมาจากวรรณกรรมเพ้อฝันดึกดำบรรพ์ของอินเดีย
การศึกษาระยะแรกก็จำกัดกันเฉพาะวงในศักดินาและพระชั้นสูงเท่านั้นต่อมาได้ขยายถึงลูกหลานของบริวารใกล้ชิดและวางใจได้ การผลิตคนออกมาก็แน่ละเพื่อรับใช้ค้ำจุนบัลลังค์กษัตริย์ ร. 5 ได้รับการศึกษาจากสตรีหม้ายชาวอังกฤษที่บิดาของเขา ร. 4 จ้างมา โรงเรียนมหาดเล็กหลวงตามชื่อก็บอกแล้วว่าเฉพาะมหาดเล็กหลวง โรงเรียนวังสวนกุหลาบ โรงเรียนราชินี และจุลาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในสมัยนั้นก็ทำนองเดียวกัน มีการแข่งขันเข้าเรียนเฉพาะผู้ที่ไว้ใจได้
หลังการปฏิวัติประชาธิปไตยศักดินา เมื่อ 2475 แล้ว การศึกษาอย่างเป็นระบบได้เปิดกว้างมากขึ้นเป็นลำดับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองได้ตั้งขึ้น เมื่อ 2476 โดย นายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคนสำคัญในการปฏิวัติ และเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแก่สามัญชนที่อ่านออกเขียนได้ การศึกษาภาคบังคับได้ขยายอย่างรวดเร็ว ยิ่งในระยะ 20 ปีมานี้ โรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและของเอกชนได้เพิ่มขึ้นมากมาย แม้จะยังไม่ทั่วถึง และยังมีการมอมเมาในรูปแบบต่างๆของเนื้อหาในหลักสูตรอยู่มากก็ตามถึงกระนั้นมนต์ขลังของวัฒธรรมศักดินาก็เสื่อมลงไปในวงการศึกษาพระราชพิธีต่างๆกลายเป็นเพียงงานรื่นเริงประจำปีการฟังเทศน์นิยายปรำปราก็คงเหลืออยู่แต่ผู้เฒ่าผู้แก่เท่านั้นยิ่งหลังการปฏิวัติประชาธิปไตยกระฎุมภีเมื่อตุลาคม 2516 มาแล้วโอกาสสำหรับการศึกษาแสวงหาสัจธรรมแห่งชีวิตและสังคมมีอย่างกว้างขวางที่สุดในประวัติศาสตร์การศึกษาของไทย การศึกษานอกระบบเป็นไปอย่างแพร่หลายมีการรวมกลุ่มศึกษาในบรรดานักเรียนนักศึกษา กรรมกร ชาวนา ปัญญาชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปทุกหนทุกแห่ง หนังสือ บทความข้อเขียนประเภทก้าวหน้ามีวางขายดาษดื่นทั่วประเทศคู่กับวรรณกรรมอนุรักษ์นิยมและปฏิกิริยาทั้งหลาย การอภิปลายและการชุมนุมประท้วงของนักศึกษา การนัดหยุดงานประท้วงของกรรมกร ตลอดจนการชุมนุมเรียกร้องของชาวนาและประชาชนทั่วไป การเปิดโรงเรียนการเมืองที่ได้ผลมาก มีการเปิดโปงการกดขี่ขูดรีด การฉ้อราษฎร์บังหลวงและสมคบกับจักวรรดิ์นิยมอเริกาของชนชั้นปกครองไทย มีการกระเทาะเปือกวัฒนธรรมมอมเมาของศักดินา มีการสร้างศิลปและดนตรีเพื่อชีวิตและเพื่อประชาชนที่ถูกกดขี่ขูดรีดทั้งหลายนักเรียนนักศึกษาก้าวหน้าออกไปใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับชาวชนบท ชาวเขา ชาวสลัม กรรมกรและผู้ยากไร้ทั้งปวง เพื่อเรียนรู้ความเป็นอยู่อย่างแท้จริงของชีวิตและชุมชนนั้นๆ แทนที่จะใช้เวลาทั้งหมดหมกมุ่นอยู่ในห้องเรียน ฟังอาจารย์อ่านตำราตะวันตกที่ตนงมงาย ท่องจำทฤษฎีเพ้อฝันโดยปราศจากการวิเคราะห์และประยุกต์เข้ากับสังคมไทย เพียงเพื่อที่ตนจะได้คะแนนดีและจบไปอย่างรวดเร็ว จะได้ออกไปกดขี่ขูดรีดประชาชนผู้เสียเปรียบในสังคมโดยปราศจากความสำนึก
สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ชนชั้นปกครองตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะพวกศักดินารู้สึกว่าวัฒธรรมมอมเมาของตนได้ถูกเปลือยกายอย่างล่อนจ้อนแล้ว กษัตริย์และครอบครัวต้องออกจากวังอันโอ่อ่าเข้าหาประชาชนตามชนบทอย่างกว้างขวาง เพื่อบูรณะวัฒณะธรรมศักดินาของตนให้มั่นคงเอาไว้และดึงเอาชาวชนบทที่ยังขาดการศึกษาให้กลับเข้ามาอยู่ในแวดวงการครอบงำอย่างเดิม กษัตริย์ได้ลงทุนไปด้วยทรัพย์สินของตนมากมายในการตั้งสหกรณ์ทุนนิยมให้แก่ชาวนาและชาวเขาส่วนหนึ่งจำนวนน้อยนิดเมื่อเทียบกับส่วนที่เหลือทั้งหมดแต่แทนที่จะเป็นผลดีต่อกษัตริย์ พวกที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือกลับมองเห็นการเลือกที่รักมักที่ชังของกษัตริย์ทำให้ชาวนาและชาวเขาเกิดความหมางใจกันเอง
กษัตริย์ได้มอบหมายให้นายตำรวจตระเวณชายแดนคนหนึ่งจัดตั้งลูกเสือชาวบ้านขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อต้นสิงหาคม 2514 พอเห็นว่าคงไม่ล้มเหลวก็ประกาศตัวออกมาเป็นผู้อุปถัมภ์เมื่อกลางเดือนกันยายน 2515
แล้วบงการให้กระทรวงมหาดไทยบังคับผู้ว่าการจังหวัด นายอำเภอตลอดจนข้าราชการอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้เกณท์ชาวบ้านมาเป็นลูกเสือทั่วประเทศ
การอบรมลูกเสือชาวบ้านก็แสนพิลึกพิลั่น มีการมอมเมาด้วยอิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์อย่างถึงที่สุด เช่นราชินีสิริกิตฝันเห็นวิญญาญของกษัตริย์นเรศวรซึ่งตาย 300 มาแล้วปรากฏต่อหน้าและบอกนางว่ากษัตริย์ภูมิพลแต่ผู้เดียวเท่านั้นที่จะพาประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤติการณ์ทั้งหลายทั้งปวงไปได้และทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีสุขสบายทั่วหน้า เมื่อนางตื่นขึ้นมาก็ปลุกสามีลุกขึ้นดู ก็ยังคงเห็นวิญญาญนั้นปรากฏอยู่ แถมยังพูดกับทั้งสองคนนั้นว่า จะช่วยเหลือทุกวิถีทางให้บัลลังค์อยู่รอดตลอดไป ฉนั้นจึงขอให้ลูกเสือชาวบ้านทุกคนเสียสละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อให้ความฝันนี้เป็นจริง กษัตริย์ภูมิพลได้แต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่งชื่อ “ ความฝันอันสูงสุด “ และให้ลูกเสือชาวบ้านร้องประจำกันลืมความฝันนั้น เนื้อเพลงบรรยายถึงความทุกข์ร้อนและความหวาดกลัวอย่างแสนสาหัสของตนที่ได้ทำอะไรบางอย่างผิดพลาดไป จนถูกหัวเราะเยาะเย้ยไปทั่วและจะขอต่อสู้กับชะตากรรมนั้นจนตัวตาย
กษัตริย์ภูมิพลได้ทำอะไรผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงหรือ ? จึงจะต่อสู้จนตัวตายเพื่อปกปิดเอาไว้
เมื่อ 30 ปีมาแล้วเช้าตรู่วันหนึ่งของเดือนมิถุนายน 2489 กระสุนนัดหนึ่งระเบิดดังกล้องขึ้นในวังและเจาะหน้าผากทลุท้ายทอยของยุวกษัตริย์อานันท์ตายในห้องนอนของเขาเอง ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดและรู้เหตุการณ์ได้ดีขณะนั้นมีเพียง 2 คนคือแม่กับน้องชายของผู้ตาย
สังวาลย์เป็นสามัญชนและเป็นนางพยาบาลที่ปรนนิบัติกรมหลวงสงขลานครินทร์จนได้แต่งงานกัน กัลยานีเป็นลูกสาวคนโต เคยแต่งงานกับสามัญชนแล้วหย่ากันเมื่อมีลูกสาวคนหนึ่งปัจจุบันไม่ทราบว่าอยู่กินกับใครแน่ อานันท์เป็นลูกคนกลาง ลูกชายคนสุดทอ้งคือภูมิพล กรมหลวงสงขลาตายขณะที่ลูกอยู่ในวัยรุ่นและสังวาลย์มีอายุกว่า 30 ปีเล็กน้อย
หลังมรณกรรมของสามี สังวาลย์ไปอังกฤษและสวิสเซอร์แลนด์บ่อยเพราะมีเพื่อนชายสนิทมากประเทศละคน จนเป็นที่กล่าวขวัญของคนไทยที่นั่นสมัยนั้นว่าสังวาลย์มีความสำพันธ์ทางเพศกับบุคคลทั้งสอง ก็ไม่น่าแปลกอะไรสังวาลย์ยังไม่แก่เกินวัยสำหรับกิจกรรมทางเพศและสามีตายไปหลายปีแล้ว
อานันท์ได้เป็นกษัตริย์ต่อจาก ร. 7 ซึ่งสละบัลลังค์เมื่อมีการปฏิวัติประชาธิปไตยศักดินา 2475 แต่เนื่องจากยังไม่บรรลุนิติภาวะในสมัยนั้น นายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคนสำคัญในการปฏิวัติจึงเป็นผู้สำเร็จราชการแทน อานันท์เคารพนับถือและสนิทสนมกับปรีดีมาก ยุวกษัตริย์เป็นคนเฉลียวฉลาดกว่าใครในบรรดาพี่น้อง จึงเชื่อได้ว่าความคิดก้าวหน้าของปรีดีสมัยนั้นมีอิทธิพลต่ออานันท์มากทีเดียว
แน่ละพวกศักดินาระดับสูงย่อมไม่พอใจอย่างน้อยด้วยเหตุผล 2 ประการ คือการแก่งแย่งบัลลังค์ระหว่างลูกหลานของ ร. 5 ด้วยกันประการหนึ่ง และการที่ปรีดีผู้โค่นอำนาจเด็ดขาดของกษัตริย์มามีอิทธิพลเหนือยุวกษัตริย์อีกประการหนึ่ง กษัตริย์อานันท์เองคงรู้พฤติกรรมทางเพศของแม่และไม่พอใจอย่างยิ่งมีการทะเลาะกันอย่างรุณแรงระหว่างแม่ลูกคู่นี้อยู่เสมอในเรื่องนี้
ขณะนั้นภูมิพลยังเด็กและเป็นคนหัวอ่อนขี้ประจบและอยู่ในโอวาทของแม่ ชอบเข้าข้างแม่เสมอเมื่อแม่ทะเลาะกับพี่ชาย ก่อนที่กระสุนมรณะนัดนั้นจะระเบิดขึ้น มีเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงระหว่างสังวาลย์กับอานันท์อีกและเป็นการทะเลาะกันครั้งสุดท้ายของแม่ลูกคู่นี้
หลังจากเสียงปืนเงียบไม่นาน ปรีดีต้องลี้ภัยการเมือง ตั้งแต่ 2491 เป็นต้นมาจนบัดนี้ ราชองครักษ์ 3 คนเป็นแพะรับบาปถูกศาลตัดสินประหารชีวิต ก่อนหน้าถูกประหารไม่กี่นาทีคนหนึ่งในนั้นได้ขอพบนายพลตำรวจเผ่าอธิบดีกรมตำรวจสมัยนั้น เป็นที่รู้กันว่าครอบครัวกษัตริย์ปัจจุบันได้อุปถัมภ์ครอบครัวของแพะรับบาปทั้งสามเป็นอย่างดีตลอดมา ทำไม ?
ความลับที่ครอบครัวกษัตริย์ปัจจุบันคิดว่าเป็นความลับสุดยอดนั้นได้รั่วไหลอย่างลับๆมานานแล้วและแผ่กว้างไปทั่ว สักวันหนึ่งมันจะต้องถูกเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งต่อสาธารณะชน กษัตริย์ภูมิพลจะยอมได้ละหรือ?
คำตอบของภูมิพลมีแล้วอย่างชัดแจ้ง เขาเข้าร่วมรัฐประหารที่สำคัญทุกครั้ง เข้าร่วมต่อสู้แข่งขันทางเศรษฐกิจกับทุกฝ่ายและเอาหลังพิงจักรวรรดิ์นิยมอเมริกามาตลอด พยายามหมุนกงล้อประวัติศาสตร์ของมนูษย์กลับคืน รื้อฟื้นวัฒนธรรมศักดินามามอมเมาประชาชน
ในแง่ของประวัติศาสตร์เขากำลังหายใจเฮือกสุดท้าย
อนาคตของราชวงค์จักรี
กษัตริย์ต้นราชวงค์จักรีได้ขึ้นบัลลังค์ดว้ยการฆ่าตากสินมหาราช ผู้กอบกู้เอกราชจากพะม่าแล้วสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ ตากสินมาจากสามัญชนเชื้อจีน
ก่อน ร 1 จะวางศิลาเลิกสร้างกรุงเทพได้ให้โหราจารย์หาฤกษ์ให้ โหรบอก 2 ฤกษ์ กษัตริย์เลือกเอาระหว่างความอยู่เย็นเป็นสุขของราษฎร แต่ราชวงค์จะสิ้นสุดภายไม่กี่องค์ หรือความยืนยาวของราชวงค์ถึง 9 กษัตริย์ แต่ราษฎรจะทุกข์ยากลำเค็ญ ร. 1 เลือกเอาประการหลัง
บัดนี้ก็ถึง ร. 9 ตามคำทำนายแล้ว
ดังที่ทราบกันดีในแง่ของปรัชญานั้น ชนชั้นกดขี่ขูดรีดเป็นพวกจิตนิยมอัตวิสัย ยิ่งพวกศักดินาด้วยแล้วก็ยิ่งสูงจัด พวกนี้เชื่อโชคเชื่อลางทำตามคำทำนายของหมอดูที่ตนเชื่อถือและมีหมอดูจำนวนหนึ่งหากินอยู่กับพวกนี้จนมั่งคั่งร่ำรวยในจำนวนนี้มีพระระดับสูงอยู่ด้วย
ก่อนที่จะชักนำเอาประภาสเข้ามา เมื่อ 17 สิงหาคม 2519 ครอบครัวกษัติย์ได้ไปให้พระหมอดูทำนายอนาคต พระบอกว่าถ้าจะให้มี ร. 10 ต่อไปแล้วกษัตริย์ต้องทำการอย่างใดอย่างหนึ่งทางการเมืองภายในเดือนสิงหาคมเป็นการเริ่มต้น หลังจากนั้นต้องฆ่าประชาชนทิ้งสัก 30,000 คน นั่นแหละจึงจะสัมฤทธิ์ผลเดือนที่มีโอกาสเหมาะทีสุดคือเดือน กันยายน-ตุลาคม ทั้งนี้ต้องมีขุนศึกรับอาสาจัดการให้
แล้วกษัตริย์ก็สมคบกับนายพลกลุ่มหนึ่งดำเนินไปตามนั้น
จากเหตุผลทางเศรษฐกิจ ทางวัฒนธรรมและคดีฆาตรกรรมพี่ชายทำให้กษัตริย์ภูมิพลจำต้องต่อสู้เพื่อรักษาบัลลังค์ของตนเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้ลูกชายที่ไม่ฉลาดนักได้ขึ้นนั่งบัลลังค์สืบต่อไป แม้การสมรสของลูกชายกับญาติใกล้ชิดที่ฉลาดพอกันหรือน้อยกว่านั้นก็ทำไปตามคำทำนายของหมอดูที่ว่า ต้องจัดการกับประชาชนที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคมให้สำเร็จเสียก่อน
การรัฐประหารโหดเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 นั้น ในทรรศนะของชนชั้นกดขี่ขูดรีดเช่นพวกศักดินาถือวได้กำจัดประชาชนผู้รักความเป็นธรรมได้แล้ว อนิจา เป็นการมองด้วยสายตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวจริงๆ
กษัตริย์ภูมิพลไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลืออยู่อีกเลย นอกจากจะสู้ตายคาบัลลังค์เท่านั้น เขาได้ให้สัตยาบันนี้ไว้แล้วในบทเพลงที่แต่งขึ้นชื่อ “ เราสู้ “ ดังนี้
บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านปกเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อไม่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้พสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิให้ผู้ใดมาทำลาย
ถึงจะขู่ฆ่าล้างโคตร์ก็มิหวั่น จะสู้กันไม่หลบหนีหาย
สู้ที่นี่ สู้ตรงนี้ สู้จนตาย ถึงเป็นคนสุดท้ายก็ลองดู
บ้านเมืองของเราเราต้องรักษา อยากทำลายเชิญมาเราสู้
เกียรติศักดิ์ของเราเราเชิดชู เราสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียว
จะมีเรื่องอะไรอีกไหมที่น่าสลดใจไปกว่านี้ คือการที่กษัตริย์ทุกคน ( แน่ละชนชั้นปกครองทุกชนชั้นด้วย ) ได้มีชีวิตอยู่อย่างหรูหรา โอ่อ่า ฟุ่มเฟือยมาจนบัดนี้ก็เพราะหยาดเหงื่อแรงงานและชีวิตเลือดเนื้อของประชาชนแท้ๆที่ได้สร้างสรรทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา แต่ในสังคมที่มีการกดขี่ขูดรีดกันอย่างหนักเช่นสังคมไทยนี้ ลูกหลาน เหลน โหลนของประชาชนกลับมีชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้นแสนสาหัสยิ่งขึ้นทุกที เมื่อเทียบกับลูกหลานของชนชั้นปกครอง แล้วการที่กษัตริย์ประกาศต่อสู้กับประชาชนผู้ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เลี้ยงดูกษัตริย์มาหลายชั่วโคตร์นั้น จะให้หมายความว่าอย่างไร นี่คือธาตุแท้ของกษัตริย์ฆาตกร
ประเทศต่างๆในโลกสมัยโบราณล้วนแต่เคยมีกษัตริย์ปกครองมาด้วยกันทั้งสิ้น บัดนี้ยังหลงเหลือกันอยู่ไม่กี่ประเทศ ดูเอาเถอะ บาบิโลน เมโสโปเตเมีย โรม กรีช อินเดีย อินโดเนเซีย ฟิลลิปปินส์ แน่ละ รัสเซีย จีนพะม่า เวียตนาม เขมร ลาว เป็นอาทิ ปัจจุบัน ราชินีอังกฤษ กษัตริย์ สวีเด็น จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นเขาอยู่กันอย่างไร ที่ยังคงอยู่ได้ก็เพราะพวกเขายอมไปตามกงล้อประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติแต่โดยดีแม้แต่อาร์คิมีดิส นักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดปราชญ์เปรื่อง ยังไม่สามารถหาที่ยืนนอกโลกเพื่องัดโลกให้เป็นไปตามความประสงค์ได้ กษัตริย์ภูมิพลซึ่งสืบพันธ์มาจากภายในแวดวงศักดินาหลายชั่วคนมาแล้วนั้นจะเป็นอาร์คิมีดิสคนที่สองที่ประสบความสำเร็จกระนั้นหรือ
วิญญาณนเรศวรที่ตายด้วยไข้ฝีดาษไป 300 ปี แล้วนั้น ยังจะกระฉับกระเฉงเข้มแข็งและกล้าหาญเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตเป็นหนุ่มขี่ช้างตกมันออกไปรบกับพะม่าตัวต่อตัว แล้วฆ่าแม่ทัพพะม่าตามประวัติศาสตร์ที่พวกศักดินาเขียนขึ้นเองได้ละหรือ แล้ววิญญาณวีรชน 14 ตุลาคม 2516 และที่เพิ่งสดๆร้อนๆมาเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 ตั้งหลายร้อยคนนั้นเล่าพวกเขาได้พลีชีพเพื่อเอกราชของชาติจากแอกของจักรวรรดิ์นิยมอเมริกา เพื่อประชาธิปไตยของประชาชน และเพื่อความเป็นธรรมของสังคมอย่างแท้จริงพวกเขาตายในสนามรบเมื่อยังเป็นหนุ่มสาวที่เข้มแข็งและกล้าหาญยิ่ง วิญญาณของพวกเขาไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น และไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องเสกสรรปั้นแต่งเรื่องไร้สติเช่นนั้น เพราะวิญญาณแห่งการต่อสู้ของนักศึกษาและประชาชนที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละที่เข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนของเขาถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา การยกเอาวิญญาณนเรศวรขึ้นมาอ้างสะท้อนให้เห็นความรู้สึกโดดเดี่ยวของกษัตริย์ในการต่อสู้และดูถูกเหยียดหยามแม่ทัพนายกองทั้งหลายว่า ติดตามตนไม่ทัน ไม่เอาการเอางาน ดีแต่คอยหวังแก่งแย่งแข่งขันกอบโกยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและทางการเมือง คือคอยเป็นหอกข้างแคร่ของบัลลังค์กษัตริย์นั้นเอง เป็นความรู้สึกที่ถูกต้องแล้ว
มาเถิดกษัตริย์ภูมิพล ท่านจะมัวขี่ช้างอยู่ใต้ต้นไม้ใบหนาท่ามกลางแม่ทัพนายกองอยู่ใยเล่า ไหนว่าจะสู้ไม่หลบหนี ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว แล้วทำไมต้องรอเป็นคนสุดท้ายด้วยเล่า จงขับช้างนำหน้าออกมาเถิด ท่านไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลืออยู่อีกแล้ว ประวัติศาสตร์ของประชาชนจะจารึกชื่อของท่านไว้ให้ลูกหลานเหลนโหลนของเขาได้ศึกษากันในเวลาอันใกล้นี้แล้ว.
ญาติของ “ วีรชนตุลาคม “
Upplagd av Thai Democratic Movement in Scandinavia kl. 13:30
Skicka med e-postBlogThis!Dela på TwitterDela på Facebook