Monday, February 20, 2012

ไม่มีเขาอยู่ในใจแล้ว

ไม่มีเขาอยู่ในใจแล้ว
โดย เอนก ซานฟราน
เป็นที่ทราบกันดีว่าขณะนี้ ในหลวงทรงพระประชวร และประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นเวลานานกว่าหนึ่งเดือนนั้น ประชาชนชาวไทยได้พากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นาๆ ประชาชนทั้งประเทศ มีทั้งรู้สึกเป็นห่วง และก็มีทั้งรู้สึกดีใจเพื่อรอฟังข่าวดีหากเมื่อถึงเวลาเสด็จสวรรค์คต ที่คนเราทุกคนไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความตายไปได้ตามหลักของธรรมชาติ ถึงแม้ว่าประชาชนส่วนหนึ่งจะอุปโลกให้ในหลวงเป็นถึงเทวดาแล้วก็ตาม สำหรับตัวผมมีความรู้สึกมานานกว่าหกปีแล้วว่า ไม่มีในหลวงอยู่ในหัวใจของผมแล้ว จากความรู้สึกผม นับตั้งแต่ท่าน ยอมรับการกระทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 สิ่งที่พระองค์ทรงยอมรับในการปฎิวัตินั้น เท่ากับว่าพระองค์คือคนที่ทำลายรัฐธรรมนูญเอง อย่าไปโทษพลเอกเปรมฯ หรืออย่าไปโทษทหารที่เข้ามาปฎิวัติเลย พระองค์เท่านั้นที่มีพระราชอำนาจทุกอย่างเหนือกว่ากฎหมาย เหนือกว่าความรู้สึกประชาชน ซึ่งพระองค์ก็ไม่คิดเกรงใจประชาชนทั้งประเทศที่เป็นเจ้าของประเทศ และเจ้าของอำนาจในระบอบประชาธิปไตยเลย และพระองค์ก็มีอำนาจเหนือกว่าอำนาจทุกอำนาจในประเทศไทย และย่อมควรแยกแยะออกว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งที่ดีมากกว่า สิ่งที่ดีน้อยกว่า หรือสิ่งที่เสีย มากกว่าสิ่งที่ดี เพราะฉนั้นการ ที่ในหลวงทรงยอมรับการปฎิวัตินั้น พระองค์ก็คือคนที่ทรยศต่อประชาชน และทรยศในระบอบประชาธิปไตย ร่วมกับคณะทหารที่ปล้นอำนาจจากประชาชน จนทำให้การปกครองในประเทศเสียหายล้มลุกคลุกคลาน ประชาชนแตกแยก เพราะหลงเชื่อในสิ่งที่ผิด ที่ถูกฝ่ายที่มีอำนาจปลูกฝั่ง ปลุกปั่น ครอบงำให้ประชาชนหลงเชื่อในสิ่งที่ผิดไปจากความเป็นจริง หรือหลงเชื่อในสิ่งที่ขัดต่อความเป็นหลักสากลที่คนในโลกเขาไม่คิด และเชื่อถือกัน การมอมเมาหลอกลวงสร้างภาพให้ประชาชน และคนในประเทศให้มีหน้าที่เคารพบูชาตัวเองเพียงอย่างเดียวนั้น เท่ากับเป็นการเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ในฐานะที่เราก็เกิดมาเป็นคนเหมือนกัน แต่การทำลายกติกาหรือ การทำลายระบอบการปกครองนั้น เปรียบเสมือนในหลวงใช้อำนาจในทางมิชอบด้วยประการทั้งปวง เพราะประชาชนเสียหาย และได้รับความเดือดร้อนในการกระทำของพระองค์ที่ยอมรับการกระทำรัฐประหาร เมื่อปรากฎว่าพระองค์คือบุคลที่เป็นคนที่ทำลายระบอบประชาธิปไตยเสียเอง ผมจึงไม่ให้อภัยในพฤติกรรมของพระองค์ ความรู้สึกที่ดีที่เคยมีมาตั้งแต่แต่จำความได้ว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่พร่ำสอนให้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือ ต่อองค์ในหลวงนั้น มันมีความรู้สึกที่เจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจเป็นอย่างยิ่ง ที่หลงเทิดทูนพระองค์มาทั้งชีวิตเพราะคิดว่าเขาคือเทวดาที่ปกปักษ์รักษาประชาชน เขาคือคนที่เมื่อเราเคารพเทิดทูนเขาแล้ว เราจะมีความสุขความเจริญ และอยู่ดีกินดี ซึ่งที่จริงทั้งชีวิตที่รอคอยมาก็ไม่เห็นเคยปรากฎสิ่งดีๆ ในชีวิตเลย

ตรงกันข้ามนับวันชีวิตคนไทยในประเทศ มีแต่วันล่มจมลง ข้าวยากหมากแพง ทำงานมีแต่แค่หาเช้ากินค่ำ ชักหน้าไม่ถึงหลัง สังคมคนไทยแตกแยก คนในครอบครัวเดียวกันแต่มีความคิดเห็นต่างกัน บางคนเลิกคุยกันเลยก็มี นี่หรือผลลัพท์ ที่เราคนไทยทั้งประเทศ ได้มอบความรัก และเทิดทูนต่อในหลวงอย่างนั้นหรือ? ภาพดีๆ ทั้งหลายที่เผยแพร่ตามสื่อต่างๆ นับสิบๆ ปี นั้นมันคือภาพลวงตาที่ประชาชนถูกมอมเมามาโดยตลอด พระราชกรณีกิจต่างๆ ของพระองค์ ที่เราเห็นตามสื่อต่างๆ นั้น แท้ที่จริงแล้ว ท่านไม่ได้ทำไปเพราะความห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ด้วยใจจริง แต่ที่ทำไปนั้น ก็เพียงเพื่อทำให้เห็นว่าพระมหากษัตริย์ยังมีความห่วงใยประชาชน มากกว่ารัฐบาล จึงเกิดการมีอคติที่ประชาชนทั้งประเทศ มองนักการเมืองเป็นเพียงนักฉกฉวยเท่านั้น และไม่เคยดูแลทุกข์สุขของประชาชนเหมือนกับในหลวง ความศรัทธาทั้งหลายกับตกไปอยู่ที่พระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่นักการเมืองคือตัวแทนประชาชน ในการดูแลทุกข์สุข และมีหน้าที่บริหารประเทศ การแก่งแย่งความดีความชอบตรงนี้ จึงทำให้ประชาชนทั้งประเทศหลงไหลในตัวในหลวง และลืมความเป็นประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง โดยกลับไปนิยมลัทธิกษัตริย์ และลืมคำว่าประชาธิปไตย การที่ประชาชนออกไปลงคะแนนเลือกตั้งให้นักการเมืองนั้นเป็นเพียงประเพณีในระบบที่ต้องปฎิบัติอย่างต่อเนื่อง เพียงเพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่นานาชาติต้อง ยอมรับ และให้เกียรติตามหลักสากล ซึ่งเนื้อแท้ของความเป็นจริงนั้นเต็มไปด้วยการสร้างภาพ การสร้างหลักความงมงายต่างๆ ที่มอมเมาประชาชน และเอาเปรียบประชาชน เต็มไปด้วยความเป็นเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ โดยการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องตัวเองทุกคนที่เทิดทูน และมีหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์โดยสารพัดนานาประโยชน์ทั้งหลาย ที่สามารถนำไปอ้างอิงหรืออวดอ้างเพื่อเป็นหลักประกันในการเอาเปรียบผู้อื่นที่ไม่มีโอกาส อาทิเช่น เครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งหลาย สายสะพาย ยศฐาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งคุณหญิง ท่านผู้หญิง จนเป็นที่คลั่งไคล้ ของคนทุกวงการ ที่ลามไปถึงพระสงฆ์องค์เจ้า ที่อวดอ้างตำแหน่งที่ได้รับจากในหลวง ที่มีตำแหน่งเป็นเจ้าคุณทั้งหลาย เพื่อเอาไปข่มขู่อวดอ้างบารมีกับพระสงฆ์ที่มีพรรษา ที่บวชมามากกว่า และมีวิริยะอุสาหะมากกว่าตัวเอง ซึ่งตรงนี้เอง มันขัดกับเจตนารมณ์ของหลักคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า การหยิบยื่นลาภยศทั้งหลายเหล่านี้นั้น เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้คนใกล้ชิดในหลวง ฉกฉวยหาผลประโยชน์ และพากันสร้างธุรกิจ มีกระบวนการซื้อขายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และตำแหน่งต่างๆ จนเกิดหลักฐานความผิดปรากฎขึ้นหลายครั้ง แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีการซื้อขายกันเกร่ออยู่ทุกๆ ปี นี้คือผลพวงแห่งอำนาจของในหลวงที่นำไปใช้ในทางที่ผิดมาโดยตลอด แต่ประชาชนบางคนก็ไม่คิดที่ใช้สติของความเป็นคน นำมาพินิจพิจารณาความชั่วดี หรือถูกผิด สรุปความว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในประเทศทั้งหมด จนทำให้ประเทศชาติฉิบหายย่อยยับในวันนี้นั้น ก็คือเหตุที่ในหลวงยอมรับการกระทำรัฐประหาร เพราะลำพังทหารสามสี่คน และประธานองคมนตรีหนึ่งคน ที่เข้าเฝ้าเพื่อฉีกรัฐธรรมนูญของประชาชนทิ้งนั้น เขาไม่มีอำนาจเท่าในหลวง พระองค์เท่านั้นที่มีอำนาจสั่งการคนไทยทั้งประเทศได้ เพราะฉะนั้นการที่ประชาชนคนไทย ได้รับความเดือดร้อน เกิดความแตกแยก เกิดการทำลายระบบตุลาการกฎหมายที่เอนเอียง เพียงช่วยเหลือเข้าข้างแค่คนของตัวเอง จนทำให้ประเทศชาติเสียภาพพจน์ จนเศรษฐกิจย่อยยับนั้น ในหลวงก็ไม่คิดที่จะออกมารับผิดที่ตัวเองเป็นคนทำผิด ที่ยอมรับการปฎิวัติที่ทำลายอำนาจทุกอำนาจทั้ง อำนาจบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ จนพังพินาศอยู่จนถึงทุกวันนี้ ครั้งหนึ่งผมก็เคยเทิดทูน และมีความจงรักภักดีในหลวงมาตลอดชิวิต แต่มาวันนี้เมื่อผมเห็นว่าความผิดทั้งหลายที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันมาจากอำนาจที่ในหลวงมีอยู่ ที่เขานำมาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างจนทำให้ประชาชน เสียผลประโยชน์ และขาดโอกาส ผมจึงมีความรู้สึกว่า ความเคารพที่มีต่อเขานั้น มันตายไปจากความรู้สึกของผม นับแต่พระองค์ร่วมมือกับคณะปฎิวัติที่ยึดอำนาจไปจากประชาชนในวันนั้น นั่นเอง


ที่มา ไม่มีเขาอยู่ในใจแล้ว.... บทความโดยหลวงพี่ เอนก ซานฟราน http://tprud.org/info/viewtopic.php?f=7&t=12