เส้นทางค้ายาเสพติดของครอบครัวลุงสมชาย
บทความโดย ออกญา เพชรบุรี (เครดิต) จากเวป รัฐล้านนา
สาเหตุที่ลุงสมชายป้าสมจิตร ต้องค้ายาเสพติด
เมื่อพูดถึงการค้ายาเสพติด หลายคนคงจะสงสัยว่ามันจะไปเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ภูมิพลได้อย่างไร เพราะกษัตริย์ภูมิพลมีสถานะที่สูงส่ง รวมทั้งได้สร้างภาพให้ตัวเองจนเป็นพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย จนทำให้คนไทยจำนวนมากลุ่มหลงอย่างบ้าคลั่งด้วยแล้ว จึงทำให้หลายคนไม่อยากจะเชื่อว่ากษัตริย์ภูมิพลค้ายาเสพติด และความร่ำรวยของกษัตริย์ภูมิพลในปัจจุบัน ได้ทำให้นิตยสารฟอร์บส์ จัดลำดับว่าภูมิพลเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก แต่สิ่งหนึ่งที่หลายท่านลืมไป คือวงศ์ตระกูลของภูมิพลมิใช่ร่ำรวยมหาศาลมาก่อน จึงทำให้สงสัยว่ากษัตริย์ภูมิพลสร้างตัวเองมาได้อย่างไร
เพื่อความเข้าใจผู้เขียนจะขอย้อนความเป็นมาทางประวัติศาสตร์อย่างคร่าวๆว่า ทำไมกษัตริย์ภูมิพลจึงจำเป็นต้องค้ายาเสพติด
โดยเล่าขอย้อนกลับไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่เมียต่างอิจฉาริษยาแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันระหว่าง สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พอลูกของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา คือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศตาย ลูกของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี คือเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ จึงได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 6 แทน
เมื่อเป็นดังนี้ จึงทำให้เจ้าสายเสาวภาผ่องศรีมีอำนาจในราชสำนัก ทำให้เจ้าสายสว่างวัฒนาตกต่ำ พระอัยยิกาสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาจึงพยายามผลักดันให้ลูกหลานของตัวเองคือสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พาหลาน คือรัชกาลที่ 8-9 ไปอยู่เสียที่เมืองนอก พูกกันตรงๆก็คือกลัวภัยอันจะเกิดจากเจ้าสายเสาวภาผ่องศรีและ รัชกาลที่ 6
เมื่อเหตุการณ์ผันแปร
ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ คณะราษฎร ที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี 2475 จึงเสนอให้เจ้าสายสว่างวัฒนาคือพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล ที่ไปเรียนอยู่ต่างประเทศให้กลับมาเป็นกษัตริย์ รัชกาลที่ 8 โดยคณะราษฎรและท่านปรีดี พนมยงค์เห็นว่า พระองค์เจ้าอนันทมหิดล ยังเป็นเด็กและคิดว่าเจ้าสายสว่างวัฒนาไม่มีอิทธิพลในราชสำนักแล้ว คงจะควบคุมให้เป็นกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญได้ไม่ยาก และคณะราษฎรก็คิดถูกเพราะพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ก็มีแนวคิดที่ต้องการจะเป็นกษัตริย์ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
แต่ใครจะไปนึกล่ะว่าพระอนุชาภูมิพลที่มีความริษยาอยากเป็นกษัตริย์เสียเอง ได้ลั่นไกสังหารพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 บนแท่นพระบรรทม ภายในพระบรมมหาราชวัง ในเช้าของวันที่ 9 มิถุนายน 2489 เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้กษัตริย์ภูมิพล มีความจำเป็นที่ต้องเร่งสร้างฐานอำนาจและบารมีเพื่อเอาไว้ เพื่อปกป้องความผิดของตัวเอง บวกกับความต้องการของพวกเชื้อสายราชวงศ์ ที่ต้องการชิงอำนาจคืนจากคณะราษฎร ทำให้พวกราชวงศ์ต่างพร้อมใจกันปกป้องพระอนุชาภูมิพล และสนับสนุนให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป โดยโยนความผิดไปให้ นาย ชิต นายบุศย์ นายเฉลียว ว่าเป็นผู้ร่วมฆ่ารัชการที่ 8
สร้างความผิดใหม่เพื่อลบล้างความผิดเก่า
แต่เวลาในขณะนั้น ครอบครัวของภูมิพลได้ไปอยู่ต่างประเทศเสียนาน ทำให้อำนาจและบารมีรวมทั้งเงินทองก็ยังมีน้อย และโดยธรรมชาติ พวกเจ้าก็ทำมาค้าขายไม่เป็นอยู่แล้ว ดังนั้นการที่จะหาเงินมาเพื่อสร้างฐานอำนาจและบารมี จึงไม่ใช่เรื่องง่าย จึงทำให้ ณ เวลาในขณะนั้น การค้ายาเสพติด จึงเป็นทางเลือกเดียวที่พระชนนีศรีสังวาลและกษัตริย์ภูมิพลเห็นว่าจะสามารถหาเงินมาได้อย่างง่ายดาย
และโดยบังเอิญว่าหลังจากที่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม (พ่อรัชกาลที่ 8-9) ตาย สมเด็จพระชนนีศรีสังวาล ได้มีผัวใหม่ชาวสวิสเซอร์แลนด์ และได้มาดูแลเป็นพ่อเลี้ยงภูมิพล และผัวใหม่คนนี้มีบริษัทอยู่ในสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งต่อมาก็เป็นบริษัทที่ค้าขายมอร์ฟีน โดยส่งให้กับโรงพยาบาลต่างๆในสหรัฐและอีกหลายประเทศ และนี่คือปฐมบทในการริเริ่มค้ายาเสพติดของกษัตริย์ภูมิพลและครอบครัว
แต่ก่อนที่จะรู้ว่าครอบครัวกษัตริย์ภูมิพลค้าขายยาเสพติดกันอย่างไร ผู้เขียนขออธิบายในแหล่งที่มาของยาเสพติด ทั้งในและนอกประเทศดังนี้
แหล่งที่มาของยาเสพติด
ยาเสพติดที่ดีที่สุดของโลกถูกผลิตในรัฐฉานของพม่า ที่มีชายแดนติดกับมณฑลยูนานของจีน พวกนี้ก็คือพวกว้าแดง โดยใช้เมืองยอนเป็นแหล่งผลิต โดยพื้นที่นี้เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์เหมาะสำหรับการปลูกฝิ่น โดยพวกปลูกฝิ่นจะเรียกตัวเองว่าเป็นพวกโกกั้ง หรือ เจิ้งคัง เป็นพวกชาวจีนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐาน คำว่าโกกั้ง มีความหมายว่า เป็นดินแดนที่มี 9 ดอย หรือมีดอย 9 ยอด มีแม่น้ำธิงหล่อเลี้ยง มีหลายชนเผ่าอาศัยอยู่ ชาวโกกั้งประกอบด้วย คนจีน ลีซอ ละหยู (มูเซอร์) ปะหล่อง อีก้อ (อาข่า อาหนี อยู่ที่เมืองลา) และไต
การเข้ามาของกองพล 93
ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อพรรค ก๊กมินตั๋ง ที่นำโดยจอมพล เจียงไคเช็ค ได้พ่ายแพ้ต่อ พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดยประธาน เหมาเจ๋อตง จึงได้ถอยทัพไปตั้งรัฐบาลใหม่ยังเกาะฟอร์โมซา (ประเทศไต้หวันในปัจจุบัน) โดยการถอนร่นนั้น เจียงไคเช็ค ได้วางกำลังของตนเองไว้ที่มณฑลยูนนาน 2 กองทัพด้วยกันคือ กองทัพที่ 8 และกองทัพที่ 26 ซึ่งแต่ละกองทัพประกอบด้วย 2 กองพล โดยที่กองพล 93 เป็นหน่วยหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อกองทัพที่ 26 ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่ดังกล่าวไว้เพื่อป้องกันไม่ให้กองกำลังของอีกฝ่ายไล่ตามกองกำลังที่เคลื่อนย้ายไปยังเกาะฟอร์โมซาได้ทัน
ในเวลาต่อมากองทัพที่ 8 และกองทัพที่ 26 ก็ถูกกองทัพของฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ตีแตกพ่ายและถอยลงมายังพื้นที่พม่าตอนบนใกล้กับพรมแดนมณฑลยูนนานของจีน กองทัพที่ 26 ได้ถูกกองกำลังของจีนคอมมิวนิสต์ตีแตกพ่ายอีกครั้งและได้ถอยร่นไปยังลาวและเวียดนาม อีกส่วนก็ถอยเข้ามายังรัฐฉานของประเทศพม่า ผ่านทางรัฐฉานด้านเมืองเชียงตุง แล้วผ่านมาทางขี้เหล็กของประเทศไทย โดยมีกองกำลังนับหมื่น คน จำนวนทหารที่อยู่ในส่วนนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นกำลังพลที่มาจากหน่วยกองพล 93
ในปี 2504 รัฐบาลพม่าดำเนินการปราบปรามกองกำลังทหารจีนพลัดถิ่นเหล่านี้อย่างจริงจัง ทำให้กองกำลังของนายพลหลี่ หมี พ่ายแพ้ และกองทัพที่ 1, 2 และ 4 จำนวน 4,349 คน ได้ถูกส่งตัวไปไต้หวัน คงเหลือแต่กองทัพที่ 3 ของนายพลหลี่ เหวิน ฝาน และกองทัพที่ 5 ของนายพล ต้วน ซี เหวิน ที่ไม่ไม่ต้องการกลับไปไต้หวัน และได้นำกำลังอพยพหนีการกวาดล้างของพม่าเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทย โดยไต้หวันประกาศจะไม่สนับสนุนช่วยเหลือกองกำลังที่ตกค้างเหล่านี้อีก ในที่สุด กองทัพที่ 3 ก็มาถึงอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และกองทัพที่ 5 มาปักหลักอยู่ที่ดอยแม่สลอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
ต่อมาสหรัฐอเมริกาเกิดความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่กระจายของคอมมิวนิสต์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการสร้างแนวยับยั้งคอมมิวนิสต์จากธิเบตถึงประเทศไทย สหรัฐจึงได้สนับสนุนกลุ่มทหารเหล่านี้รวมทั้งยังขอความร่วมมือกับรัฐบาลไทยให้สนับสนุนด้วย เมื่อเป็นดังนั้น จึงทำให้ กองพล 93 ของเจียงไคเช็ค ตกค้างอยู่ในประเทศไทยประมาณ 3 หมื่นคน
รัฐบาลไทยให้การสนับสนุน
ในหมู่บ้านของกองกำลังทหารจีนคณะชาติที่ตกค้างนั้น มีการตั้งโรงเรียนการสอนภาษาจีนที่ดอยแม่สะลอง ต่อมากองบัญชาการทหารสูงสุดของไทยได้เสนอให้สัญชาติไทยแก่บุคคลเหล่านี้ โดยที่คณะรัฐมนตรีมีมติในวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 โดยจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อพิจารณาให้สัญชาติแก่อดีตทหารจีนคณะชาติ
ทั้งนี้รัฐบาลไทยในปี 2527 ได้ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการแปลงสัญชาติแทนกองกองบัญชาการทหารสูงสุดที่เป็นหน่วยงานหลัก ซึ่ง พื้นที่บางส่วนเช่น บ้านเปียงหลวง บ้านถ้ำง็อบ อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่บนดอยแม่สะลอง บ้านแม่แอบ บ้านผาตั้ง จังหวัดเชียงราย ส่วนที่บ้านหัวลาง และบ้านนาป่าแปก จังหวัดแม่ฮ่องสอน กลายเป็นหมู่บ้านที่อยู่อาศัยของอดีตกองทหารจีนคณะชาติ หรือกองพล 93 และจีนฮ่ออพยพในปัจจุบัน
เมื่อกองพล 93 ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสมกับการปลุกฝิ่น และอาศัยที่เป็นคนจีนด้วยกันจึงได้ประสานงานกับกลุ่มโกกั้งที่อยู่ในรัฐฉานหรือที่เรียกว่ารัฐว้าของพม่า โดยที่ทหารเหล่านี้ยังไม่มีอาชีพอื่นใด จึงทำให้ กองพล 93 ดำรงชีวิตด้วยการรับจ้างลำเลียงฝิ่น การตั้งด่านภาษีเถื่อนและการค้าอาวุธสงคราม ณ เวลาในขณะนั้นกองพล93ได้มีการประสานงานกับรัฐบาล และทหารไทย ที่ทางอเมริกาสนับสนุนให้ต่อต้านคอมมิวส์นิสต์
ภูมิพลเห็นช่องทาง
เมื่อเป็นดังนี้ ทำให้กษัตริย์ภูมิพลเห็นช่องทางในการหาเงินเพื่อสร้างฐานอำนาจให้กับราชวงศ์ซึ่งกำลังอ่อนไหวอยู่ในขณะนั้น จึงได้ร่วมมือกับทหารไทยและพวกกองพล 93 รวมทั้งพวกโกกั้ง เพื่อค้าฝิ่น
โดยในครั้งนั้น กลุ่มโกกั้งที่ได้วางแผนร่วมมือกับภูมิพล ได้ส่งนายจิมมี่ หยาง ให้มาสร้างโรงแรมขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ในปี 2512 ชื่อโรงแรมรินคำ โดยนายจิมมี่ หยาง เป็นผู้บริหารเอง และประสานงานกับโรงพยาบาลแมคคอร์มิคเชียงใหม่ ที่มีอเมริกาให้การสนับสนุน โดยสถานที่ทั้งสองแห่งนี้ ในขณะนั้นได้ถูกใช้เป็นศูนย์กลางในการติดต่อการค้ายาเสพติดในภาคเหนือ โดยภูมิพลก็ได้สร้างศูนย์สงเคราะห์ชาวเขาขึ้นมา เพื่อประสานงานกับสองศูนย์กลางนี้
และนี่คือที่มาของเส้นทางยาเสพติดโกกั้งสู่ประเทศไทย “มาลีวัวปา 4 เส้นทาง ”โดยใช้โครงการหลวงและการปลูกพืชอื่นทดแทนฝิ่นบังหน้า
มาลีวัวปา 4 เส้นทางยาเสพติด
เส้นทางขบวนยาเสพติดที่เรียกว่าเส้นทางมาลีวัวปานั้น คนในพื้นที่จะเรียกอีกสำเนียงหนึ่งว่า ขบวนการมาลีปา
เส้นทางแรก..มาลีวัวปา-วัดพระธาตุผาเงา-ดอยตุง..
ฝิ่นดิบ-มอร์ฟีน-เฮโรอีน จากโกกั้งสู่วัดพระธาตุผาเงา-ดอยตุงในเส้นทางนี้ เป็นผลประโยชน์ของสมเด็จพระบรมราชชนนีศรีสังวาล ปัจจุบันผลประโยชน์ได้ถูกถ่ายโอนไปให้ถั่วปากอ้าจุฬาภรณ์ เส้นทางนี้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดน ส่วนสถานที่พักยาเสพติดก่อนลำเลียงเข้าสู่ดอยตุง ก็คือวัดพระธาตุผาเงา ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พระที่นี่ส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปจากวัดที่วังดูแลคือวัดบวรนิเวศน์วิหาร และพระที่ส่งไปก็จะเป็นทหารที่มาบวช โดยจะทำหน้าที่ดูแลยาเสพติดที่ส่งมาจากพวกโกกั้ง และวัดนี้เป็นวัดที่วังให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยทุกครั้งที่ครอบครัวภูมิพลจะมาที่ดอยตุงทุกคนก็จะแวะมาที่วัดพระธาตุผาเงานี้ด้วยเสมอ และที่สำคัญ เมียน้อยของ เหวย เซี๊ยกัง ก็ยังสร้างบ้านอยู่ติดกับวัดพระธาตุผาเงาแห่งนี้
พ่อค้ายาเสพติดในพระบรมราชูปถัมภ์
ส่วนตัวนาย เหวย เซี๊ย กัง พ่อค้ายาเสพติดที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนโลกคนนี้ ต่อมาได้ถูกทางการไทยจับตัวได้ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในขณะที่หลบมาอยู่ที่บ้านเมียน้อย เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2531 เขาถูกสายข่าวดัดหลัง แจ้งตำรวจ กก.7 กองปราบปราม และ เจ้าหน้าที่ ปปส. จับกุมตัวได้ขณะแฝงตัวเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านโชตนานิเวศน์ ตรงข้ามสนามกอล์ฟล้านนาเชียงใหม่ ตามหมายจับที่1000/263 คดีครอบครองเฮโรอีน ระหว่างคดี ทนายได้ยื่นขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปขึ้นศาลสหรัฐ ในชั้นอุทธรณ์ แต่ก่อนที่ทางการไทยจะส่งตัวไป เหวย เซี๊ย กัง ก็ได้รับการช่วยเหลือจากนายพลทหารผู้หนึ่ง จนแหวย เซี๊ย กัง หายตัวไปจากเรือนจำ ต่อมาอีกหลายปี ร.ต.อ.เฉลิมอยู่บำรุง รองนายกฯ รับผิดชอบงานยาเสพติด กล่าวไว้เมื่อ เดือนกันยายน 2554 ว่า "ทราบจากหลานของ เหว่ย เซียะ กัง ว่า การหลุดพ้นจากโซ่ตรวนครั้งนี้ เหว่ย เซียะ กัง ซื้ออิสรภาพไปด้วยเงินจำนวน 30 ล้านบาท แต่ไม่ระบุว่าจ่ายให้กับใคร
"ส่วนนายสุรชัย เงินทองฟู หรือบังรอน ได้หลบหนีการจับกุมไปอยู่กับ เหวย เซี๊ย กัง และนาย ภาพ 70 ไร่ พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ของไทย ก็เหมือนกับ เหวย เซี๊ยกัง คือทั้งที่ตำรวจจับตัวได้แล้ว แต่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
และเรื่องนี้ไม่มีนักข่าวของไทยคนไหนกล้าที่จะขุดคุ้ยข่าว ทั้งที่คนพวกนี้เป็นนักค้ายาระดับโลก เพราะวงการนักข่าวไทยรู้กันดีว่า คนพวกนี้ ได้รับการปกป้องจากในวัง และมีข่าวว่าทั้งบังรอน และภาพ 70 ไร่ ก็ได้หลบหนีไปอยู่ในคฤหาสน์หรูของเหวย เซี๊ย กัง ในอิทธิพลของพวกว้าแดงในเขตเมืองยอนของพม่า ซึ่งต่อมา เหวย เซี๊ย กัง ก็ให้คนมาสร้างข่าวว่าได้ขายคฤหาสน์หรูไปในราคา 1,500ล้านบาท
ยึดพื้นที่ดอยตุงโดยใช้เพียงมติของคณะรัฐมนตรีเท่านั้น
และนอกจากยาเสพติดที่นำมาจากโกกั้งแล้ว ในพื้นที่ดอยตุงก็ยังมีการปลูกฝิ่นอีกด้วย ผู้ที่ดูแลโครงการดอยตุงและเลขาสมเด็จย่าคือ มรว.ดิษนัดดา ดิษกุล โดยใช้โครงการพัฒนาดอยตุง - โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติบังหน้า และดำเนินการโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ยาเสพติดในเส้นทางนี้นอกจากทางวังได้ร่วมมือกับพ่อค้ายาเสพติดแล้ว ทางวังยังได้ส่งมอร์ฟีนไปยังบริษัทในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่เคยเป็นของพ่อเลี้ยงภูมิพล โดยบริษัทแห่งนี้เป็นเอเยนต์ค้ามอร์ฟีนรายใหญ่ของโลกที่ส่งให้กับโรงพยาบาลต่างๆทั้งในอเมริกาและยุโรป
พื้นที่ในโครงการดอยตุงคิดเป็นเนื้อที่มากมายถึง 93,515 ไร่ โดยทางวังอ้างว่าปัญหาของพื้นที่ดอยตุง ส่วนใหญ่เกิดจากการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของชาวไทยภูเขา โดยการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อทำไร่เลื่อนลอยและการปลูกฝิ่นบริเวณใกล้ชายแดน เมื่อตอนที่ศรีสังวาลมาดอยตุงใหม่ๆจึงแสร้งพูดว่าฉันจะปลูกป่าบนดอยตุง ซึ่งจริงๆแล้ว ศรีสังวาลอยากจะพูดว่า ฉันจะปลูกฝิ่น
และวิธีการของวังในการยึดพื้นที่บนภูดอยต่างๆที่มีชนเผ่าต่างๆอาศัยอยู่ ทางวังบงการรัฐบาลโดยใช้เพียงแค่มติของคณะรัฐมนตรีเท่านั้น พื้นที่ดอยตุงถูกยึดโดยมติของคณะรัฐมนตรีมากที่สุดในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ตินณสูลานนท์ พื้นที่โครงการดอยตุงอยู่ทางตอนเหนือสุดไปทางด้านตะวันตกของจังหวัดเชียงราย ในเขตอำเภอแม่จันและอำเภอแม่สาย ภูมิประเทศเป็นแนวเขาสลับซับซ้อน สภาพป่าเป็นป่าเสื่อมโทรม บริเวณชายแดนที่ติดกับประเทศพม่าโดยทั่วไปเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่น
เส้นทางที่สอง.. มาลีวัวปา-ดอยอ่างขาง..
ฝิ่นดิบและเฮโรอีนจากโกกั้งสู่ดอยอ่างขางในเส้นทางนี้ เป็นผลประโยชน์ของกษัตริย์ภูมิพลและคนในราชสำนัก รวมทั้งดอยอ่างขางเองก็ปลูกฝิ่นในโครงการหลวงด้วยเช่นกัน ปัจจุบันกษัตริย์ภูมิพลถ่ายโอนให้สิรินธร ภายใต้การคุ้มครองของทหารที่จงรักภักดี โดยทางวังจะเป็นผู้คัดสรรค์เฉพาะทหารที่จงรักภักดีให้มาคุ้มครอง และยาเสพติดในเส้นทางนี้ ดูแลโดยพระสหายสนิทผู้ที่เป็นผู้อำนวยการโครงการหลวงสงเคราะห์ชาวเขา คือ ม.จ.ภีศเดช รัชนี และโครงการสงเคราะห์ชาวเขาภายในดอยอ่างขาง นอกจากจะนำฝิ่นดิบจากกั้งมาผลิตเป็นมอร์ฟีนแล้ว ยังนำเข้าและผลิตเฮโรอีนอีกด้วย
หุ้นส่วนใหญ่
และหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ระบุได้ว่ากษัตริย์ภูมิพลสนับสนุนการค้ายาเสพติด ก็คือปูนซีเมนต์ที่ใช้ในการก่อสร้างเมืองยอนของพวกโกกั้งในเขตประเทศพม่าใกล้ชายแดนไทยตรงข้ามเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เป็นของบริษัทปูนซีเมนต์ไทยที่มีกษัตริย์ภูมิพลเป็นเจ้าของ และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น การส่งออกปูนซีเมนต์ ก็ได้รับการยกเว้นภาษี เพราะใช้โควต้าการส่งออกปูนซิเมนต์ของลาวและเขมร และมีข่าวทางลึกว่าลุงสมชายคือหุ้นส่วนใหญ่ของเมืองยอนแหล่งผลิตเฮโรอีนตราสิงห์โตคู่เหยียบโลกอีกด้วย
การค้ายาเสพติดคือพระราชกรณียกิจของครอบครัว
ยาเสพติดในเส้นทางนี้ถูกส่งออกโดยครอบครัวของกษัตริย์ภูมิพโดยส่วนใหญ่จะถูกส่งไปยังอเมริกาและยุโรป และการเดินทางไปต่างประเทศของคนในครอบครัวนี้ ก็จะนำยาไปส่งด้วย โดยทำควบคู่ไปกับพระราชกรณียกิจที่ใช้เอามาเป็นข้ออ้าง และการส่งยาของพวกราชวงศ์ก็จะทำได้ง่าย เพราะจะได้รับเอกสิทธิ์ในการที่ไม่ต้องถูกตรวจค้นทั้งสนามบินภายในประเทศและสนามบินในต่างประเทศ
พระราชกรณียกิจในกรุงลอนดอน
และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่การส่งยาเสพติดของพวกราชวงศ์ไทยที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษต้องผิดพลาด เพราะเกิดจากเมียของพระบรมที่ชื่อ ยุวธิดา ผลประเสริฐ ต่อมาได้ถูกสถาปนาเป็น หม่อมสุจาริณี การส่งยาในครั้งนั้น หม่อมสุจาริณีได้ร่วมมือกับ ลูกสาวเจ้าของบริษัทไทยช็อป ที่ตั้งอยู่ใน อ.สันกำแพงจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ส่งออกเครื่องทองเหลือง โดยยัดยาเสพติดไปในเครื่องทองเหลือง โดยในครั้งนั้น ตู้ที่เก็บเครื่องทองเหลืองที่ถูกส่งมาจากเมืองไทย จะได้รับเอกสิทธิ์ยกเว้นในการตรวจค้น หม่อมสุจาริณีจึงนำลูกๆทั้งหมด 5คนไปรับของที่สนามบินฮีทโธรว์ ด้วย
พลาดเพราะสุนัข
แต่บังเอิญมีสุนัขตำรวจ ตัวหนึ่งภายในบริเวนสนามบินที่ถูกฝึกมาให้ตรวจดมยาเสพติดโดยเฉพาะ ตำรวจผู้ดูแลเกิดผูกไว้ไม่แน่น เดินหลุดออกมายัง Termenal ภายในสนามบินที่มีตู้เก็บเครื่องทองเหลืองนี้ตั้งอยู่ ทำให้สุนัขเห่าและไม่ยอมไปไหน จนตำรวจผู้ดูแลตามมาเจอ ก็รู้ว่าต้องมียาเสพติดแน่ แต่ก็ไม่กล้าเปิดเพราะมีเอกสิทธิ์ และตำรวจคนนั้นก็ตัดสินใจโทรแจ้งไปยังหน่วยตำรวจพิเศษสก๊อตแลนด์ยาร์ด และทำการตรวจอย่างละเอียด ก็เจอยาเสพติด สมเด็จพระราชินีอลิซาเบทจึงต้องสายตรงมายังภูมิพล จนทางการไทยต้องส่งคนมาเคลียร์กับทางอังกฤษเพื่อปกปิดข่าว ต่อมาทางการอังกฤษที่จับตัวลูกสาวเจ้าของบริษัทไทยช๊อปไว้ ได้ถูกทางการไทยขอให้ส่งตัวกลับมาเข้าเรือนจำในประเทศไทย พอมาอยู่ได้ไม่กีวัน ก็มีรถของสำนักพระราชวังมารับตัว และหายไปจนกระทั่งทุกวันนี้ (คาดว่าถูกนำไปฆ่าปิดปาก) และด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้หม่อมสุจาริณีตกกระป๋อง และบรรดาลูกชายสี่คนก็ถูกถอดยศเจ้าไปด้วย จนทุกวันนี้
พระราชกรณียกิจในอิตาลีและฝรั่งเศษ
ต่อมาเรื่องการค้ายาของครอบครัวภูมิพลก็เป็นข่าวขึ้นมาอีก ในครั้งนั้นโสมสวลีได้ถือหุ้นลมของบริษัทขายตรงขนาดใหญ่ ที่ชื่อซูเลียน (Zhulian) ซึ่งมีสาขาทั่วโลก โสมสวลีก็ต้องไปเปิดงาน แจกโล่ มอบรางวัล ทำกิจกรรมร่วมกับบริษัทนี้เป็นประจำ จนครั้งหนึ่งโสมสวลีเดินทางไปประเทศอิตาลี และทีมงานถูกจับยาเสพติดได้ นักข่าวอิตาลี่จึงนำเสนอจนเป็นข่าวใหญ่มากในอิตาลีว่า กษัตริย์ภูมิพลและราชินีสิริกิติ์เป็นเจ้าของยาเสพติดล๊อตนี้ ทำให้ทางราชสำนักไทยต้องส่งคนมารีบปิดข่าวกันอุตลุด และมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่าราชสำนักไทยต้องเสียเงินให้กับทางการอิตาลีในการที่ไม่ต้องดำเนินคดีกับโสมสวลี และปิดปากสำนักข่าวอิตาลี รวมแล้วเป็นเงินนับร้อยล้านบาท
ต่อมาในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2553 โดยโสมสวลีและทีมงานไปพลาดท่าถูกจับได้ที่ฝรั่งเศสอีกครั้ง ที่สนามบิน ทำให้โสมสวลีต้องถูกทางการฝรั่งเศสกักตัวไว้สอบสวนภายในสถานทูต ทางราชสำนักไทยจึงส่งนาย กษิต ภิรมย์ รมต.ต่างประเทศไปแก้ตัวกับทางการฝรั่งเศสว่า เป็นเพราะเด็กติดต้นขั้วกระเป๋าผิดใบ พร้อมทั้งสั่งให้ทีมงานของเนวิน ชิดชอบและการบินไทย จัดการแก้ไขข้อมูลทั้งทางคอมพิวเตอร์และต้นฉบับพร้อมสำเนาผู้โดยสาร และสัมภาระให้เรียบร้อย อย่าให้โยงถึงครอบครัวของภูมิพลเป็นอันขาด โดยโยนความผิดไปให้พนักงานลำเลียงกระเป๋าขึ้นเครื่อง อ้างว่าต้นขั้วที่ติดกระเป๋าหลุด ก็เลยหยิบมาแปะ ไม่ได้ตรวจให้ดีก่อน ทั้งๆที่เป็นผู้โดยสารเครื่องบินชั้นหนึ่ง ซึ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ จึงไม่ค่อยมีใครเชื่อข้ออ้างนี้ เลยให้พวกสนธิ ลิ้มทองกุล ไปปล่อยข่าวว่า เป็นกระเป๋าของทักษิณ เพราะดูไบกำลังมีปัญหาขาดเงิน ทำให้ทักษิณสินต้องการใช้เงิน จึงต้องค้าแป้ง
แต่ยาเสพติดในล๊อตที่ถูกจับได้นี้ เป็นล๊อตที่ใหญ่มาก ทางการฝรั่งเศสจึงให้ประกันตัวกลับเมืองไทยได้เพียงสองคนรวมทั้งโสมสวลีด้วย แต่ผู้ติดตามโสมสวลีทั้ง 28 คน ยังถูกทางการฝรั่งเศสจับตัวไว้ และยังติดคุกอยู่ที่ฝรั่งเศสจนกระทั่งบัดนี้ และการนำตัวโสมสวลีกลับไทยและการปิดข่าวที่ฝรั่งเศสในครั้งนี้อีกเช่นกัน ที่ทางราชสำนักไทยต้องสูญเสียเงินเพื่อแลกเปลี่ยนกับทางฝรั่งเศษอีกครั้งเป็นจำนวนมหาศาล
และนี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ที่ลูกหลานกษัตริย์ภูมิพลถูกจับได้จนตกเป็นข่าว แต่คงมีอีกหลายครั้งที่สามารถเล็ดรอดการตรวจค้นไปได้ เพราะคนตระกูลนี้ มีเอกสิทธิ์ โดยการใช้ข้ออ้างพระราชกรณียกิจในการเดินทางออกต่างประเทศ
เมื่อคุณหญิงรู้ความจริง
และมีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนในระดับคุณหญิง(ขอปกปิดชื่อ)ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ก่อนการรัฐประหารในปี 2549 ไม่นาน ท่านได้ไปรู้มาว่ามีทหารระดับนายพลที่เป็นราชองครักษ์ของสิรินธรคนหนึ่ง และเป็นผู้ที่ติดตามสิรินธรในการไปเยือนต่างประเทศทุกครั้ง ว่าเป็นผู้ที่ค้ายาเสพติด โดยก่อนที่สรินธรจะเดินทางไปต่างประเทศทุกครั้ง นายพลคนนี้จะเป็นผู้ประสานงานกับฑูตไทยในต่างประเทศ โดยให้ฑูตประสานงานกับหน่วยงานของต่างชาติในประเทศนั้นๆ ให้ทำหนังสือเชิญสิรินธรไปเยือน และในขณะเดียวกัน นายพลคนนี้ก็ติดต่อลูกค้าที่ต้องการยาเสพติดในประเทศนั้นๆด้วย โดยคุณหญิงท่านนี้มีความเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจในขณะนั้นว่า นายพลทหารผู้นั้นเป็นผู้ค้ายาเสพติดเองโดยไม่เกี่ยวกับสิรินธร
ต่อมาท่านจึงได้ทำหนังสือเปิดโปงนายพลท่านนี้ไปยังพลเอกเปรม ติณนสูลานนท์ โดยทำไปแต่ละฉบับหนังสือก็ถูกตีกลับหมด จนต่อมา ท่านถูกทหารตามมาข่มขู่ถึงบ้าน และบอกว่าอย่ามายุ่งเรื่องยาเสพติดโดยเด็ดขาด รวมทั้งยังกล่าวหาว่าท่านเป็นคนวิกลจริต แต่ถึงกระนั้นคุณหญิงท่านนี้ก็ยังไม่หยุดดำเนินการ ได้ทำทุกวิถีทางจนหนังสือร้องเรียนฉบับนั้นไปถึงมือของนายกทักษิณ แต่นายกทักษิณก็ตอบกลับมาว่า เกินกำลังที่จะทำได้ จากนั้นไม่ถึงเดือน รัฐบาลของนายกทักษิณก็ถูกรัฐประหาร พอมาถึงรัฐบาลของนายกสมัคร สุนทรเวช คุณหญิงท่านนี้ก็มีโอกาสได้บอกกล่าวกับนายกสมัคร ด้วยตนเอง นายกสมัครจึงเร่งให้เอาเอกสารหลักฐานมาให้ แต่เมื่อนายกสมัครได้เห็นเอกสารแล้ว ท่านถึงกับอึ้งไปเลย และไม่ได้พูดอะไรอีก เมื่อมาถึงตรงนี้คุณหญิงจึงรู้ได้ว่า สิรินธรต้องรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดด้วยแน่ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น คุณหญิงเชื่อมาโดยตลอดว่าสิรินธรไม่เกี่ยว จนทำให้คุณหญิงท่านนี้กลัวไม่กล้าเปิดเผยตัวในที่สาธารณะและออกงานการกุศลอีกเลย
เส้นทางที่สาม..มาลีวัวปา-เวียงแหง-แม่แตง-แม่ริม..
ฝิ่นดิบ-เฮโรอีนและยาบ้าจากโกกั้ง และโดยส่วนหนึ่งก็มาจากโครงการหลวงในดอยอ่างขางในเส้นทางนี้ ทางวังเปิดโอกาสให้เป็นผลประโยชน์ของตำรวจภูธร ภาค 5 รวมทั้งนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์และเคลือข่าย และยาเสพติดสายนี้ ราชินีสิริกิติ์ก่อนป่วย ได้เป็นผู้ดูแลจัดสรรค์แบ่งบันผลประโยชน์ด้วยตัวเอง (ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า คนในราชสำนักนั้น ไม่สามารถที่จะค้ายาเสพติดโดยลำพังเองได้ ต้องอาศัยเคลือข่ายที่มีเอกสิทธิ์เช่นทหารและตำรวจ ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการขนย้าย โดยเจ้าได้แบ่งบันผลประโยชน์แก่ทหารและตำรวจเหล่านี้ด้วย เพื่อให้ผิดไปด้วยกันจะได้ร่วมกันปกป้อง) ส่วนการช่วยเหลือเมื่อมีคนในขบวนการถูกจับ ทางวังก็ได้จัดให้ องคมนตรีที่เป็นอดีตประธานศาลฎีกาทั้ง 4 คน คือนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ นายจำรัส เขมะจารุ นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ และนายศุภชัย ภู่งาม เป็นคนสั่งการไปยังอธิบดีผู้พิพากษาในชั้นต่างๆ เพื่อช่วยให้พ่อค้ายาเสพติดในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้พ้นผิด
พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่เมื่อถูกจับได้จะถูกปล่อยตัวหมด
ยาเสพติดเส้นทางนี้นายตำรวจที่มสายสำพันธ์กับวังที่มีอำนาจและอิทธิพลในตำรวจภูธรภาค 5 ลำเลียงสู่จังหวัดลำปาง ผ่านขบวนการของ อดีต.สจ.ออด หรือนายพนม ทรัพย์เอนก โดยใช้รถตราโลห์ของตำรวจ และรถของนายพนมที่เป็นเจ้าของกิจการขนส่ง หจก.ลำปางรุ่งเรืองทรานสปอร์ต เป็นรถขนยา จากนั้นก็จะประสานกับคนในขบวนการของพรรคประชาธิปัตย์ที่ค้ายาเสพติดอีกหลายคน และยาเสพติดที่มาจากภาคเหนือจะมาสิ้นสุดที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี โดยยาจะถูกขนมาพักและขยายให้เคลือข่ายค้ายาที่ ร้านอาหารเพื่อนเดินทาง ใกล้กับสวนโมกขพลาราม
ส่วนข้อสังเกตในกรณี สจ.ออดหรือนายพนม ทรัพย์อเนก ที่ได้ร่วมกันค้ายาเสพติดกับนายเล่าต๋า แสนลี่ ลูกน้องคนสนิทของนายจาง ซี ฟู หรือขุนส่า ราชาเฮโรอีนระดับโลก รวมทั้งลูกชายของนายเล่าต๋าอีกสองคน ได้เคยถูกจับเป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันค้ายาเสพติด เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2544 ถึงปลายปี 2546 แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และศาลฏีกา ได้ตัดสินยกฟ้องคนเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งที่มีพยานและหลักฐานมัดคนเหล่านี้แน่น
ยาเสพติดกับสุเทพ เทือกสุบรรณ
อีกอีกคดีหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน คือญาติสนิทของนายสุเทพ เทีอกสุบรรณ ชื่อนายณรงค์ เสมียนเพชรที่เป็นเจ้าของร้านอาหารเพื่อนเดินทาง เป็นประธานวัฒนธรรมอำเภอไชยาและไวยาวัจกรวัดธารน้ำไหล (สวนโมกข์)และยังเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันใกล้สวนโมกขพลาราม เป็นเจ้าของรีสอร์ทและโรงแรมรวมทั้งสวนปาล์มในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ถูกตำรวจแกะรอยตามจับยาเสพติดได้ที่ร้านเพื่อนเดินทาง และในขณะที่ญาตินายสุเทพถูกควบคุมตัวอยู่ในโรงพัก ได้มีสส.ของพรรคประชาธิปัตย์สองคนคือนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ และนายเทพไท เสนพงศ์ มาติดต่อกับตำรวจ จากนั้นตำรวจก็เปลี่ยนหลักฐานจากยาเสพติด ให้เป็นมันสัมปะหลังแทน ทั้งที่ของกลางที่ตำรวจจับได้ในร้านอาหารก็เป็นยาเสพติด ทำให้ญาตินายสุเทพ รอดตัวไป แต่คนในพื้นที่ทราบดีว่า ร้านอาหารเพื่อนเดินทางและปั๊มน้ำมันที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณและญาติเป็นเจ้าของ คือศูนย์กลางของการกระจายยาเสพติด ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและใกล้เคียง ส่วนการค้ายาในปัจจุบันนายณรงค์ เสมียนเพชร ได้ให้ลูกน้องคือผู้ใหญ่หยัด เป็นคนดูแล ส่วนพระราชกรณียกิจของสิรินธร เมื่อเดินทางมาในสถานที่ใกล้เคียง ก็จะแวะมากินอาหารที่ร้านอาหารเพื่อนเดินทางทุกครั้ง
นายณรงค์ เสมียนเพชรเจ้าของร้านอาหารเพื่อนเดินทาง เป็นประธานวัฒนธรรมอำเภอไชยาและไวยาวัจกรวัดธารน้ำไหล (สวนโมกข์)
และยังมีอีกคดีหนึ่งที่ทางตำรวจได้จับตัวนายอูลริค วูล์ฟกังพ่อค้ายาเสพติดระดับโลกอีกรายได้ที่พัทยาเมื่อวันที่ 2พฤศจิกายน 2549 โดยก่อนที่ตำรวจพัทยาจะนำตัวนายอูลริค ไปฟ้องศาล นายอูลริค วูล์ฟกัง ก็หายตัวไปจากโรงพักอย่างไร้ร่องรอย สำหรับคดีนี้ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายอูลริค วูล์ฟกัง มีข่าวว่าได้ถูกลงโทษ แต่จริงๆแล้วไม่มีใครถูกลงโทษเลย เป็นเพียงข่าวเพื่อหลอกประชาชนเท่านั้น และนายตำรวจเหล่านั้นมีข่าวว่าได้เงินไปคนละหลายล้านบาท
ยาเสพติดจากมาเลเซียกับความร่ำรวยของสส.พรรคประชาธิปัตย์
ส่วนยาเสพติดอีกสายหนึ่งบางส่วนถูกผลิตในประเทศมาเลเซีย ส่งเข้าไทยที่ ต.มูโน๊ะ อ.สุไหโกลก จังหวัดนาราธิวาส มี สส.พรรคประชาธิปัตย์ นายสุรเชษฐ แวอะแซ และน้องชายนายสุรเชษฐที่ชื่อนายอาซิ แวอะแซ โดยคนผู้นี้เป็นหัวหน้ากลุ่มกองกำลังติดอาวุธ เป็นกลุ่มที่คุ้มครองการลำเลียงทั้งยาเสพติด อาวุธสงครามและน้ำมันเถื่อน จากนั้นก็ประสานงานในการขนส่ง โดยร่วมมือกับ รถของห้องเย็น แพปลาสมบัติ ในจังหวัดปัตตานี และยาเสพติดจากมาเลเซียนี้ จะขายกันในบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดสงขลาฯลฯ มักจะไม่ไม่ข้ามเขตไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี และพ่อค้ายารายใหญ่อีกคนหนึ่งในเขตนี้ มีชื่อว่านายเส่ง มีตำแหน่งเป็น สจ.นาราธิวาส ในปี 2553
สส.ส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ ส่วนใหญ่ล้วนร่ำรวยมาจากการค้ายาเสพติด เช่นนายอภิชาติ สุภาแพ่ง นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายถาวร เสนเนียม นายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ นายเทพไทย เสนพงษ์ นายสุรเชษฐ แวอะแซ นายนิพนธ์ บุญญามณี ฯลฯ โดย สส.พวกนี้ ที่มีกิจการค้าเป็นของตัวเองในธุรกิจอื่นๆ ก็ล้วนได้เงินทุนมาจากการค้ายาเสพติดและของเถื่อนทั้งสิ้น เช่นนายนิพนธ์ บุญญามณี ที่มีโรงงานผลิตปลาโอใหญ่โต และทีมฟุตบอลสงขลายูไนเต็ด
ส่วนที่ดินสวนปาล์มหลายพันไร่ ที่เนิน 491 ในอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ นายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ เป็นเจ้าของ ก็เป็นสวนปาล์มที่ได้เงินทุนมาจากการค้ายาเสพติดอีกเช่นกัน
ยาเสพติดกับตำรวจสายวัง
ผลประโยชน์ของยาเสพติดในเส้นทางสายนี้ นอกจากตัวใหญ่ๆในตำรวจภูธรภาค 5 และตำรวจในขบวนการแล้ว ราชินีสิริกิติ์ก่อนป่วยยังได้แบ่งให้กับตำรวจของวังคนอื่นๆอีกด้วยเช่น พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค และอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ
และในเส้นทางสายนี้มีอยู่ครั้งหนึ่งทีทางตำรวจได้ร่วมมือกับ โจ ด่านช้าง ในการขนยาเสพติด แต่โจ ด่านช้างพลาด ถูกตำรวจอีกสายไล่ตามจน โจ ด่านช้าง หนีไปติดอยู่ที่กระท่อมกลางน้ำ ในจังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีตำรวจล้อมไว้หมด ทำให้โจ ด่านช้าง ติดต่อขอมอบตัว เมื่อเป็นดังนั้น พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค จึงนำทีมเข้าไปควบคุมตัว แต่เมื่อถึงกระท่อมกลางน้ำ โดยตำรวจได้ใส่กุญแจมือทุกคนไว้แล้ว ทางพล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ก็ได้ออกคำสั่ง ให้ตำรวจยิงคนเหล่านี้ตายทั้งหมด จนเป็นข่าวใหญ่โตในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับมาแล้ว และการฆ่าอย่างเลือดเย็นและเหี้ยมโหดในครั้งนั้น หลายคนก็รู้ว่าเป็นการฆ่าปิดปาก แต่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะทุกคนก็รู้ว่า พล.ต.อ.สล้าง เป็นคนของในวัง
โจรในเครื่องแบบตำรวจ
ส่วนนายตำรวจอีกคนหนึ่งที่เป็นคนใกล้ชิดกับวังสายสิริกิติ์ คือพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ที่เป็นคนอุ้มฆ่านายอัลลู ไวรี นักธุรกิจซึ่งเป็นญาติกับกษัตริย์ซาอุ ที่มาตามสืบหาเพชร นอกจากนี้ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ยังมีอิทธิพลในเรื่องยาเสพติดและมือปืนรับจ้างในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ ทั้งการรับจ้างฆ่าและให้ความคุ้มครองขบวนการค้ายาเสพติดบริเวณชายแดน โดยเฉพาะที่อ.แม่สายและอ.เชียงแสนในจังหวัดเชียงราย
ในปี 2543-2544 พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ได้ค้ายาเสพติดโดยร่วมกับ นายมงคล จงสุทธนามณี อดีต สส. เชียงราย 8 สมัย พรรคชาติไทย-พรรคชาติพัฒนา และนายสำเริง บุญโยปกรณ์ อดีตผู้ว่าเชียงราย โดยใช้ลูกน้องไปคุมจุดต่างๆ เช่น พ.ต.อ.ทิวธวัช นครศรี คุมที่ อ.แม่สายและอ.เชียงแสน แต่ที่อ.แม่สาย มีกำนันและผู้ใหญ่บ้านไม่ยอมร่วมมือในการขนยาบ้าล๊อตใหญ่ ผ่านท่าน้ำทางการเกษตรของกำนันแดง (นายแสงสนิท ไชยศรี สามีเก่า ดาราสาวต่าย สายธาร นิยมกาจน์ ) แต่กำนันแดงกับลูกน้องที่ชื่อ ผู้ใหญ่แดงน้อย ไม่ยอม
ดังนั้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม จึงสั่งให้ พ.ต.อ.ทิวธวัช นครศรี และ พ.ต.ท.เรวัต ยืนธรรม ใช้ปืนติดกล้องลอบยิงกำนันแดง ที่บริเวณโครงการขุดลอกหนองป่าไร่ ท้ายหมู่บ้านปางห้า ต.เกาะช้าง ห่างจากชายแดนประมาณ 200 เมตร แล้วก็ทำคดีเองโดยยัดข้อหายาเสพติดให้กำนันแดง และในเดือนต่อมาตำรวจชุดเดิม คือพ.ต.อ.ทิวธวัช นครศรี และ พ.ต.ท.เรวัติ ยืนธรรม ก็ไปไล่ยิงผู้ใหญ่แดงน้อย ลูกน้องคนสนิทกำนันแดงตาย ในพื้นที่แม่กรณ์ อ.เมือง เชียงราย โดยยัดข้อหายาเสพติดให้ผู้ใหญ่แดงน้อยอีกเช่นเคย
ตำรวจโจรในพระบรมราชูปถัมภ์สั่งฆ่ารัฐมนตรี
พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ยังร่วมมือกับนายมงคล จงสุทธนามณี อยู่เบื้องหลังการตายอย่างมีเงื่อนงำของนายสันติ ชัยวิรัตนะ อดีต รมช.มหาดไทย เจ้าของฉายา รัฐมนตรีถนนควายเดิน ที่ไปแย่งประมูลการก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียในจังหวัดเชียงราย โดยมีนายสำเริง บุญโยปกรณ์ ผู้ว่าเชียงรายตอนนั้นรู้เห็นด้วย โดยมือปืนคือนายจำรัส ผ้าเจริญ (สมพงษ์พรรณ)หรือลุงหนวด ลูกน้องคนสนิทของนายมงคล จงสุทธนามณี และนายจำรัส มือปืนคนนี้ ก็คือคนที่นายหน่อคำใช้ให้ไปวางแผนร่วมกับทหารกองกำลังผาเมือง สังหารโหดพ่อค้าชาวจีน 13 คน บริเวณแม่น้ำโขง ช่วงอ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2554
ยัดยาเสพติดเพื่อแย่งเมีย
นอกจากนี้ ในปี 2544 มีกำนันคนดังแห่งอ.เชียงแสน ชื่อนายฤทธิรงค์ มานะมนตรี หรือกำนันตี๋ เป็นผู้ที่มีเมียสวยชื่อนางมล เป็นอดีตนางงามเชียงราย พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม จึงยัดข้อหาโดยตั้งข้อสงสัยว่ากำนันตี๋ เป็นผู้ลักลอบค้ายาเสพติด จึงสั่งให้ตำรวจวิสามัญกำนันตี๋ เพื่อที่จะแย่งเอาภรรยา แต่กำนันตี๋ไม่ตาย หนีไปอยู่กับครูบาบุญชุ่มที่ฝั่งพม่า ทำให้พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม วิสามัญลูกน้องกำนันตี๋ตายแทน เพื่อปิดคดีที่บริเวณห้างบิ๊กซี เชียงราย และเมียคนสวยของกำนันตี๋ก็ถูกตำรวจโจรสมคิดย่ำยีมาจนกระทั่งบัดนี้ ต่อมากำนันตี๋ได้กลับไทยโดยได้รับเลือกตั้งให้มาเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลเวียงเชียงแสน เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2550 และเปลี่ยนชื่อเป็นนายพลภพ มานะมนตรีกุล
เส้นทางที่สี่.. มาลีวัวปา-สบเปิง-แม่แตง-ดอยปุย-ภูพิงค์ราชนิเวศน์..
เส้นทางฝิ่นดิบ-เฮโรอีนและยาบ้าจากกลุ่มโกกั้ง และโดยบางส่วนก็มาจากโครงการหลวงในดอยอ่างขางและดอยแม่สลอง ในเส้นทางนี้ ทางวังเปิดโอกาสให้เป็นผลประโยชน์และรายได้แก่ทหารสายราชสำนัก เช่นบูรพาพยัคฆ์และวงศ์เทวัญโดยเฉพาะกลุ่มจงรักภักดีสายราชนิกูลจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ควบคุมกองทัพภาคที่ 3 และกองกำลังผาเมือง เพื่อการให้ผลประโยชน์ตอบแทน กองกำลังความมั่นคงแห่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่ ด้วยการควบคุมภาคเหนือตอนบนที่มีผลประโยชน์และความจงรักภักดีเป็นเงื่อนไข และการค้ายาในเส้นทางสายนี้ การขนส่งจะใช้รถทหารยีเอ็มซี การซื้อขายก็จ่ายเป็นทองแท่ง ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบชองของทหารไทยมาก
ความผูกพันระหว่างกองพล93กับกษัตริย์ภูมิพลและทหาร
โดยทหารเหล่านี้ได้มีการร่วมมือกับกองพล 93 กองทหารจีนคณะชาติพลัดถิ่นในอดีต ที่ดอยแม่สลอง โดยผู้นำกองพล 93 ในขณะนั้น มีนายพลหลุย อี่ เทียน นายพลเลา ลี นายพลต้วน ซีเหวิน โดยเฉพาะกษัตริย์ภูมิพลมีความสนิทสนมกับนายพลต้วน ซี เหวิน ที่มีชื่อไทยว่านายชีวัน คำลือ เป็นกรณีพิเศษ
ในส่วนของทหารไทยก็มีความสำพันธ์กับทหารกองพล93 มาตั้งแต่อดีต โดยร่วมกันค้าฝิ่นมาตั้งแต่สมัยจอมพลผิน ชุณหะวัณ พลเอกเผ่า ศรียานนท์ ต่อมาก็ยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยเฉพาะพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ก็เป็นเพื่อนสนิทร่วมค้ายาเสพติดกับขุนส่าพ่อค้ายาระดับโลก โดยเจ้ายอดศึกซึ่งเป็นหลานแท้ๆของขุนส่าก็รับช่วงต่อในการค้ายาเสพติดกับทหารไทยมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนพื้นที่ในการปลูกฝิ่นในประเทศไทย มีที่ดอยปุย-ดอยอินทนนท์-ดอยอ่างขาง-ดอยแม่สลอง-ดอยตุง-ดอยกิ่วฝิ่น-ดอยแม่ตะมาน-ดอยในจังหวัดแม่ฮ่องสอน-ดอยที่สันป่าเกี๊ย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ฯลฯ และการปลูกฝิ่นส่วนใหญ่จะปลูกโดยชาวเขาเผ่าแม้ว(ม้ง) เมื่อมีคนเข้าไปถามชาวเขาเหล่านี้ ว่าฝิ่นบนดอยเป็นของใคร ชาวเขาเหล่านั้นก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นของพ่อหลวง-แม่หลวง ซึ่งแน่นอนว่าฝิ่นทุกต้นบนดอยของประเทศไทย ถูกปลูกอยู่ในโครงการหลวงตามที่วังใช้มติของคณะรัฐมนตรียึดภูดอยมาทั้งสิ้น
ยาเสพติดก็ถูกกฎหมายได้ถ้าอยู่ในโครงการหลวง
และเพื่อเป็นการตบตาคนไทยและคนทั้งโลก โดยทางวังต้องการให้คนไทยรู้สึกว่าการปลูกฝิ่นเป็นเรื่องธรรมดาที่มีอยู่ในโครงการหลวง ทางสำนักพระราชวัง จึงจัดตั้งหอฝิ่นขึ้นมา ที่สามเหลี่ยมทองคำ โดยใช้ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์ บ้านฝิ่น มีโครงการวิจัยฝิ่น โดยใช้ข้ออ้างว่ามีวัตถุประสงค์ เพื่อให้คนไทยและนักท่องเที่ยวมาเรียนรู้และดูว่าฝิ่นเป็นอย่างไร
แต่แหล่งข้อมูลระบุว่าภายในบริเวณหอฝิ่นแห่งนี้ มีสถานที่ลับสำหรับเก็บรักษาฝิ่น มีการเจาะภูเขาขุดเป็นอุโมงค์และห้องใต้ดิน ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการเก็บรักษาและลำเลียงฝิ่นมาจากพวกโกกั้งทางฝั่งพม่า
โดยวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของ ทางสำนักพระราชวัง ที่ดำเนินการโดยโครงการหลวง ศูนย์สงเคราะห์ชาวเขา และการสร้างหอฝิ่นขึ้นมานี้ ก็เพื่อต้องการครอบครองฝิ่น และยังสามารถครอบคลุมไปถึงยาเสพติดอื่นๆ ได้อย่างถูกกฎหมายอีกด้วย สรุปว่าในประเทศไทย มีแต่โครงการหลวงอันเนื่องจากพระราชดำริเท่านั้น ที่สามารถครองครองยาเสพติดได้อย่างถูกกฎหมาย และนี่คือเลห์กลอันชาญฉลาดของกษัตริย์ภูมิพลและเคลือข่าย
นอกจากกษัตริย์ภูมิพล จะทรงมีพระอัจฉริยะภาพในการยึดเอาทรัพย์สมบัติของชาติ มาเป็นสมบัติส่วนตนแล้ว พระองค์ยังทรงมีพระอัจฉริยะภาพในการค้ายาเสพติดอีกด้วย
กองกำลังผาเมืองกับการค้ายา
นอกจากนี้ยังมีคดีที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังผาเมือง ในจังหวัดเชียงรายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ก็คือคดีที่ทหาร กองกำลังผาเมือง 9 นาย ที่นำโดย พ.ต.เชิดพงษ์ ช่วยบำรุง หน.ฝ่ายข่าวกรอง กองกำลังผาเมือง ได้ร่วมกับ นายหน่อคำ ราชายาเสพติดชาวพม่า เจ้าของฉายาโจรสลัดแห่งลุ่มแม่น้ำโขง กระทำการฆ่าหมู่ 13 ศพลูกเรือจีน บริเวณแม่น้ำโขง ช่วงอ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2554 ซึ่งคดีนี้เป็นที่สะเทือนขวัญและเป็นข่าวใหญ่โตในประเทศจีน ทำให้ชาวจีนโกรธแค้นมาก
โดยในคดีนี้การสอบสวนทั้งจากตำรวจไทยและจีนในตอนแรกมีทั้งพยานและหลักฐานชัดเจนว่า ทหารทั้ง 9 นายของกองกำลังผาเมือง ได้เป็นผู้ร่วมฆ่า 13 ศพ ลูกเรือจีน และได้มีการดำเนินคดี ทหารทั้ง 9 นาย โดยพล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.ที่เข้ามาดูแลคดีนี้แล้ว แต่แล้วข่าวก็เงียบไป โดยไม่มีแม้แต่ทางพนักงานสอบสวนจะส่งฟ้องในชั้นอัยการ
แต่เรื่องนี้ผู้เขียนบังเอิญได้รู้จักกับตัวแทนรัฐบาลจีนคนหนึ่ง ได้บอกกับผู้เขียนว่า การประชุมของพรรคคอมมิวส์จีนในระดับมณฑล และผู้บัญชาการทหารในนครปักกิ่ง ได้พูดคุยกันในที่ประชุมว่าจีนจะทำทุกวิถีทางในการนำตัวนายหน่อคำ และ 9 ทหารไทยมาลงโทษให้ได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย แต่แล้วเรื่องก็เงียบไป ต่อมาก็มีแต่นายหน่อคำและพรรคพวกเท่านั้นที่ถูกทางการจีนจับได้และสั่งประหารชีวิต
และข่าวที่เงียบไปในคดีทหารของกองกำลังผาเมืองนี้ ก็น่าจะมาจากการที่สิรินธรไปเยือนจีนด้วยตัวเอง หลังจากเกิดคดีนี้ไม่นาน โดยคนของรัฐบาลจีนที่บอกกับผู้เขียนในตอนแรกนั้น ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า ทางสิรินธรคงเองผลประโยชน์บางอย่างไปแลกกับรัฐบาลจีน เพื่อไม่ให้ทหารไทยต้องตกเป็นจำเลยไปด้วย
ทหารพยายามจะเปิดเส้นทางค้ายาเสพติดใหม่
นอกจากยาเสพติดใน 4 เส้นทางนี้แล้ว ทหารยังมีความพยายามที่จะเปิดเส้นทางค้ายาเสพติดใหม่ ขึ้นอีกหนึ่งช่องทาง คือช่องทาง ที่ติดกับพม่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และที่นี่ทหารก็ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งระจาน นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร และหัวหน้าอุทยานคนนี้ก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีสั่งฆ่าครูป๊อด หรือนายทัศน์กมล โอบอ้อม เมื่อวันที่ 10 กย. 2554 และผู้ต้องสงสัยในคดีการหายตัวไปของผู้นำกระเหรี่ยง
โดยครูป๊อดก่อนตาย ได้เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า นายชัยวัฒน์ร่วมมือกับทหารค้ายาเสพติดกับชนกลุ่มน้อยในพม่า
และสาเหตุที่เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกแบบ ฮิวอี้ - แบล็คฮอว์ก และ เบลล์ 3 ลำ ตกที่แก่งกระจาน ในวันที่ 17-19 และวันที่ 24 กรกฎาคม 2554 ตามลำดับนั้น เป็นการตกเพราะอุบัติเหตุเพียงลำเดียวคือ เบลล์ ที่ตกในวันที่ 24 แต่อีก 2ลำก่อนหน้านั้น ถูกชนกลุ่มน้อยยิงตก เพราะมีการหักหลังกันในเรื่องค้ายาเสพติด โดย ฮ.ลำแรกที่มีทหาร 5 คน ไปนั้น ถูกยิงตกในระยะต่ำ แล้วชนกลุ่มน้อยก็ฆ่าตัดคอ หลังจากนั้นก็วิทยุหลอกให้ทหารหน้าโง่ไทย นำเงินมาไถ่ตัว โดยไม่บอกว่าได้ฆ่าทหารทั้ง 5คนนั้นไปแล้ว พอ ฮ.ลำที่สองมีทหารไปกันทั้งหมด 8 นาย นักข่าวอีก 1คน ที่นำโดย พลตรี ตะวัน เรืองศรี นำเงินมาไถ่ตัว ก็ถูกชนกลุ่มน้อยหลอกมาฆ่าจนหมด โดยแทบทุกศพถูกตัดหัว
ซึ่งในเรื่องนี้นายทัศน์กมล โอบอ้อม หรือครูป๊อด นอกจากจะเล่าเรื่องการค้ายาเสพติดให้กับผู้เขียนแล้ว คงไปเล่าให้ให้คนอื่นๆได้รับรู้ด้วย เพราะโดยส่วนตัวครูป๊อดไม่ถูกกับนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พอเหตุ ฮ.ของทหารตกได้เพียงเดือนกว่า ครูป๊อด ก็ถูกยิงตาย และหนึ่งในผู้ต้องหาจ้างวานที่ตำรวจจับได้ก็เป็นคนขับรถของนายชัยวัฒน์ ซึ่งคาดว่าเป็นการฆ่าปิดปาก และคดีของนายชัยวัฒน์ และมือปืน ก็รอดกฎหมายไทยอีกเช่นเคย
ทักษิณประสพความสำเร็จในการทำสงครามกับยาเสพติด
ในสมัยนายกทักษิณ ได้มีการทำข้อตกลงระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ทำกับพวกว้า และนายกทักษิณก็ขอความร่วมมือกับจีน ให้จีนทำข้อตกลงระหว่างจีนกับว้า รวมทั้งมีการปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจังในประเทศไทย เช่นการขยายผลไปยึดทรัพย์ ทำให้พวกที่ค้าและเกี่ยวพันกับยาเสพติดรายใหญ่กลัวภัยจะมาถึงตัว จึงมีการสั่งฆ่าตัดตอนคนในขบวนการยาเสพติดกันเองเป็นจำนวนมาก จน บังรอน ลูกน้อง เหวย เซี๊ย กัง ประกาศออกเงิน 80 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าจ้างให้สังหารนายกทักษิณ และจากการปราบยาเสพติดอย่างจริงจังนี้เอง ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประสพความสำเร็จในการทำสงครามกับยาเสพติด
แต่มาบัดนี้ข้อตกลงทั้งหลายได้ถูกทำลายลงเสียแล้ว ด้วยขบวนการค้ายาเสพติดที่มีพ่อหลวงไทยเป็นหัวหน้า และยังไม่มีวี่แววว่าใครจะมาปราบขบวนการค้ายาเสพติดอันยิ่งใหญ่ในพระบรมราชูปถัมภ์นี้ได้ ก็เหลือแต่ประชาชนไทยเท่านั้น ที่จะสามารถปกป้องประเทศชาติและหยุดยั้งไม่ให้ลูกหลานไทยต้องตกเป็นทาสของยาเสพติด โดยการเปิดเผยข้อมูลความจริงว่า กษัตริย์ไทยคือหัวหน้าพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่สุดของโลก
ออกญา เพชรบุรี
29 กรกฎาคม 2557