Saturday, October 29, 2011

จากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้

จากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้แจ้งมาว่า โรเบิรต์ อัมสเตอร์ดัม มีจดหมายไปยังสำนักพระราชวังเพื่อขอให้กษัตริย์ ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับการตายของประชาชนในวันพฤษาอำมหิต เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของไทย บ่งบอกว่า กษัตริย์เป็นจอมทัพไทย แต่พฤติกรรม (ความจริง) ถึงแม้มีความฉลาดแกมโกง แต่ขี้ขลาดเสมอ เพราะไม่เคยออกมาชี้แจงเกี่ยวกับเหตุการณ์ใดๆ ในอดึตที่มีนักศักษา ประชาชนตายเป็นจำนวนมาก เพียงแค่ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงเท่านั้น และกษัตริย์ไม่เคยรับผิดชอบต่ออำนาจอันใหญ่ล้นฟ้าที่ตนรวบอำนาจไว้เพียงคนเดียว ///A reliable source has informed us that ROBERT AMSTERDAM has sent an official letter to the king of Thailand requesting a full explanation as to the death of innocent and unarmed people during the May Massacre. The urgent request was due to the fact that the current Thai Consitution specifies that the king is the SUPREME COMMANDER OF THE THAI ARMED FORCES. But in reality, though this king is cunning, he is very coward; he has never took responsibilities for his actions during the previous DEMOCRACY UPRISINGS in which so many unarmed student and freedom-loving demonstrators were killed by police and soldiers.
เอาแต่ความดีความชอบ เช่น รับเงินบริจาค รับปริญญาบัตรกิตติมศักดิ์ต่างประเทศที่ซื้อมา ออกค่าใช้จ่ายให้แก่เลขาธิการคนก่อนมอบประกาศนียบัตรเทิดพระเกียรติ ส่วนเรื่องแก้ไขปากท้องประชาชนไม่เกยแสดงความคิดเห็น หรือออกเงินให้กับเด็กที่ยากไร้ทั่วประเทศที่กำลังอดอยากเลยสักครั้ง มีแต่ใช้แต่วาทกรรมและมายากรรมเป็นประจำเท่านั้น ///Sutt Bod only takes but never gives such as forcing people to donate money under his name. Getting paid honorary degrees from foreign universities. Paid for Kofi Anan's trip to give him UN Certificate. When it comes to the welfare of the Thai people, he never gets involved whatsoever. He will not pay for school children lunches or anything who are so poor. He only uses cunning speech and phony acts to fool his people.
ประเทศบรูไน และประเทศซาอุ แม้ไม่ใช่ประเทศที่กษัตริย์ร่ำรวยที่สุดในโลก ให้การศึกษาฟรีกับประชาชนจนจบมหาวิทยาลัย ให้การดูแลรักษาพยาบาลฟรีกับประชาชนด้วยเช่นกัน ในขณะที่กษัตริย์ภูมิพลผู้ซึ่งร่ำรวยที่สุดในโลกกลับไม่เคยให้อะไรเลยกับประชาชน เป็นคำถาม ที่น่าคิดมากว่า ทำไมจึงแตกต่างกันมาก และที่น่าบัดซบที่สุด คนจนจน กลับต้องจ่ายภาษี และให้เงินบริจาคกับกษัตริย์และครอบครัวมาเป็นเวลาช้านาน จนพวกเจ้ารวยเอา รวยเอา แล้วคนไทยก็จนเอา จนเอา ลง และลงทุกวันน่าบัดซบจริงๆ ที่ฉวยโอกาสตีตัวว่า เป็นนายของข้าราชการในกระทรวงต่างๆ ทหาร ตำรวจ แทนที่จะสำนีกว่านายที่แท้จริงคือประชาชนผู้เสียภาษีให้กับพวกเจ้าและข้าราชการแค่คิดแตกต่างกับกษัตริย์เพียงนิดเดียวก็กลัวแล้ว เหมือนอยู่บ้านปีศาจ นี่หรือประเทศไทย
ไอ้สัตวนรกกษัตริย์ภูมิพลหน้าตัวเมีย ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศแต่อย่างไร ได้แต่ใช้วาทกรรมและมายากรรม เป็นกษัตริย์ที่หน้าด้านที่สุด แอบอ้างว่าทำโครงการโน้นโครงการนี้ ใช้ชื่อไพเราะให้คนงมงายว่าเป็นโครงการพระราชดำริ
กองทัพไทยใช้รถถังเพื่อใช้ในการข่มขู่ประชาชน ผู้เรียกร้องประชาธิปไตย และในการปฏิวัติเท่านั้น ไม่ใช่ใช้รถถังเพื่อปกป้องประเทศไทย////The Thai army owns tanks purely for the purpose of intimidating pro-democracy demonstrators and for staging coups and never for defending the country.
พ่อทำให้ประเทศล้าหลัง พ่อทำให้ประชาชนงมงายกับความเชื่อใจพ่อ แต่พ่อกลับหักหลังพวกลูก สร้างความร่ำรวย ภายใต้น้ำตาของลูกๆ พ่อรวยที่สุดในโลก แต่ลูกๆ ยังกินเผือกกินมัน พ่อนอนวัง แต่ลูกๆ ยังไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอน พ่อไม่ต้องจ่าย กะตังค์ แม้แต่ค่ากินค่าอยู่ ค่าน้ำค่าไฟ แต่ลูกๆ ไม่จ่ายถูกยึดหม้อ จ่ายภาษี อย่างเข้มงวดทำไมถึงฉลาดอย่างนี้ ภูมิพลใช้คำว่า “พ่อ” แล้วอ้างว่าอยู่ใต้กฎหมาย เมื่อครั้งเสื้อแดงพ่อควรปกป้องลูกๆ ของพ่อ แต่ท้ายสุดแล้วพ่อกลับสนับสนุนมาร์คฆ่าคนเสื้อแดง แล้วอดีตที่ผ่านมารอ อนุมัติการรัฐประหารให้ไอ้บังสนธิจนถึงเที่ยงคืน พ่อ ทำเพื่อพ่อต่างหาก ไม่ใช่ทำเพื่อลูก พ่ออยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหว อนาธิปไตยทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ดูหนังเรื่อง Bangkok Girl หนังสารคดีเกี่ยวกับ การต่อสู้ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพตัวเองของผู้หญิงไทย ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด แปดแสนกว่าคน ยอมขายตัวให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งชายไทยทั้งหลายที่เห็นแก่ตัว ร่างกายของพวกหล่อนเต็มไปด้วยโรคภัย นังแม่ปลาวาฬ ไม่สงสารลูกสาวทั้งหลายหรือ

นายประชาไทย 10/30/2011

สาระขันไทยแลนด์: คนเดินตรอก

สาระขันไทยแลนด์: คนเดินตรอก
วีรพงษ์ รามางกูร มติชนวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประชาธิปัตย์ต้องการปฏิรูป พรรคประชาธิปัตย์ก็เหมือนกับพรรคการเมืองอื่นที่ต้องถือว่าเป็นของประชาชน มิใช่ พรรค ของกรรมการบริหารพรรคหรือ สมาชิกพรรคเท่านั้น เพราะได้รับเงินจากภาษีอากรที่เก็บ จาก ประชาชนทั่วประเทศไปทำกิจกรรมของพรรค
เรื่องแรก พรรคต้องเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ว่า การเอาแต่คิดโค่นล้มคู่ต่อสู้ทุกวิถีทางนั้น ต้องเปลี่ยนใหม่ แม้ว่าตอนที่ก่อตั้งพรรคเมื่อปี 2489 พรรคประสบความสำเร็จในการโค่น ล้มพรรคแนวรัฐธรรมนูญและพรรคสหชีพ โดยการร่วมมือกับทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ จอมพลผิน ชุณหะวัณ และจอมพลป.พิบูลสงคราม ลงเลือกตั้งโดยการช่วยเหลือของทหาร ในเดือนมกราคม 2491 เป็นรัฐบาลอยู่ได้4เดือน
ก็ถูกทหารหักหลังจี้ให้ลาออก หลังจาก นั้นก็ไม่ได้อะไร จนเกิดกรณี 14 ตุลาคม 2516 เพราะทหารแตกคอกันเองไม่ใช่ฝีมือของ พรรค ทรรศนะที่ถูกต้องก็คือ ต้องสร้างผลงานในทางสร้างสรรค์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และการต่างประเทศ ในด้านการต่างประเทศประเทศเราใหญ่พอที่ผู้นำของเรา สามารถจะเป็นผู้นำของภูมิภาคอย่าง ดร.โมฮัมเหม็ด มหาเธร์ ได้ นำเห็นใจผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ส่วนมากเป็นทนายความ เป็นครู เป็นข้าราชการที่เกษียณ อายุแล้ว มีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จน้อย หัวหน้าพรรคแม้ว่าจะมีอายุพอสมควรแล้ว มี การศึกษาจากสถาบันชั้นนำของโลก แต่ไม่เคยทำงานรับผิดชอบจริง ๆ ข้อสำคัญอยู่ไป ๆ ถูกพรรคล้างสมองลืมหลักการทางปรัชญา กฏหมาย รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ เสีย สิ้น
ค้านทุกเรื่องที่ฝ่ายตรงกันข้ามทำ หรือฝ่ายตรงกันข้ามคิด ผลจึงออกมาในสายตา ประชาชน ว่าที่คิดที่พูดนั้น ตนเองก็ไม่ได้เชื่ออย่างนั้นเลยแต่พูดไปตามมติพรรคซึ่งล้าสมัยแล้ว เรื่องที่สอง เหตุที่พรรคมีทัศนคติในทางลบและไม่สร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา ก็เพราะพรรค ถูกครอบงำด้วยผู้นำรุ่นเก่าที่เคยประสบความสำเร็จโดยการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามที่เป็น รัฐบาลทหาร ขณะนั้น
ขณะนั้นโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นรัฐบาลไม่มี เพราะทหารกุมอำนาจ เบ็ดเสร็จเอาไว้ พรรคประชาธิปัตย์จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ดีที่สุด ผู้นำพรรค ซึ่งบัดนี้อายุ อยู่ระหว่าง 65-75 ปี จึงติดยึดอยู่กับยุทธวิธีแบบนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมีพรรคใหม่ที่ผู้นำพรรคเกือบ 100 คน มาจากคนที่มีประสบการณ์ทั้งทางธุรกิจและทาง ราชการ มีวิสัยทัศน์ยาวไกลทันต่อก
ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ ทำการบ้าน ว่าคนชั้นล่างซึ่งมีสัดส่วนที่สูงต้องการอะไร และสามารถทำอย่างที่ตนสัญญาไว้ตอบหา เสียง เลือกตั้งได้ พรรคประชาธิปัตย์จึงพ่ายแพ้อย่างยับเยินครั้งแล้วครั้งเล่าผู้นำพรรคก็ไม่ยอมรับ ความบกพร่องของตน แต่หลอกตนเองว่าพ่ายแพ้การเลือกตั้งเพราะฝ่ายตรงกันข้ามซื้อ เสียง
แต่ในกรณีที่ทหารและข้าราชการถูกสั่งให้มาช่วยอย่างเต็มที่ทั้งกำลังคน กำลังอำนาจ และกำลังเงินซื้อเสียงให้ แล้วยังแพ้อย่างยับเยินตนกลับไม่คำนึงถึง หลายคนบอกว่าแม้ ฝ่ายตรงกันข้ามไม่ซื้อเสียงเลยก็ยังชนะพรรคประชาธิปัตย์ สิ่งที่พิสูจน์ได้ก็คือ ผู้ที่ออก จากพรรคไทยรักไทยไปอยู่พรรคอื่นกลับสอบตกเป็นจำนวนมาก ทั้ง ๆ ที่มีกระสุนจาก ทหาร
มาช่วยจำนวนมาก เรื่องที่สาม ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์อาจแบ่งเป็นสองพวก พวกนักกฏหมายกับพวกครู จะ ไม่ค่อยยอมรับการเปลี่ยนแปลง กฏหมายระเบียบแบบแผนเป็นอย่างไรก็ถือเป็นคัมภีร์ให้ ข้า ราชการเป็นผู้แนะนำและชี้นำนโยบายในการทำงาน อีกพวกหนึ่งเป็นพวกที่มีผลประโยชน์ จึง ไม่ยอมให้คนรุ่นใหม่เข้าไปรับผิดชอบพรรคจริง ๆ ยังกุมอำนาจพรรคไว้ด้วยผลประโยชน์ส่วนฝ่ายตรงกับข้ามพูดเสมอว่า กฏหมายระเบียบแบบแผนเป็นเครื่องมือที่จะทำให้งาน สำเร็จ ประชาชนได้ประโยชน์ถ้ากฏหมายข้อบังคับเป็นอุปสรรคก็ต้องแก้ไข เพราะกฏหมาย ข้อบังคับระเบียบแบบแผนสร้างมาโดยมนุษย์ มนุษย์ย่อมสามารถแก้ไขได้ มนุษย์ต้องเป็น นายกฏหมายไม่ใช่ให้กฏหมายมาเป็นนายมนุษย์ข้าราชการไม่ใช่ผู้กำหนดนโยบายแต่เป็นผู้นำนโยบายของฝ่ายการเมืองไปปฏิบัติ กลับกัน กับวิธีคิดของประชาธิปัตย์ ผลงานของประชาธิปัตย์ในฐานะเป็นรัฐบาล ไม่ใช่ในฐานะของ ฝ่ายค้านจึงไม่ค่อยมีเป็นรูปธรรม ทั้ง ๆ ที่เคยร่วมรัฐบาลมาหลายยุคหลายสมัยเป็นเวลากว่า 15 ปีเคยถามเพื่อนฝูงชาวปักษ์ใต้ที่ภูเก็ต กระบี่ พังงา สุราษฎร์ฯ ว่าชอบผลงานของรัฐบาลพรรค ไหน ไม่มีใครบอกว่าผลงานของประชาธิปัตย์ดีกว่าคู่ต่อสู้ ทุกคนบอกว่าผลงานของรัฐบาล คู่ต่อสู้ดีกว่า แต่ที่เลือกประชาธิปัตย์เพราะพ่อแม่ปู่ย่าตายายเลือกประชาธิปัตย์ หรือที่เลือก ก็เพราะผู้นำพรรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายหัวเป็นคนใต้ เคยถามต่อว่าถ้านายหัวไม่อยู่แล้วจะเลือกอย่างไร ผู้ตอบก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันเอาไว้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยคิด พฤติกรรมการเลือก ส.ส.ของคนใต้ จึงต่างกับคนอีสานและคนเหนือ ที่เน้นว่า ส.ส.คนนั้น เคยทำประโยชน์ให้กับคนหรือชุมชนของคนแค่ไหน ส่วนในกรุงเทพฯ เลือกไปตามกระแส ที่สื่อมวลชนยัดเยียดให้ เพราะตนก็ไม่เคยได้ประโยชน์อะไรเป็นชิ้นเป็นอันจาก ส.ส.ของตน อยู่แล้ว เพราะตนเองก็มีเส้นสายโยงใยเองอยู่แล้วไม่เดือดร้อนเหมือนคนในต่างจังหวัด
เรื่องที่สี่ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถเข้าถึงหรือไม่พยายายเข้าถึงคนระดับล่างไม่ ว่าจะเป็นภาคอีสานภาคเหนือภาคกลาง และแม้แต่ในกรุงเทพฯ พรรคไม่เน้นที่จะสร้างผล งานแต่เน้นในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทุกวิถีทาง พรรคจึงกลายเป็นทาร์ซานพยายามจะ
ช่วยเจนนี่โดยการโหนเถาวัลย์ โหนกระแส และโหนทหาร แล้วให้เจนนี่คอยกอดเอว พอเจน นี่จับพลาดในที่สุดทาร์ซานก็ต้องป้องปากโห่อย่างโหยหวนลั่นป่า การทำตัวเป็นทาร์ซานจะไปถึงที่หมายโดยวิธีไหน จึงต้องละทิ้งอุดมการณ์ประชาธิปไตย อุดมการณ์ทางกฎหมาย ความถูกต้อง จารีต ประเพณีในการปกครองระบอบประชาธิปไตยร่วมมือกับทหารสร้างทางตันเพื่อเชื้อเชิญให้ทหารปฏิวัติ ทำลายรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พรรค ฝ่ายตรงกันข้ามถูกยุบ ให้นักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามถูกตัดสิทธิทางการเมือง จะต้อนพรรคการเมืองไม่ให้โต สร้างองค์กรอิสระที่ไม่มีใครตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นผลเสียกับตัวเองด้วยใน ระยะยาวแต่ก็ยอมทำ ทำให้พรรคเสียคะแนนจากผู้คนที่หัวก้าวหน้าและคนรุ่นใหม่อย่างน่า เสียดายการที่พรรคประณามนโยบายและโครงการที่เป็นประโยชน์กับคนระดับล่าง ทั้ง ๆ ที่อยู่ใน กรอบที่การเงินการคลังของประเทศรับได้ เพราะมีทุนสำรองระหว่างประเทศเหลือเฟือจน ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่อยากจะได้ว่าเป็นโครงการ”ประชานิยม” เท่ากับการทำลาย เลียงของตนเองกับคนระดับล่างทั่วประเทศและจำกัดตัวเองเพราะถ้าตนเองเป็นรัฐบาลก็คง ต้องทำหรืออาจจะทำมากกว่าเพราะที่ใช้หาหาเสียงสัญญาว่าจะทำมากกว่า เรื่องที่ห้า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคปิด มีระบบอาวุโสที่เหนียวแน่น สมาชิกใหม่ให้อยู่ ระดับล่าง หรือในสภาก็อยู่แถวหลังหรือที่อังกฤษเรียกว่า “Back Benchers” แต่อังกฤษผู้ นำพรรคที่นำพรรคไปแพ้เลือกตั้งจะลาออกเกือบหมดเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มาแทน แต่ ของเราไม่มีประเพณีอย่างนั้น สมาชิกรุ่นใหม่จึงไม่มีโอกาสมานำพรรค ผู้นำพรรคไม่มุ่งจะ ทำพรรคให้ชนะการเลือกตั้ง เพียงแค่ได้ ส.ส.มากเพิ่มขึ้นก็พอใจจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป แล้วส่วนฝ่ายตรงกันข้ามเน้นในเรื่องผลงานทางเศรษฐกิจของผู้ออกเสียง เน้นคะแนนนิยมในตัว ส.ส. เน้นการเมืองที่มีผลสำเร็จของการเลือกตั้ง เน้นทางด้านการหาเงินช่วยพรรค ซึ่งไม่ ต้องบอกก็คงเข้าใจ ดังนั้น จึงมีการสับเปลี่ยนตัวผู้นำพรรคระดับรอง ๆ ลงไปอยู่ตลอดเวลา พรรคฝ่ายตรงกันข้ามจึงสามารถ “ดูด” นักการเมืองให้เข้าพรรคได้มากขึ้นเสมอเพราะมา อยู่แล้วโอกาสชนะการเลือกไม่ใช่เพราะเงินอย่างเดียวอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์เข้า ใจ เรื่องที่หก พรรคไม่เคยหวังว่าจะชนะการเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว หวังแต่เพียงเป็นแกนนำของรัฐบาลผสม เมื่อหวังเพียงเท่านี้ก็ทำให้มีทัศนคติว่า ถ้าสามารถ ทำลายพรรคคู่แข่งไม่ให้ลงมาแข่งในการเลือกตั้งก็พอแล้ว ถ้าพรรครู้จุดอ่อนความสามารถในการสร้างนโยบายใหม่ ๆ ไว้ขายกับประชาชน ถ้าคิดไม่ ออกก็ขวนชวายหาบริษัทที่ปรึกษาที่ชำนาญการ แต่ก็ไม่มีความพยายามแต่ใช้วิธีสะกดจิต ตนเองว่า ตนเองเป็นฝ่ายเทพ ฝ่ายตรงกันข้ามเป็นฝ่ายมาร แท้จริงในงานการเมืองไม่มีใคร เป็นเทพไม่มีใครเป็นมารมีแต่ผู้ชนะกับผู้แพ้การเลือกตั้งเท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นจุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เสียภาษีอย่างพวกเราน่าจะมีสิทธิ์วิพากษ์ วิจารณ์และเสนอแนะให้แก้ไขปฏิรูปตนเอง เพราะผลการดำเนินงานของพรรคไม่คุ้มกับเงิน ภาษีที่รับไปจะโกรธจะเคืองอย่างไรก็ไม่ว่าเพราะไม่อยากเห็นเมืองไทยเป็นระบบการเมืองแบบพรรค เดียว ถ้าเมืองไทยเป็นการเมืองพรรคเดียวก็ต้องโทษประชาธิปัตย์อย่าไปโทษใคร คิดแล้ว อ่อนใจ

Wednesday, October 26, 2011

SCCกำไรQ3กระฉูด โชว์ยอด8.6พันล้าน :ยอดขายปูนซีเมนต์พุ่ง ธุรกิจปิโตรเคมีฟื้น!

SCCกำไรQ3กระฉูด โชว์ยอด8.6พันล้าน :ยอดขายปูนซีเมนต์พุ่ง ธุรกิจปิโตรเคมีฟื้น!
วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2554


ปูนใหญ่" ไตรมาส 3/54 โกยกำไร 8.6 พันล้านบาท โต 31% จากไตรมาส 3/53 และโต 15% จากไตรมาสก่อน อานิสงส์ยอดขายปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้น บวกธุรกิจปิโตรเคมีฟื้นตัว รับดีมานด์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีดีขึ้น หลังลูกค้าสต๊อกวัตถุดิบเพิ่มเพื่อผลิตสินค้าส่งมอบช่วงปลายปี โบรกฯแนะ "ซื้อ" เป้าหมาย 454 บาท



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 3/54 ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC แนวโน้มสดใส โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่า SCC จะประกาศกำไรสุทธิไตรมาสที่ 3/54 อยู่ที่ 8.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยบวกจากธุรกิจปูนซีเมนต์ที่มีปริมาณขายเพิ่มขึ้นเทียบกับ Low Season ในไตรมาสที่ 2/54 และกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ที่มีอุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ 2/54 เกิดจากกลุ่มลูกค้าเริ่มเก็บสต๊อกวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเพื่อผลิตสินค้าส่งมอบในช่วงปลายปี

โดยแนวโน้มค่าเฉลี่ย Spread ของผลิตภัณฑ์หลัก HDPE-Naphtha เพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 396 เหรียญต่อตันในไตรมาสที่ 2/54 มาที่ปัจจุบัน 441 เหรียญต่อตัน บันทึกค่าเผื่อด้อยค่าสต๊อกสินค้าในไตรมาสที่ 3/54 ลดลงเทียบกับการตั้งด้อยค่าสต๊อก Ethylene ประมาณ 1 พันล้านบาท ตามราคาในตลาดโลกที่ลดลงในช่วงไตรมาสที่ 2/54 กำไรพิเศษจากการทยอยขายหุ้น PTTCH ประมาณ 900 ล้านบาทในขณะที่ไม่มีกำไรพิเศษดังกล่าวในไตรมาสที่ 3/53 และไตรมาสที่ 2/54

สำหรับการเข้าซื้อกิจการถือว่าเป็นจังหวะที่ดีโดยที่ SCC ซึ่งเชี่ยวชาญในสาย Olefins สามารถใช้ประสบการณ์นี้ขยายการลงทุนไปในประเทศที่มีอัตราเติบโตสูงด เช่น อินโดนีเซีย และอาจรวมถึงภูมิภาค ASEAN ในอนาคต โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันที่ Spread ของผลิตภัณฑ์หลักแกว่งตัวอยู่ในระดับที่ต่ำ ซึ่งเราคาดว่าจะอยู่ในระดับนี้ไปจนถึงกลางปี 2555 และปรับตัวดีขึ้นชัดเจนในครึ่งปีหลัง จากภาวะอุปทานและอุปสงค์ในตลาดโลกที่ใกล้เคียงกันมากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งรอปรับประมาณการผลประกอบการจากการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นคาดว่ายังไม่ส่งผลบวกต่อ Equity Account ของ SCC ในปี 2554-2555 เนื่องจากภายหลังที่เข้าไปร่วมลงทุน SCC อาจจะต้องเข้าไปช่วยเหลือการปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น De-bottleneck โรงงาน Cracker เพียงแห่งเดียวของ CAP และเพิ่มผลิตภัณฑ์ Downstream ใหม่ๆ ให้ขึ้นมาใกล้เคียงกับธุรกิจของ SCC ในปัจจุบัน

ดังนั้น คงคำแนะนำ ซื้อ ประเมินมูลค่าพื้นฐานของหุ้น SCC ตามวิธี DCF เท่ากับ 400 บาท (Implicit P/E ที่ 14.7 เท่า) อิงสมมุติฐาน WACC 10.5% และ Terminal Growth Rate 3.5% และคาดการณ์อัตราตอบแทนเงินปันผลประมาณ 4% ต่อปีสำหรับผลประกอบการปี 2554-2555

ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิในปี 2554 ลดลง 12.5% จากปีก่อน จากบันทึกกำไรจากการขายหุ้นบริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH ในไตรมาสที่ 4/53 สูงถึง 1 หมื่นล้านบาท คาดหวังการเริ่มต้นฟื้นตัวของ Spread ของผลิตภัณฑ์หลักในธุรกิจปิโตรเคมีที่เริ่มต้นในไตรมาสที่ 3/54 และต่อเนื่องในปี 2555 เป็นปัจจัยหลักผลักดันผลประกอบการโดยรวมในปี 2555 ให้เติบโตในระดับที่ดี 16.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ประกอบกับแนวโน้มการขยายการลงทุนตามแผนงานเริ่มชัดเจนมากขึ้นภายหลังเข้าซื้อธุรกิจปิโตรเคมีในอินโดนีเซีย แม้ว่าจะยังไม่ส่งผลบวกในระยะสั้น แต่เราคาดว่าจะส่งผลบวกในระยะยาวได้ภายหลังที่ SCC ใช้ความเชี่ยวชาญในสาย Olefins เข้าไปปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า จากกรณีที่ SCC แจงผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยมีบริษัทย่อย 6 แห่ง ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะดิน และนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ที่ต้องหยุดการผลิตเป็นการชั่วคราว เนื่องจากน้ำท่วมโรงงาน ขณะที่บริษัทย่อยอีก 3 แห่งคือ 1.โรงงานของบริษัทกระเบื้องกระดาษไทย ที่ท่าหลวง สระบุรี 2. บริษัทผลิตภัณฑ์กระเบื้อง (ลำปาง) จำกัด และ 3. บริษัทปูนซีเมนต์ไทย (ท่าหลวง) ต้องหยุดการผลิตเป็นการชั่วคราว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการขาดวัตถุดิบสำหรับการผลิต แม้ว่าจะยังสามารถป้องกันน้ำท่วมโรงงานได้ก็ตาม

ทั้งนี้ ประเมินผลกระทบต่อยอดขายของ SCC ซึ่งจะนับรวมเฉพาะบริษัทที่ SCC ถือหุ้นมากกว่า 50% ว่าน่าจะทำให้ยอดขายในงบการเงินรวมของ SCC ลดลงราว 2 พันล้านบาท/เดือน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 6-7% ของยอดขายทั้งหมดของ SCC ขณะที่ผลกระทบต่อกำไรโดยรวม ทั้งในส่วนที่รับรู้ผ่านการจัดทำงบการเงินรวมและส่วนแบ่งกำไรตามวิธีส่วนได้เสีย น่าจะมีราว 200-300 ล้านบาท/เดือน

โดยหาก SCC หยุดการผลิตไปจนกระทั่งสิ้นปี 2554 ก็น่าจะกระทบต่อกำไรของ SCC ให้ลดลงประมาณ 600-800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2% จากประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิจัยที่ประเมินไว้ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังน้ำลด SCC น่าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างในการบูรณะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอาคารบ้านเรือนและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ โดยฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยกำหนด Fair Value ด้วยวิธี DCF จะให้ราคาหุ้นที่เหมาะสมอยู่ที่ 454 บาทต่อหุ้น

Saturday, October 22, 2011

ปัญหาน้ำท่วมบานปลายค่อนประเทศ

ปัญหาน้ำท่วมบานปลายค่อนประเทศ จะด้วยฝีมือธรรมชาติลงโทษ
หรือน้ำมือมนุษย์ ฉวยโอกาส(หรือผสมโรง) ช่วงธรรมชาติเอาคืนมนุษย์ทั่วโลก
(ที่ว่าบานปลาย เชื่อว่าคนคิดใช้น้ำสะกัดดาวรุ่งกะพอแค่ขัดขาล้างบางรัฐบาล
แต่มันลุกลามเกินความควบคุม พาเอาธุรกิจสารพัดชนิดของตัวเองบรรลัยไปเพราะน้ำด้วย
ไม่ใช่แค่ประชาชนที่เดือดร้อนงานนี้ อำมาตย์เจ็บหนัก 555 )

บ้านเราต่างจากบ้านอื่นตรงที่ผู้นำประเทศ ไม่ได้มีแค่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เท่านั้น นายกยังต้องฟังคำสั่ง(หรือป่าว) ผู้(พยายาม)นำประเทศบางคนอยู่

นาทีนี้ ใคร ๆ ทั้งประเทศไทยก็รู้ว่า ผู้นำประเทศที่ประชาชนคนไทยเลือกมาชื่อ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กว่าจะรับตำแหน่งทำงานได้ก็หืดขึ้นคอ ไม่ทันข้ามเดือน
ก็เจอ ต้อนรับน้องใหม่(ถอดด้าม) ด้วยน้ำ น้ำ ปริมาณมหาศาลและวิชามาร
สารพัดทั้งกั้นทั้งกันทั้งกัก น้ำไม่ให้ได้ระบายลงทะเลตามที่ควรเป็น

กักเอาไว้กันเอาไว้เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วย
กับผู้(พยายาม)นำประเทศ เข้าตำรา คนกำลังเสื่อมก็มักจะทำอะไรที่ไม่คิดว่ามันจะทำให้
ตัวเองเสื่อม สร้างความวิบัติให้กับตัวเองโดยรู้เท่าไม่ถึงการต้องการทำลายสร้างศัตรู (ประชาชน) กลับกลายเป็นหยิบยื่นความวิบัติให้กับตัวเองไปซ่ะงั้น 555


๑. สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในใจคนที่ได้รับความเดือดร้อน(ไม่ใช่แค่คนเสื้อแดง)
๒. เปิดตาให้ความสว่างแก่ประชาชน (เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้) ว่าด้วยเรื่องความโหดเหี่ยม
๓. เปิดตาให้ประชาชนเห็นถึงความโลภ เป็นผู้รับส่วนใหญ่ แต่ให้ส่วนน้อย รับล้านจ่ายร้อย
เอาบุญคุณพันล้าน
๔. เปิดตาให้ประชาชนเห็นความจงใจพยายามกรีดขว้างการบริหารประเทศของรัฐบาล
แผนสะกัดดาวรุ่ง -กักน้ำให้ท่วมขังอย่างจงใจ ไม่ปล่อยให้ระบาย
-ปล่อยน้ำเขื่อนอย่างจงใจให้วิบัติเดือดร้อน นอกจากไม่ยอมให้ระบาย

งานนี้ รัฐบาลของประชาชนที่มีผู้นำ ชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับไปเต็ม ๆ ความชอบธรรม
ความรักศัทธาจากประชาชน เพราะทุกคนก็เห็นว่าเธอพยายามบำบัดทุกข์ให้กับประชาชน
ถ้าไม่มีใครคอยขัดแข็งขัดขา เมื่อน้ำลด เธอจะสามารถบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ได้เต็มความสามารถ
ถึงจะได้แค่ผ่อนหนักได้แค่เบาๆ แต่ประชาชนที่ได้รับความทุกข์อยู่ขณะนี้ก็จะยิ่งเป็นกำลังใจเอาใจช่วย
ให้เธอทำงาน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผ่อนความทุกข์
( จากที่ประชาชน ได้ฝากความหวังว่า ได้เธอมาจะทำให้ลืมตาอ้าปากได้ ก็ต้องลำบากกันหนักกว่าเดิม เพราะความมืดบอดบังตาบังใจผู้(เคย)มีอำนาจ )

ขอเตือน ผู้(พยายาม)นำประเทศ ยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนมากเท่าไหร่ ความบรรลัย
ก็ยิ่งเปลี่ยนจากคืบคลาน ไปเป็นวิ่งเข้าหาพวกท่านเร็วกว่าที่คิด ยิ่งสายน้ำที่ท่านจงใจใช้เป็นเครื่องมือ
หรือไม่ก็ตามแรงเท่าไหร่ ทำลายล้างได้มากเท่าไหร่ ความร้าย ความแรงก็ย้อนกลับสู่ตัวท่านเท่านั้น