Tuesday, December 29, 2009

เจอเธอแล้ว! ดา ตอร์ปิโด หน้า 5 นิวยอร์กไทมส์

เจอเธอแล้ว! ดา ตอร์ปิโด หน้า 5 นิวยอร์กไทมส์
ประวิตร โรจนพฤกษ์
แปลและเรียบเรียงจาก
There She Was: Daranee Charnchoengsilpakul on The New York Times ประชาไท



ในหน้า A5 ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ฉบับวันที่ 29 สิงหาคม 2552 มีภาพขาวดำขนาดประมาณ 1x1 นิ้ว ของหญิงคนหนึ่ง เธอกำลังยิ้ม ตั้งท่าราวกับหญิงงามในภาพวาดอันโด่งดังของ เลโอนาร์โด ดา วินชี --โมนา ลิซ่า

แต่สิ่งที่ออกจะต่างกันอยู่สักหน่อยคือ เธอผู้นี้เพิ่งถูกตัดสินจำคุกถึง 18 ปีในข้อหา ดูหมิ่นกษัตริย์!

ใช่แล้ว เธอคือ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ดา ตอร์ปิโด”

“ประเทศไทย: หมิ่นกษัตริย์ -- ถูกจำคุก 18 ปี” คือพาดหัวข่าวของรายงานข่าว ยาวสองย่อหน้าของ The New York Times ชิ้นนี้ ซึ่งเขียนโดยโทมัส ฟูลเลอร์ ผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทย

(คุณสามารถอ่านข่าวเวอร์ชั่นออนไลน์ได้ที่นิวยอร์กไทม์

“นักเคลื่อนไหวทางการเมืองถูกตัดสินจำคุก 18 ปีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในข้อหาทำลาย “ชื่อเสียงและเกียรติยศ” ของกษัตริย์และราชินีไทย ซึ่งคดีนี้เป็นหนึ่งในอีกหลายคดีที่เกี่ยวกับการดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ผู้พิพากษาทั้งสามคนกล่าวว่า ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ผู้ซึ่งเป็นอดีตนักข่าว ได้กล่าวพาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ . . . [ผู้เขียนเซ็นเซอร์คำออกหนึ่งคำ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ] . . . รัฐประหารเพื่อล้มอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งดารณีกล่าวว่า เธอจะยื่นอุทธรณ์

“ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เข้มงวดมาเป็นเวลายาวนาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีวิกฤติทางการเมืองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผนวกกับความกังวลถึงพระพลานามัยของกษัตริย์ผู้ทรงเจริญพระชนมายุ 81 พรรษา กฎหมายนี้ก็ถูกนำมาบังคับใช้บ่อยจนเป็นเรื่องปกติ”

เมื่อได้อ่านข่าวนี้แล้ว คุณผู้อ่านที่รักเห็นว่าอย่างไรบ้าง

เพื่อนของผู้เขียนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหญิงชาวอเมริกันผิวขาว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของสหรัฐฯ กล่าวว่า ข่าวของดาทำให้เธอนึกถึงประเทศเกาหลีเหนือ

“มันตลกมาก . . . ฉันหมายความว่า มันทำให้ฉันขนลุก ในยุคนี้ เธอไม่น่าต้องเข้าคุกถึง 18 ปีเพราะการดูหมิ่นกษัตริย์”

“ล้าหลัง . . .”

“มันไร้สาระจริงๆ . . .”

“ยุคมืด . . . มันบั่นทอนประชาธิปไตย”

เธอขอที่จะไม่เปิดเผยชื่อ (เพื่อที่เธอจะได้มาพักผ่อนในช่วงวันหยุดในประเทศไทยได้อย่างไม่มีปัญหา)

คนต่อมา: เพื่อนร่วมงานหญิงชาวนิวซีแลนด์

“มันเป็นการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ฉันคิดว่า มันเป็นเรื่องน่าขัน และมันก็ได้ทำให้ประเทศไทยดูแย่มากๆ ในตอนนี้ ถ้า [มีกฎหมายอย่างนี้] ในประเทศอังกฤษ คนกว่าครึ่งประเทศคงต้องเข้าคุกไปแล้วกระมัง ฉันสงสัยว่า การมีกฎหมายแบบนี้ ราวกับว่าพวกเขา . . . [ผู้เขียนเซ็นเซอร์คำพูดของเธอออกไปสามคำ] . . .. เบื้องหลัง ถ้าพวกเขาเป็นกษัตริย์ที่ดีและเป็นบุคคลที่น่าเคารพยกย่อง ก็ไม่สำคัญเลยว่าใครจะพูดอะไร
มันเหมือนกับว่า . . . [ผู้เขียนเซ็นเซอร์คำไปสี่คำ] . . . ซ่อนอยู่”

เพื่อนร่วมงานชาวเม็กซิกันอีกคนหนึ่งกล่าวว่า
“ฉันคิดว่า มันเป็นเรื่องน่าอดสู จากมุมมองของตะวันตก มันเป็นความอัปยศอดสูของคนไทยที่ไม่สามารถพูด ... [ผู้เขียนเซ็นเซอร์คำหนึ่งคำ] ... ที่ได้รับรู้มาได้ และทำให้คำพูดเหล่านั้นเป็นที่รับรู้มากขึ้น พวกเขาจะทำลายตัวเองเพราะแบบนี้ การทำเช่นนี้ทำให้คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นมีพลังยิ่งขึ้น มันกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของการควบคุมทางสังคมไปแล้ว”

แต่ถ้าในที่สุดแล้ว ดาเลือกที่จะขอพระราชทานอภัยโทษ ดาก็ได้รับโทษจำคุกไปถึงหนึ่งปีแล้วใช่หรือไม่

เราต้องพิจารณาว่า กรณีของดายังคงทำให้อีกหลายๆ คนคิดว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นอุปสรรคต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และความเท่าเทียมภายใต้กฎหมายของระบอบ “ประชาธิปไตย” และมีผลเสียต่อความสามารถในการแสดงความคิดเห็น คิด พูด และเขียนของคนไทยมากน้อยแค่ไหน

หากถามต่อว่า กฎหมายหมิ่นบรมเดชานุภาพมีผลกระทบต่อสมองส่วนไหนของคนไทย นั่นก็คงต้องให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองเป็นผู้ตอบ แต่ถ้าถามคนไทยผู้มีใจรักเสรีภาพ รักการแสดงความคิดเห็นและความเท่าเทียมแล้วล่ะก็ พวกเขาคงต้องตอบว่า มัน “ทำร้าย” จิตวิญญาณของพวกเขาอย่างมาก

แม้ว่าบางสิ่งที่ดาพูดอาจจะหยาบคาย และอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หากแต่อนาคตจะเป็นเช่นไร ถ้าคนในสังคมถูกปิดปากและกดขี่ด้วยกฎหมายเช่นนี้

กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ยิ่งทำให้ความกลัวฝังรากลึกลงในสังคมไทย และยิ่งทำให้สถาบันกษัตริย์ถูกเชิดชูยกย่องอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งประชาชนไทยควรถามตัวเองว่า นี่คือสิ่งที่เขาสามารถหรือควรที่จะภูมิใจหรือไม่

ใครจะสามารถภูมิใจที่ประเทศเรามีกฎหมายอย่างนี้ได้ กฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรงเช่นนี้ ทำให้ประชาธิปไตยของไทยก้าวหน้าได้หรือ และกฎหมายนี้ได้ส่งผลเสียต่อการคิดวิเคราะห์ของคุณใช่หรือไม่



ประวิตร โรจนพฤกษ์ ได้ทุนจาก Kettering Foundation เพื่อไปทำวิจัยเรื่องประชาธิปไตยแบบเสวนาหาทางออก ณ เมือง Dayton รัฐ Ohio ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

Monday, December 28, 2009

ใครจะล้มเจ้า?

ใครจะล้มเจ้า?
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 30
27 ธันวาคม 2552

สมัยก่อนเขาใช้ข้อกล่าวหาคอมมิวนิสต์มาใส่ร้ายป้ายสีทางการเมือง เพื่อทำลายศัตรูคู่แข่งหรือคนที่ตัวคิดว่าเป็นภัยคุกคาม เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปใช้ข้อกล่าวหาว่าจะ “ล้มเจ้า” มาทำลายแทน


เพื่อสื่อสารว่ามีคนคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบที่ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นในเมืองไทย

แล้วก็แจ้งความ กล่าวหา ส่งสำนวน และสั่งฟ้องกันให้ชุลมุนไป ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เมื่อมวลชนใส่เสื้อเหลืองปรากฏตัวขึ้นอย่างดุดันก้าวร้าว มุ่งโค่นล้มรัฐบาลของฝ่ายประชาชนอย่างเป็นระบบและมีแรงสนับสนุนที่ดียิ่ง

จนต่อมามีการจับกุมคุมขังเกิดขึ้นหลายสิบรายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศตามการจุดชนวนนั้น

โชคดีที่การรณรงค์ของระบอบคอมมิวนิสต์ในระดับโลกสิ้นสุดลงไปพร้อมกับสงครามเย็น แต่น่าสนใจว่าข้อหาคอมมิวนิสต์ใหม่คือ “ล้มเจ้า” จะไปจบลงตรงไหน เนื่องจากเงื่อนไขที่ไม่เหมือนกัน กรณีคอมมิวนิสต์มีที่มาของเรื่องที่ชัดเจนและเป็นปรากฏการณ์ในหลายประเทศทั่วโลก แต่กรณีหลังขาดทั้งความชัดเจนทางกฎหมายและมีลักษณะครอบงำทางสังคมจนไม่ต้องถามเหตุผล

ที่สำคัญคือเป็นปรากฏการณ์เฉพาะตัวของเมืองไทยที่สังคมโลกกำลังจับตามองอย่างสงสัย

สถาบันพระมหากษัตริย์มีอยู่ในหลายประเทศ แต่ไม่ปรากฏว่าประเทศใดยกเรื่องนี้ขึ้นมาไล่ล่าขับเคี่ยวกันอย่างนี้

หลายประเทศไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแปลว่ากระไร ยกเว้นฝรั่งเศส ซึ่งก่อการปฏิวัติประชาชนโค่นล้มกฎหมายประเภทนี้โดยตรง เราจึงรับมรดกเก่าๆ ของเขามาเรียกกันว่า les majesty

แต่เอาเถิด เมื่ออุตส่าห์ขุดค้นมาใช้งานกันถึงขนาดนี้แล้ว ตั้งวงคุยกันสักหน่อยไม่เสียหายอะไรไปมากกว่านี้หรอกครับ

สิ่งสำคัญอย่างยิ่งในสถาบันพระมหากษัตริย์ของทุกประเทศทั่วโลกคือ พระราชอำนาจ

พระราชอำนาจนั้นมีหลายทาง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอำนาจทางการเมือง ซึ่งรวมทั้งพิธีการและงานเฉพาะกิจอย่างสงคราม อำนาจทางสังคม และอำนาจทางวัฒนธรรม ส่วนอำนาจทางเศรษฐกิจนั้นไม่มีมากนักในสถาบันกษัตริย์ของโลก

ข้อกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจึงแปลว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำการที่ถือว่าหมิ่นอานุภาพอันล้นพ้นและยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่าน
การหมิ่นพระราชอำนาจจึงเป็นหัวใจของเรื่อง
แต่คนที่มุ่งทำลายศัตรูเพื่อหวังผลทางการเมือง เขานำข้อกล่าวหาเรื่องการหมิ่นพระราชอำนาจมาขยายจนเป็นการล้มเจ้าหรือทำให้คนทั่วไปคิดไปถึงขนาดนั้น

คนละเรื่องกันแท้ๆ ก็เอามาคลุกเคล้ากันจนเกิดความเสี่ยงต่อสถาบันเอง ตามคำโบราณว่าเสี่ยงพระมหากษัตริย์

ข้อกล่าวหาว่า “ล้มเจ้า” หมายความว่ามีขบวนการอย่างเป็นรูปธรรมที่ทำงานยึดโยงกันเป็นหมู่คณะ มีแผน มีหน่วยปฏิบัติการอะไรต่างๆ มากมาย แม้กระทั่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ฟังดูน่ากลัวยิ่งนัก

แต่ผู้ที่ถูกกล่าวหา ถูกไล่ล่า และถูกจับกุมแต่ละราย กลับเป็นบุคคลเดี่ยวๆ ที่กระทำการต่างกรรมต่างวาระกันอย่างชัดเจนไม่มีความเชื่อมโยงกัน

หากขบวนการอย่างนี้มีจริง และผู้ที่มีหน้าที่ที่อ้างความจงรักภักดีทั้งหลายไม่นำออกมาให้สังคมได้เห็นเป็นประจักษ์ ก็เท่ากับว่าผู้ที่ขยันกล่าวหาคนอื่นนั่นเองที่เป็นตัวการสำคัญในเรื่องนี้ เพราะละเว้นไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญ

ส่วนข้อเสวนาเรื่องพระราชอำนาจนั้น มีความสำคัญต่ออนาคตของบ้านเมืองอย่างที่สุด เพราะจะนำไปสู่ทางออกทางการเมืองหรือจะสร้างปัญหายิ่งไปกว่านี้ก็ได้

พระราชอำนาจมิใช่สิ่งที่ทรงใช้โดยพระมหากษัตริย์เท่านั้น ยังมีผู้ที่ใช้พระราชอำนาจอย่างที่เรียกว่าทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธยอีกเป็นจำนวนมากในเมืองไทย เช่น ตุลาการผู้ขึ้นบัลลังก์ทำหน้าที่ “ศาล” ผู้มีอำนาจโยกย้ายข้าราชการระดับสูง องคมนตรี เป็นต้น

แม้กระทั่งพระบรมวงศานุวงศ์และคนทั่วไปที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้แทนพระองค์ในบางกรณี ก็ใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อยู่ในห้วงเวลานั้นๆ

รวมความแล้วพระราชอำนาจของกษัตริย์ถือเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจรัฐ

อำนาจรัฐคือเงื่อนไขสำคัญที่บอกเราว่า จะเขียนรัฐธรรมนูญและบังคับใช้รัฐธรรมนูญอย่างไรให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในรัฐ

รัฐธรรมนูญคือสิ่งที่ระบุว่าคนทุกๆ คนในรัฐนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น กษัตริย์กับราษฎร เจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน ข้าราชการทหารกับข้าราชการพลเรือน สิทธิและหน้าที่ของปัจเจกบุคคล เป็นต้น

ข้อเสวนาในเวลาอันควรเพื่อให้ประเทศชาติอยู่รอดได้ จึงต้องเกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะสามปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดการกล่าวอ้างพระราชอำนาจหรือแม้แต่สงสัยกันว่าแอบอ้างพระราชอำนาจบ่อยครั้งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

จริงหรือปลอมก็ถือว่ามีผลกระทบในทางลบทั้งนั้น เพราะการเมืองที่แล้วมาสามปีเป็นแบบ “ขวาพิฆาตประชาธิปไตย” ใครรับอุปถัมภ์ไว้เป็นซวยทุกคน ไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น

จึงขอเตือนมายังคนที่ชอบกล่าวหาคนอื่นเรื่อง “ล้มเจ้า” ว่า หากเจตนาคือการรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ จงหยุดการกระทำเช่นนี้ในทันที แต่ถ้าเจตนาเร้นลับคือการทำให้สถาบันฯ เสียหาย ก็ขอให้คณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ พิจารณาโดยใช้สติปัญญาอย่างแยบคาย หรือ โยนิโสมนสิการ

ขนาดยอมให้โจรมาจัดงานที่เรียกว่ามหามงคล จะช่วยเสริมหรือทำให้ทรุด ใช้พุทธปัญญากันเอาเอง.





ปกป้องสถาบัน?-นับแต่สนธิ ลิ้มทองกุล และขบวนการเสื้อเหลืองใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อชัยชนะของตนเอง และอ้างว่าปกป้องสถาบัน ทั้งกล่าวหาว่าทักษิณและฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยต้องการล้มสถาบัน ก็ทำให้กระทบกระเทือนต่อเบื้องสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
v
v
v

Tuesday, December 15, 2009

ใครกันแน่..ที่พวกเราควรปกป้อง???!!!!!!!]

ใครกันแน่..ที่พวกเราควรปกป้อง???!!!!!!!]
สำหรับผม การเปรียบเทียบแบบนี้ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเข้าใจอะไรมากขึ้น
ยิ่งทำให้ผมเห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างชนชั้นมากขึ้น

ในทางกลับกัน เป็นไปไม่ได้เชียวหรือ ที่ประชาชน หรือคนอย่างเราๆ
จะสามารถชื่นชมใคร ยกย่องใคร และเทิดทูนใคร ที่เป็นคนธรรมดาสามัญ (อย่าง
ดร.ทักษิณ)

ที่ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง
ที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นผู้วิเศษสำหรับใครบางคน
คนที่เคยลำบากมาอย่างเรา ธุรกิจเจ๊ง ทำอะไรผิดพลาด ล้มแล้วสู้ใหม่
เหมือนอย่างเราๆ

มันจะผิดถึงขั้นที่ไม่สามารถอยู่เป็นผู้เป็นคนได้เชียวหรือหากไม่ได้รักเทิดทูน
ในสิ่งที่เราเองก็ไม่รู้ว่าเค้าเป็นใคร แต่ถูดยัดเยียดให้ต้องรัก
เราจะเท่าเทียมกันไม่ได้หรือ?

ประชาชนตาสว่างแล้ว.. ผมก็เช่นกัน
เราควรอยู่ในประเทศที่เราทุกคนมีสิทธิจะคิด ไม่ใช่ห้ามคิด ไม่ใช่หรือ?
เราควรอยู่ในประเทศที่มีกฎหมายเป็นกติกา ไม่ใช่คนของข้า ทำผิดไม่เป็นไร?

ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของประเทศ?
ที่พวกคุณมีกินอยู่อย่างสุขสบาย ค่าน้ำไฟไม่ต้องเสีย มีเงินเดือน
เดือนละมากๆ
มีทุกคน ลูกหลานเกิดมาก็ได้ร่ำเรียนในโรงเรียนแพงๆ อยากทำอะไรก็ทำ
อยากเป็นอัจฉริยะทางด้านไหนก็ได้ อยากได้เกียรตินิยมก็เอาเลย
ทุกอย่างได้หมด โดยไม่ต้องสนว่าประชาชนจะเหนื่อยยากยังไง
และเขาเหล่านี้ เคยทำมาหากินอะไรมั๊ย??

การเปลี่ยนแปลงเท่านั้น..
คือสิ่งที่ผมต้องการ


กลุ่มเรดไทย+นปชusa

Monday, December 14, 2009

ตีแผ่! วิธีการที่แกนนำ พธม. ใช้ในการชี้นำกองเชียร์ เปิดเผยเบื้องลึก

ตีแผ่! วิธีการที่แกนนำ พธม. ใช้ในการชี้นำกองเชียร์ เปิดเผยเบื้องลึก
แบบที่กองเชียร์ไม่เคยรู้มาก่อน
โดย เม็ดหินสีน้ำเงิน
ท่านเคยสงสัยหรือไม่ เหตุใด บุคคลรอบข้างท่าน โดยเฉพาะชนชั้นกลาง
ถึงได้เชื่อ พธม.แบบทุ่มสุดตัว
แม้กระทั่งบุคคลระดับที่สามารคเรียกได้ว่าเป็น ปัญญาชน เหตุใดถึงได้คลั่ง
พธม. เสียมากมาย

ผมจะตีแผ่ วิธีการ ที่แกนนำ พธม. ใช้ในการปลุกปั่นมวลชนคนเสื้อเหลือง
ให้หลงเชื่อ ถวายตัว ถวายหัว ทุ่มสุดตัว ทุ่มสุดใจ จากประสบการณ์
ที่เฝ้าดูพธม. ติดตามความเคลื่อนไหว และวิธีการที่ใช้ตลอดมา.

สนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนโดยหน้าที่ บุคคลคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดา
เรื่องทฤษฎีการสื่อสารมวลชน เขาได้นำมาใช้แทบทุกแง่มุม
ไม่ เว้นแม้แต่ สิ่งที่เป็นด้านมืดของสื่อมวลชน
เขาไม่ลังเลที่จะหยิบมันมาใช้
ถ้ามันเป็นวิธีที่ทำให้ไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ เขาจะใช้มันโดยทันที

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เคยกล่าวไว้ว่า
"If you tell a big enough lie and tell it frequently enough, it will
be believed."
"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ"

นี่คือหลัก นี่คือหัวใจที่ สนธิ ใช้ในการปลุกปั่นมวลชนมาโดยตลอด จาก
นั้นก็ใช้การโฆษณาชวนเชื่อ(propaganda) เพื่อที่จะสร้างระบบจิตวิทยามวลชน
อุปาทานหมู่ เพื่อชี้นำความคิดมวลบชนไปยังความต้องการของตน

เทคนิคการโฆษณาชวนเชื่อ(Propaganda Techniques) อาจสรุปลงง่ายๆ 7 ข้อ ได้แก่

1. Ad Hominem : โจมตีตัวบุคคล
สร้างศัตรูบุคคลขึ้นมาเป็นหุ่นรับการโจมตีหลัก แล้วจับผิด โจมตี ด่าทอ
ต่อว่า ทั้งเรื่องส่วนตัว
และคำพูดทุกคำพูดของคนๆนั้น
รวมถึงการสร้างภาพให้ฝ่ายศัตรูที่ตั้งขึ้นมาโจมตีเป็นปีศาจร้าย
เปรียบเทียบกับความชั่วร้ายในโลกทั้งมวล
ทั้งในพระคัมภีร์ศาสนาและประวัติศาสตร์

ตัวอย่าง เช่น การโจมตีทักษิณว่าต้องการโค่นล้มสถาบัน
การลากโยงว่ามีความสัมพันธุ์ในเชิงชู้สาวกับนักร้องรุ่นลูก การว่าเป็น:-)
เป็นเทวทัตกลับชาติมาเกิด

2. Ad nauseum : พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก มีสุถาษิตไทยบทหนึ่งว่า
"อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว"

กระบวนการปราศัยของ แกนนำ พธม. จะมีวิธีการหนึ่งเรียกว่า
พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก โจมตีจุดเดียวในแต่ละวันที่ขึ้นเวที
เดี๋ยวมันก็เชื่อเอง
วิธีการ พธม. จะใช้คนพูดในระดับรองๆ ที่ไม่ได้เด่นดังมากนัก
ขึ้นพูดในช่วงเย็นๆก่อน เพื่อหยั่งกระแสดูท่าทีว่ากองเชียร์รู้สึกอย่างไร
ถ้า มีแนวโน้มว่าจะเชื่อเรื่องไหน วันนั้น คนพูดระดับแม่เหล็กคนต่อๆ มา
ก็จะพูดเรื่องนั้นซ้ำไปซ้ำมา กันทุกคน แต่จะทำให้ดูเหมือนมีระบบ ก็คือ
แต่ละคนจะพูดเรื่องเดียวกัน แต่คนละแง่ เช่นในแง่ของสังคม
ในแง่ของเศรษฐกิจ ในแง่ของวัฒนธรรม แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่
"เป็นการพูดเท็จ ซ้ำไปซ้ำมา" จนกระทั้งทำให้ความคิดของกองเชียร์เปลี่ยนไป
เช่น จากคิดว่า "ไม่ใช่" กลายเป็น "ลังเล" เข้าสู่ "ไม่แน่ใจ 50 50"
ผันไป "น่าจะใช่ 80 20" สุดท้าย "ใช่แน่ๆ 100%"

3. Big Lie : โกหกคำโต โยเซฟ เกิบเบิลส์(1897-1945)
รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการ(minister of propaganda) มือขวาของฮิตเลอร์
กล่าวว่า
"The bigger the lie, the more it will be believed."
"ยิ่งโกหกคำโตเท่าไร, มันยิ่งน่าเชื่อไปเท่านั้น" และ
"The great masses of people will more easily fall victims to a big lie
than to a small one."
"ฝูงชนมหาศาลถูกหลอกด้วยการโกหกเรื่องใหญ่ ง่ายกว่าโกหกเรื่องเล็กๆ"
การ โกหกเรื่องเล็กๆที่มีรายละเอียดปลีกย่อย อาจมีผู้จับโกหกได้ง่าย
แต่การโกหกเรื่องใหญ่ๆเพื่อหลอกให้เชื่อ
มันย่อมครอบคลุมเรื่องต่างๆหลากหลาย อย่างน้อยต้องมีข้อใดข้อหนึ่งที่
ถูกจริตผู้ฟัง และเมื่อคนพูดพูดในสิ่งที่คนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว
เขาก็พร้อมจะยอมเชื่อโดยดี แม้ว่าคำโกหกเรื่องใหญ่นั้น จะเท็จครึ่ง
จริงครึ่ง หรือไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริงอยู่เลย

ตัวอย่าง ที่เห็นได้ชัดก็คือ ปฏิญญามือถือ เรื่องที่ฮาสุดคลาสิค
"ปฏิญญาฟินแลนด์" เป็นเรื่องที่โกหกได้ยิ่งใหญ่
แต่แหกตากองเชียร์ได้ผลมากมาย เกิดผลกับสังคมได้อย่างรุนแรงพอสมควร
กินเวลาอยู่หลายอาทิตย์ กว่าจะมีการออกมาแก้เกมส์ ว่าจริงๆ มันเป็นเรื่อง
"โจ๊กใส่ไข่ ใส่ผักชี" ลอง ดูปัจจุบันซิครับ มีใครคนไหนในแกนนำ พธม
กล้าเอ่ยเรื่องนี้บ้าง มีกองเชียร์คนไหนกล้าถกเรื่องนี้บ้าง แต่ละคน
"ทำเป็นลืม กันเสียหน้า" ว่าพลาดที่ไปเชื่อ

4. Name calling : สร้างสมญานาม การสร้างชื่อแทนใช้เรียกย่อๆ ง่ายๆ
และตีความได้เข้าข้างตัวเอง หรือสร้างภาพเสียหายให้ศัตรู
เป็นเทคนิคของการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง

เช่น ระบอบทักษิณ ทุนนิยมสามานย์ หรือแม้แต่กระทั่งชื่อ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ฟังดูดี ฟังว่าทำเพื่อประชาธิปไตย
ทั้งๆ ที่การกระทำนั้น ทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างรุนแรง


5. Black and White fallacy : ตรรกะผิด-ถูก แบบขาว-ดำ ผู้โฆษณาชวนเชื่อ
ต้องสร้างภาพการแบ่งแยกฝ่ายถูกผิดชัดเจนเป็นสีขาว-ดำ
ใครเข้าข้างจะเป็นฝ่ายถูกฝ่ายธรรมะ
ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกผลักไปเป็นฝ่ายผิด เป็นฝ่ายอธรรมทันที
ในความเป็นจริงแล้ว เรามีแต่สีเทา จะเทามากหรือเทาน้อย
ก็แล้วแต่ว่าเงื่อนไขใด ในทางอุดมคติเราต่างก็แสวงหาความดี
ความถูกต้องตาม หลักคำสอนทางจริยธรรมและศีลธรรมอยู่เสมอ
เมื่อแกนนำให้เข้าร่วมกับความถูกต้องชัดเจนย่อมไม่แปลกที่
จะหลงเชื่อในสิ่งที่แกนนำกล่าวอย่างง่ายดายและอาจไม่ฉุกคิดเลยว่า
สิ่งที่แกนนำพูดไม่ตรงกับการกระทำอย่างใดเลย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด "เราทำเพื่อพ่อ เราทำเพื่อสถาบัน
ใครไม่อยู่ข้างเรา มันผู้นั้น ทรยศต่อชาติ ราชบัลลังค์ ใช่ไม่ใช่พี่น้อง"
ทั้งๆ ที่ไม่เคยอะไรเชิงสร้างสรรค์ ในการแสดงออกเรื่องการรักสถาบัน
การรักชาติ ขนาดขบวนเสด็จยังไม่ให้ผ่าน ม๊อบไม่หลีกทางให้

6. Flag Waving, Beautiful thing, and Great People reference :
ชูธงสูงส่ง อ้างสิ่งสวยงาม ตามหลักมหาบุรุษ
การโฆษณาชวนเชื่อนั้นจะอ้างตนเองและกลุ่ม แนว คิดของตน ให้ดูยิ่งใหญ่
สูงส่ง อลังการ มีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ด้วยคำพูดและป้ายประกาศ
ใช้ข้อความที่ดูดี อ้างอิงสิ่งเหนือธรรมชาติหรือนามธรรมที่คนยอมรับว่าดี
เช่นเทพเจ้า พระเจ้า เทพยดา อ้างแนวทางของบุคคลในประวัติศาสตร์
ศาสดาที่ยิ่งใหญ่ เช่น พระพุทธเจ้า พระมะหะหมัด พระคริสต์ มหาตมะคานธี
อับราฮัม ลินคอล์น อ้างพระคัมภีร์ของศาสนาต่างๆ ฯลฯ แต่
การอ้างดังกล่าวแตกต่างไปจากการเผยแผ่หรือโน้มนำที่ดีตามปกติ
ด้วยว่าการโฆษณาชวนเชื่อ
จะนำภาพลักษณ์ที่ดูสูงส่งสวยงามเหล่านั้นมาบิดเบือนให้เข้าข้างแนวคิดของตน

ตัวอย่าง เช่น สนธิอ้างว่า ได้นั่งทางใน เป็นผู้วิเศษ ปะพรมน้ำมนต์
เพื่อให้ภาพลักษณ์ตัวเองดูเป็นผู้วิเศษ
ตอกย้ำความเชื่อสาวกให้ศรัทธาเลื่อมใส และ
แกนนำพธม.มักจะอ้างหลักทางพุทธศาสนา ว่าพวกพธม. เป็นกองทัพธรรมที่สูงส่ง
แต่ทักษิณเป็นซาตาน เป็นเทวทัต กลับมาชาติมาเกิด แบบนี้อยู่เนืองๆ


7. Disinformation by mass media : ควบคุมกำจัดข้อมูลผ่านสื่อสารมวลชน
การ บอกข้อมูลไม่ครบ บอกความจริงไม่หมด
เลือกแต่เฉพาะข้อมูลหรือข่าวที่ส่งผลดีต่อฝ่ายตนเอง ใช้การอ้างนอกบริบท
หรือนำคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาแต่งเติมเสริมเข้าไปให้ดูดี
ยิ่งใช้สื่อมวลชนที่เข้าถึงคนหมู่มาก ยิ่งบอกผ่านกันไปปากต่อปาก
และยิ่งดูน่าเชื่อถือ หลายๆคนพอตั้งข้อสงสัย ก็ถูกตอบว่า
"ก็ทีวีว่ามาอย่างนี้" "ก็นักวิชาการท่านโน้น ท่านนี้บอกมาอย่างนี้"

วิธี นี้เป็นวิธีที่ แกนนำ พธม.ใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะเรื่องการบอกไม่ครบ
แม้กระทั่งปัจจุบันยังนำมาใช้ในการบิดเบือนข่าวสาร โดยไม่ลงเนื้อหาให้ครบ
ทำให้คนเข้าใจผิดแม้กระทั่งในม๊อบ ก็ยังใช้วิธีการบอกต่อ แบบปากต่อปาก
ว่าแกนนำได้รับการสนับสนุนจากคนโน้นคนนี้ ว่าทักษิณทำอย่างโน้นอย่างนี้
แบบที่พูดบนเวทีไม่ได้พธม. จะมีหน่วยหน้าม้า กระจายข่าวในกลุ่ม
ในหมู่กองเชียร์ เพื่อชี้นำความคิดไปในทิศทางของตน

วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับกองเชียร์ พธม.
ที่หลงเชื่อเป็นอันมาก
มัน ทำให้ตรรกะของกองเชียร์บิดเบี้ยวโดยไม่รู้ตัว
กองเชียร์จะเห็นคนอื่นที่ไม่ใช่ พธม. ด้วยกัน เป็นคนผิดหมด เป็นคนโง่
รู้ไม่เท่าทันเหมือนตนหนักเข้า กองเชียร์ก็จะโดนแกนนำโน้มน้าวว่าให้ปิดหู
ปิดตา ไม่ต้องดูสื่ออื่นๆ นอกจากสื่อที่แกนนำบอกให้ดู
ซึ่งกองเชียร์ก็เชื่อ ดูข่าวจากแหล่งเดียวและเชื่อโดยทันที
หรือแม้กระทั้งกองเชียร์บางคนกลาย เป็นคนใช้ถ้อยคำหยาบคาย ด่าทอ เสียดสี
คนที่ไม่เห็นด้วย ทั้งๆที่ไม่เคยมี พฤติการ หรือนิสัยหยาบคายมาก่อน
กองเชียร์พร้อมบริจาค ทุ่มเททั้งกำลังกายและทรัพย์สินให้กับแกนนำ
โดยไม่เหลือให้ตัวเองและครอบครัว ไม่คิดหน้าคิดหลัง ให้จนสุดตัว
บ้าจนหมัดตัว ทุ่มจนสุดใจ ซึ่งกว่าจะรู้ตัว สิ่งแวดล้อม สังคม
เพื่อนฝูงของกองเชียร์แฟนพันธุ์แท้เหล่านี้
ก็จะเหลือเพียงคนที่เป็นกองเชียร์ด้วยกันเท่านั้น เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง
ที่เคยคบหากันด้วย ต่างก็หลบลี้หนีหน้า

มันช่างน่าสงสารเสียจริงๆ รักชาติจนป่นปี้ รู้ทันจนบรรลัย...

*ข้อสังเกต บรรดาแฟนพันธุ์แท้ของ พธม. ที่หลงเหลืออยู่ พวกเหนียวแน่น
จะมีคุณสมบัติหนึ่งที่คล้ายคลึงกันคือ เป็นพวก รู้แบบครึ่งๆ กลางๆ
รู้ไม่จริง ซะเป็นส่วนมาก และใครแตะต้องวิจารณ์แกนนำไม่ได้เด็ดขาด
จะต้องปฏิบัติการโต้ตอบแบบอดรนทนไม่ไหว ตามแต่วิธีการ

Saturday, December 12, 2009

ที่ปรึกษากษัตริย์"นโรดม" ชำแหละปมร้าว"ไทย-กัมพูชา" จาก"อดีต"ถึง"ปัจจุบัน"

ที่ปรึกษากษัตริย์"นโรดม" ชำแหละปมร้าว"ไทย-กัมพูชา" จาก"อดีต"ถึง"ปัจจุบัน"
หมายเหตุ - บทความดังกล่าวเป็นการแสดงความเห็นของนายฮูลิโอ เฮลเดรส ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอดีตผู้ช่วยพิเศษและเลขานุการส่วนพระองค์ รวมถึงผู้เขียนพระราชประวัติของกษัตริย์นโรดม สีหมุนี ของกัมพูชา และเอกอัครราชทูตพิเศษของกัมพูชา ซึ่งส่งถึงเว็บไซต์ Khmerization แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาในปัจจุบัน "มติชน" เห็นว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจและช่วยให้ได้เห็นมุมมองอีกด้านหนึ่งจากผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจ และมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และพัฒนาการของการเมืองกัมพูชาเป็นอย่างดี


ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทย

ผมเกรงว่าการถกเถียงกันเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับไทยมาถึงจุดที่กลายเป็นเรื่องเหลวไหลน่าหัวเราะไปเสียแล้ว และมันไม่ได้ช่วยให้เราสามารถประเมินสถานการณ์ที่แท้จริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้ รวมถึงไม่อาจมีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับพัฒนาการทั้งหมด

เพื่อเป็นการเริ่มต้น ผมขอชี้ให้เห็นว่า ผมไม่ได้มองว่าบล็อกของพวกคุณจัดอยู่ในจำพวก "ชาตินิยมสุดโต่ง" แม้ว่าบางครั้งจะมีการแสดงความเห็นบางอย่างที่ก้าวร้าวต่อผู้อื่น ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ความเห็นบางอย่างแสดงให้เห็นถึงการขาดซึ่งความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายละเอียดของเหตุการณ์บางอย่าง ซึ่งอาจทำให้ผู้คนไม่ได้เข้าถึงความเห็นของผู้ที่มีข้อมูล ซึ่งถูกต้องครบถ้วนอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ดี กลับมาดูปัญหาความยากลำบากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทย เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องใช้เหตุและผลและจิตใจที่สงบ เพื่อที่จะประเมินสถานการณ์และหาทางออกจากปัญหาดังกล่าว ในการนี้ ผมเห็นว่าเราต้องมองย้อนกลับไปถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์บางประการ ซึ่งบ่อยครั้งมักจะถูกละเลยหลงลืม

1) ไทยและกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนชิดติดกัน ความพยายามใดๆ ที่เป็นไปได้ของผู้นำสองประเทศ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ฉันมิตรย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งไทยและกัมพูชา

2) เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ไทยไม่เคยยอมรับคำพิพากษาของศาลโลก เมื่อปี 2505 ที่ระบุว่า ปราสาทพระวิหารอยู่บนดินแดนอันเป็นอธิปไตยของกัมพูชา ประเด็นดังกล่าวถูกนำมาใช้โดยรัฐบาลไทยหลายรัฐบาลต่อเนื่องกัน เพื่อบ่มเพาะกระแสชาตินิยมในจิตใจของคนรุ่นใหม่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ไม่เคยได้ศึกษาผลคำพิพากษาดังกล่าว หรือไม่ก็เลือกที่จะผูกยึดอยู่กับกระแสชาตินิยมที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง

3) ระหว่างยุคเขมรแดงน่าหวาดกลัว ประชาชนไทยที่อาศัยอยู่ใกล้กลับพรมแดนกัมพูชาได้รับผลกระทบอย่างมาก ถึงกระนั้นไทยก็ยังคงเปิดบ้านต้อนรับชาวกัมพูชาหลายพันหลายหมื่นที่พากันละทิ้งนรกในบ้านเกิด

4) เมื่อกัมพูชาถูกเวียดนามรุกราน ไทยก็เปิดให้ชาวกัมพูชาจำนวนมากที่หลบหนีการบุกเข้ามายึดครองบ้านเรือนโดยเวียดนามได้เข้ามาพักอาศัย ในครั้งนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯตรวจเยี่ยมค่ายผู้อพยพเหล่านี้ด้วยพระองค์หลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้อพยพชาวกัมพูชาเหล่านี้จะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

5) ในเวลาเดียวกัน กลุ่มผู้รักชาติชาวกัมพูชาที่ต่อสู้กับความพยายามยึดครองกัมพูชาของเวียดนาม ซึ่งรวมถึงพวกกลุ่มสาธารณรัฐเขมรของนายพลลอน นอล กลุ่มผู้จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และบางกลุ่มที่เหลืออยู่ของเขมรแดง ได้รับอนุญาตให้เปิดสำนักงานหรือเซฟเฮาส์ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการทูตรวมถึงทางทหาร เพื่อต่อต้านกองกำลังเวียดนาม

6) เป็นเรื่องจริงที่ผู้นำกองทัพไทยในเวลานั้นบางคนได้ประโยชน์จากภัยสงครามในกัมพูชา ผมยังจำได้ชัดเจนถึงวันหนึ่ง ที่ผมทำงานในสำนักงานของพรรคฟุนซินเปค ในซอยสวนพลู ที่กรุงเทพฯ ภริยาของอดีตนายทหารระดับสูงของไทยเดินทางมาถึงโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า รายล้อมไปด้วยผู้ติดตามจำนวนมาก รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้พยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้เจ้าชายนโรดม รณฤทธิ์ เห็นชอบกับการขายสถานทูตกัมพูชาในกรุงโตเกียว ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักธุรกิจโลภมากชาวญี่ปุ่นที่เธอเป็นผู้แทน (สำหรับผู้ที่ไม่มีข้อมูล สถานทูตกัมพูชาในโตเกียว ซึ่งกษัตริย์นโรดม สีหมุนี ได้ซื้อมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 50 ตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังอิมพีเรียล ซึ่งเป็นทำเลที่ไม่เพียงแต่ถือว่าดีที่สุดในกรุงโตเกียว แต่ยังเป็นทำเลที่จัดว่าแพงที่สุดด้วย) ในเวลาต่อมา เจ้าชายรณฤทธิ์ สมเด็จซอน ซาน และนายเขียว สัมพัน ได้ตัดสินใจขายสถานทูตในกรุงโตเกียว พร้อมกับแนะนำให้กษัตริย์นโรดม สีหมุนี แจ้งต่อรัฐบาลญี่ปุ่นถึงการขายสถานทูตดังกล่าว

7) ระหว่างความพยายามในการสร้างสันติภาพในกัมพูชาในทศวรรษที่ 80 และช่วงต้นของทศวรรษที่ 90 ไทยมีบทบาทสำคัญ และช่วยอำนวยความสะดวกในการเป็นสถานที่จัดประชุมระหว่างประเทศหลายต่อหลายครั้งทั้งที่กรุงเทพฯ และที่พัทยาเพื่อพยายามหาทางออกให้กับความขัดแย้งในกัมพูชา

8) หลังการลงนามในความตกลงเพื่อสันติภาพในกรุงปารีสในปี 2534 ประเทศไทยได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับกัมพูชาอีกครั้ง ซึ่งเป็นทั้งเรื่องดีและบางครั้งก็เป็นเรื่องแย่สำหรับกัมพูชา เพราะนักธุรกิจบางรายพยายามที่จะหาทางตักตวงผลประโยชน์ ด้วยการทำกำไรอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการฝึกอบรมให้กับแรงงานท้องถิ่นในกัมพูชาอย่างเหมาะสม เพื่อให้พวกเขาสามารถที่จะสร้างอนาคตของตัวเองได้ในภายภาคหน้า แต่ก็ยังมีนักธุรกิจอีกจำนวนหนึ่งที่จริงจังกับการทำธุรกิจในกัมพูชา และจัดการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาแรงงานให้มีประสิทธิภาพ

9) หนึ่งในนักธุรกิจไทยที่เข้ามาหาประโยชน์หลังจากที่กัมพูชาเปิดประเทศขึ้นใหม่ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความทะนงตัวและหยิ่งยโส เข้าใจทันทีว่าอำนาจในกัมพูชาไม่ได้อยู่ในมือของพรรคฟุนซินเปค ซึ่งชนะการเลือกตั้งในปี 2536 แต่อยู่ที่ผู้แพ้หรือพรรคซีพีพี ทักษิณเริ่มเข้าหาผู้นำพรรคซีพีพี รวมถึงการทำธุรกิจที่น่ารังเกียจในกัมพูชา ซึ่งเจริญรุ่งเรืองภายใต้การอุปถัมภ์ค้ำชูของพรรคซีพีพี

ในครั้งนั้น ผมซึ่งดำรงตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการของสถาบันประชาธิปไตยกัมพูชาในพนมเปญ พยายามอย่างต่อเนื่องที่จะให้รายการโทรทัศน์ของสถาบันถูกนำเสนอในสถานีโทรทัศน์ของพนมเปญ ซึ่งในขณะนั้น มีทักษิณเป็นเจ้าของ แต่ผู้แทนของเขาในพนมเปญกลับไม่ยอมนำรายการใดๆ ที่ดูจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลออกฉายทางสถานีโทรทัศน์เลย

หันกลับมาดูที่ความยากลำบากในความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยในปัจจุบัน โดยปราศจากความประสงค์ที่จะกล่าวโทษฝ่ายใด ผมมีประเด็นที่จะชี้ให้เห็นดังต่อไปนี้

1) ประเด็นเรื่องปราสาทพระวิหาร ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการปลุกกระแสรักชาติอย่างผิดๆ ในประเทศไทย ภายใต้ความพยายามที่จะทำลายชื่อเสียงของทักษิณ ชินวัตร แต่ผมเกรงว่าไม่ได้มีแต่กลุ่มนี้เท่านั้นที่อาศัยประเด็นปราสาทพระวิหาร เพื่อประโยชน์ทางการเมืองภายในประเทศของตนเอง แม้แต่ฝ่ายตรงข้ามคนกลุ่มนี้หรือที่เรียกกันว่าพวก "เสื้อแดง" ก็ใช้เรื่องนี้ปลุกกระแสชาตินิยม เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเช่นกัน

2) "ฮีโร่" ของกลุ่มเสื้อแดงคือทักษิณ ผู้ซึ่งอยู่ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในห้วงเวลาที่ถือเป็นยุคสมัยที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่น ซึ่งรวมถึงตัวของเขาเองก็ถูกตั้งข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่น และยังเป็นช่วงที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่ในไทยด้วย

3) รัฐบาลกัมพูชาของนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ไม่เคยดำเนินการใดๆ ในอันที่จะพัฒนาการเดินทางไปยังปราสาทพระวิหารในฝั่งกัมพูชา ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกเดินทางมาเที่ยวชมปราสาทจากฝั่งไทย ซึ่งมีการพัฒนาพื้นที่และมีความปลอดภัยมากกว่า ซึ่งนั่นทำให้เกิดโอกาสในการจ้างงานในฝั่งไทยไม่ใช่ฝั่งกัมพูชาที่ยังคงไม่ได้รับการพัฒนาใดๆ และยากในการเข้าถึง

4) ฮุน เซน ได้หาประโยชน์จากความสำเร็จในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยอ้างว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในยุคสมัยของตน แต่ที่มากไปกว่านั้น ก็เพื่อปกปิดความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ตั้งแต่การคอร์รัปชั่น การขาดความเป็นอิสระของกระบวนการยุติธรรม การละเมิดสิทธิมนุษยชน การยึดครองที่ดิน ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2551

5) หนังสือใดๆ ที่ถูกจัดทำขึ้นในรัฐบาลกัมพูชายุคปัจจุบันเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารจะอวดโอ้ว่า รัฐบาลกัมพูชาซึ่งนำโดย ฮุน เซน เป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ต่อคำตัดสินของศาลโลกในเรื่องปราสาทพระวิหารในปี 2505 ปิดบังบทบาทของกษัตริย์นโรดม สีหมุนี ในเรื่องดังกล่าว ด้วยการกระทำเช่นนี้เท่ากับไม่เปิดโอกาสให้คนกัมพูชารุ่นใหม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์กัมพูชาด้วย

6) เหตุที่ทำให้ปัญหามีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นเพราะทั้งสองฝ่ายมักเลือกที่จะใช้ช่องทางและความสัมพันธ์ "ส่วนตัว" ในการติดต่อกัน ซึ่งรวมถึงการหาข้อยุติในการปักปันเขตแดนโดยรอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทกับไทย ขณะที่ฝ่ายของทักษิณใช้ช่องทางการติดต่อผ่าน พล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นผู้ที่มีทั้งฝ่ายที่ดูถูกและมีบางฝ่ายทนรับได้ในกัมพูชา ได้พยายามจะหาทางผ่าทางตัน อย่างไรก็ดี กระทรวงต่างประเทศของทั้งกัมพูชาและไทยต่างถูกกันไว้วงนอก ทั้งที่เป็นหน่วยงานที่ควรต้องทำหน้าที่หลักในการรับมือกับปัญหา

ในเรื่องนี้ ทักษิณและฮุน เซน เป็นบุคคลประเภทเดียวกันคือ ไม่สามารถแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องของประเทศได้

7) ไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีองค์กรสื่อที่เข้มแข็ง และภาคตุลาการที่เป็นอิสระ ขณะที่ในส่วนของกัมพูชา ผมเกรงว่าจะไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นเผด็จการพรรคเดียว นายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบันเป็นสุภาพชน ผู้ซึ่งพยายามทำดีที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหามากมายที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่

8) ด้วยการยกเลิกการรับความช่วยเหลือต่างๆ จากไทย ฮุน เซน ได้พยายามหาประโยชน์จากการปลุกกระแสชาตินิยมขึ้นในความรู้สึกของคนกัมพูชาอีกครั้ง และพยายามที่จะหาเรื่องนายกรัฐมนตรีไทย เช่นเดียวกับที่เขามักจะหาเรื่องทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับเขา หรือนโยบายของเขาในกัมพูชา ที่แย่ไปกว่านั้นด้วยการตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาล และเข้าข้างพรรคเพื่อไทยอย่างเห็นได้ชัด ฮุน เซน กำลังแทรกแซงกิจการภายในของไทย และสร้างบรรทัดฐานให้เกิดการแทรกแซงกิจการภายในของกัมพูชาได้ในอนาคต

เอกอัครราชทูตฮูลิโอ เอ. เฮลเดรส

นักวิชาการประจำสถาบันเอเชีย มหาวิทยาลัยโมแนชเมลเบิร์น ออสเตรเลีย


--

Sunday, December 6, 2009

สถาบันกษัตริย์ไทย นิยายและความจริง

สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
1
สถาบันกษัตริย์ไทย นิยายและความจริง
ใจ อึ๊งภากรณ์
สังคมไทยมีส่วนคล้ายนิทานเรื่อง “เสื้อผ้าชุดใหม่ของจักรพรรดิ” เพราะในรอบหลายปีที่ผ่านมาอำมาตย์1 ผลิตซ้ำนิยายโกหก
ว่ากษัตริย์ “เป็นเจ้าเหนือหัวเรา” “เป็นที่เคารพรักของคนไทยทุกคน” “เป็นคนที่มีฝีมือและความสามารถทุกด้าน เกินความ
เป็นมนุษย์” “เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด” หรือ “เป็นคนดีที่ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข” และพวกผู้ใหญ่ของสังคมทั้งหลาย
นอกจากจะบังคับกล่อมเกลาให้ประชาชนเชื่อแล้ว ก็ยังท่องนิยายนี้จนเชื่อเอง ... และไม่แน่...กษัตริย์ภูมิพลอาจหลงเชื่อ
นิยายไปด้วย
แต่เด็กน้อยคนซื่อ ผู้มองเห็นแต่ความจริง ได้พูดออกมาแล้ว “จักรพรรดิเปลือยกาย!!!” ไม่ได้ใส่ชุดสวยหรูเหมือนกับที่
ผู้ใหญ่บอก
กษัตริย์ภูมิพลไม่ได้รักประชาชนและสร้างความสงบอยู่เย็นเป็นสุข เพราะกษัตริย์ภูมิพลผู้เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของไทย
คัดค้านสวัสดิการเพื่อประชาชน ส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียงที่ไม่เห็นด้วยกับการกระจายรายได้ สนับสนุนความรุนแรงใน
เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และชมคนที่ทำรัฐประหาร ๑๙ กันยาและคนที่ทำลายประชาธิปไตย เสรีภาพ และมาตรฐาน
ความยุติธรรมทางกฎหมาย และในขณะที่ยอมให้คนยอว่าเป็น “พ่อแห่งชาติ” ตัวเองเลี้ยงลูกชายมาจนเป็นที่รังเกียจของ
สังคม ถ้าภูมิพลเป็นคนก้าวหน้าหรือเป็นคนดี เขาจะไม่ปล่อยให้มีการหยุดวิ่งรถตามถนนหนทาง เพื่อให้ตัวเขาและญาติๆ
เดินทางด้วยความสะดวกในขณะที่รถพยาบาลฉุกเฉินไม่เคยได้รับการอำนวยความสะดวกแบบนี้เลย เขาจะไม่ปล่อยให้มีการ
หมอบคลานต่อตัวเองเหมือนกับว่าประชาชนเป็นสัตว์ และเขาจะออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการปกป้องประชาธิปไตย
และการคัดค้านกฎหมายเผด็จการต่างๆ รวมถึงกฎหมายหมิ่นเจ้าด้วย
กระบวนการในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้ ที่ปราศจากเครือข่ายอำมาตย์ จะใช้เวลานาน และในขณะที่เราต่อสู้อยู่ คน
อย่าง สุวิชา ท่าค้อ, ดา ตอร์ปิโด, บุญยืน ประเสริฐยิ่ง และคนอื่นๆ อีกมากมายก็จะทนทุกข์ทรมานในคุกของเผด็จการ คนเสื้อ
แดงที่ต้องการประชาธิปไตยแท้จะต้องเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และด้วยความอิสระ เพราะผู้นำเสื้อแดงบางคน โดยเฉพาะ
ทักษิณ ยังพยายามอ้างความจงรักภักดีและปกป้องสถาบันกษัตริย์ในรูปแบบเดิมอยู่
1 “อำมาตย์” ในความเข้าใจของผม คือกลุ่มชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมไทย ที่ไม่ค่อยชอบประชาธิปไตย มันเป็นระบบที่พวกนี้สร้างด้วย เพื่อครอบงำ
สังคม อำมาตย์ประกอบไปด้วย ทหาร ข้าราชการชั้นสูง นักการเมือง นายทุน และกษัตริย์กับองค์มนตรี มันไม่ใช่บุคคลคนเดียว
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
2
บทบาทคู่ขนาน ทหาร กับ กษัตริย์
ถ้าเราจะเข้าใจบทบาทของกษัตริย์ภูมิพลในสังคมไทย เราต้องเข้าใจบทบาทคู่ขนานของทหารกับกษัตริย์ เพราะในสังคม
ต่างๆ โดยทั่วไปทั่วโลก ชนชั้นปกครองจะดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้อำนาจข่มเหง และการสร้างความชอบธรรมสำหรับ
ตนเองในสายตาประชาชนพร้อมๆ กัน และการใช้อันใดอันหนึ่งตามลำพังมีประสิทธิภาพต่ำเกินไปที่จะสร้างความมั่นคง
ให้กับชนชั้นปกครอง
ในไทยกษัตริย์ภูมิพลคือสัญลักษณ์ของลัทธิอนุรักษ์นิยมที่ให้ความชอบธรรมกับอำนาจของอำมาตย์ โดยเฉพาะอำนาจ
ทหาร และทหารคือผู้ใช้อำนาจข่มเหงประชาชนและสังคมด้วยอาวุธ ดังนั้นกษัตริย์ภูมิพลไม่มีอำนาจเอง แต่มีหน้าที่สร้าง
ความชอบธรรมให้กับอำมาตย์ หรืออาจพูดได้ว่าเป็นเครื่องมือของอำมาตย์ในการสร้างความชอบธรรม แต่เป็นเครื่องมือที่
ยินดีทำตามหน้าที่ เพราะได้ประโยชน์ตรงนั้นด้วย อย่างไรก็ตามภาพลวงตาที่เราเห็น คือภาพละครอำนาจ ที่เสนอว่าภูมิพล
เป็นใหญ่
สี่นิยาย
ในสังคมเรา มีนิยายเกี่ยวกับกษัตริย์ภูมิพล ที่ไม่ตรงกับความจริง แต่ถูกผลิตซ้ำในโรงเรียน มหาวิทยาลัย พื้นที่สาธารณะและ
ในสื่อ โดยอำมาตย์ นิยายเหล่านี้มีบางส่วนที่อาจจริงเพื่อให้ดูน่าเชื่อ แต่เนื้อหาหลักๆ เป็นแค่นิยายอนุรักษ์นิยม ซึ่งจะ
พิจารณาดังต่อไปนี้
1. คนไทยทุกคนรักในหลวง กษัตริย์อยู่ในดวงใจคนไทยตั้งแต่สุโขทัย
2. กษัตริย์ภูมิพลสร้างความสงบให้กับสังคม
3. กษัตริย์ภูมิพลส่งเสริมความเป็นธรรมทางสังคม เพราะรักประชาชน
4. กษัตริย์ภูมิพลมีอำนาจสูงสุด
1. คนไทยทุกคนรักในหลวง และกษัตริย์อยู่ในดวงใจคนไทยตั้งแต่สุโขทัย จริงหรือ?
ในขณะที่คนไทยเป็นล้านรักในหลวงภูมิพล คนไทยเป็นล้านเกลียดและไม่เคารพเจ้าฟ้าชาย และในปัจจุบันคนไทยเป็นล้าน
เริ่มเกลียดชังระบบกษัตริย์ทั้งหมดเนื่องจากการกระทำของทหารในการยึดอำนาจเมื่อ ๑๙ กันยา ๔๙ ในนามของกษัตริย์
ประเด็นที่เริ่มเห็นชัดคือการรักในหลวงไม่ใช่การปลื้มสถาบัน แต่เป็นการมองตัวบุคคล ซึ่งแปลว่าสถาบันกษัตริย์ไม่ได้อยู่
ในดวงใจคนไทยมาตลอดตั้งแต่สุโขทัย คนไทยจะรักหรือจะชังกษัตริย์ขึ้นอยู่กับบุคคลและสถานการณ์ซึ่งเปลี่ยนแปลง
ตลอดเวลา และมันแปลว่าคนไทยอาจไม่เอาระบบกษัตริย์เลยก็ได้ ไม่ขัดกับ “ธรรมชาติของคนไทย” แต่อย่างใด นี่คือข้อมูล
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
3
ง่ายๆ ที่เข้าใจง่าย แต่ไม่มีการพูดกันอย่างเปิดเผยเพราะทุกคนมีเหตุผลที่จะกลัวกฎหมายหมิ่นฯ ที่สำคัญคือความสนใจของ
ประชาชนที่จะอ่านหนังสือของ Paul Handley 2 หรือหนังสือทวนกระแสอื่นๆ ชี้ให้เห็นว่าคนไทยไม่ได้เชื่อคำหลอกลวงของ
อำมาตย์แบบง่ายๆ
ตั้งแต่รัฐประหาร ๑๙ กันยา อำมาตย์เล่นเกมส์ที่อันตรายสำหรับเขา เพราะตั้งแต่การล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง
ประเทศไทย (พคท) อำมาตย์สามารถสร้างสถานการณ์ที่ความรักเจ้าครองใจประชาชนจำนวนมาก สาเหตุสำคัญก็เพราะ
ฝ่ายค้านเจ้าอ่อนแอและไม่สามารถนำเสนอความคิดในสังคมได้อย่างเปิดเผย แต่ตั้งแต่ ๑๙ กันยา อำมาตย์ทำลายรัฐบาลที่
ประชาชนส่วนใหญ่ชื่นชม ทำลายประชาธิปไตย ทำลายพรรคการเมืองที่คนส่วนใหญ่เลือก สร้างความวุ่นวายด้วยพฤติกรรม
รุนแรง เช่นการยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน และการถือและใช้อาวุธกลางถนนเหมือนโจร และทุกอย่างที่ทำไปทำในนาม
ของกษัตริย์ภูมิพล ยิ่งกว่านั้นการที่ราชินีและลูกสาวไปงานศพพันธมิตรฯ ก็ยิ่งทำให้คนหมดความศรัทธาในราชวงศ์มากขึ้น
เราอาจพูดได้ว่าสังคมไทยกลับคืนสู่ยุคที่คนจำนวนมากในประเทศพร้อมจะพิจารณาระบบสาธารณรัฐ เหมือนสมัย พคท
รุ่งเรืองหลัง ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ หรือสมัยการปฏิวัติ ๒๔๗๕ และแม้แต่นักวิชาการอนุรักษ์นิยมที่รักเจ้าอย่าง ชัยอนันต์ สมุทร
วานิช ก็ยอมรับความจริงนี้ 3 นอกจากนี้ในหมู่คนที่ยังรักในหลวงภูมิพล มีคนจำนวนมากที่กำลังรอให้คนแก่คนนี้เสียชีวิต
เพราะหลังจากนั้นเขาจะเลิกรักเจ้า ไม่ชื่นชมคนต่อไป และอาจไม่เอาทั้งระบบ
ถ้ามองย้อนหลัง เราอาจคิดได้ว่าพวกอำมาตย์น่าจะปล่อยวางเรื่องการอ้างอิงกษัตริย์ตอนที่เขาทำทุกอย่างเพื่อล้มและ
สกัดกั้นทักษิณและพรรคการเมืองของคนเสื้อแดง แต่อำมาตย์อาจไม่มีทางเลือกก็ได้ เพราะสำหรับอำมาตย์การสกัดกั้นและ
ล้มรัฐบาลทักษิณกระทำผ่านกระบวนการประชาธิปไตยไม่ได้ เพราะเขาไม่พร้อมจะรอและเสนออะไรที่ “ซ้าย” และดีกว่า
ทักษิณในการเลือกตั้งข้างหน้า จึงไม่มีวันครองใจประชาชนคนจนที่เลือกไทยรักไทยได้ ดังนั้นอำมาตย์ต้องอาศัยวิธีที่เป็น
เผด็จการและขัดกับรัฐธรรมนูญ แค่อำมาตย์และพรรคพวกพูดเรื่อง “การคอรรับชั่น” ของทักษิณก็ไม่พอ เพราะทหารและ
อำมาตย์อื่นๆ ก็มีประวัติการคอร์รับชั่นมายาวนาน ดังนั้นอำมาตย์ต้องใช้อำนาจทหารข่มเหงประชาชนเพื่อเปลี่ยนรัฐบาลและ
สกัดกั้นรัฐบาลใหม่ของคนเสื้อแดง โดยใช้ลัทธิกษัตริย์เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมกับสิ่งที่เขาทำ
นอกจากนี้อำมาตย์ยังกลัวอีกว่าในช่วงที่ภูมิพลอายุสูงใกล้ตาย ทักษิณ ถ้ายังคงเป็นนายกอยู่ อาจได้เปรียบในการใช้เจ้า
ฟ้าชายเป็นเครื่องมือเมื่อมีการเปลี่ยนรัชกาล ถ้าข่าวลือว่าทักษิณให้เงินเจ้าฟ้าชายเพื่อจ่ายหนี้เป็นเรื่องจริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
ความขัดแย้งระหว่างทักษิณกับอำมาตย์ ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างอำมาตย์ผู้รักเจ้ากับทักษิณ”ผู้ต้องการล้มเจ้า”แต่อย่างใด
2 Paul Handley (2006) The King Never Smiles. Yale University Press. ซึ่งมีการแปลเป็นไทย หาได้ในอินเตอร์เน็ท
3 http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000087280 02/08/2009.
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
4
มันเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นปกครองสองซีกที่ต้องการใช้เจ้าเพื่อความชอบธรรมของตนเองต่างหาก สิ่งที่อำมาตย์กลัว
มากที่สุดคือ ระบบการเลือกตั้งที่ให้ประโยชน์กับพรรคของทักษิณเนื่องจากมีนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน จะทำให้
อำมาตย์เสียอำนาจและอิทธิพล และเสียผลประโยชน์เดิมที่เคยมี เช่นผลประโยชน์อันไม่ชอบธรรมของทหาร หรือของ
นักการเมืองเจ้าพ่อ เป็นต้น การทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา เป็นการโต้ตอบของอำมาตย์ และทำให้ทักษิณแพ้การช่วงชิง
ความชอบธรรมจากระบบกษัตริย์
แต่เรื่องมันไม่ได้มีแค่ความขัดแย้งระหว่างสองซีกของชนชั้นบน มันเกี่ยวพันกับการเคลื่อนไหวและผลประโยชน์ของคนชั้น
ล่างจำนวนมากอีกด้วย ประเด็นสำคัญคือ ถ้าใครจะปกครองสังคม กลุ่มนั้นจะต้องหาทางครองใจประชาชนที่ไม่โง่เหมือนวัว
หรือควายแต่คิดเองเป็น
กระแสไม่เอาเจ้าแบบที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ เคยมีมาสองครั้งในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ท้ายรัชกาลที่ ๕ ข้าราชการทหาร
และพลเรือนที่ถูกสร้างมาจากการปฏิวัติสังคมของ ร๕ เริ่มไม่พอใจในระบบที่ให้ประโยชน์พิเศษกับราชวงศ์ และในที่สุดก็
นำไปสู่การปฏิวัติ ๒๔๗๕4 แต่การปฏิวัติ ๒๔๗๕ มีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วยคือ ประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นกรรมกรใน
เมือง หรือชาวไร่ชาวนา ก็ไม่พอใจในรัฐบาลเผด็จการของรัชกาลที่ ๗ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลก
หลัง ๒๔๗๕ กระแสต้านเจ้าในสังคมไทยสูงมาก และดำรงอยู่ภายใต้เผด็จการของจอมพล ป. และรัฐบาลอื่นๆ ที่มาจาก
การเลือกตั้ง ในช่วงนั้นภูมิพลขึ้นมาเป็นกษัตริย์โดยอุบัติเหตุ เพราะเล่นปืนกับพี่ชายจนพี่ชายผู้เป็นกษัตริย์เสียชีวิต ดังนั้นภูมิ
พลเป็นกษัตริย์ใหม่ที่ขาดความมั่นใจอย่างยิ่ง ไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้นำเลย และต้องไม่ออกหน้าออกตาในสังคมเพราะคนอย่าง
จอมพลป. ไม่ปลื้มกษัตริย์เท่าไร ภูมิพลต้องรอถึงรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐต่อ
กษัตริย์ และมีการเริ่มรณรงค์และสร้างความสำคัญของกษัตริย์ในสังคม 5 ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการชูลัทธิ “ชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์” และบังคับความจงรักภักดีต่อกษัตริย์โดยเผด็จการทหาร6 การที่ต้องมีการบังคับความจงรักภักดี แสดงให้
เห็นว่าในยุคนั้นประชาชนจำนวนมากไม่ได้รักในหลวงด้วยความสมัครใจ
4 Kullada Kesboonchoo Mead (2004) The rise and decline of Thai absolutism. Routledge.
5 Thak Chaloemtiarana (1979) The politics of despotic paternalism. Social Science Association of Thailand.ทักษ์ เฉลิมเตียรณ
(๒๕๒๕) “การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ” สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
6 ลัทธิ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีการใช้ก่อนหน้านี้ภายใต้ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่คราวนี้ใช้เพื่อให้ความชอบธรรมกับทหาร
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
5
ในสมัยก่อนเผด็จการสฤษดิ์ ประชาชนจำนวนมากในชนบท ประกอบอาชีพโดยที่ไม่สนใจและให้ความสำคัญกับกษัตริย์
เลย7 นอกจากนี้ในยุคศักดินา ก่อนรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นยุคเกณฑ์แรงงานและทำสงครามกวาดต้อนคน ประชาชนในหมู่บ้าน
ต่างๆ คงจะเกลียดและกลัวกษัตริย์และทหารของกษัตริย์ ไม่ว่าจะมาจากเมืองไหน ไม่มีทางที่ชาวบ้านจะรักกษัตริย์อย่างที่
อำมาตย์โฆษณา ในภาคเหนือจะมีเรื่องเล่าโดยคนแก่คนชราว่า ถ้าพวกเจ้ามาแถวๆ หมู่บ้าน จะต้องเอาลูกสาวไปซ่อนไว้ก่อน
ช่วงที่สองที่เกิดกระแสต้านเจ้าในประชาชนครึ่งหนึ่งของประเทศ คือยุคที่ พคท ขึ้นมานำการต่อสู้กับเผด็จการทหารหลัง
เหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ในสมัยนั้นปัญญาชนและนักศึกษาจำนวนมาก มองว่ากษัตริย์ “ศักดินา” ภูมิพล เป็น
ศัตรูหลักของประชาชน 8 พรรคคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลต่อความคิดของประชาชนจำนวนมาก ทั้งในเมืองและในชนบท เพราะ
สามารถนำการต่อสู้กับอำมาตย์และมีสถานีวิทยุ “เสียงประชาชนไทย” ที่คนแอบฟังเป็นจำนวนมาก สถานีวิทยุนี้จะวิจารณ์
ระบบกษัตริย์อย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่น่าสังเกตคือ อำมาตย์จะพยายามปกปิดประวัติศาสตร์สองช่วงนี้ เพื่อไม่ให้เราทราบว่าคนไทยมีประวัติอันยาวนานใน
การต่อต้านระบบกษัตริย์
2. กษัตริย์ภูมิพลสร้างความสงบความมั่นคงให้กับสังคมไทยจริงหรือ?
ทุกวันนี้เราจะอ่านบทความของนักข่าวต่างประเทศที่เขียนว่า “ภูมิพลสร้างความสงบและความมั่นคงให้สังคมไทย” และ
นักเขียนกระแสหลักไทยก็จะมีความเห็นทำนองเดียวกันว่า “ภูมิพลสร้างความอยู่เย็นเป็นสุข” ดังนั้นพวกนี้จะมองว่าในยุค
หลังภูมพลสังคมไทยจะปั่นป่วน แต่เราแค่ดูความจริงเกี่ยวกับสังคมเราทุกวันนี้ก็จะเห็นว่าสังคมมันปั่นป่วนอยู่แล้ว และเคย
ปั่นป่วนในอดีตหลายครั้ง ทั้งๆ ที่ภูมิพลเป็นกษัตริย์
ในความเป็นจริง “ความสงบหรือความมั่นคง” ที่ภูมิพลช่วยสร้างในสังคมไทย คือความมั่นคงของการปกครองของ
อำมาตย์ต่างหาก ซึ่งเป็นความมั่นคงของชนชั้นที่ปกครองสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก ไม่ใช่ความมั่นคงอยู่เย็นเป็นสุข
ของพลเมืองส่วนใหญ่แต่อย่างใด ประเด็นคือบทบาทสำคัญของภูมิพลเป็นบทบาทในเชิงลัทธิหรือสัญลักษณ์เพื่อความมั่นคง
ของอำมาตย์ ซึ่งจะพิจารณาในรายละเอียดข้างล่าง
7 Katherine Bowie (1997) Rituals of National Loyalty. New York: University of Columbia Press.
และลองอ่านหนังสือ “ลูกอีสาน” ของคำพูน บุญทวี
8 ปัญญาชนที่มีหน้ามีตาในสังคมไทย เช่นธีรยุทธิ์ บุญมี และ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เคยมีความคิดแบบนี้ในอดีต
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
6
ตามลำพังกษัตริย์ภูมิพลไม่มีวุฒิภาวะที่จะสร้างอะไรหรือนำการเมืองไทยได้เลย เพราะเป็นคนขี้อาย แรกเริ่มไม่พร้อมจะ
เป็นกษัตริย์ และไม่กล้าที่จะมีอุดมการณ์หรือจุดยืนของตนเอง เวลาภูมิพลทำอะไรก็ย่อมตามกระแสผู้มีอำนาจเสมอ แต่ตาม
กระแสด้วยความยินดีสมัครใจ คำพูดกำกวมของภูมิพล เป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทุกอย่าง และเป็นวิธี “ส่งลูก”
ให้อำมาตย์ไปตีความเพื่อเข้าข้างตนเองเสมอ
ตั้งแต่แรก กษัตริย์ภูมิพลปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์สามคนถูกประหารชีวิตในข้อหาฆ่ารัชกาลที่ ๘ โดยที่ภูมิพลไม่มีความซื่อสัตย์
และความกล้าที่จะสารภาพความจริง นอกจากนี้เขายอมให้เรื่องนี้กลายเป็นข้ออ้างในการขับไล่ อาจารย์ปรีดี ออกจาก
ประเทศไทย ตลอดเวลาที่สังคมเราตกอยู่ภายใต้เผด็จการทหาร สฤษดิ์ ถนอม ประภาส กษัตริย์ภูมิพลยินดีทำงานร่วมกับ
เผด็จการโดยไม่วิจารณ์อะไร แต่พอนักศึกษาและประชาชนออกมาล้มเผด็จการทหารสำเร็จในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ มี
การแนะนำจากอำมาตย์ส่วนอื่นให้ภูมิพลรีบออกมาฉวยโอกาส กอบกู้สถานการณ์สำหรับอำมาตย์ โดยการออกโทรทัศน์
และตั้ง “สภาสนามม้า” เปิดทางให้มีการออกแบบประชาธิปไตยรัฐสภาที่รักษาอำนาจอำมาตย์
หลัง ๑๔ ตุลา ภูมิพลและราชวงศ์ ได้สนับสนุนฝ่ายขวาสุดขั้ว เช่นลูกเสือชาวบ้านและกลุ่มอื่นๆ ที่ใช้ความรุนแรงในสังคม
และนำไปสู่รัฐประหาร ๖ ตุลา ๒๕๑๙ ต่อจากนั้นสังคมไทยก็เข้าสู่ยุคสงครามกลางเมืองเต็มที่ เพราะ รัฐไทยรบกับ พคท ใน
เหตุการณ์เหล่านี้ภูมิพลสนับสนุนพวกฝ่ายขวาและรัฐประหารเพราะมองว่าไทยมี “ประชาธิปไตยมากเกินไป” 9 นายกรัฐมนตรี
ขวาตกขอบที่ภูมิพลชื่นชมในสมัยนั้น คือธานินทร์ กรัยวิเชียร แต่รัฐบาลของธานินทร์ ซึ่งมี สมัคร สุนทราเวช เป็นรัฐมนตรี
มหาดไทย ได้สร้างความแตกแยกในสังคมไทยจนฝ่ายทหารส่วนใหญ่ต้องปลดรัฐบาลนี้ออกเพียงหนึ่งปีหลัง ๖ ตุลา นี่หรือคือ
การสร้างความอยู่เย็นเป็นสุขของภูมิพล?
ในกรณีพฤษภาคม ๒๕๓๕ ในช่วงแรก ภูมิพล แนะนำให้ประชาชนไว้ใจและสนับสนุน เผด็จการสุจินดา แต่พอมีการลุกฮือ
ขับไล่สุจินดาสำเร็จไปแล้ว ภูมิพลก็ต้องออกมาสร้างภาพว่า ไกล่เกลี่ยระหว่างสุจินดากับจำลอง ภายใต้การประสานงานของ
องค์มนตรีเปรม
วิกฤตการเมืองปัจจุบันที่เริ่มต้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ และมีรัฐประหาร ๑๙ กันยา เป็นวิกฤตที่ภูมิพลไม่ได้
พยายามแก้ไขแต่อย่างใด ภูมิพลนั่งเฉยและปล่อยให้ผู้มีอำนาจแท้ในกองทัพ ทำลายความมั่นคงและความสงบของสังคม
ด้วยการอ้างความชอบธรรมจากกษัตริย์
9 คำปราศรัยของภูมิพลในวันเกิดปี ๒๕๑๙
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
7
จะเห็นได้ว่าภูมิพลไม่เคยปกป้องประชาชนจากการถูกฆ่าโดยทหาร ไม่เคยรักษาความสงบ แต่มีหน้าที่หลักในการกอบกู้
สถานการณ์ เมื่อประชาชนลุกฮือ ไม่ให้หลุดไปจากอิทธิพลของอำมาตย์เท่านั้น และการกระทำดังกล่าว ทำไปภายใต้
คำแนะนำขององค์มนตรี ซึ่งเป็นเครือข่าย “ประสานงาน” ระหว่างส่วนต่างๆ ของอำมาตย์ เช่น ทหาร นักการเมือง ข้าราชการ
ผู้ใหญ่ นายทุน และนักการเมือง เราไม่ควรหลงเชื่อว่าองค์มนตรีมีอำนาจสูงสุด
3. กษัตริย์ภูมิพลส่งเสริมความเป็นธรรมทางสังคมผ่านโครงการหลวงต่างๆ เพราะรักประชาชน
หรือไม่?
ถ้าเรามองข้ามข้อมูลว่า โครงการหลวงเต็มไปด้วยการโกงกินและการกอบโกยผลตอบแทนสำหรับเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของ
โครงการ เราจะพบว่าโครงการหลวงมีผลกับการพัฒนาชีวิตประชาชนน้อยมาก ถ้าเทียบกับโครงการต่างๆ ของรัฐบาลหลาย
สมัย 10 และประสิทธิภาพในการพัฒนาชีวิตพลเมืองของรัฐบาลไทยรักไทยเมื่อเทียบกับโครงการหลวง เป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้าง
ความไม่พอใจกับอำมาตย์ เพราะเขาจะเสียเปรียบ นอกจากนี้โครงการหลวงหรือโครงการสร้างวังบนยอดเขาห่างไกลจาก
เมือง บ่อยครั้งสร้างปัญหาให้คนชนเผ่าที่ดำรงอยู่ในพื้นที่นั้นมานาน เพราะถูกขับไล่ออกจากบ้าน
ภูมิพลมีจุดยืนที่คัดค้านการกระจายรายได้และการสร้างระบบรัฐสวัสดิการสำหรับประชาชน 11 แต่สิ่งที่น่าเกลียดที่สุดคือ
ภูมิพลในฐานะเศรษฐีรายใหญ่อันดับหนึ่งที่สร้างสระว่ายน้ำให้หมาของตนเอง ไม่ละอายใจเลยที่จะสั่งสอนประชาชนให้
“พอเพียง”ท่ามกลางความยากจน เพราะแนวคิดเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นลัทธิฝ่ายขวาที่คัดค้านการกระจายรายได้ และ
พยายามสอนให้คนจนพึงพอใจท่ามกลางความยากลำบาก
ข้อมูลจากนิตยสาร Forbes ในปีค.ศ. 200912 ระบุว่าภูมิพลมีทรัพย์สิน 30 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่รวมทรัพย์สินอื่นๆ
นอกเหนือจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ ในขณะเดียวกันเศรษฐีไทยอันดับยอด 40 คนแรก มีทรัพย์สินร่วมแค่ 25 พันล้านเหรียญ
นอกจากนี้ภูมิพลเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกอีกด้วย แค่นี้ไม่พอ ประชาชนไทยทั้งประเทศออกเงินภาษีเพื่อหนุนกิจกรรมของ
วังเป็นพันๆ ล้านบาท หลังการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา มีการเพิ่มเงินจำนวนนี้ที่ประชาชนต้องออกทุกปี จาก 1,137 ล้าน
บาท เป็น 2,086 ล้านบาท13 และในปี ๒๕๕๑ ถ้าบวกค่าเครื่องบิน “พระที่นั่ง” เข้าไปอีก 3.650 ล้านบาท ยอดเงินที่ประชาชน
คนยากคนจนต้องจ่ายเพื่ออุ้มเจ้า สูงเกือบถึง 6 พันล้านบาท แต่แน่นอนไม่มีนักการเมืองหรือนักวิชาการคนไหนที่จะวิจารณ์
10 Paul Handley (2006) อ้างแล้ว
11 Kevin Hewison (1997) The Monarchy and democratization. In: K. Hewison (ed.) Political Change in Thailand. Democracy and
Participation. Routledge.
12 Forbes 23/09/2009, 17/06/2009.
13 ตัวเลขสำนักงบประมาณฯ
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
8
ว่าค่าใช้จ่ายนี้ “ทำลายวินัยทางการคลัง” เหมือนกับที่เคยวิจารณ์สวัสดิการของ ไทยรักไทย ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนเจ็ด
สิบล้านคน
ทั้งๆ ที่คำอธิบายอันไร้เนื้อหาของนักการเมือง ทหาร หรือนักวิชาการ เรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่บอกเพียงว่าสอนให้คน
ทำอะไรพอเหมาะ อาจชวนให้เราคิดเหมือนวารสาร The Economist ว่ามันเป็นทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ “ขยะเพ้อฝัน” แต่เรา
ต้องเข้าใจว่ามันไม่ใช่ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์เลย เพราะไม่มีการระบุถึงบทบาทรัฐและตลาด หรือการผลิตในรูปแบบต่างๆ เพื่อ
การส่งออกหรือทดแทนการนำเข้าเลย แท้จริงแล้วเศรษฐกิจพอเพียงเป็น “ลัทธิ” ทางการเมืองของพวกฝ่ายขวาอนุรักษ์นิยม ที่
พยายามจะแช่แข็งความยากจนและความเหลื่อมล้ำในสังคม เพื่อประโยชน์ของคนชั้นสูง แต่ลัทธินี้มีองค์ประกอบพิเศษคือ
อ้างว่ามาจากปากภูมิพล ดังนั้น “ต้องเป็นมหาความคิด” และเราวิจารณ์ไม่ได้ เพราะถ้าวิจารณ์จะโดนคดีหมิ่นฯ นับว่าใน
สังคมไทยมีการบังคับให้เชื่อลัทธิขวาตกขอบสามัญ เราโชคดีที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ เพราะถ้าอำมาตย์ได้ดังใจเราจะ
เป็นสังคมปัญญาอ่อน
4. กษัตริย์ภูมิพลมีอำนาจสูงสุดจริงหรือ?
พวกอภิสิทธิ์ชนและอำมาตย์ได้ปกครองสังคมไทยเหมือนเป็นเมืองขึ้นส่วนตัวของเขา โดยที่พลเมืองไทยเป็นแค่ไพร่ การ
ปกครองของอำมาตย์อาศัยเครือข่าย “ร่วมกินร่วมขูดรีด” ที่อ้างความชอบธรรมจากกษัตริย์ 14 และมักสร้างภาพลวงตาว่า
กษัตริย์ภูมิพลเป็นทั้ง ศักดา(เก่าแก่) สมบูรณาญาสิทธิราชย์(อำนาจสูงสุด) และกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ(แบบ
ประชาธิปไตย) พร้อมกันหมด ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความชอบธรรมกับสิ่งที่อำมาตย์ โดยเฉพาะทหาร กระทำในสังคม
การมองลักษณะกษัตริย์แบบนี้ของอำมาตย์ เป็นการสร้างภาพที่ไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ เพราะระบบศักดินาถูกปฏิวัติไป
โดยรัชกาลที่ ๕ ผู้สร้างระบบรัฐชาติรวมศูนย์ภายใต้กษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ และระบบนี้ถูกปฏิวัติไปในปี ๒๔๗๕ โดย
ที่ไม่มีการสถาปนาใหม่ในภายหลังเลย15 มีแต่การนำกษัตริย์มารับใช้ระบบทุนนิยมภายใต้อำมาตย์ในรูปแบบใหม่
กษัตริย์ภูมิพล ราชินีและลูกชาย มีภาพน่ากลัว แต่แท้จริงไม่มีอำนาจ มีแต่บทบาทหน้าที่ในละครใหญ่เพื่อหลอกปกครอง
ประชาชน แต่การที่ประชาชนจะเชื่อหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องอัตโนมัติ เพราะคนส่วนใหญ่คิดเองเป็น
14 Duncan McCargo เรียกว่าเป็นเครือข่ายกษัตริย์ “Network Monarchy” แต่เขาเชื่อว่าภูมิพลมีอำนาจจริงในขณะที่ผมมองว่าภูมิพลเป็น
สัญญลักษณ์ Duncan McCargo (2005) Network monarchy and legitimacy crises in Thailand. The Pacific Review 18 (4)
December, 499-519.
15 ใจ อึ๊งภากรณ์และคณะ (๒๕๔๓) “การเมืองไทยในทัศนะลัทธิมาร์คซ์” สำนักพิมพ์ประชาธิปไตยแรงงาน
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
9
เวลาทหารจะก่อรัฐประหารหรือทำอะไรที่มีผลกระทบต่อสังคม มีการคลานเข้าไปหาภูมิพล เพื่อสร้างภาพว่าไป “รับคำสั่ง”
แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงการ “แจ้งให้ทราบ” ว่าตัดสินใจทำอะไรก่อนหน้านั้น มันเป็นละครครั้งใหญ่ที่ผู้คลานมีอำนาจเหนือผู้
ถูกไหว้ ในกรณีแบบนี้กษัตริย์ภูมิพลจะถามความเห็นจากองค์มนตรีก่อนว่าควรมีจุดยืนอย่างไร ถ้าองค์มนตรีเห็นด้วยกับ
ทหาร ภูมิพลจะอนุญาตให้ “เข้าเฝ้า” แต่ถ้าองค์มนตรีแนะว่าไม่เห็นด้วย ภูมิพลจะ “ไม่สะดวกที่จะให้เข้าเฝ้า” แต่อย่าเข้าใจ
ผิดว่าสถานการณ์แบบนี้แสดงว่าองค์มนตรีมีอำนาจสูงสุด ไม่ใช่ องค์มนตรีมีไว้เป็นกลุ่มประสานงานระหว่างอำมาตย์ส่วน
ต่างๆ เช่นทหารชั้นผู้ใหญ่ นายทุนใหญ่ นักการเมืองอาวุโส หรือข้าราชการชั้นสูง และจะต้องสรุปความเห็นส่วนใหญ่ของ
อำมาตย์เพื่อแนะแนวให้กษัตริย์ นอกจากนี้ฝ่ายต่างๆ ของอำมาตย์ แม้แต่ในกองทัพเอง ก็ขัดแย้งกัน แข่งกัน แย่งกินกันอีก
ด้วย ไม่มีใครที่ผูกขาดอำนาจได้ มีแต่ความสามัคคีชั่วคราวเท่านั้น
การสร้างภาพว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นใหญ่ หรือภาพว่าทหาร “เป็นของกษัตริย์หรือราชินี” มีประโยชน์ต่ออำมาตย์ที่คอย
บังคับให้เราจงรักภักดีต่อกษัตริย์และราชวงศ์ เพราะการจงรักภักดีดังกล่าวเป็นการจงรักภักดีต่อทหารและส่วนอื่นๆ ของ
อำมาตย์
ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์จะไม่พบช่วงไหนที่ภูมิพลมีอำนาจสั่งการอะไรได้ อาจแสดงความเห็นบ้าง แต่บ่อยครั้งก็ไม่มีใครฟัง
เช่นกรณีสุจินดา กรณีรัฐบาลหลัง ๖ ตุลา ที่อยู่ได้แค่ปีเดียว หรือแม้แต่กรณีการใช้เศรษฐกิจพอเพียงเป็นรูปธรรม นอกจากนี้
ภูมิพลพร้อมจะตามกระแส ไปด้วยกับผู้มีอำนาจทุกรูปแบบ เช่นสมัยรัฐบาลทักษิณก็มีการชมสงครามยาเสพติดที่ฆ่าคน
บริสุทธิ์กว่าสามพันคน16 และมีการร่วมธุรกิจระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์กับบริษัท Shin Corp ของทักษิณอีกด้วย
บางครั้ง “ละครอำนาจ” ที่อำมาตย์เล่น ทำให้พวกราชวงศ์มีพื้นที่ที่จะทำอะไรตามใจชอบได้ กรณีพฤติกรรมของเจ้าฟ้า
ชายเป็นตัวอย่างที่ดี แต่ในเรื่องสำคัญๆ เช่นนโยบายต่อการปกครองบ้านเมือง หรือผลประโยชน์หลักของอำมาตย์ สมาชิก
ราชวงศ์ไม่สามารถทำอะไรได้
หลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา คนเสื้อแดงและทักษิณ พยายามสร้างภาพของอำนาจและความเลวร้ายของประธานองค์มนตรี
เปรม ตินสุลานนท์ หลายคนเชื่อว่าเปรมเป็นผู้สั่งการให้มีรัฐประหาร และทักษิณมีความหวังว่าในช่วงเปลี่ยนราชกาล จะมี
การลด “อำนาจ” ขององค์มนตรี17 นอกจากนี้บางคนเชื่ออย่างสุดขั้วว่าเปรมจะตั้งตัวเป็นกษัตริย์คนต่อไป ผ่านตำแหน่งผู้
16 ปราศรัย 4 ธันวาคม ๒๕๔๖ http://www.thaiveterans.mod.go.th/mas_page/about_king/speak_birth/4_12_46_1.htm
17 สัมภาษณ์ The Times http://www.timesonline.co.uk/tol/news/world/asia/article6909258.ece 9/11/09.
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
10
รักษาการแทนประมุข แต่คนอีกจำนวนหนึ่ง อาจจำนวนมากด้วย ด่าเปรม เพราะกฎหมายหมิ่นไม่เปิดโอกาสให้วิจารณ์ภูมิพล
อย่างตรงไปตรงมา “เปรม” กลายเป็นคำที่ใช้แทน “ภูมิพล”
การให้ความสำคัญกับเปรมแบบนี้ เป็นการเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องกษัตริย์ เปรมเป็นแค่ประธานองค์กรที่ใช้ประสาน
ผลประโยชน์รว่ มของอำมาตย์ และหน้าที่ประธานคนนี้คือหน้าที่ผู้ประสาน ไม่ใชห่ นา้ ที่ผู้สั่งการ เปรมเป็นทหารชราที่ยังมี
พรรคพวกในกองทัพ แต่กองทัพไทยมีหลายพวกหลายพรรคที่แย่งชิงผลประโยชน์กันตลอด นี่คือสาเหตุที่ไม่มีใครสามารถนั่ง
ในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกได้นาน จะต้องหมุนเวียนกัน เพื่อให้หมูใหญ่ทุกตัวเข้าถึงอาหารในคอกได้ และอย่าลืมว่า
เปรมถูกปลดออกจากการเป็นนายกโดยทหารและนักการเมืองคู่แข่ง
ถ้าเราอ่านงานของนักวิชาการสำคัญๆ เรื่องกษัตริย์ไทย18 เราจะเห็นว่าสถาบันกษัตริย์มีการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงตาม
ยุคสมัย การเสนอว่าสถาบันนี้คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นที่นิยมของคนไทยทุกคนตลอดกาล จึงเป็นความเห็นที่ไม่ตรงกับ
ความจริง และถ้าเราจะเข้าใจบทบาทของกษัตริย์ไทยที่เน้นหนักในทางสัญลักษณ์มากขึ้น เราต้องไปเปรียบเทียบกับกษัตริย์
ในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ ซึ่งจะมีการพิจารณาต่อไปข้างล่าง
ในสังคมชนชั้นทั่วโลก ชนชั้นปกครองมีความสำเร็จระดับหนึ่งในการสร้างภาพเท็จ เพื่อปกครองและควบคุมประชาชน
เช่นภาพเท็จที่เสนอว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถในการปกครองตนเอง หรือภาพของ “เงิน” ว่ามันมีมูลค่าในตัวมันเอง
แทนที่จะเห็นว่ามันเป็นแค่เครื่องมือแลกเปลี่ยนระหว่างมูลค่า ภาพ “การมีอำนาจ” ของกษัตริย์ไทย สามารถครองใจคน
จำนวนมาก เพราะอำมาตย์สร้างความกลัวและทำลายความมั่นใจในตนเองของประชาชนผ่านกฎหมายหมิ่นและกฎหมาย
เผด็จการอื่นๆ ในสภาวะการขาดอำนาจและความมั่นใจที่จะกำหนดอนาคตของตนเอง คนจำนวนมากจะถูกชักชวนให้เชื่อ
นิยายเท็จได้ง่ายขึ้น นี่คือสภาวะแปลกแยก (Alienation) ที่นักมาร์คซิสต์พูดถึงมานาน19 แต่การครองใจของอำมาตย์เริ่มหมด
ประสิทธิภาพเมื่อประชาชนออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้20 เช่นกรณียุค พคท หรือกรณีการต่อสู้ของคนเสื้อแดงปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะ
การต่อสู้รวมหมู่หรือเป็นกลุ่ม ทำให้คนมีความมั่นใจมากขึ้น และบังคับให้คนต้องตั้งคำถามกับความเชื่อกระแสหลักที่ถูกสอน
มา
18 ธงชัย วินิจจะกูล (๒๕๔๘) “ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง ๑๔ ตุลา” มูลนิธิ ๑๔ ตุลา. ทักษ์ เฉลิมเตียรณ (๒๕๒๕)อ้างแล้ว และ Paul
Handley (2006) อ้างแล้ว
19 Georg Lukács (1971) History and class consciousness. Merlin Press.
20 มาร์คซ์, Lukács และกรัมชี เชื่อว่าการเคลื่อนไหวต่อสู้ ทำให้คนเปิดหูเปิดตา ดู ใจ อึ๊งภากรณ์ และคณะ(๒๕๔๕) “อะไรนะลัทธิมาร์คซ์เล่ม2”
สำนักพิมพ์ประชาธิปไตยแรงงาน หน้า219
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
11
มุมมองนักวิชาการกระแสหลักที่คิดว่ากษัตริย์ภูมิพลมีอำนาจ
มุมมองนักวิชาการกระแสหลักที่กล่าวถึงนี้ ไม่ใช่ “กระแสหลัก” ในแง่ของชนชั้นปกครองอำมาตย์ที่ใช้มุมมองที่ขัดกับ
ประวัติศาสตร์ แต่เป็นมุมมองของนักวิชาการส่วนใหญ่ที่พยายามเข้าใจลักษณะของสถาบันกษัตริย์ โดยจะมีจุดร่วมว่า
กษัตริย์ภูมิพลมีอำนาจสูงในสังคมไทย นักเขียนที่สำคัญมีเช่น Paul Handley21, Duncan McCargo22, นักเขียนสำนักพิมพ์
ฟ้าเดียวกัน 23, Kevin Hewison24, Michael Connors25 และ นิธิ เอียวศรีวงศ์26 และหลายคนมองว่ากษัตริย์ภูมิพลมีบทบาท
สำคัญเบื้องหลังการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา
นักวิชาการเหล่านี้เชื่อว่าภูมิพลมีอำนาจเพราะใช้กรอบคิดร่วมกันสองกรอบคือ กรอบคิด “สตาลิน-เหมา” เรื่องขั้นตอนการ
ปฏิวัติทุนนิยม และกรอบคิด “รัฐข้าราชการ” (Bureaucratic Polity) ที่เน้นแต่การกระทำของคนชั้นสูงเท่านั้น
การวิเคราะห์ของนักวิชาการที่อาศัยกรอบการมองสังคมไทยตาม แนวสตาลิน-เหมา ของ พคท เสนอว่าไทยเป็น “กึ่งศักดิ
นา” ดังนั้นเขามักจะมองว่าความขัดแย้งที่นำไปสู่รัฐประหาร ๑๙ กันยาเป็นความขัดแย้งระหว่างนายทุนสมัยใหม่(ทักษิณ)
กับระบบกึ่งศักดินาของกษัตริย์ โดยที่กษัตริย์เป็นผู้นำทางการเมืองที่สำคัญ มุมมองแบบนี้จะต้องอาศัยข้อสรุปว่าการปฏิวัติ
นายทุน(กระฎุมพี)ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จหรือยังไม่สมบูรณ์ในประเทศไทย 27 มันเป็นมุมมองที่เสนอการปฏิวัตินายทุน
และขั้นตอนของประวัติศาสตร์ในลักษณะกลไก เป็นการสวมประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ 18 ในยุโรปทับสถานการณ์บ้านเมือง
ในไทยปัจจุบัน มีการพยายามแสวงหาการปฏิวัติในไทยที่มีรูปแบบเหมือนการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 และเมื่อหาไม่เจอ ก็
สรุปว่ายังไม่ได้เกิดขึ้นหรือยังไม่สำเร็จโดยสมบูรณ์
21 Paul Handley (2006) อ้างแล้ว
22 Duncan McCargo (2005) อ้างแล้ว
23 ดูวารสาร ฟ้าเดียวกัน ฉบับ “โค้ก” ว่าด้วยสถาบันกษัตริย์กับสังคมไทย ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๔๘ และหนังสือ “รัฐประหาร 19 กันยา” ของ
สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ๒๕๔๙
24 Kevin Hewison (2008) A Book, the King and the 2006 Coup. Journal of Contemporary Asia 38 (1).
25 M. K. Connors, M.K. (2003) Democracy and National Identity in Thailand. Routledge Curzon.
26 นิธิ เอียวศรีวงศ์ (๒๕๕๑) วิจารณ์หนังสือ The King Never Smiles ในการประชุมไทยศึกษาที่ธรรมศาสตร์ปีนั้น
http://www.prachatai.com/ 17/1/2008.
27 ดู เกษียร เตชะพีระ (๒๕๕๐) “ทางแพร่งแห่งการปฏิวัติกระฎุมพีไทย” เสวนาในวันที่๑๖ กันยายน ๒๕๕๐ จัดโดยมูลนิธิโครงการตำรา
สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ โพสธ์ในเวป์ ประชาไท ๑๗ กันยายน ๒๕๕๐ and ปาฐกถา ๑๔ ตุลาประจำปี ๒๕๕๐ หัวข้อ ‘จากระบอบ
ทักษิณสู่รัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ วิกฤตประชาธิปไตยไทย’ http://www.prachatai.com/ 15/10/2007.
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
12
แต่หลังค.ศ. 1848 ชนชั้นนายทุนในยุโรปได้ประนีประนอมกับอำนาจขุนนางเก่า ซึ่งอ่อนแอลงเนื่องจากการขยายตัวของ
ทุนนิยม ดังนั้นชนชั้นนายทุนสามารถครองอำนาจได้โดยไม่ต้องปฏิวัติแบบเก่าอีก และที่สำคัญคือการปฏิวัติแบบ 1789 ใน
ฝรั่งเศสเสี่ยงต่อการที่ชนชั้นล่าง โดยเฉพาะกรรมาชีพในเมือง จะตื่นตัวร่วมปฏิวัติและจะเดินหน้าโค่นล้มนายทุนไปด้วย นี่คือ
สาเหตุที่ คาร์ล มาร์คซ์ มองว่านายทุนหลัง 1848 เป็นชนชั้นที่ขี้ขลาดไม่กล้านำการปฏิวัติ
สำนักคิด สตาลิน-เหมา ที่ พคท ใช้ในการวิเคราะห์สังคมไทย เป็นแนวคิดที่มองว่าประเทศด้อยพัฒนายังเป็น “กึ่งศักดินา-
กึ่งเมืองขึ้น” อยู่ ทั้งนี้เพื่อเสนอวา่ การต่อสู้ขั้นตอนต่อไปในประเทศเหล่านี้ต้องเปน็ ขั้นตอน “ประชาชาติประชาธิปไตย” หรือ
ขั้นตอน “สถาปนาทุนนิยม” นั้นเอง มันเป็นทฤษฏีที่สร้างความชอบธรรมกับการทำแนวร่วมระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับชน
ชั้นนายทุนทั่วโลก และในไทย พคท เสนอให้ทำ “แนวร่วมรักชาติ” กับนายทุนก้าวหน้าหลัง ๖ ตุลา ซึ่งในภายหลังมีการ
ตีความต่อไปว่าควรทำแนวร่วมกับทักษิณ “เพื่อต่อต้านศักดินา” อย่างไรก็ตาม ทักษิณ ยืนยันอยู่ตลอดว่าเขารักและ
จงรักภักดีต่อภูมิพล และเจ้าฟ้าชาย และรัฐบาลของเขาก็มีส่วนสำคัญในการรณรงค์ให้คนใส่เสื้อเหลืองและรักเจ้า
แนวคิดแบบนี้มองข้ามลักษณะการเป็นนายทุนสมัยใหม่ของกษัตริย์ภูมิพล และเครือข่ายอำมาตย์ ที่ประกอบไปด้วยทหาร
ข้าราชการ และนายทุนธนาคาร และที่สำคัญ ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ว่าทำไมนายทุนสมัยใหม่อย่างทักษิณ หรือนาย
ธนาคาร จะส่งเสริมสถาบันกษัตริย์เพื่อประโยชน์ของนายทุนเอง
กรอบคิดอีกกรอบหนึ่งของนักวิชาการที่เชื่อว่าภูมิพลมีอำนาจ คือกรอบคิด “รัฐข้าราชการ” ที่เน้นแต่บทบาททางสังคมของ
คนชั้นสูง โดยไม่พิจารณาบทบาทของคนส่วนใหญ่ในสังคมเลย สำนักคิดนี้ในไทยเติบโตมาจากงานของ Fred Riggs28 ในยุค
เผด็จการสฤษดิ์ที่เสนอว่าไทยเป็นรัฐข้าราชการ และคนส่วนใหญ่ในสังคมไม่สนใจและไม่มีบทบาททางการเมือง
ในกรณี Paul Handley มีการเสนอว่าพลเมืองไทยโง่และอ่อนแอ29 ซึ่งคล้ายๆ กับจุดยืนที่พวกเสื้อเหลืองมีต่อประชาชน
ส่วนใหญ่ ดังนั้นนักวิชาการเหล่านี้จะไม่ให้ความสำคัญกับบทบาทของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ประชาสังคม และฝ่าย
ซ้าย โดยเฉพาะ พคท ในการวิเคราะห์สังคมไทยเลย การมองแบบนี้ทำให้ละเลยการวิเคราะห์ความจำเป็นของชนชั้นปกครอง
อำมาตย์ที่จะสร้างความชอบธรรมและครองใจประชาชน เพราะมองแค่ว่าคนข้างบนมีอำนาจข่มเหงเพียงพอที่จะควบคุม
สังคมได้ ดังนั้นเขาจะไม่ค่อยศึกษาบทบาทสำคัญของกษัตริย์ในการเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิอำมาตย์เพื่อปกป้อง
ผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน
28 Fred Riggs (1966) Thailand. The Modernisation of a bureaucratic polity. East West Press.
29 Paul Handley (2006) อ้างแล้ว, หน้า 6,10,94,105
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
13
อย่างไรก็ตามเราไม่ควรปฏิเสธและไม่เคารพงานเขียนของนักวิชาการกระแสหลักเหล่านี้เลย เพราะเวลาอ่านโดยรวม เรา
จะเห็นความพยายามที่จะวิเคราะห์ปัญหาที่พิจารณายากในสังคมไทย เพราะมีการเซ็นเซอร์และลงโทษผู้ที่พยายามแสดง
ความเห็นเรื่องกษัตริย์ตลอดเวลา ถ้าใครจะเข้าใจลักษณะกษัตริย์ไทย คนนั้นจะต้องต่อยอดจากองค์ความรู้ของนักวิชาการ
เหล่านี้
ข้อเสนอเรื่อง “เครือข่ายกษัตริย์” ของ Duncan McCargo มีความจริงอยู่ไม่น้อย เพราะเราจะพบเครือข่ายของทหาร
ข้าราชการ นายทุนและนักการเมืองกษัตริย์นิยม ซึ่งพึ่งพาซึ่งกันและกันและร่วมมือกันในการผลักดันผลประโยชน์ มันเป็น
ระบบอุปถัมภ์อันยิ่งใหญ่สำหรับการกอบโกยของอำมาตย์ แต่ประเด็นสำคัญคือ ในเครือข่ายนี้ภูมิพลมีอำนาจสูงสุด หรือเป็น
แค่หุ่นเชิดในเชิงสัญลักษณ์ของเครือข่าย
Michael Connors เสนอว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็น “กลุ่มอำนาจหนึ่ง” ในระบบการเมืองไทย 30 ซึ่งเป็นการยอมรับว่าภูมิพล
อาจไม่มีอำนาจผูกขาด ในขณะที่ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เสนอว่าหลังพฤษภาคม ๒๕๓๕ ภูมิพลขึ้นมาเป็นหัวหน้าของชนชั้น
ปกครองไทยทั้งหมด31 แต่การวิเคราะห์แบบนี้ของสมศักดิ์ชวนให้เราคิดต่อว่า ภูมิพลเป็น “หัวหน้า” แบบไหน? แบบมีอำนาจ
เต็มๆและอำนาจสูงสุด หรือแบบที่เป็นประมุขสัญลักษณ์ที่ไร้อำนาจ?
การศึกษาเชิงเปรียบเทียบ
จุดเริ่มต้นที่ดีคือการศึกษาการปฏิวัติของชนชั้นนายทุนในอังกฤษในปี ค.ศ. 1640 เพราะหลังการล้มระบบขุนนางฟิวเดิล และ
การประหารชีวิตพระเจ้าชาร์ลส์ที่หนึ่ง ชนชั้นนายทุนอังกฤษนำกษัตริย์กลับมา เพื่อยับยั้งไม่ให้การปฏิวัติออกไปจาก
เป้าหมายของนายทุน เพราะในยุคนั้นกลุ่มสังคมนิยม เช่นพวก Levellers ในกองทัพของนายทุน ต้องการสร้างสังคมไร้ชน
ชั้น 32 ดังนั้นกษัตริย์ที่นายทุนนำกลับมาใช้ เป็นกษัตริย์ที่อ้างความโบราณ และอ้างว่าแต่งตั้งโดยพระเจ้า แต่แท้จริงเป็น
เครื่องมือของชนชั้นนายทุนในการส่งเสริมลัทธิอนุรักษ์นิยมที่ปกป้องระบบชนชั้นและความเหลื่อมล้ำ 33 การอ้างความเก่าแก่
โบราณสำหรับสิ่งที่พึ่งประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ เรียกว่าการสร้างประเพณีเก่าให้ดูใหม่ (Invention of Tradition) 34 สรุปแล้วใน
30 M. K. Connors (2003) อ้างแล้ว
31 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล (๒๕๔๘) หลัง ๑๔ ตุลา วารสาร ฟ้าเดียวกัน ฉบับ “สถาบันกษัตริย์กับสังคมไทย” ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๔๘
32 Paul Foot (2005) The Vote. How it was won and how it was undermined. Penguin / Viking.
33 Christopher Hill (1959) The English Revolution 1640. An Essay. Lawrence & Wishart, London.
34 Eric Hobsbawm (1995) Inventing Traditions. In: E. Hobsbawm & T. Ranger, T. (eds) The Invention of Tradition. Cambridge
University Press.
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
14
ประเทศของยุโรปตะวันตกที่ยังมีกษัตริย์ สถาบันนี้ไม่ใช่ซากเก่าของสถาบันโบรารณยุคขุนนางฟิวเดิลแต่อย่างใด แต่เป็น
สถาบันประดิษฐ์ใหม่ที่ทำให้ดูเก่า เพื่อหนุนแนวคิดอนุรักษ์นิยมของชนชั้นนายทุน นายทุนจะได้ปกครองบ้านเมืองง่ายขึ้น
ในประเทศไทย การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงที่ทำลายระบบศักดินาเก่า และเปิดทางไปสู่การสร้างรัฐทุนนิยมสมัยใหม่ ไม่ได้เป็น
กระบวนการแบบในอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือสหรัฐอเมริกา แต่เป็นการปฏิวัติในประเทศล้าหลังท่ามกลางการขยายตัวของระบบ
ทุนนิยมโลกผ่านการล่าอาณานิคม ในประเทศล้าหลังหลายประเทศ เช่นเยอรมัน อิตาลี่ สก็อตแลนด์ หรือญี่ปุ่น การปฏิวัติทุน
นิยมจะถูกนำจากข้างบน โดยชนชั้นปกครองเก่า ไม่ได้นำจากข้างล่างโดยชนชั้นนายทุนที่กำลังสู้กับขุนนาง มันเป็นการ
ปรับตัวของชนชั้นปกครองเก่า ให้เข้ากับยุคทุนนิยม เพราะถ้าไม่ปรับตัวก็ต้องสูญพันธ์35 การปฏิวัติของรัชกาลที่๕ ที่ล้มระบบ
ศักดินาและสถาปนาระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในระบบทุนนิยม มีส่วนคล้ายกับการปฏิวัติในประเทศล้าหลังเหล่านี้ และ
เกิดขึ้นในยุคใกล้เคียงกันด้วย
การปฏิวัติในไทยสมัย ร.๕ มีส่วนคล้ายกับการปฏิวัติเมจี่ในญี่ปุ่น เพราะเป็นการสร้างรัฐชาติทุนนิยมโดยชนชั้นปกครอง
เก่า เพื่อหาทางอยู่รอดในระบบทุนนิยมสมัยใหม่ แต่ไม่เหมือนในทุกประเด็น โดยเฉพาะในเรื่องการปฏิรูปและพัฒนาระบบ
การใช้ที่ดิน ซึ่งเกือบจะไม่เกิดขึ้นเลยในกรณีไทย เพราะกษัตริย์ไทยสมัยนั้นกลัวว่าถ้าพัฒนาระบบการผลิต ทรัพยากรจะตก
อยู่ในมือของทุนตะวันตก ในกรณีญี่ปุ่นมีการพัฒนาระบบการใช้ที่ดินแบบถอนรากถอนโคน ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัว
อย่างรวดเร็ว แต่ในไทยกษัตริย์จักรีพยายามแช่แข็งการพัฒนา เพื่อปกป้องผลประโยชน์ตนเอง36
ทักษ์37, ธงชัย38, เกษียร 39 และ นิธิ40 ได้เขียนเรื่องการสร้างประเพณีใหม่ให้ดูเก่าในกรณีสถาบันกษัตริย์ไทย ประเด็นนี้จึง
ไม่เป็นที่ถกเถียงเท่าไร แต่ประเด็นที่เราจะต้องมาให้ความสำคัญในช่วงนี้คือบทบาทกษัตริย์ในการเป็นสัญลักษณ์แห่งลัทธิ
อนุรักษ์นิยม เพื่อยับยั้งศัตรูของชนชั้นนายทุนสมัยใหม่ในสังคมไทย เช่นขบวนการภาคประชาชน สหภาพแรงงาน พรรค
คอมมิวนิสต์ หรือขบวนการเสื้อแดง
35 Neil Davidson (2004) The prophet, his biographer and the watchtower. International Socialism Journal No. 2:104, p. 23.
36 Tomas Larsson (2008) Western Imperialism and Defensive Underdevelopment of Property Rights Institutions in Siam. Journal
of East Asian Studies 8, 1-28.
37 ทักษ์ เฉลิมเตียรณ (๒๕๒๕) อ้างแล้ว
38 ธงชัย วินิจจะกูล (๒๕๔๘) อ้างแล้ว
39 เกษียร เตชะพีระ (๒๕๔๘) บทวิจารณ์การสร้าง “ความเป็นไทย” กระแสหลักฯ ในวารสาร ฟ้าเดียวกัน ฉบับ “สถาบันกษัตริย์กับสังคมไทย”
ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๔๘
40 http://www.prachatai.com/ 14/3/2006.
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
15
บทบาทของกษัตริย์ไทยในการเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิอนุรักษ์นิยม
บทบาททางการเมืองของภูมิพลเริ่มชัดเจนขึ้นในสมัยเผด็จการจอมพลสฤษดิ์ ยุคนี้เป็นยุคสงครามเย็น และยุคสงครามอินโด
จีน รัฐบาลเผด็จการของสฤษดิ์ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา เพราะสหรัฐเชื่อว่าสฤษดิ์เป็นแนวร่วมที่ดีในการสู้กับ
คอมมิวนิสต์ ในหนังสือของทักษ์ เขาเสนอว่าสฤษดิ์ขาดความชอบธรรมที่คนอย่างจอมพล ป. หรือ อาจารย์ปรีดี เคยมี เพราะ
ไม่ได้มีส่วนในการนำการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ดังนั้นสฤษดิ์จึงแสวงหาความชอบธรรมในสายตาประชาชนโดยการชูและส่งเสริมภูมิ
พล41 ประเด็นนี้จะจริงแค่ไหนไม่ทราบ เพราะเริ่มจากสมมุติฐานเท็จว่าประชาชน “คงต้องรักเจ้า” แต่เราอาจหาคำอธิบายอื่น
ได้คือ สฤษดิ์ต้องชูกษัตริย์ เพื่อให้ฝ่ายรักเจ้าอนุรักษ์นิยมในไทย และฝ่ายสหรัฐอเมริกาสนับสนุนเผด็จการของเขา
ในบริบทของสงครามเย็น สหรัฐอเมริกา และชนชั้นปกครองอนุรักษ์นิยมไทย รวมถึงเผด็จการทหาร มองว่าสถาบันกษัตริย์
เป็นสัญลักษณ์สำคัญของลัทธิที่จะใช้ต้านคอมมิวนิสต์ได้ หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐมีบทบาทสำคัญในการแจกรูปถ่ายภูมิ
พลไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อวัตถุประสงค์นี้42 ดังนั้นการเชิดชูกษัตริย์ภูมิพลผูกพันกับการปกป้องผลประโยชน์ของอำมาตย์
จากการที่จะถูกท้าทายโดยกระแสคอมมิวนิสต์
กระแสคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งที่อำมาตย์ไทยกลัวมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศรอบข้างกำลังเปลี่ยนไปปกครองโดยรัฐบาล
คอมมิวนิสต์ แต่หลังจากที่คอมมิวนิสต์ล่มสลาย ภัยจากประชาชนที่มีต่อผลประโยชน์อำมาตย์ ไม่ได้หายไป เพราะมีการ
เคลื่อนไหวของขบวนการทางสังคม สหภาพแรงงาน และกลุ่มเอ็นจีโอ ดังนั้นอำมาตย์ไม่เคยเลิกในความพยายามที่จะครอง
ใจกลุ่มเหล่านี้ด้วยลัทธิกษัตริย์
ลัทธิ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ที่มองว่ากษัตริย์เป็นหัวใจของชาติ หัวหน้าศาสนา และสัญลักษณ์ของ “ความเป็น
ไทย” ที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ มีความสำคัญมากในยุคสงครามเย็น และนี่คือที่มาของบทบาทกษัตริย์ในการเป็นตัวแทนของลัทธิ
ที่ให้ความชอบธรรมกับอำมาตย์ในยุคปัจจุบัน
พวกอำมาตย์ ไม่ใช่ซากเก่าของระบบศักดินา แต่เป็นชนชั้นปกครองอนุรักษ์นิยมสมัยใหม่ที่ใช้เผด็จการและความป่าเถื่อน
ยิ่งกว่านั้นภูมิพลไม่ใช่หัวหน้าของแก๊งโจรเหล่านี้ แต่แก๊งโจรใช้เขาเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมต่างหาก โดยที่ภูมิพล
ยินดีถูกใช้ตราบใดที่สามารถกอบโกยความร่ำรวยและมีคนมากราบไหว้ต่อไปเรื่อยๆ
41 ทักษ์ เฉลิมเตียรณ (๒๕๒๕) อ้างแล้ว
42 Katherine Bowie (1997) อ้างแล้ว
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
16
การสร้างความชอบธรรมจากกษัตริย์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทหารไทย เพราะทุกวันนี้กระแสประชาธิปไตยขยายไป
ทั่วโลกในจิตใจประชาชน เวลาทหารทำรัฐประหารก็อาจพยายามอ้างว่าทำ “เพื่อประชาธิปไตย” แต่ไม่ค่อยมีใครเชื่อ เพราะ
บทบาททหารในการเมืองกับระบบประชาธิปไตยมันไปด้วยกันไม่ได้ นอกจากนี้กองทัพไทยไม่มีประวัติอะไรเลยในการปลด
แอกประเทศอย่างในกรณีอินโดนีเซียหรือเวียดนาม ดังนั้นทหารต้องอ้างความชอบธรรมจากที่อื่น เวลาทหารอ้างว่า “ทำเพื่อ
กษัตริย์” จะได้ดูเหมือนว่าไม่ได้ยึดอำนาจมาเพื่อตนเอง จะเห็นได้ว่าการสร้างภาพว่ากษัตริย์มีอำนาจสูงสุด เป็นประโยชน์ใน
การปิดบังความจริงเกี่ยวกับการใช้อำนาจของทหาร ที่ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ตนเองเสมอ และทุกกลุ่มทุกรุ่นที่แย่งชิง
ผลประโยชน์กันเองในกองทัพ ก็จะพยายามโกหกเสมอว่า “ทำเพื่อในหลวง”
การใช้กษัตริย์เพื่อเป็นลัทธิที่ให้ความชอบธรรมกับอำมาตย์ ต่างจากยุโรปตะวันตกตรงที่อำมาตย์ไทยยังไม่ถูกบังคับโดย
ประชาชนให้ยอมรับประชาธิปไตย ดังนั้นลัทธิกษัตริย์ในไทย ใช้ในลักษณะเผด็จการพร้อมกับกฎหมายหมิ่นฯ หรือกฎหมาย
เผด็จการอื่นๆ และมีการสร้างภาพว่ากษัตริย์เป็นเทวดาเหนือมนุษย์ด้วยการหมอบคลานและการใช้ราชาศัพท์ ถ้าไทยจะมี
ระบบกษัตริย์เหมือนยุโรปตะวันตก ก็จะต้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯ การหมอบคลาน และการใช้ราชาศัพท์ และต้องยินยอม
ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์อย่างเสรีพร้อมกับการมีเสรีภาพในการเสนอระบบสาธารณรัฐอีกด้วย และที่สำคัญต้องมีการ
ทำลายอำนาจอำมาตย์ลงจนยอมรับประชาธิปไตย ในสถานการณ์แบบนั้น เราไม่จำเป็นต้องมาปกป้องหรือรื้อฟื้นกษัตริย์ใน
รูปแบบใหม่เลย ยกเลิกไปจะดีกว่า และจะมีประโยชน์กว่า เพราะจะประหยัดงบประมาณ และในอนาคตจะไม่มีใครสามารถ
อ้างกษัตริย์ในการทำลายประชาธิปไตยได้อีก
เมื่อภูมิพลตาย
คนไทยจำนวนมาก ไม่ว่าจะแดงหรือเหลือง กำลังรอวันตายของ ภูมิพล ด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันไป เพราะ ภูมิพล มี
ความสำคัญในสังคมไทย ทั้งในแง่บวกและลบ แล้วแต่จุดยืน เมื่อ ภูมิพล ใกล้ตาย บางคนอาจคิดว่าต้องมีการแย่งชิงอำนาจ
กันเพื่อขึ้นมาเป็นกษัตริย์คนต่อไป มันจะเกิดจริงหรือ? ทหารของพระเทพฯจะรบกับทหารของเจ้าฟ้าชาย? หรือทหารของ
ราชินี? ทหารของเปรมจะแต่งตั้งเปรมเป็นกษัตริย์แทนหรือ? ไม่น่าจะใช่ พวกอำมาตย์มันอาจจะแย่งกัน แต่สิ่งที่แย่งกันคือ ว่า
ใครจะมีสิทธิ์ใช้สถาบันกษัตริย์เพื่อสร้างความชอบธรรมกับตนเองมากกว่า เขาจะแย่งกันผูกมิตรกับและควบคุมเจ้าฟ้าชาย
เมื่อ ภูมิพล ตาย ผมเดาว่าจะมีการสร้างพิธีงานศพมโหฬาร ใหญ่โต สิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล และจะใช้เวลาอย่าง
น้อยสองเท่าเวลาที่เขาใช้กับ “พระพี่นาง” อาจถึงห้าปีก็ยังได้ อาจมีงานต่อทุกปีให้ครบสิบปีก็ได้ งานศพนี้จะมีวัตถุประสงค์
เดียว (ไม่ใช่เพราะว่าไพร่ทั้งหลายต้องใช้เวลาทำใจท่ามกลางความเศร้าหรอก) แต่เพื่อเสริมสร้างลัทธิกษัตริย์ ที่จะนำมาข่มขู่
กดขี่เราต่อไป
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
17
เมื่อ ภูมิพล ตาย ทหารจะยังมีอำนาจอยู่ ปืนและรถถังไม่ได้หายไปไหน และเมื่อทหารชั้นผู้ใหญ่ตกใจที่ภูมิพลตาย ก็ไม่ใช่
เพราะ “ไม่รู้จะรับคำสั่งจากใคร” แต่ปัญหาของเขาคือ “ไม่รู้จะหากินสร้างความชอบธรรมจากใครต่ออย่างไร” มันต่างกันมาก
ผมเดาว่าเมื่อ ภูมิพล ตาย ทหารจะต้องการยืดงานศพให้ยาวนาน ภาพ ภูมิพล จะเต็มบ้านเต็มเมือง และใครที่คิดต่างจาก
ทหารหรืออำมาตย์ หรือใครที่อยากได้ประชาธิปไตยแท้ ก็จะถูกโจมตีว่าต้องการ “ล้มภูมิพล” ทั้งๆ ที่ ภูมิพล ตายไปแล้ว มัน
ไม่สมเหตุสมผล แต่ลัทธิกษัตริย์ของอำมาตย์มันไม่ต้องสมเหตุสมผลทุกครั้งอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ในขณะที่มีงานศพยาวนานพร้อมการคลั่งและเชิดชูคนที่ตายไปแล้ว ก็จะมีการเข็นลูกชายออกมารับหน้าที่เป็น
กษัตริย์ใหม่ ปัญหาของอำมาตย์คือไม่มีใครเชื่อว่าลูกชายเป็นคนดีหรือมีความสามารถ ไม่เหมือนพ่อ ไม่มีใครรัก แม้แต่คน
เสื้อเหลืองเองก็ไม่เคารพ แต่การจัดงานศพพ่อยาวๆ การ “ไม่ลืมภูมิพล” จะกลายเป็นเครื่องมือเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจาก
ลูกชาย นอกจากนี้เขายังมีเมียภูมิพลอีกด้วย เข็นออกมารับงานได้ แต่ประชาชนก็ไม่รักเท่าไรตั้งแต่ไปงานศพพันธมิตรฯ
ดังนั้นในเรื่องลูกชายและเมีย ก็ต้องย้ำเสมอว่า “เป็นลูกชายภูมิพล เป็นเมียภูมิพล” เพื่อไม่ให้เราลืม “ความดีงาม” ของ ภูมิ
พล
ถ้าลูกชายภูมิพลไม่ได้รับความเคารพในสังคม ทำไมไม่นำลูกสาวขึ้นมาเป็นกษัตริย์แทน? ถ้าภูมิพลมีอำนาจจริง ทำไมเขา
ไม่ประกาศว่าลูกสาวจะเป็นกษัตริย์คนต่อไปก่อนตาย? คำตอบคือ ภูมิพลไม่กล้า และที่สำคัญที่สุดคือการนำลูกสาวขึ้นมา
โดยทหาร จะส่งสัญญาณอันตรายว่า ระบบกษัตริย์ไม่ได้อิงจารีตประเพณีอันเก่าแก่จริง ถ้าให้ผู้หญิงเป็นกษัตริย์ได้แทนผู้ชาย
ที่ยังมีชีวิต มันจะทำลายนิยายของความเก่าแก่ศักดิสิทธิ์ของกษัตริย์ ยิ่งกว่านั้นจะส่งสัญญาณว่าในระบบกษัตริย์ ถ้ากษัตริย์
หรือเจ้าฟ้าชายไม่ดีหรือไม่เหมาะสม ก็เปลี่ยนคนได้อีกด้วย ถ้าเปลี่ยนคนได้ก็ยกเลิกไปเลยได้เหมือนกัน อย่าลืมว่ากษัตริย์มี
บทบาทหลักในการเป็นลัทธิความคิดที่ใช้ครอบงำเรา มันไม่ใช่อำนาจดิบ ดังนั้นผลในทางความคิด ในการเป็นลัทธิที่อ้าง
ประเพณีที่ฝืนไม่ได้ เป็นเรื่องใหญ่
เมื่อ ภูมิพล ตาย สังคมไทยจะไม่ปั่นป่วนกว่าที่เป็นอยู่แล้ว อย่าไปโง่คิดว่า “จุดรวมศูนย์หัวใจคนไทยหายไป” มันเลิกเป็น
จุดรวมศูนย์นานแล้ว และไม่เคยรวมหัวใจทุกคนด้วย แต่สิ่งที่จะปั่นป่วนหนัก คือหัวใจของพวกอำมาตย์และเสื้อเหลือง
ต่างหาก พวกนี้จะคลั่งมากขึ้น อันตรายมากขึ้น แต่อันตรายท่ามกลางความกลัว เขาจึงมีจุดอ่อน
เมื่อ ภูมิพล ตาย คนเสื้อแดงจำนวนมากที่เกรงใจ ภูมิพล และเคยรัก ภูมิพล จะไม่เกรงใจหรือรักลูกชายเลย ความปลื้มใน
ระบบกษัตริย์จะลดลงอีกในสายตาคนส่วนใหญ่ แต่เมื่อ ภูมิพล ตาย คนเสื้อแดงที่ไม่เอาเจ้า เพราะอยากได้ประชาธิปไตยแท้
จะไม่ประสบผลสำเร็จง่ายๆ หรือโดยอัตโนมัติ เพราะฝ่ายอำมาตย์จะไม่เลิก อำนาจทหารจะยังมี และการรณรงค์ให้คลั่งเจ้า
สถาบันกษัตริย์ไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ 2009
จะเพิ่มขึ้น ในมุมกลับ เมื่อ ภูมิพล ตาย อำมาตย์จะปั่นป่วน และมันเป็นโอกาสที่เราจะสู้ทางความคิดอย่างหนัก เพราะแหล่ง
ความชอบธรรมของเขาจะอ่อนลง ดังนั้นเราจะต้องถามคนทั่วประเทศว่า ทำไมต้องมีระบบนี้ต่อภายใต้ลูกชายหรือแม่?
พลเมืองที่รักประชาธิปไตยไม่สามารถรอวันตายของ ภูมิพล ได้ เพราะมันจะมีทั้งภัยและโอกาสตามมา เราหลีกเลี่ยงการ
วางแผน การจัดตั้งคน และการผนึกกำลังมวลชนไม่ได้ ประชาธิปไตยจะไม่หล่นจากต้นไม้ เหมือนมะม่วงสุก เราต้องไปเด็ด
มันลงมากิน และเราจะต้องสอยอำมาตย์ทั้งหมดลงมาด้วย เพื่อไม่ให้ทำลายประชาธิปไตยอีก
http://siamrd.blog.co.uk/

คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”

คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 27
โดย จักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง ๒๕๕๒...เปลี่ยนศักราช-เปลี่ยนประวัติศาสตร์ไทย?
ใครรู้สึกสับสนว่าการเมืองไทยจะเดินไปในทิศทางใด สงบสันติหรือจะเกิดอลหม่านรุนแรง กลไกเดิมๆ ที่ช่วยระงับวิกฤติการณ์มาแล้วหลายครั้งหลายหนจะยังได้ผลอยู่หรือไม่ ขอได้โปรดรู้ว่าท่านมิได้สับสนอยู่คนเดียวในราชอาณาจักรแห่งนี้ คนอีกหกสิบกว่าล้านก็สับสนเช่นเดียวกับท่าน รวมทั้งคนอีกสองสามคนที่ท่านอาจนึกว่าเขามีอำนาจมากกว่าท่านในการชี้นำประเทศนี้ด้วย
ครับ ท่านอ่านไม่ผิดหรอก แม้แต่บุคคลที่ใครๆ นึกว่าเป็น “หัวหน้าขั้วอำนาจ” ของแต่ละฝั่งก็ไม่รู้จะเดินต่อไปอย่างไรจึงจะไม่ขุดหลุมฝังตัวเองให้ลึกยิ่งกว่าเดิม
จนต้องถึงคราวของ “ปฏิบัติการแหวกวงล้อม”
เมืองไทยปัจจุบันแบ่งออกเป็น ๒ ขั้วคือ ขั้วเผด็จการอำมาตยาธิปไตย กับ ขั้วประชาธิปไตย

ขั้วเผด็จการอำมาตยาธิปไตย ประกอบด้วย

๑) เหล่าศักดินาและข้าทาสบริวารผู้ได้รับประโยชน์จากระบอบศักดินา

๒) ขุนนางข้าราชการ (ทหาร ตุลาการ และพลเรือน) ขุนนางธุรกิจ ขุนนางนักวิชาการ ขุนนางสื่อมวลชน ขุนนาง NGOs ที่เรารวมเรียกว่าฝ่ายอำมาตย์

๓) มหาอำนาจนอกประเทศไทยที่มีข้อตกลงร่วมผลประโยชน์กับฝ่ายศักดินาไทย

ขั้วประชาธิปไตย ประกอบด้วย

๑) ประชาชนรากหญ้า

๒) ประชาชนที่สร้างฐานะด้วยตัวเอง (ไม่มีมรดกหรือชาติตระกูลเป็นตัวช่วย)

๓) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย นปช.แดงทั้งแผ่นดิน และเครือข่าย (ผู้ต้องการการเลือกตั้ง)

๔) ประชาชนปฏิวัติ (ผู้ต้องการการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างการเมือง)

๕) มหาอำนาจและประเทศต่างๆ ที่ปรารถนาจะร่วมมือกับประเทศไทยหลังความเปลี่ยนแปลง

ปัญหาเกิดจากขั้วทั้งสองต่างก็วิตกจริต กลัวถูกทำลายจากอีกฝ่ายหนึ่ง

ขั้วเผด็จการอำมาตยาธิปไตยเชื่อมั่นว่าระบอบทักษิณมีตัวตนจริง พร้อมพรั่งทั้งอำนาจ เงิน แผน และการบริหารจัดการ ถ้าปล่อยให้โงหัวได้อาจทำให้ผู้กุมอำนาจเดิมถดถอยอย่างหนักจนอาจล่มสลาย หรืออย่างเบาะๆ ก็ต้องเผชิญเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง กลุ่มนี้พยายามจะเขียนฉาก “สุดท้าย” ของฝ่ายประชาธิปไตยที่นำโดยคุณทักษิณ แต่ความคิดยังแตกต่างกันมาก บางคนให้ไล่เด็ดหัวคุณทักษิณและคณะด้วยอำนาจตุลาการและอำนาจขององค์กรอิสระไปเรื่อยๆ บางคนแนะให้ฆ่าคุณทักษิณทิ้งเสีย เหมือนสิ่งที่ท่านผู้หญิงที่เป็น ม.ร.ว. ด้วยคนหนึ่งเคยปรารภกับนายทหารระดับพลตรี (ขณะนี้เป็นพลโท) ว่า “ฆ่าคนที่อังกฤษทิ้งเสียคนเดียว ปัญหาก็จบหมด” ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้วิ่งเต้นให้อังกฤษยกเลิกวีซ่า

ฝ่ายนี้เชื่อว่าเวลาของตนเหลือน้อยลงทุกขณะ กลัวว่าถ้ากำจัดทักษิณไม่ทันยมทูต อาจจะฉิบหายกันได้ทั้งบาง เพราะฉะนั้นหากไม่ทันเข้าจริงๆ การรัฐประหารก็จะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมืออีกครั้ง โดยเอาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาขึ้นมานำ และเตะพลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดาขึ้นข้างบน เพราะยังเข็ดเขี้ยวกับความอ่อนด้อยสมัย คมช. อยู่

ถ้าคราวนี้ทำ ก็ต้องทำกองทัพบกให้เป็น hardcore ด้วย ทำใต้ดินให้รุนแรงชนิดเลือดนอง แต่บนดินเรียบร้อยราบรื่นเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ฝ่ายอำมาตย์ส่วนที่ยอมรับว่าคุณทักษิณมีอำนาจมวลชนขนาดหักกันไม่ลงก็แนะให้เปิดเจรจากัน คืนเงินเจ็ดหมื่นกว่าล้านให้เขาและ (อดีต) ภรรยาไปทั้งหมด หรือหักไว้เสียสองหมื่นคืนให้ห้าหมื่น เพื่อแลกกับการถอนตัวจากการเมืองโดยเด็ดขาด พูดง่ายๆ ว่าให้คุณทักษิณเลิกสู้ จนทุกอย่างกลับสู่สมดุลเดิม หากคุณทักษิณละเมิดข้อตกลงก็จะเรียก hardcore เข้ามาจัดการในภายหลัง
แต่ฝ่ายนี้ก็ยังสับสนอยู่ว่าจะยอมให้คุณทักษิณกลับมามีอำนาจผ่านการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าจะถูกล้างบางจนฝ่ายอำมาตย์อ่อนกำลังลงไปหรือเปล่า เผด็จการอำมาตย์จึงยังขัดขืนที่จะให้อภิสิทธิ์ยุบสภาและประกาศการเลือกตั้งใหม่ ฝ่ายเสื้อแดงที่ทำท่าฮือฮาว่าจะผลักดันการเลือกตั้งให้จงได้ จู่ๆ ก็ประกาศเลื่อนการชุมนุมอย่างกะทันหันด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับการถวายพระพร จนเกิดสงสัยกันไม่น้อยในหมู่คนเสื้อแดง

ทีนี้พูดถึงฝ่ายประชาธิปไตยบ้าง

ครอบครัวและที่ปรึกษาใกล้ตัวของคุณทักษิณเชื่อมั่นว่า ขบวนการประชาธิปไตยจะอ่อนล้า จึงมุ่งมั่นที่จะเลือกตั้งและคว้าเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรให้ได้ อย่างน้อยเพื่อสร้างอำนาจต่อรองบ้าง หากโชคดีไปกว่านั้น บ้านเมืองเกิดกลับตาลปัตรขึ้นมาพอดี รัฐบาลเพื่อไทยในวงล้อมของอำมาตย์อาจกลายเป็นรัฐบาลตัวจริงขึ้นมาได้อย่างไม่คาดฝัน

ตัวคุณทักษิณก้าวหน้าทางความคิดไปกว่านั้น ในขณะที่ปล่อยตัวไหลตามน้ำไปบ้างก็มีสติระลึกรู้อยู่ว่าจะต้องเริ่มว่ายน้ำสวนทางหรือเปลี่ยนทิศ อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่และโดยเครื่องมือใดเท่านั้น
ฝ่ายประชาชนเริ่มเข้าใจว่าเป้าหมายเดิมๆ ที่แกนนำประกาศไว้ คงไปไม่ถึงดวงดาว แต่ในขณะที่ทุกอย่างยังรวนเรไม่ชัดเจนอยู่ ให้ทำอะไรก็ยังทำ และเอาอกเอาใจกันไว้อย่างคนเห็นใจกัน น่าชื่นชมที่ฝ่ายประชาชนเป็นฝ่ายนำตัวจริง จึงไม่ต้องห่วงว่าการนำที่ล้าหลังจะทำให้มวลชนล้าหลังไปด้วย เพราะมวลชนเดียวกันนี้แหละที่จะกลายเป็นมวลชนที่ก้าวหน้าเมื่อได้เวลาอุดมมงคลฤกษ์ ขณะนี้ไม่ต้องขัดคอกัน ไม่ต้องดิ้นรนกระวนกระวาย และไม่ต้องขอร้องให้แกนนำทุกคนเข้าใจในสถานการณ์

มวลชนเสื้อแดงเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยที่มากกว่าเงินเจ็ดหมื่นกว่าล้าน มากกว่ารัฐบาลที่ตั้งไปให้เขาโค่นทิ้ง รู้ดีว่าต้องทำอะไรมากกว่ากราบกรานขอร้องหรือชุมนุมกันไว้ก่อน
ความทรงจำในวันหาบหามฎีกากันอย่างเท่ เอาเสียงคนหลายล้านคนไปขอความเป็นธรรมยังแจ่มชัดอยู่

คนระดับนำด้วยกันย่อมเข้าใจว่าหมดระยะเมื่อไหร่ก็ให้กลับบ้านไปอย่างเงียบๆ อยากเป็น ส.ส. หรือรัฐมนตรี หรือประธานพรรคสาขาภาคไหน ก็ตกรางวัลให้แก่กันในความเหนื่อยยากและในความกล้าหาญอย่างสมควร

ส่วนประชาคมระหว่างประเทศนั้น มีความเข้าใจฝ่ายประชาธิปไตยของไทยและเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมของอำมาตย์ไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ประเทศไทยในมือของอำมาตย์มีความแปลกประหลาด (bizarre) เอาตัวเองเป็นความถูกต้อง (self-righteous) และใช้สองมาตรฐาน (double standard)

ความหลงยุคของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยในเมืองไทยทำให้เขาลำบากใจยิ่ง ไม่เฉพาะในกรณีกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ที่แสดงออกอย่างชัดเจน และมาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียที่แสดงออกอย่างเบาะๆ ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปก็เริ่มมองหาวิธีการจะแสดงออกอย่างเหมาะสมเช่นกัน

การเมืองไทยก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย เหลือกันอยู่แค่สองขั้วนี้เท่านั้นล่ะครับ

ไม่น่าเชื่อว่าเกิดมาชาติหนึ่งจะได้เห็นอะไรดีๆ และทันใจเช่นนี้เลย"

คอลัมน์ “ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 27
โดย จักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง ใครจะคบ?

รอบอาณาจักรไทยมีสี่ทิศ ล้อมประชิดติดอิงเป็นมิ่งขวัญ
เคยกรำศึกฮึกโหมเข้าโรมรัน เมื่อนานวันผันผายก็คลายลง
เพราะสงวนจุดต่างสร้างจุดร่วม จึงต่างรวมพลังแสงเพิ่มแรงส่ง
เศรษฐกิจคิดนำก็ดำรง เลิกเดินหลงในพนาป่าการเมือง
ประวัติศาสตร์ที่สร้างให้คลั่งชาติ เลิกหวั่นหวาดเลิกอิจฉาเลิกหาเรื่อง
ร่วมใจหวังสร้างกรุงให้รุ่งเรือง ประชาชนถ้วนทุกเมืองได้กินดี
นั่นล่ะคือความสุขก่อนทุกข์เข็ญ เมืองไทยเด่นสุกสว่างวางวิถี
นโยบายขยายมิตรด้วยจิตดี เลิกชวนตีกลองสงครามตามชายแดน
ไทย-พม่ารบกันนักกลับรักใคร่ ทางลาว-ไทยใครจะนึกเป็นปึกแผ่น
กัมพูชากลับสงบครบทั่วแดน มาเลเซียแน่นแฟ้นใกล้แดนไทย
แล้วไฉนจึงทำลายจนวายวอด เครียดตลอดปลอดสุขเพลิงลุกไหม้
เริ่มจากรัฐประหารในบ้านใคร แล้วรุกไล่เพื่อนบ้านเป็นพาลชน
เพื่อนสี่ทิศกลายสภาพทราบหรือไม่ ประกายไทยไฟเผาเขาฉงน
นโยบายบ้านเมืองหรือเบื้องบน ที่ร่วงหล่นจากสวรรค์ลงคันคู
เงินซีเกมส์ช่วยลาวเขาไม่รับ กัมพูชาก็ขยับไม่รับกู้
ขอไปเยือนเมียนมาร์ไว้เขาไม่ดู มาเลเซียก็ไม่อยู่เปิดอาเซียน
เขารวมกันในวันนี้ก็ชี้ชัด เหมือนมาตรวัดอำมาตย์ล้วนควรเกษียณ
อารมณ์เหนือเหตุผลมวลชนเอียน เพราะเขาเรียนมาสามปีมีเวลา
พอหลงตัวว่ายิ่งใหญ่ใครต้องกราบ ก็สร้างภาพสวยนักรักษาหน้า
เมื่อบ้านเมืองติดขัดด้วยอัตตา มัวบูชาตัวเองไม่เกรงใจ
นโยบายต่างประเทศไม่เข้าท่า เห็นโลกาภิวัตน์สะบัดใส่
เมื่อเงยหน้ามาอีกทีจะมีใคร ผู้โดดเดี่ยวเดียวดายในสากล
เผด็จการอำมาตย์ร้ายทำลายชาติ สะพานขาดน้ำแรงทุกแห่งหน
ผลประโยชน์ของมหาประชาชน ไม่เคยสนใจใครเอาใจตัว
ขอประณามอำมาตย์ชาติตกต่ำ ฉายหัวใจสีดำให้เห็นทั่ว
ปวงประชาชนไทยได้เลิกกลัว ไฟสลัวเปิดสว่างกลางแผ่นดิน.