Tuesday, September 22, 2009

คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”

คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 16
โดย จักรภพ เพ็ญแข

เรื่อง รัฐภายในรัฐ


นักหนังสือพิมพ์อาวุโส “พญาไม้” ได้กรุณาเขียนถึงผมในคอลัมน์ของท่าน ว่าด้วยวลีหนึ่งที่ผมยกมาพูดคุยกับกลุ่มประชาธิปไตยที่มาฟังกันทั่วโลกเมื่อวันก่อน ผมจึงคิดว่าควรนำเรื่องนี้มาขยายความให้ชัด เพราะหนามที่ปักอกระบอบประชาธิปไตยไทยมาตลอดนั้น ไม่มีชิ้นไหนใหญ่กว่าชิ้นนี้ และตำอยู่ในใจผู้อาวุโสหลายคนในเมืองไทยอย่างชนิดพูดไม่ออกบอกไม่ถูก


นั่นคือเรื่องของ “รัฐภายในรัฐ”



คำๆ นี้ไม่ได้ปรากฏอยู่ในตำราและงานวิจัยที่ก้าวหน้าในวิชารัฐศาสตร์อย่างเดียว แต่ยังเป็นคำที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกาใช้เรียกสภาวะเมืองไทยในช่วงสงครามเย็นว่า “state within state” ที่แปลออกมาตรงกันว่า รัฐภายในรัฐ นั่นด้วย


ความจริงคนที่ศึกษาการเมืองไทยถึงระดับโครงสร้างและรูปแบบการเมืองการปกครองก็รู้เรื่องนี้ทุกคน เรื่องนี้ไม่ใช่ความรู้ใหม่ เพียงแต่เหตุการณ์ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๔ ที่พรรคไทยรักไทยกลายเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลด้วยเสียงข้างมาก ได้คุณทักษิณมาเป็นนายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจเต็ม จนถึงขั้น “เกย” กับผู้มีอำนาจเดิม ได้กลายเป็นหลักฐานที่จับต้องได้ว่า “รัฐภายในรัฐ” ในราชอาณาจักรไทยนั้นมีตัวตนจริง


หลักฐานนี้ชี้ว่าประชาชนไม่ได้เป็นเจ้าของประเทศนี้อย่างที่โฆษณาชวนเชื่อกัน


“รัฐภายในรัฐ” มีความหมายว่า ภายในประเทศไทยที่เรียกตามศัพท์กฎหมายระหว่างประเทศว่ารัฐไทยนี้ มีรัฐบาลซ้อนกันอยู่ ๒ ชนิดคือ รัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งมาตามกระบวนการกับรัฐบาลที่ไม่เคยลงเลือกตั้งและไม่เคยสนใจที่จะได้รับเลือกตั้ง


รัฐบาลประเภทหลังประกอบด้วย:


๑. ข้าราชการระดับผู้ใหญ่ทั้งพลเรือนและทหารที่เติบโตมาเรื่อยๆ ในระบบอุปถัมภ์ของผู้มีอำนาจเดิม แล้วผลัดกันสวมอำนาจแบบสมบัติผลัดกันชม จนบางครั้งก็เกิดแก่งแย่งกัน
๒. กลไกการควบคุมรัฐไทยโดยสิ้นเชิง เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) กองบัญชาการตำรวจสันติบาล กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพบก การบินไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นต้น


๓. ฝ่ายหารายได้ ทั้งจากสมบัติเดิมและสมบัติใหม่ รวมทั้งการพัฒนาเครือข่ายดูดทุนไม่ว่าจะเป็นทุนเก่าหรือทุนใหม่เข้าสู่ส่วนกลาง


๔. นักวิชาการผู้มีทักษะเฉพาะด้าน โดยเฉพาะวิธีควบคุมบ้านเมืองด้วยกฎหมาย เช่น การจัดทำรัฐธรรมนูญ การซ่อนเงื่อนไขรักษาอำนาจและผลประโยชน์ไว้ในกฎหมายระดับรองลงไป เป็นต้น


๕. ข้อตกลงกับประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ในการรักษาผลประโยชน์ร่วมกันและไม่ทับซ้อนในพื้นที่อำนาจของกันและกัน


รัฐบาลประเภทนี้จึงมีทุกอย่างอย่างสมบูรณ์ในการแสวงหาและรักษาอำนาจ ถือเป็นรัฐบาลตัวจริงของราชอาณาจักรนี้


ส่วนรัฐบาลเลือกตั้งเอาไว้เป็นภาพลักษณ์ของประเทศและใส่เป็นหน้ากากบังตัวจริงไว้
อยากได้อะไรก็โทรศัพท์หรือส่งคนมาสั่งรัฐบาลเลือกตั้งเหมือนสั่งพิซซ่า


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในช่วงแรกๆ (ตั้งแต่กลุ่ม “เรารักในหลวง” เป็นต้นมา) การแสดงตัวของ “ตุลาการภิวัตน์” คำวินิจฉัยให้การเลือกตั้ง ๒ เมษายน ๒๕๔๙ เป็นโมฆะ การลอบสังหารนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลเลือกตั้งด้วยระเบิดรถยนต์ การรัฐประหาร คปค./คมช. ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ การยุบพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเกือบทุกคดี ฯลฯ คือผลงานของรัฐบาลตัวจริงของรัฐไทย


และเป็นเพียงผลงานส่วนหนึ่งเท่านั้น


ไม่มีทางเลยครับที่รัฐบาลเลือกตั้งจะสู้ได้ เพราะนอกจากการจัดตั้งกลไกอำนาจที่อ่อนแอผิดกับรัฐบาลตัวจริงที่ดำรงสภาพอยู่ลับๆ และแข็งแกร่ง รัฐบาลเลือกตั้งยังต้องทำงานและเผชิญกับปัญหาต่างๆ เป็นประจำวัน ใครจะวิจารณ์ด่าว่าอย่างไรก็มาลงที่รัฐบาลเลือกตั้งทั้งหมด


รัฐบาลตัวจริงลอยตัวอยู่เหนือภาวะขึ้นลงของประชามติ ไม่ถูกทดสอบแต่อย่างใดทั้งสิ้น นานๆ ครั้งก็ออกมาทำหน้าที่ “กูรู้” สอนสั่งรัฐบาลเลือกตั้งราวกับลูก


ภารกิจของรัฐบาลตัวจริงผู้เป็น “รัฐภายในรัฐ” ก็ชัดเจนนัก จุดเริ่มต้นคือความไม่ยอมเสียอำนาจและผลประโยชน์ให้กับคู่แข่งสำคัญคือฝ่ายประชาธิปไตย มาจนถึงหน้าที่หลักไม่กี่อย่างคือ:


๑. สร้างภาพให้ระบบการเมืองเป็นสิ่งเลวร้าย เน่าเสีย จนประชาชนรู้สึกว่าพึ่งพาอาศัยไม่ได้ เช่นตอกย้ำเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียง เป็นต้น


๒. รัฐบาลประชาธิปไตยต้องดูด้อยความสามารถ ด้อยค่า และสมควรถูกทำลายทิ้ง ถ้ามีค่าและมีกำลังอำนาจขึ้นมา ก็สร้างภาพว่าโกง เป็นเผด็จการ และไม่จงรักภักดี เพื่อกำจัดเสีย


๓. ทำให้ระบบราชการ ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการของรัฐบาลตัวจริง สูงส่งกว่าประชาชนทั้งประเทศ สร้างเงื่อนไขให้มวลชนโง่กว่าและล้าหลังกว่าเสมอไป


๔. กระชับอำนาจอยู่ตลอดเวลา ด้วยการสร้างการแข่งขันในหมู่ลูกน้องและผู้ปฏิบัติงาน ใครทำพลาดก็กำจัดออกไป ใครทำดีถูกใจก็ส่งเสริมอย่างไม่ต้องสนใจความรู้สึกของใคร


๕. โฆษณาชวนเชื่ออย่างไม่หยุดยั้ง ถ้าเนื้องานปัจจุบันไม่มี ก็ไปขุดอดีตมาโฆษณาซ้ำซากจนเกิดความคุ้นชินและไม่กล้าท้าทาย สร้างตัวเองจนเป็น “มาตรฐานแห่งความดี” ของสังคมไทย


๖. คนที่กล้าท้าทาย โดยเฉพาะท้าทายอย่างเปิดเผย ก็เชือดไก่ให้ลิงดู โดยลงโทษอย่างดิบเถื่อน


๗. ไม่ว่าถูกกดดันอย่างไร ผู้นำรัฐบาลตัวจริงจะไม่เผยโฉมหน้าเป็นอันขาด แต่จะแสดงบทเลี่ยงๆ เมื่อถึงคราวจำเป็นให้คนที่ต่ำกว่าตีความเองว่าต้องการอะไรและอย่างไร (หลายครั้งก็ปล่อยให้ตีความผิด) นอกนั้นจะสั่งการผ่านรหัสและใช้ “บ๋อย” เพื่อไม่ให้ใครสาวถึง


๘. ทำความตกลงกับสหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน และสหราชอาณาจักรอยู่เสมอว่าตราบใดที่รัฐบาลตัวจริงรักษาอำนาจได้อย่างมั่นคง ผลประโยชน์ของทั้งสามก็จะเสถียรตามไปด้วย หลักการนี้เรียกกันเล่นๆ ในวงการว่า “I Live, You Live. I die, You die” เอกอัครราชทูตไทยใน ๓ ประเทศนี้จึงถูกคัดเลือกอย่างระมัดระวัง และมักมีงานพิเศษหลังเกษียณเสมอ
ขณะนี้การเมืองถูกบงการเป็นรายวันโดยรัฐบาลตัวจริง “รัฐภายในรัฐ” รัฐบาลเลือกตั้งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็พยายามรักษาตัวเหมือนเนื้อหอยในเปลือกหอย ทำงานอะไรไม่ได้เลย
รัฐบาลเลือกตั้งที่ประชาชนต้องการจริงๆ ก็ถูกกดไว้ ไม่อนุญาตให้ขึ้นมาเป็นทางเลือก เพราะถ้าประชาชนเลือกตั้งรัฐบาลของตัวเองแล้ว รัฐบาลตัวจริงอาจเกิดอนิจจัง ตั้งอยู่ไม่ได้อีกต่อไปในรัฐไทย


เราอาจโทษรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์ของฝ่ายประชาธิปไตย เอาเข้าจริงแล้วก็เรื่องขี้หมาทั้งนั้น


ปัญหาคือรัฐบาลตัวจริงที่ใจแคบ เห็นแก่ตัว ทรุดโทรม และอำมหิต


หัวใจของปัญหาการเมืองไทยคือ “รัฐภายในรัฐ”.



-------------------------------

TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146

ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน)

Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)

การเลือกตั้ง.. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สส.

การเลือกตั้ง.. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สส.
ประเทศไทยมีปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง สส.มายาวนาน
เนื่องจาก เผด็จการได้ออกกฎหรือระเบียบ ที่มันซับซ้อนซ่อนเงื่อน เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างเพื่อให้พวกของตัวเองได้เปรียบคู่แข่ง เพราะ กลุ่มเผด็จการอำมาตย์เป็นกลุ่มอีแอบยักยอกอำนาจของปวงชน ซึ่งในระบอบการปกครอง ปชต.ไม่มีอำมาตย์ เขาได้หลอกลวงว่าประเทศไทยนี้มี ปชต.เขาทำหลายๆอย่างที่มันคล้ายๆประเทศที่เป็นประชาธิปไตย โดยมีการตั้งพรรคการเมืองชื่อพรรค ประชาธิปัตย์ ลงสมัครรับเลือกตั้งเหมือนๆกับพรรคการเมืองอื่น เพื่อเป็นการแสดงละครแหกตาประชาชนให้แนบเนียนเท่านั้น เพราะการเลือกตั้งนั้นมันไม่ใช่การเลือกตั้งแบบแฟร์ๆแต่ประการใด เขาได้วางระบบรูปแบบแล้วออกเป็นกฎหมาย ให้เขาได้เปรียบ คือเขาสามารถใช้กลโกงได้หลายๆขั้นตอน เช่น

- หนึ่งเขตสามารถเลือกได้ 3 คน อันนี้ก็เพื่อเปิดช่องทางให้พรรคพวกของตัวเองได้เข้าสภาฯได้มากขึ้น กล่าวคือ ปชช.ก็จะได้เลือกคนที่ตนเองชอบ 1 คน และเลือกคนที่ซื้อเสียง 2 คน เพราะรับเงินเขามาแล้วกลัวบาป หรืออาจจะเลือกเพราะเล่นการพนันเอาไว้ โดยพวกเขาเป็นเจ้ามือ รับแทงฝ่ายตรงกันข้ามเข้าวิน คนที่แทงก็ต้องไปเลือกคนของเขาเพื่อรับเงินเดิมพัน สุดท้ายคะแนนก็จะไปรวมที่คนของเขา 2 คะแนน เผลอๆคนของเขาได้หมดเพราะคนที่ประชาชนชอบ มีไม่เหมือนกันทำให้เสียงแตก
หากว่าหนึ่งเขตเลือกได้ 1 คน ปชช.จะมีอยู่ 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ฉลาดคือเลือกตามใจชอบ กับกลุ่มที่ฉลาดน้อยก็เลือกเอาตามกำลังเงินที่แจกและเดิมพัน แต่ บังเอิญ ยุคนี้คนฉลาดๆมันมากขึ้น ทำให้การซื้อเสียงไม่ได้ผล ตัวอย่างมีให้เห็นสมัยการเลือกตั้ง ทักษิณ2 พวกแจกเงินต้องหลบลงรู แจกจนกระเป๋าฉีกก็ยังสอบตก

- การซื้อเสียงบางจังหวัด แม้จะมีการซื้อเสียงกันทั้งสองฝ่าย แต่การเอาผิด จะจับผิดเฉพาะฝ่ายตรงกันข้ามกับเขา อันนี้เป็นที่รู้ๆกันแล้ว เพราะกรรมการก็คือคนของเขา ดังนั้นพวกเขาผิดแค่ไหนก็ใบเหลือง แต่คนอื่นผิดนิดเดียวใบแดง บางทีไม่ผิดแต่ก็โยนความผิดให้

- การนับคะแนน เขาก็มีการจัดระระบบให้เขาโกงได้ง่ายๆคือ ให้ขนหีบบัตรไปนับรวมกันที่จุดเดียว ในช่วงจังหวะของการขนส่งนั้น มันมีเจ้าหน้าที่ไม่กี่คนรับผิดชอบในการขนย้าย การเปลี่ยนหีบเป็นเรื่องที่ง่ายดาย เขาจ่ายเงินให้แก่ผู้ขนหีบไม่กี่ตัง เขาก็เปลี่ยนหีบได้ พยานรู้เห็นทั้งหมดส่วนใหญ่เป็นบริวารของเขาอยู่แล้ว โดยหลักความจริงแล้ว การนับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง ปชช.ในเขตแต่ละเขต สามารถมารถเป็นผู้ตรวจสอบการนับคะแนนได้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งมีความแม่นยำและรวดเร็วกว่าการขนหีบบัตรไปนับรวมกันที่จุดๆเดียว การที่เอาไปรวมกันแล้วนับ กว่าจะนับเสร็จต้องใช้เวลานานกว่ายุ่งยากกว่าหลายเท่า แต่เขาก็ยังทำโดยไม่อายฟ้าดิน

- การนับคะแนนที่กองอำนวยการเลือกตั้งแต่ละจังหวัด มันยังมีลูกเล่นหลายอย่างเช่น นับให้ไว พอที่จะโกงได้โดยการขาน ก็โกง คือก็นับแบบโกงๆ คนเขียนลงกระดาน ก็กาคะแนนแบบโกงๆ บางครั้งยังมีไฟฟ้าดับ คือแกล้งดับไฟเพื่อให้มีการโกงได้อีก อันนี้คงเคยเห็นกันบ่อยๆ ไฟดับคะแนนเปลี่ยน

- กกต.ก็มีอำนาจล้นฟ้า มีอย่างที่ไหน ตนไม่กี่คนมีอำนาจเหนืออำนาจของประชาชนผู้เลือกเข้ามาเป็นล้าน จะให้ใบแดงใบเหลือง หรือจะยุบพรรคใครนั้น มันอยู่ที่ว่า พรรคของใคร พวกของใคร

เล่ห์เหลี่ยมกลโกงของเผด็จการซ่อนรูปที่นำมากล่าวนี้ เป็นเพียงเล็กๆน้อยๆซึ่งส่วนหนึ่งในพันเท่านั้น หากนำมากล่าวให้หมดจริงๆคงจะยืดยาวเกินไป เพราะมันไม่ใช่ประเด็นที่จะกล่าวถึง

ระเบียบการเลือกตั้งที่จะนำเสนอในตอนนี้ มันเป็นการเลือกตั้งที่สามารถได้คนดีมีฝีมือจริงๆเข้าไปบริหารประเทศ คือเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถและเป็นคนที่ประชาชนรักด้วย
ต้องยอมรับกันก่อนนะครับว่า เมืองไทยเรายังมีคนดีมีฝีมืออีกมากมาย เพียงแต่เขารู้รู้ไส้รู้พุงการเมืองแบบเผด็จการมาก จนไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว และรู้ดีว่า ถึงมีโอกาสเข้าไปนั่งในสภาฯ ก็ไม่สามารถทำอะไรให้พี่น้องประชาชนไม่ได้ คือได้เป็นแค่แกะดำในสภาฯ
หากจะจักระเบียบของการเลือกตั้งให้มีความเท่าเทียมกันจริงๆนั้นใช่เป็นเรื่องที่ยาก กลับง่ายกว่าเสียอีก กล่าวคือ
ให้แต่ละเขตการเลือกตั้งเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการการเสียงให้ผู้สมัครทั้งหมด ห้ามผู้สมัครใช้เงินส่วนตัวทำใบปลิว คัทเอาท์ หรือออกเดินสายหาเสียงตามบ้าน
คือให้ผู้สมัครจ่ายแค่ค่าสมัครเพียงเล็กน้อย พร้อมหลักฐานต่างๆให้ครบ ก็เพียงพอแล้ว

การประชาสัมพันธ์การหาเสียง ให้ผู้รับผิดชอบแต่ละเขตการเลือกตั้งนั้น ตั้งเวทีการปราศรัยเพียงเวทีเดียว เป็นเวทีหลัก ซึ่งมีสถานที่ที่เหมาะสม บนเวทีมีแสงและเครื่องเสียงให้บริการฟรี ให้มีการถ่ายทอดวิทยุหรือโทรทัศน์ โดยให้สัญญาณเสียงและภาพสามารถกระจายครอบคลุมภายในเขตการเลือกตั้งนั้นๆ อันนี้จะสามารถทำให้ประชาชนผู้สนใจฟังเลือกที่จะฟังเสียงการปราศรัย ขณะทำงาน ขับรถ หรือว่างๆก็สามารถไปนั่งฟังที่เวทีได้

ส่วนการจัดคิวการปราศรัย ก็ให้เกิดความเที่ยงธรรม โดนการจับสลาก เสร็จแล้วก็ให้หมุนเวียนการปราศรัยโดนเที่ยงธรรม เท่าเทียม

การเลือกตั้งลักษณะอย่างนี้จะมีผลทางจิตวิทยาดังนี้ คนที่อยากจะเป็นนักการเมืองต้องหมั่นทำความดี ระมัดระวังความผิดพลาด มิเช่นนั้นจะเป็นจุดอ่อนให้ถูกโจมตีได้ง่าย ดังนั้นเราจะเห็นสังคมไทยแบบใหม่ขึ้นมาทันที เพราะเราจะเห็นแต่คนแย่งกันทำความดี ออกสังคม ทำงานเพื่อสังคมมากขึ้น สังคมจะมีแต่คนที่ยิ้มแย้ม
และเมื่อเขาได้เป็น สส.แล้ว คนเหล่านี้ไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า เขาจะแคร์สายตาของประชาชน เขาต้องเอาใจประชาชน เพราะ ประชาชนเป็นคนเลือกเขาโดยบริสุทธิ์ใจ มันแตกต่างกับการที่เขาได้เป็น สส.เพราะเขาเอาเงินมาหว่านซื้อเสียงแน่นอน

เสนอมาเพื่อพิจารณาครับ........
ที่มาhttp://www.sapaprachachon.org/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=16#41

Saturday, September 19, 2009

พันธมิตรฯ ทำร้ายชาวบ้าน

พันธมิตรฯ ทำร้ายชาวบ้านภูมิซรอล
http://www.youtube.com/watch?v=oSWrMzCcAwE

'Yellow Shirt' protesters attacked police and villagers
http://www.youtube.com/watch?v=bggYFl4HOQA

พันธมิตรฯบ้าคลั่ง ไล่ทำร้ายชาวบ้าน ก่อนบุกเขาพระวิหาร
http://www.ireport.com/docs/DOC-330775

พันธมิตรฯถ่อยยิงชาวบ้านหวิดดับ
http://www.youtube.com/watch?v=u1_jxRM5tig

ผมกราบขออภัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มาณ ที่นี้ด้วยที่ผม ล่วงเกินท่านมาตลอดสามปี เพราะผมเข้าใจผิด

ผมกราบขออภัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มาณ ที่นี้ด้วยที่ผม ล่วงเกินท่านมาตลอดสามปี เพราะผมเข้าใจผิด

ผมเข้าใจผิดครับ ว่าท่านเป็นผู้สั่งการในการก่อการรัฐประหาร ในวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙

แต่มาวันนี้ ผมทราบถึงข้อเท็จจริงว่าท่าน

ไม่มีอำนาจที่จะสั่งการให้กองกำลัลทหารไปยึดอำนาจได้

ท่านไม่มีอำนาจที่จะสั่งการให้ตุลาการตัดสินตามความปราถนาของท่านได้

ท่านไม่มีอำนาจที่จะสั่งการใครได้ เพราะท่านไม่มีอำนาจ ไม่มีบารมีใดเลย

ท่นเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดให้กับระบบศักดินาเท่านั้น

คนที่ผมต้องประณาม ก็คือ คนใช้ท่านเป็นแพะรับบาป

คนที่บงการทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

ผมจึงขอกราบขออภัยที่ผมได้ล่วงเกินท่านมาตลอดสามปีที่ผ่านมา

เพราะผมเข้าใจผิดว่าท่านคือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ แต่แท้ที่จริงท่านเป็นเพียงหุ่นเชิด

ที่ไม่มีค่า ไม่มีราคาแต่อย่างใด

ก็เรื่องมันเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ผมบอกไปหลายครั้งแล้ว ว่าตีเปรมไปก็ไม่มีความหมาย

หนังหน้าไฟ

Sunday, September 6, 2009

ล้มอำมาตย์ฯ

ล้มอำมาตย์ฯ
เขียนโดย เจ้าพ่อ USA
วันศุกร์ที่ 04 กันยายน 2009 เวลา 10:24 น.
ถ้าล้มพวกอำมาตย์เท่ากับเราล้มสถาบันฯ การเมืองเมืองไทยนั้นเราต่อสู้กันมานานถึงกว่าสามปีแล้วนับจากมีขบวนการสื่อสารมวลชนพากันลุกขึ้นมาใช้สื่อเป็นอาวุธใส่ร้ายศัตรูที่ตัวเองต้องการแก้แค้น จนทำให้ศัตรูของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหมายถึง คุณทักษิณ ชิณวัตร ที่ในขณะที่กำลังบริหารประเทศได้อย่างบรรลุเป้าหมายทั้งในการแก้ปัญหาและวางแผนพัฒนาประเทศได้อย่างดี จนทำให้ประชาชนในประเทศโดยเฉพาะชาวรากหญ้า และชาวต่างชาติต่างชื่นชมในผลงาน

ความพยายามของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพวกได้ใช่กลไกของสื่อเข้ามาใส่ร้ายทำลายภาพพจน์จนทำให้คนไทยกลุ่มหนึ่งหลงเชื่อถือจนสามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ ลุกขึ้นมาร่วมกันขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร จนเป็นเหตุให้ทหารคณะหนึ่งโดยการนำของพลเอก สนธิ บุญรัตนกลิน และคณะได้ทำการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อยึดอำนาจจากประชาชน โดยการนำของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เป็นใบเบิกทางในการเข้าเฝ้าคืนนั้น ในขณะยามวิกาลเมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 เพื่อขอพระราชทานให้ในหลวงทรงยอมรับการยึดอำนาจจากประชาชน และยกเลิกกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และในหลวงก็ทรงยอมรับการยึดอำนาจของทหารคณะนั้น จนทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีที่หมายถึงตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร ไม่สามารถเดินกลับประเทศไทยได้

โดยรับการขอร้องจากคณะปฎิวัติฯ คณะนั้น เมื่อคณะทหารเข้ามายึดอำนาจ เป็นที่สังเกตว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าคณะทหารที่เข้ามายึดอำนาจจากประชาชนนั้น กลับกลายเป็นคนกลุ่มเดียวกับคณะองคมนตรี ซึ่งหมายถึงคณะที่ปรึกษาของในหลวงทีทรงตั้งขึ้นมาเพื่อขอคำแนะนำอยู่เบื้องหลัง และวางแผนการปฎิวัติทั้งหมด การยึดอำนาจของคณะปฎิวัตินั้นมีหลักฐานปรากฎอย่างชัดเจน ว่าคณะทหารคณะนี้มีความผูกพันกับคณะองคมนตรีกลุ่มหนึ่ง ที่นำโดยพลเอก เปรมฯ บุคคลผู้นี้คือคนที่บงการ และจัดการให้คำแนะนำทุกเรื่องในการดำเนินการของคณะปฎิวัติตามที่หลักฐานปรากฎว่า บุคคลผู้นี้แต่งตั้ง พลเอกสุรยุทธิ์ จุลานนท์ คนสนิทที่สุดของพลเอก เปรมฯ ให้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่คนๆ นี้เป็นองคมนตรี (ที่ปรึกษาในหลวง) ไปแล้ว

การลาออกจากองคมนตรีและโดดลงมาข้างล่างเพื่อทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีนั้น ดูประหนึ่งว่าคนไทยทั้งประเทศไม่มีใครมีความเหมาะสมมาทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว มีเพียงคนที่ให้คำปรึกษาในหลวงหมายถึงองคมนตรีเพียงเท่านั้น และปรากฎว่าเมื่อครบกำหนดการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว บุคคลท่านนี้ยังได้กลับไปเป็นองคมนตรีอีกครั้ง แม้แต่การการแต่งตั้งคณะกรรมการองค์กรอิสระ หรือ คณะกรรมต่างๆ รวมถึงคณะศาล ที่มีหน้าที่ให้ความยุติธรรมประชาชนในประเทศ คนเก่าถูกย้ายออกไปเข้ากรุ แล้วนำบุคคลใหม่หรือคณะที่ทำงานใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนโดยพลเอกเปรม ฯ เป็นผู้เลือกเฟ้นด้วยตัวเองด้วย

จึงเป็นหลักฐานที่ปรากชัดเจนว่าการยึดอำนาจของคณะปฎิวัติ เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นั้นบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการปฎิวัติก็คือ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์องคมนตรีเฒ่าที่มากด้วยความคิดที่พิศดาร และสกปรกโดยไม่คิดหาวิธีแก้ไขปัญหาตามหลักการที่ประเทศที่เจริญแล้ว ที่เขามีวิธีการแก้ไขปัญหาภายในประเทศของเขาโดยการกระบวนการยุติธรรมคือฝ่ายตุลาการเท่านั้น ที่มีหน้าที่ตรวจสอบและสอบสวนพร้อมประจักษ์พยานทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย มาเป็นข้อหักล้าง

การทำการปฎิวัติและยึดอำนาจจากอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร นั้นย่อมสรุปว่าเป็นการยึดอำนาจโดยไม่ผ่านการตรวจสอบประจักษ์พยานตามแบบสากลที่ประเทศที่เจริญแล้วเขาปฎิบัติกัน แต่การยึดอำนาจครั้งนี้เป็นการยึด และยัดเยียดข้อกล่าวด้วยซ้ำ โดยเพียงใช้เหตุผลสี่ประการ และหลังจากนั้นก็ไม่สามารถหาหลักฐานมาอ้างได้

สรุปอีกครั้งว่าการยึดอำนาจนั้นหมายถึงการยัดเยียดข้อกล่าวหาต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบผลการสอบสวนใดๆ ทั้งสิ้น จนทำให้ข้ออ้างในการปฎิวัติกลายเป็นเรื่องเท็จที่ต้องมีการลงโทษ แต่ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ กลับลงพระปรมาภิไท ลงพระนามออกกฎหมายคุ้มครองนิรโทษกรรมคณะปฎิวัติคณะนี้ว่าสิ่งที่ทำการทั้งหมดจะดีหรือชั่วก็ไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น การที่พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นำทหารเข้ามายึดอำนาจเองทั้งที่ตัวเองเป็นถึงประธานองคมนตรี หมายถึงบุคคลที่มีความไกล้ชิด และเป็นที่ปรึกษายามที่ในหลวงต้องการขอคำปรึกษา โดดลงมาเป็นผู้กำกับการแสดงในการล้มอำนาจของประชาชนเสียเอง เท่ากับการแสดงถึงคณะองคมนตรี และสถาบันฯ ไม่ยอมปล่อยอำนาจทั้งหลายทั้งปวงเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง และก็ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชน หมายถึงเจ้าของประเทศมีส่วนแก้ไขปัญหากันเอง ตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ทั้งๆ ที่ครั้งที่ตัวเองขณะเข้ารับตำแหน่งองคมนตรี ก็เคยสาบถสาบานต่อหน้าในหลวงตามกฎระเบียบว่า จะต้องปกป้องรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

สรุปว่าทั้งคนกล่าวสาบาน และคนที่ฟังการสาบานอยู่ในเหตุการณ์วันที่ยึดอำนาจ และฉีกรัฐธรรมของประชาชนทิ้งทั้งสองคน เท่ากับเป็นการโกหกตัวเองทั้งคู่ ทั้งคนพูด และคนฟัง การที่ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือ ที่เรียกว่ากลุ่ม นปช.เพื่อขับไล่กลุ่มอำมาตยาธิปไตยที่นำโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์นั้น เท่ากับว่าคนใส่เสื้อแดงไม่สามารถแยกได้ว่ากลุ่มพวกอำมาตย์กับสถาบันนั้นเป็นคนกลุ่มเดียว ถ้าคนเสื้อแดงต้องขับไล่อำมาตย์เท่ากับว่าต้องการขับไล่สถาบันเช่นกัน เพราะทั้งอำมาตย์ และสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น มีความผูกพันกันทุกอย่างทั้งอำนาจ และผลประโยชน์มากมาย ที่ต่างฝ่ายต่างปกป้องให้กันและกัน และหยิบยื่นให้กันตลอดเวลา ทั้งทางตรงและทางอ้อม

อาทิเช่น ตามหลักฐานที่ปรากฎว่าทุกปีการโยกย้ายกำลังพลทั้งส่วนของกองพันทหารรักษาพระองค์หรือกองพันอื่น ที่มีกำลังมากมายในการปกป้องคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ จะเป็นผู้เข้าไปแซกแซงการทำงานของรัฐบาล โดยเป็นผู้จัดโผรายชื่อโยกย้ายนายทหารทุกเหล่าทัพเองโดยเอาคนสนิทหรือคนไกล้ชิดตัวเองที่สามารถสั่งได้ เพื่อนายทหารเหล่านั้นสามารถปกป้อง และดูแลสถาบันฯ ได้อย่างดี ตลอดจนต้องเชื่อฟังในการสั่งการของพลเอก เปรมฯ และต้องย้ำให้ดังอีกครั้ง ถ้าคนเสื้อแดงไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสามเกลอ หรือกลุ่มใดก็ตามหากพวกคุณต้องการขับไล่พวกอำมาตย์ทั้งหลาย เท่ากับว่าคุณต้องขับไล่สถาบันตามไปด้วย

แต่ถ้าคุณต้องการขับไล่พวกอำมาตย์เพียงอย่างเดียว หรือพวกคุณพูดว่า พวกคุณกำลังต้องการเรียกร้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข หรือ ต่อลองเพียงแค่เอาอดีตนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณ ชิณวัตร กลับเมืองไทย รับรองว่าเอาคอผมเป็นประกันว่า พวกคุณไม่มีทางที่จะขับไล่ และโคน่ล้มพวกอำมาตย์ที่มีหัวหน้าชื่อ พลเอก เปรม ติณสุลานนท์ได้ เพราะกลุ่มอำมาตย์กลุ่มนี้เขาได้รับการคุ้มครอง และป้องกันโดย สถาบันที่ประชาชนในประเทศต้องถูกบังคับให้จงรัก และภักดี และก็ไม่สามารถวิพากวิจารณ์ได้ตามที่มีกฎหมายปกป้องคนฝ่ายเดียว ที่ขัดต่อหลักกฎหมายสากลเป็นเครื่องคุ้มกันพวกเขา

เพราะฉะนั้นสรุปว่าหากกลุ่มสามเกลอต้องการล้มพวกอำมาตย์จริงๆ เท่ากับว่าพวกคุณก็ต้องล้มสถาบันพระมหากษัตริย์โดยปริยาย เพราะคนสองกลุ่มนั้นพวกเขาคือตนกลุ่มเดียวกัน



ที่มา www.redthai.org

ใคร? คือคนที่ล้มอำนาจประชาชน

ใคร? คือคนที่ล้มอำนาจประชาชน
เขียนโดย เจ้าพ่อ USA
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2009 เวลา 12:33 น.
ที่มาผู้เขียนไม่ได้มีวิชาชีพเป็นนักเขียน ไม่มีความรู้เรื่องวิชาการ ไม่ได้เรียนจบมาจากสถาบันอันมีชื่อ ข้อเขียนที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เกิดจากความรู้สึกและความเป็นจริงในสิ่งที่พบเห็นจุดประสงค์ในการเขียนก็เป็นเพียงข้อบอกเล่าจากหลักฐานที่ปรากฏ จุดประสงค์ในการเขียน อาจนำเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ไปแก้ไขข้อขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในระบบการเมืองไทยซึ่งเป็นที่ทราบดีว่า ไม่มีบุคคลใดมีความสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เว้นแต่ว่า ทุกคนหันกลับไปยอมรับกฎและกติกาที่ร่วมกันตกลงกันเอาไว้ในกฎหมายมาตราต่างๆ อย่างเคร่งครัด และเป็นธรรมไม่มีคนที่มีอำนาจเหนือกว่ากฎหมายเข้าไปแทรกแซง หรือบงการ ทำให้กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย สาเหตุทั้งหลายคือที่มาของข้อเขียนเรื่องนี้

หลังจากประเทศไทยนั้นมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ประเทศไทยก็ไม่ได้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การอ้างอิงว่า การปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นไปตามหลักฐานหรือแบบแผนของระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้หมายถึงระบอบระชาธิปไตย อย่างนานาอารยประเทศ เพราะหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475

รัฐบาลในขณะนั้น ก็ได้ไปกราบบังคมทูล ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล ขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็นพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชการที่ 8 โดยก่อนหน้านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 7 พระองค์ก็ได้ทรงสละราชสมบัติให้กับประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ให้เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศ แล้วพระองค์ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินไปพำนักอยู่ในประเทศอังกฤษ

โดยก่อนหน้านั้น พระองค์ก็ไม่เคยมีพระราชดำริว่า ประเทศไทยจะกลับมามีกษัตริย์ รัชการที่ 8 อีกครั้ง การพระราชทานอำนาจให้กับประชาชนชาวไทยทั้งประเทศนั้น ย่อมเป็นที่ปลาบปลื้มของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ เพราะพระองค์ทรงเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง หลังจากที่ประเทศไทยมีในหลวงรัชกาลที่ 8 กลับมา การปกครองในระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย เราเรียกว่า การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

นับแต่นั้นมา ประเทศไทยโดยรัฐบาลไทยก็พยายามบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยแต่ก็ไม่ได้นำ รูปแบบการบริหารหรือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาใช้อย่างถูกต้องตามแบบแผน ของประเทศที่เจริญแล้วที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการ ตัดสินและมีสิทธิ์ในการปกครองบริหารบ้านเมืองอย่างแท้จริง การบริหารของรัฐบาลไทยในแต่ละยุคนั้น ย่อมมีความผิดพลาดและมีข้อบกพร่องต่างๆ มากมาย ทั้งนี้ ทั้งนั้น ย่อมเกิดขึ้นจากบุคคลที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวไม่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ตามวัตถุประสงค์ในการเข้ามา ดำรงตำแหน่งเป็นนักการเมือง



ปัญหาข้อขัดแย้งของนักการเมืองที่เข้ามาฉกฉวยหรือแย่งชิงผลประโยชน์โดยไม่มองและไม่เคารพต่อข้อกฎหมาย ข้อขัดแย้งของนักการเมืองจึงเกิดขึ้นและมีการแก่งแย่งทั้งตำแหน่งหน้าที่ซึ่งหมายถึงผลประโยชน์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จนทำให้กองทัพทหารที่เป็นข้าราชการภายใต้บังคับบัญชาของรัฐบาลต้องลุกขึ้นมายึดอำนาจจากประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า การยึดอำนาจของทหารในแต่ละครั้งมักอ้างว่า นักการเมืองมีพฤติกรรมที่ฉ้อฉล ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อชาติบ้านเมืองตลอดจนราชบัลลังค์และทำให้ประชาชนในประเทศแตกความสามัคคีเกิดขึ้น



สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นเพียงข้ออ้างที่ทำให้ทหารเข้ามายึดอำนาจจากประชาชน หากเรามองดูให้ดีว่า ทหารทุกคณะที่เข้ามายึดอำนาจโดยการโค่นล้มอำนาจของประชาชน ฉีกรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการบริหารประเทศไทยทิ้ง เท่ากับว่า คณะทหารชุดนั้น นอกจากไม่ให้ความเคารพรัฐธรรมนูญและระบอบตุลาการในประเทศไทยแล้ว ที่จริงแล้วคณะทหารที่เข้ามาปฏิวัติย่อมมีฐานะเป็นข้าราชการไทยที่อยู่ภายใต้กฎหมายและรัฐธรรมนูญของประเทศไทย แน่นอนคณะทหารคณะนี้ย่อมได้รับเงินเดือนในแต่ละเดือนมาจากภาษีอากรของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ



การที่คณะทหารได้ทำการยึดอำนาจจากประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่าก็ได้รับการยอมรับจากพระมหากษัตริย์ที่ได้ทรงลงพระปรมาภิไทย ในการยอมรับการปฏิวัติทุกครั้ง ซึ่งไม่ใช่การถูกบังคับที่มีหน้าที่ต้องยอมรับ เพราะคณะทหารที่ได้เข้ามาทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากประชาชนเพียงเท่านั้น ไม่ได้ยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์แม้แต่ครั้งเดียวพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ยังคงดำรงอยู่ และพระองค์ก็ทรงสามารถที่จะปฏิเสธไม่ให้คณะทหารเข้ามายึดอำนาจจากประชาชนได้ เพราะฉะนั้น การที่พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไทย ยอมรับการปฏิวัตินั้น เท่ากับว่าเป็นการเห็นดี เห็นชอบในการที่คณะทหารได้เข้ามายึดอำนาจจากประชาชน ซึ่งเท่ากับเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญการปกครองในระบอบประชาธิปไตย



หากหันไปมอง เหตุผลในก่อการปฏิวัติไปจนถึงทำให้มีการปฏิวัตินั้นบรรลุผล เหตุผลที่สำคัญก็คือคณะทหารชุดนี้ไม่ได้ยึดถืออยู่บนพื้นฐานของหลักสากลเลยแม้แต่นิดเดียว คณะทหารที่เข้ามาทำการปฏิวัติ ก็ไม่ได้เคารพต่อหลักการตุลาการภายใต้การปกครองรัฐธรรมนูญแม้แต่น้อยเดียว หมายถึงคณะทหารที่เข้ามาทำการปฏิวัตินั้น ไม่ยอมรับระบบตุลาการ จนเกิดความไม่ไว้วางใจของระบบยุติธรรมและมักสรุป ตัดสินว่าคณะของตัวเองมีความชอบธรรมและมีความยุติธรรมมากกว่าตุลาการที่เป็นหน่วยงานที่ยื่นความยุติธรรมให้กับคนในประเทศ หลังจากนั้น คณะทหารในแต่ละชุดที่เข้ามาทำการปฏิวัติก็ได้ร่างกฎหมายของตัวเองขึ้นมาบังคับให้ประชาชนในประเทศใช้กฎหมายของคณะตัวเอง ซึ่งในแต่ละมาตราก็เกิดขึ้นจากความพอใจของตัวเองและพวกพ้องเป็นที่ตั้ง



สรุปความว่าคณะทหารที่ได้เข้ามาทำการปฏิวัตินั้นมีความคิดว่าคณะของตัวเอง นั้นหยิบยื่นความยุติธรรมให้กับคนในประเทศมากกว่าคณะตุลาการและสามารถแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศซึ่งไม่ต่างกับการดูถูกดูแคลน คณะศาลที่ไม่มีความสามารถหยิบยื่นความยุติธรรมและมักมองเห็นว่าคณะของตัวเอง นั้นมีพฤติกรรมและมีความสามารถดี กว่านักการเมืองที่ประชาชนเลือกเข้ามาบริหารงานและการอ้างอิงทั้งหลายที่ได้ ปรากฏอย่างชัดของคณะปฏิวัติมาโดยตลอดนั้นก็เป็นที่ยอมรับของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นพระประมุขในระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยมาโดยตลอด ซึ่งเท่ากับว่า สิ่งที่คณะทหารที่ได้เข้ามาทำการยึดอำนาจจากประชาชนทุกครั้งนั้น เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ยินยอมในอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทย



ซึ่งหากพวกเราใน ฐานะที่เป็นประชาชนคนไทย ที่สามารถพูดได้ว่า พวกเรานั้นหมายถึงเจ้าของประเทศที่แท้จริงสามารถลุกขึ้นมาท้วงติงในความคิด และการตัดสินของคณะทหารที่เข้ามาล้มล้างอำนาจของประชาชนได้ว่าเรากำลังยึด หลักข้อบังคับอะไรบ้างในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เรายังคงยึดหลักในอำนาจของระบบตุลาการในประเทศไทยหรือเปล่า หรือเรายินดีต้องการยึดหลักของพวกทหารที่เข้ามาทำการปฏิวัติ หากมองระบบในการบริหารตามหลักประชาธิปไตยสากลโลก อำนาจตุลาการนั้นย่อมสามารถแก้ไขและตัดสินข้อขัดแย้งที่เป็นปัญหาของคนใน สังคมได้ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือประชาชนในประเทศได้



หากคณะทหารที่เข้ามาทำการปฏิวัติไม่ให้ความเคารพการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งประกอบไปด้วยอำนาจ 3 อำนาจ คืออำนาจตุลาการ อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหารนั้น หมายถึงผู้ที่ทำลายระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ก็คือคณะทหารที่เข้ามาทำการปฏิวัตินั่นเอง หากมองไปที่คุณสมบัติและความสามารถของคณะทหารที่เข้ามาทำการปฏิวัติทุกครั้งนั้น เราสามารถมองเห็นอย่างชัดเจนว่า คณะทหารเหล่านี้ ไม่มีความรู้ในการบริหารบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อยเดียว มีเพียงอำนาจในการควบคุมกองทัพเพียงเท่านั้น กำลังที่ทหารคณะปฏิวัติพวกนี้ที่มีอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาก็มีเพียงกำลังของพวกทหารและอาวุธปืน ซึ่งไม่ใช่คณะบุคคลที่มีความสามารถและความรู้ด้านการเมืองและการปกครอง และก็ไม่มีความรู้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม คณะทหารปฏิวัติพวกนี้จบมาจากโรงเรียนนายร้อย จปร. ที่ไม่มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์ แม้กระทั่ง นิติศาสตร์ ถึงแม้ว่าจะพอเรียนมาบ้างแต่ก็ไม่มีความสำนึกและยึดถืออยู่ในจิตใจแม้แต่น้อยเดียว เราสามารถระบุได้จากการที่พวกเขาเข้ามาทำการปฏิวัติ ดังนั้นทหารคณะนี้มีหน้าที่ปกป้อง ดูแลอธิปไตยของชาติ หมายถึงรั้วของชาติเพียงอย่างเดียว



แต่ก็มีหลักฐานปรากฏให้ประชาชนทั้งประเทศได้เห็นว่า ขนาดหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบในการปกป้องประชาชน ปกป้องประเทศดังเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ปรากฏว่ากองทัพไทยไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนเป็นเหตุให้ประชาชนและทหาร ตำรวจ ข้าราชการต้องสังเวยชีวิตเป็นจำนวนมาก ไปกับเหตุการณ์ในความไม่สงบเรียบร้อยของขบวนการก่อการร้าย มันเป็นหลักฐานที่ประชาชนทั้งประเทศเห็นว่า กองทัพไทยไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาที่เป็นหน้าที่ในความรับผิดชอบของตัวเอง



สรุปได้ว่า การที่ประเทศไทยมีคณะทหารเข้ามายึดอำนาจจากประชาชนแต่ละครั้งนั้น ปรากฏตามหลักฐานว่า คณะทหารทุกคณะไม่เคยได้สร้างความเจริญให้กับประเทศชาติเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตรงกันข้าม ทุกครั้งที่คณะทหารเข้ามายึดอำนาจจากประชาชน ประเทศชาตินั้นไม่ได้รับการพัฒนาและปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง คณะทหารและนักการเมืองมักร่วมมือกันกอบโกยผลประโยชน์ที่เป็นทรัพย์สมบัติของประเทศชาติ ตลอดจนร่วมมือกันโกงกินชาติบ้านเมืองตามหลักฐานที่ปรากฏ และก็ไม่เคยได้รับการยอมรับจากประชาชนแม้แต่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้นการปฏิวัติของคณะทหารทุกครั้ง เท่ากับว่าเป็นการทำลายระบบการบริหาร ระบบการพัฒนาและระบบสังคมของประเทศชาติ ซึ่งทำให้ประเทศชาตินั้น ไม่ได้รับการพัฒนาไปตามระยะเวลาอันควรและยังส่งผลให้นานาอารยประเทศเกิดความไม่เชื่อมั่นต่าง ๆ นานาในการบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย จึงพากันหวาดผวาและไม่มีความเชื่อมั่นในข้อตกลงใด ๆ ทั้งสิ้น จนเป็นเหตุให้เศรษฐกิจในประเทศชาติ ขาดสภาพคล่องและไม่ได้รับความไว้วางใจจากคนในต่างประเทศ



การปฏิวัติรัฐประหารในแต่ละครั้ง จึงถือได้ว่า เป็นการทำลายความเจริญของชาติ หากคณะทหาร หมายถึงข้าราชการในกองทัพไทย ยังไม่มีความสำนึกในการเป็นข้าราชการที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง ประเทศไทยควรทำการยุบกองทัพทหารที่ตั้งขึ้นมามากมาย ซึ่งเปลืองทั้งเนื้อที่ และเปลืองทั้งงบประมาณแผ่นดินโดยจัดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เป็นทหาร และมีความรู้สึกว่า เป็นรั้วของชาติอย่างแท้จริง ดูแลความปลอดภัยของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ เพียงมีหน้าที่เป็นรั้วของชาติเท่านั้น และมีฐานทัพตั้งอยู่บริเวณตามเขตชายแดนของประเทศเพียงเท่านั้น



อนึ่ง หากพวกเราคนไทยในฐานะเจ้าของประเทศต้องการให้มีการบริหารประเทศในระบอบ ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงพวกเราควรช่วยกันต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหารและช่วย กันสาปแช่ง พฤติกรรม ของคณะทหารที่เข้ามายึดอำนาจของประชาชน และช่วยกันสาปแช่งผู้ที่ให้การสนับสนุนคณะทหารที่ยึดอำนาจจากประชาชนทุกคน



ทั้งนี้ การที่ผู้เขียนมีความตั้งใจที่อยากจะพูดเรื่องนี้ก็เพราะเห็นว่า การปฏิวัติรัฐประหารนั้น ในประเทศที่เจริญแล้ว ที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เขาไม่นิยมและไม่ยอมรับการปฏิวัติรัฐประหาร (แสดงว่าเป็นเรื่องที่ล้าสมัยและสังคมชาวโลกไม่ยอมรับ ยกเว้น สังคมไทยและพระมหากษัตริย์ไทยเท่านั้น ที่ยังยอมรับการปฏิวัติรัฐประหาร) การปฏิวัติหมายถึงการล้มล้างอำนาจของประชาชน หมายถึงการล้มล้างอำนาจของคณะศาล และตุลาการ หมายถึงการล้มล้างอำนาจของนิติบัญญัติ ผู้ใดก็ตามที่ให้การยอมรับคณะทหารปฏิวัติ ที่เข้ามาทำการล้มล้างอำนาจในการบริหารประเทศทุกอำนาจ บุคคลผู้นั้นถือว่ามีส่วนในการล้มล้างและทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย


ที่มา www.redthai.org

เนื่องจากในหลวงมีรับสั่งว่าบ้านเมืองกำลังจะล่มจม

เนื่องจากในหลวงมีรับสั่งว่าบ้านเมืองกำลังจะล่มจม
เขียนโดย เจ้าพ่อ USA
วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม 2009 เวลา 09:31 น.
“เนื่องจากในหลวงทรงมีรับสั่งว่า บ้านเมืองกำลังจะล่มจม! โดยเฉพาะในระยะนี้ ไม่รู้จะไปทางไหน? ไม่รู้จะไปต่อได้อย่างไร ทรงรู้สึกเป็นห่วงประเทศไทย และทรงตรัสว่าประเทศไทยกำลังจะล่มจม! แต่พวกท่าน (คณะที่เข้าเฝ้า) จะทำ...ไม่ให้ล่มจมได้! แต่ต้องช่วยกันพัฒนา ต้องช่วยกันสร้างให้ดียิ่งขึ้น” หลังจากที่ผมฟังพระราชดำริของท่านแล้ว ผมรู้สึกแปลกใจกับตัวเอง แต่ก็ไม่ทราบว่าจะมีใครรู้สึกเช่นเดียวกันกับผมหรือเปล่า? เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสนั้น แสดงเหมือนกับว่าพระองค์ทรงมีความห่วงใยต่อชาติบ้านเมือง และก็เหมือนดั่งว่า สิ่งที่ได้เกิดขึ้นมาทั้งหมดนั้น ไม่ได้มีส่วนมาจากพฤติกรรมของพระองค์เองเลย? มันยิ่งสร้างความแปลกใจให้กับตัวผมมาก เหมือนพระองค์ไม่ได้รู้สึกว่าพระองค์ได้ทรงทำอะไรลงไปบ้าง มันเป็นเรื่องที่แปลก...แปลกมาก เมื่อสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำลงไปแล้ว...และด้วยระยะเวลาที่นานมากแล้ว แต่พระองค์กลับจะมาเพิ่งจะรู้สึกองค์ว่า...พระองค์เป็นห่วงประเทศชาติมากเหลือเกิน!


ท่านพี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพรักเป็นอย่างยิ่ง ในหลวงในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย พระองค์ใช้อำนาจของพระองค์ ที่เป็นอำนาจเหนือกว่าประชาชนและกฎหมายที่ประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่เจริญแล้วเขาจะไม่ยอมให้อำนาจพระมหากษัตริย์เหนือกว่าอำนาจของประชาชนอย่างเด็ดขาดยกเว้นประเทศไทยซึ่งก็นับว่าการเมืองในประเทศจึงมีการล้มลุกคลุกคลานอย่างต่อเนื่อง การที่ในหลวงยอมรับทหาร ที่เข้ามายึดอำนาจวันที่ 19 ก.ย. 2549 นั้น พระองค์ย่อมรู้ดีว่า การยึดอำนานั้นเท่ากับทำลายระบอบ และทำลายระบบที่เป็นกลไกของสังคมที่เจริญแล้ว

การยึดอำนาจของทหารนั้น คณะทหารเข้ามายึดด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าเจตนาของคณะทหารนั้น มีความโปร่งใสและยุติธรรมและพร้อมเพรียงที่พระองค์ทรงยอมรับ และข้ออ้างของทหารที่เข้ามาปฎิวัตินั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะต้องยึดอำนาจเอาไว้ เพราะตราบใดที่สถาบันตุลาการในประเทศยังเข้มแข็งและยังงอยู่ภายใต้พระราชอำนาจของพระองค์เอง การที่คณะทหารเข้ามาทำการปฎิวัตินั้น นอกจากยึดอำนาจของประชาชนไปแล้ว คณะทหารชุดนั้นยังได้ยึดอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามไปด้วย

จากหลักฐานปรากฎว่าคณะทหารชุดนี้ออกกฎหมาย และตั้งคณะกรรมการ องค์กรอิสระต่างๆ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของพระมหากษัตริย์ซึ่งจำเป็นต้องมีการลงพระปรมาภิไทยตามพระราชบัญญัติที่ได้กำหนดไว้ย่อมถือว่าคณะทหารชุดนี้มีอำนาจเหนือกว่าพระมหากษัตริย์ แต่พระมหากษัตริย์ก็ยังยินยอมในพฤติกรรมของทหารคณะนี้ จากหลักฐานตามข้ออ้างที่ได้ปรากฏซึ่งไม่มีหน่วยงานใดที่เป็นหน่วยงานใกล้ชิดสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น สำนักพระราชวัง หรือคณะองมนตรีที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาท้วงติง เพื่อเป็นการปกป้องภาพพจน์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และนอกจากนี้พระองค์ยังสู้อุตส่าห์ยอมรับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ว่าสิ่งที่คณะที่ทหารชุดนี้เข้ามาทำการปฏิวัตินั้น ไม่มีความผิดใดๆ ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือทุจริตก็ตาม ประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศไม่สามารถเรียกร้องหรือให้มีความรับผิดชอบใดๆ ในการกระทำต่างๆ ในคณะปฎิวัติชุดนี้ได้ทำเอาไว้

ดังนั้น เปรียบเสมือนพระองค์ทรงปล่อยให้โจรเข้ามาปล้นในบ้าน ยึดเอาทรัพย์สินเงินทองของคนในบ้านซึ่งหมายถึงประชาชนในประเทศ แล้วพระองค์ก็ทรงลงพระนามออกกฎหมาย ว่าโจรคณะนี้ที่เข้ามาปล้นในบ้าน เป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่มีความผิดใดๆ ผมอยากจะถามพี่น้องประชาชน เพื่อนร่วมชาติว่า ตลอดเวลาที่ประเทศชาติของเรา อยู่ภายใต้อำนาจคณะปฎิวัตินั้น อำนาจทั้งหลายทั้งหลายทั้งปวงขึ้นอยู่กับอำนาจคณะปฎิวัติแต่เพียงผู้เดียว การตัดสินคดีความต่างๆ ของคณะตุลาการ ศาลต่างๆ ก็อยู่ภายใต้การสั่งการ และความต้องการของคณะปฎิวัติ ซึ่งหมายถึงคณะปฎิวัตินั้นยึดอำนาจทั้งหลายทั้งปวงยึดเอาอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว ตลอดจนได้ทำการกลั่นแกล้งและแก้แค้นกลุ่มคนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามตามหลักฐานที่ปรากฏในการตัดสินคดีความต่างๆ ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมเลยแม้แต่น้อย จนทำให้ชาวต่างชาติหัวเราะเยาะ และเกิดความสมเพชเวทนาต่อประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งในการตัดสินคดีที่นายกสมัครออกรายการทีวีทำอาหาร จนมีการกลั่นแกล้งเอาพจนานุกรมมาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสิน แต่ไม่ได้เอาหลักของกฎหมายมาตัดสินจนทำให้คุณสมัคร สุนทรเวช ขาดคุณสมบัติจากการเป็นนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ ยังมีการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการที่จะได้รับการข่าวสาร และสิทธิอื่นๆ โดยการสั่งการให้สื่อสารมวลชนบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร จากความเป็นจริง จนทำให้คนไทยกลุ่มหนึ่งรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มคนเสื้อสีแดง ซึ่งไม่สามารถจะทนเห็นพฤติกรรมชั่วๆ ของคณะทหาร และพรรคการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ที่ร่วมกับกลุ่มคนที่ประกาศตัวเองว่าเป็นผู้ต้องการอำนาจประชาธิปไตย แต่มีพฤติกรรมที่ทำลายระบอบประชาธิปไตยและทำลายกฎหมาย ตามหลักฐานที่ปรากฏ เช่นการไปยึดสถานที่ราชการ และสนามบินต่างๆ จนสร้างความเดือดร้อนให้ชาวไทยและชาวต่างชาติให้ปรากฏ ความเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงที่ปรากฏนั้น คนไทยในประเทศส่วนใหญ่ที่ประกาศตัวว่าเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง เห็นว่า คณะทหารที่ปฎิวัติและพันธมิตรคือกลุ่มคนที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย และทำลายกระบวนการยุติธรรมที่มีอยู่ในประเทศ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าในหลวงคอยให้การสนับสนุนคณะทหาร คณะปฎิวัติ ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นการนำองคมนตรีมาเป็นนายกฯ หรือนำอดีตนายกฯ กลับมาเป็นองคมนตรี ดูเหมือนคณะองคมนตรีคณะนี้มีความผูกพันกับคณะปฎิวัติและสถาบันพระมหากษัติย์ ตลอดจนการอ้างอิงของหัวหน้ากลุ่มพันธมิตร ว่าตัวเองได้รับการชื่นชม และได้รับการพระราชทานผ้าพันคอสีฟ้า ตลอดจนปรากฎหลักฐานว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ ก็เสด็จไปเป็นประธานในงานศพ ของกบฏที่เข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายอาญา แต่พระองค์กลับยกย่องและสรรเสริญว่าเป็นวีรสตรี ของชาติ

การกระทำของพระองค์เป็นการเลือกข้างและแบ่งแยกความคิดของประชาชนในประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่จึงเสื่อมความศรัทธาที่มีอยู่ การกระทำและพฤติกรรมต่างๆ ที่ปรากฏให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่มีสติสัมปชัญญะได้เห็นพฤติกรรมของแต่ละคนแต่ละกลุ่มนั้น มันเป็นหลักฐานที่ปรากฏว่าตัวการที่ทำลายบ้านเมือง ให้ล่มจมนั้น ไม่ใช่ประชาชนคนใส่เสื้อสีแดง แต่ตัวการที่ทำลายบ้านเมืองให้ล่มจมอยู่ทุกวันนี้ ก็คือ การยอมรับทหารที่มาทำการปฎิวัติยึดอำนาจประชาชนและทำลายกระบวนการกฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศ จนไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ และน่าศรัทธาอีกต่อไป ตลอดจนการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ที่พระองค์ทรงลงพระนามสนับสนุนซึ่งหมายถึงโจรเข้ามาปล้นบ้านแล้วกลับไม่มีความผิด นอกจากนี้ยังกลับส่งเสริมกลุ่มพันธมิตรที่ทำลายกฎหมาย และปล่อยให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ตลอดจนได้รับการปูนบำเหน็จเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดนี้โดยพระองค์ทรงลงพระนามแต่งตั้งเองตลอดจนใช้วิธีการสกปรกที่สุด ที่นำพรรคการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีคะแนนมาอันดับสอง เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งขัดต่อประเพณีในระบอบประชาธิปไตยทั้ง ๆที่พระองค์ทรงเป็นพระประมุขในระบอบประชาธิปไตย

สรุปว่าความล่มจมของประเทศที่มีอยู่ในขณะนี้ ไม่ต้องมาเป็นห่วงหรือไม่ต้องมาขอร้องว่าพวกเราสามารถทำไม่ให้ล่มจมได้ เพราะสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาทั้งหมดนั้น มันก็มาจากการสนับสนุนของพระองค์ ที่กลับยอมรับวิธีการที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยแทนที่จะช่วยกันห้ามปรามทหารคณะนั้น แล้วแนะนำสั่งสอนชี้ให้เห็นความเสียหายและความแตกแยก และเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนนึกถึงผลประโยชน์ของคนในประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่เอาความต้องการของทหารมาเป็นหลัก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประเทศชาติเกิดความล่มจม มันก็มาจากการกระทำของพระองค์เอง!!!!!!!!!!!!!!!!


ที่มา www.redthai.org