Sunday, May 24, 2009

ข้อมูลใหม่กรณีสวรรคต

ข้อมูลใหม่กรณีสวรรคต : หลวงธำรงระบุชัด ผลการสอบสวน ใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์




ผมเริ่มศึกษากรณีสวรรคตอย่างจริงจังเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน นอกจากอ่านหนังสือที่มีอยู่ในขณะนั้นแล้ว ผมยังได้มีโอกาสสัมภาษณ์บุคคลที่มีชีวิตร่วมสมัยทศวรรษ 2490 ที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนั้นหลายคน รวมทั้งคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "ลูกศิษย์ปรีดี" เช่น คุณสงวน ตุลารักษ์, คุณจรูญ สืบแสง และคุณชิต เวชประสิทธิ์ (คุณชิต เป็นหนึ่งในคณะทนายจำเลย นอกจากนี้ ก่อนรัฐประหาร 16 กันยายน 2500 คุณชิตเป็น 1 ใน 2 "ลูกศิษย์อาจารย์" ที่ "นำสาร" จากจอมพล ป ไปให้ปรีดีที่เมืองจีน เสนอให้กลับมาร่วมมือกันต่อสู้กับพวกนิยมเจ้า โดยรื้อฟื้นคดีสวรรคตขึ้นใหม่ - ผมเล่าเรื่องนี้ไว้ในบทความเรื่อง "ปรีดี พนมยงค์, จอมพล ป., กรณีสวรรคต และรัฐประหาร 2500" รวมอยู่ในหนังสือของผม ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง, หน้า 31-35 และ "50 ปีการประหารชีวิต 17 กุมภาพันธ์ 2498" ใน ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน 2548 หรือฉบับออนไลน์ที่ http://somsakwork.blogspot.com/2006/06/blog-post.html ) ท่านผู้หญิงพูนสุข ผมก็เคยได้พบพูดคุยด้วยครั้งหนึ่ง (ด้วยความช่วยเหลือของคุณ"ป้า"ฉลบชลัยย์ พลางกูร) แต่เมื่อผมถามถึงกรณีสวรรคต ท่านผู้หญิง ไม่อธิบายอะไร นอกจากเสนอให้ผมไปอ่านงานของปรีดีเองที่เพิ่งตีพิมพ์ในช่วงนั้นภายใต้ชื่อ คำตัดสินใหม่ กรณีสวรรคต (ตัวงานนี้จริงๆเป็นคำฟ้อง ซึ่งปรีดีเป็นผู้ร่างเอง) อันที่จริง งานชิ้นนี้ ในความเห็นของผม ไม่ได้อธิบายกรณีสวรรคตในแง่เกิดอะไรขึ้นนัก แม้จะมีประเด็นทางข้อกฎหมายบางอย่างที่น่าสนใจ

ข้อมูลอย่างหนึ่งที่ผมได้จากการสัมภาษณ์หลายคนคือ ปรีดีเอง จะไม่ยอมพูดถึงกรณีสวรรคตโดยเด็ดขาด ไม่ว่ากับใคร (เรื่องนี้ ปราโมทย์ นาครทรรพ ซึ่งไม่ใช่ "ลูกศิษย์ปรีดี" เคยเล่าให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยแวะไปเยี่ยมปรีดีที่ปารีส ระหว่างที่เดินเล่นคุยกันไป เขาเอ่ยปากถามปรีดีขึ้นมาถึงกรณีสวรรคต ปรากฏว่า ปรีดีหยุดพูดทันที และนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น จนเขาต้องเปลี่ยนเรื่องคุยเอง) แต่อีกอย่างหนึ่งที่ผมได้รับการบอกเล่าเสมอ โดยเฉพาะจาก "ลูกศิษย์อาจารย์" คือ "อาจารย์ปรีดี เป็นผู้ปกป้องราชบัลลังก์ และยอมเสียสละตัวเองอย่างสูง" นัยยะของข้อความที่มีลักษณะเชิง "รหัส" (coded message) แบบนี้คือ ปรีดีรู้ความจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต แต่ไม่ยอมเปิดเผยออกไป เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ ทั้งๆที่ตัวเองต้องได้รับผลร้ายจากการไม่พูดนี้ แต่เมื่อผมพยายามซักให้ผู้เล่าขยายความว่า การไม่พูดความจริง จะเป็นการปกป้องราชบัลลังก์อย่างไร ก็มักได้รับความเงียบหรือการปฏิเสธที่จะพูดต่อเป็นคำตอบ (อย่าลืมว่า นี่คือช่วงครึ่งแรกของทศวรรษ 2520 ซึ่งปรีดีเองยังมีชีวิตอยู่ และกรณีสวรรคตยังมีลักษณะ "ต้องห้าม" มากกว่าปัจจุบันนี้) หลายปีหลังจากนั้น ผมมองว่า การไม่ยอมพูดสิ่งที่เขารู้หรือคิดเกี่ยวกับกรณีสวรรตโดยแท้จริง เป็น "ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์" ครั้งที่สอง ของปรีดี (เกี่ยวกับ "ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์" ครั้งแรกของปรีดีในทัศนะของผม ดูบทความชื่อนี้ใน ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง) แต่ก็เป็นสิ่งที่มีความน่าสนใจในตัวเองมากๆ ที่ใครสักคนในฐานะอย่างปรีดี จะคิดว่า "ยอมเสียสละ" หรือยอม "รับเคราะห์" ในเรื่องอย่างกรณีสวรรคตเสียเอง (อันที่จริง แน่นอนว่า ไม่เพียงปรีดี ที่ต้อง "รับเคราะห์" ในเรื่องนี้ ผู้ที่ "รับเคราะห์" มากที่สุด คือ คุณชิต, คุณบุศย์ และ คุณเฉลียว 3 จำเลยที่ถูกประหารชีวิตไป - ผมได้รับการบอกเล่าในลักษณะเดียวกันว่า 3 ท่านนั้น ได้เสียสละอย่างสูงเพื่อสถาบันกษัตริย์เช่นกัน)

อะไรคือสิ่งที่ปรีดีไม่ยอมพูดเกี่ยวกับกรณีสวรรคต? ปรีดีไม่ใช่เป็น "พยานรู้เห็นในที่เกิดเหตุ" ก็จริง เพราะไม่ได้อยู่บริเวณพระที่นั่งบรมพิมาณ ในแง่นี้ เขาย่อมไม่สามารถ "เห็น" ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในที่นั้น (ไม่เหมือนคุณชิต และคุณบุศย์ - คุณเฉลียวเองก็ไม่เกี่ยวข้องกับที่เกิดเหตุเช่นกัน อันที่จริง เรียกว่าไม่เกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคตเลย แต่ถูกลากเข้าไปเป็นจำเลย เพื่อเป็นข้ออ้างเชื่อมโยงปรักปรำปรีดีเท่านั้น) แต่กรณีสวรรคตมีผลกระทบต่อชีวิตของปรีดีโดยตรงมหาศาลเพียงใด คงไม่ต้องอธิบาย ยังไม่ต้องพูดถึงผลกระทบมหาศาลต่อประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ปรีดีมีบทบาทสำคัญอยู่ด้วย ดังนั้น อย่างไรเสีย ปรีดีจะต้องคิดและพยายามหาคำอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะหลังจากเขาถูกรัฐประหารหมดอำนาจไปโดยข้ออ้างกรณีสวรรคตด้วย แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปรีดีจะต้องมีข้อสรุป หรืออย่างน้อยที่สุดคือ ทฤษฎีหรือสมมุติฐานเกี่ยวกับกรณีสวรรตแน่ (และไม่ใช่เพียงแค่สรุปว่า "อธิบายไม่ได้" - ถ้าเราพิจารณาถึงความสำคัญของกรณีนี้ต่อตัวเขาเอง) อันทีจริง หลังจากผมได้ศึกษากรณีสวรรตมาหลายปี ผมพบว่า การอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในกรณีนั้น หาใช่เรื่อง "ลึกลับซับซ้อน" อย่างมากมายแต่อย่างใด "ปริศนา" ที่แท้จริงของกรณีนี้ ไมใช่อยู่ที่การอธิบายไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อยู่ที่ว่าทำไมการอธิบายที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก จึงไม่ได้รับการนำเสนอแต่ต้น (ดูบทความชุด “ปริศนากรณีสวรรคต” ตอนที่ 1 และ 2 ของผม ใน ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน 2551 หรือ ฉบับออนไลน์ที่ http://somsakwork.blogspot.com/2007/11/blog-post.html ซึ่งยิ่งทำให้ผมมั่นใจเด็ดขาดว่า ปรีดีเองจะต้องสามารถอธิบายได้หรือมีคำอธิบายกรณีนี้แน่นอน

แต่เรื่องนี้ – ที่ว่าปรีดีต้องมีทฤษฎี/คำอธิบายเกี่ยวกับกรณีสวรรคต – ผมไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้เป็นเวลานาน และโดยเฉพาะไม่สามารถยืนยันได้ว่าทฤษฎีหรือคำอธิบายดังกล่าว(ถ้ามี) จะออกมาในรูปใด

. . . . . . . จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้

ได้มีผู้อ่านบางท่านได้มอบเอกสารสำคัญชุดหนี่งให้ผมเพราะเห็นว่าผมสนใจกรณีสวรรคต เอกสารดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้ซึ่งปรีดีไว้วางใจให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากเขา (พูดด้วยภาษาสมัยนี้คือ เป็น นายกฯ "นอมินี" ของปรีดีนั่นเอง) ได้เคยระบุอย่างชัดเจนว่า หลักฐานที่ได้จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ในสมัยที่เขาเป็นรัฐบาล บ่งบอกว่าใครคือผู้ต้องสงสัยแท้จริงในกรณีสวรรคต (แน่นอน ไม่ใช่ 3 ท่านที่ตกเป็นจำเลยหลังรัฐประหาร) ที่สำคัญ การระบุของหลวงธำรงเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นเรืองที่มาทำหลังเหตุการณ์นับสิบปี แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นเอง คือหลังรัฐประหารเพียงไม่กี่เดือน (หรือหลังกรณีสวรรคตไม่ถึง 2 ปี)

พูดง่ายๆคือ ตั้งแต่ไม่นานหลังการสวรรคต และก่อนที่จะเกิดรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 หลวงธำรง – และแทบไม่ต้องสงสัยว่าตัวปรีดีเอง – มีข้อสรุปอยู่แล้วว่าใครคือผู้ต้องสงสัยแท้จริง .....





หมายเหตุ: นี่เป็น "พรีวิว" pre-view หรือ "หนังตัวอย่าง" โปรดคอยติดตามบทความฉบับเต็ม เร็วๆนี้ (นี่ไม่ใช่ “ตอนที่ 3” ของบทความชุด “ปริศนากรณีสวรรคต” เพราะ”ข้อมูลใหม่” ที่ผมได้รับนี้ ได้รับหลังจากผมได้ทำบทความชุด “ปริศนา” ไปแล้ว และมีความน่าสนใจในตัวเอง ผมจึงแยกเขียนออกเป็นบทความต่างหาก)

Monday, May 11, 2009

จารุวรรณ “เป็ด หัวยักษ์” โป๊ะเชะ

จารุวรรณ “เป็ด หัวยักษ์” โป๊ะเชะ วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ผมคุ้นกับงานของนักเขียน และนักหนังสือพิมพ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างคุณอิศรา อมันตกุล มาตั้งแต่ตัวเองยังเป็นเด็ก ท่านผู้นี้มีชีวิตไม่ธรรมดา มีทั้งขึ้นและลงต้องลำบากพอควร เคยถูกเผด็จการสะดือแตก “สฤษดิ์ ธนะรัชต์” จับไปขังในข้อหาครอบจักรวาล คือ
มีการกระทำอันเป็น...คอมมิวนิสต์!
ท่านโดนขังอยู่ยาวนานกว่า 5 ปี จน “จอมพล-เมียพัน” ลงโลงลาโลกไปนั่นแหละ จึงได้รับการปล่อยตัวออกมาโดยไม่มีการฟ้องศาล
นี่คือความชั่วร้าย...ของระบอบเผด็จการ!!
คุณอิศราฯมีอุดมการณ์นักหนังสือพิมพ์ที่แน่วแน่ คือการไม่ราข้อหรือก้มหัวให้เผด็จการ เมื่อได้ล่วงลับไป ทางสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมหนังข่าวแห่งประเทศไทย มีมติให้จัดตั้ง “มูลนิธิ อิศรา อมันตกุล” เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ท่าน ซึ่งจดทะเบียนก่อตั้ง เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514
ภารกิจสำคัญของมูลนิธิ คือ การร่วมกับ สมาคมนักข่าวฯ จัดการประกาศรางวัลผลงานข่าวหนังสือพิมพ์ และภาพข่าว นสพ.ดีเด่น โดยสมาคมนักข่าวฯ เป็นฝ่ายแต่งตั้งคณะกรรมการตัดสิน จัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2514 และมีพิธีมอบรางวัลครั้งแรก ในวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2516 ว่าไปแล้ว “รางวัลอิศรา อมันตกุล” นั้นเคยมีคนเปรียบเหมือนเป็นรางวัล
“พูลิตเซอร์เมืองไทย” เลยทีเดียว!

แต่...ท่านผู้อ่านครับ เมื่อมาถึง พ.ศ.นี้ รางวัลนี้มีอันต้องมัวหมอง เพราะพฤติกรรมของหนังสือพิมพ์กลุ่มเนชั่น กล่าวคือ
หนังสือพิมพ์นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ได้เสนอข่าวเจาะ กรณีการคอรัปชั่นและสินบนข้ามชาติซีทีเอ็กซ์ ยุครัฐบาลทักษิณ เป็นที่ตื่นเต้นของผู้คน และจากการเสนอข่าวนี้เอง ได้ทำให้รัฐบาลขณะนั้น ต้องหมองมัวด้านความซื่อสัตย์ในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งยังเป็นเงื่อนไขสำคัญ ให้บรรดากลุ่มพันธมาร ร่วมกับพรรคฝ่ายตรงข้าม ใช้เรื่องนี้เป็นประเด็นโฆษณาโจมตีรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง และสร้างเงื่อนไข ในการทำรัฐประหารอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ในการตัดสินรางวัล รางวัลข่าวยอดเยี่ยมปี
พ.ศ. 2548 ผลการตัดสินปรากฏว่ารางวัลยอดเยี่ยมได้แก่ การนำเสนอข่าว “ผ่าขบวนการคอรัปชั่น...สินบนข้ามชาติซีทีเอ็กซ์" โดยกองบรรณาธิการ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ได้รับรางวัลเงินสด 50,000 บาท จากมูลนิธิอิศรา อมันตกุล พร้อมโล่รางวัลประกาศเกียรติคุณ
ไม่น่าเชื่อว่า แค่เวลาผ่านไปเพียงสามปีกว่าเท่านั้น กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์เครือเดอะเนชั่นกรุ๊ป ได้ตีพิมพ์คำขอโทษอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 51 ในกรณีที่ได้แสดงความเท็จ กล่าวหาว่ามีการทุจริตคอรัปชั่นการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด CTX เพื่อใช้ติดตั้งในสนามบินสุวรรณภูมิ การตีพิมพ์ข่าวเท็จดังกล่าว นอกจากจะทำให้เกิดความเสียหายต่อบริษัท แพทริออท บิซิเนส คอนซัลแตนส์ จำกัด และนายวรพจน์ ยศะทัตต์ หรือ “เสียเช”...ผู้คนตกตะลึง!
ข้อความที่ทางกลุ่นเนชั่นขออภัยเสี่ยเช ให้เหตุผลที่ฟังแล้วไม่เข้าท่าเลยคือ กรุงเทพธุรกิจยอมรับว่า เสนอข่าวผิดพลาด และขอโทษผู้เสียหาย ที่ลงข้อความว่าเขาเป็นนายหน้า ค้ากำไรเกินควร...แถมยังติดตลก อีกว่า
ฝ่ายกรุงเทพธุรกิจนั้น แปลสัญญาภาษาอังกฤษ และข้อความกระทรวงยุติธรรมสหรัฐผิดพลาด (ขนาดหัวเหม่งมีหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ The Nation อยู่ในเครือ...นะเนี่ย!)
ที่ตลกระดับโคตรคือ ดันยอมรับหน้าตาเฉย ว่า
ไม่มีสินบนใดๆเกิดขึ้น ตามที่หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเคยนำเสนอ!

การออกมายอมรับ แบบไร้ศักดิ์ศรีของกรุงเทพธุรกิจ (กลุ่มของนายหัวเหม่ง) นั้น ทำให้ผมมีความรู้สึกว่า ไทยแลนด์แดนสยามของเรานั้น ทำท่าจะกลายเป็น “ตอแหลแลนด์” อย่างที่เขาว่ากันเอาไว้จริงๆ แต่อย่าหวังไปหาความรับผิดชอบ จากคนกลุ่มนี้
ก็ขนาดไอ้ทีวีเสรี ที่สภาสากกะเบือ ของ “ไอ้บัง” กับพวก มันยกร่าง “รัดทำมะนวย-ฉบับหัวคูณ” เอาสถานีโทรทัศน์ มาประเคนให้สะตอเบอรี่กลุ่มนี้ เมื่อวันฉัตรมงคลที่ผ่านมาหยกๆนี้เอง สถานีนี้บังอาจปล่อยเสียงแทรกแซงเพลง “สดุดีมหาราชา” ทำเอาผู้คนสะดุ้งทั้งบ้านทั้งเมือง แต่มันยังด้านไปลงโทษเจ้าหน้าที่เล็กๆ โดยน้องชายเจ้าหัวเหม่งที่เป็นผู้บริหารสถานี กลับไม่ยอมยืดอกรับผิดชอบแต่อย่างใด ทั้งๆที่ตัวเป็นหัวหน้าองค์กร
ทุเรศสิ้นดี...ดูมันทำ!!!



ผู้เขียนไม่สนใจเรื่องของไอ้หัวเหม่งกับพวก แต่สนใจเรื่องของ จารุวรรณ เมณฑกา คนดังของกลุ่ม ค.ต.ส. ที่เคยพูดวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยยืนยันมั่นเหมาะว่า
"เรื่องใหญ่ที่จะต้องออกมาใน 1-2 วันนี้คือ ซีทีเอ็กซ์ เราสรุปผลเสร็จแล้วเหลือแค่กลั่นกรองคำพูดเล็กน้อย เรื่องซีทีเอ็กซ์อยากจะให้ทันในสัปดาห์นี้ แต่บอกตรงๆ ว่าทุกเรื่องสำคัญหมด เงินมันเยอะเป็นพันเป็นหมื่นล้านบาท แต่เรื่องซีทีเอ็กซ์ตอนนี้พร้อมสุด มั่นใจว่าเอาผิดได้แน่นอน"
มาถึงวันนี้ คำพูดของ “ยัยเป็ด-หัวยักษ์” (ฉายาที่ผมตั้งให้)กลายเป็นเรื่องสะตอเบอรี่ไปอีกราย...น่าอนาถใจนัก!
ได้เคยเขียนเรื่องของผู้หญิงที่ชื่อ จารุวรรณ เมณฑกา ไปสองถึงสามครั้ง และครั้งล่าสุด ได้เขียนบทความชื่อ ‘หญิงเป็ด-หัวยักษ์’... หัวกำลังจะเน่า! ลงประชาทรรศน์ เมื่อ 22 ธ.ค.2551 มาถึงวันนี้ มีเรื่องมาพูดให้ท่านผู้อ่านฟังอีกครั้ง เพราะผมได้รับหนังสือเวียนจากผู้ที่ใช้นาม ว่า
“กลุ่มเจ้าหน้าที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ไม่ยอมสนองนโยบายที่มิชอบ ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา”
ข้อความในหนังสือเวียนนั้น น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และมีส่วนสอดคล้องกับบทความของผม ที่เขียนไปถึงยัยเป็ด หัวยักษ์ ที่อ้างถึงข้างต้น จึงขอตัดมาเสนอเป็นการต่อเนื่อง กับบทความครั้งที่แล้ว เฉพาะแต่ในส่วนที่ผมมีหลักฐานอยู่ด้วย ดังนี้...

...7.การนำบุคคลในครอบครัวเดินทางไปต่างประเทศโดยใช้จ่ายจากเงินแผ่นดิน
ในการเดินทางไปต่างประเทศของคณะ สตง. คุณหญิงจารุวรรณมักจะให้บุตรสาว บุตรชาย และน้องสาวซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานของ สตง. ร่วมเดินทางไปด้วย โดยคุณหญิงจารุวรรณฯ จะให้บริษัททัวร์ทำหลักฐานเท็จเพื่อเบิกจ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินของ สตง. เช่น บุคคลในครอบครัวของคุณหญิงจารุวรรณ ฯ เดินทางไปด้วย 5 คน รวมเป็น 45 คน ก็จะให้บริษัททัวร์เสนอราคาเป็น 40 คน แต่ที่แท้จริง คือราคาค่าทัวร์ของ 45 คน คุณหญิงจารุวรรณฯ จะเป็นผู้อนุมัติการเดินทาง เป็นผู้เลือกบริษัททัวร์ อนุมัติการจ้างบริษัททัวร์ อนุมัติตัวบุคคลและจำนวนบุคคลให้ร่วมเดินทางไปด้วย และอนุมัติจ่ายเงิน ซึ่งเป็นการกระทำแต่ผู้เดียวจนครบวงจร ซึ่งขัดกับหลักการควบคุมภายในอย่างร้ายแรง แล้วให้บริษัททัวร์ออกใบเสร็จว่าเป็นค่าทัวร์เพียง 40 คน บางครั้งก็ให้บริษัททัวร์ทำเป็นแถม บางครั้งจารุวรรณฯ จะใช้ตำแหน่งหน้าที่ขอตั๋วฟรีจากบริษัทการบินไทยให้บุตรสาว และ น้องสาว ร่วมเดินทางไปด้วย แต่ค่าทัวร์ทั้งหมดรวมค่าใช้จ่ายของญาติคุณหญิงจารุวรรณฯ จะจ่ายจากเงินงบประมาณแผ่นดินของ สตง. ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ การเดินทางไปต่างประเทศของคุณหญิงจารุวรรณฯ ทุกครั้ง จะให้บุตรชาย (นายกิตติวัฒน์ เมณฑกา ซึ่งรับเงินเดือนในฐานะเลขานุการส่วนตัวในอัตราใหม่คือ 43,530 บาท ไม่ใช่ 30,000 บาทตามที่เข้าใจกัน) ติดตามไปด้วยโดยปกติจะเบิกค่าตั๋วเครื่องบินชั้นเดียวกับแม่ คือชั้น business หรือ first class เช่น การเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 16 -25 กรกฎาคม 2549 เพื่อเยี่ยมลูกสาวคุณหญิงจารุวรรณ ฯ (นางสาวขจาริน เมณฑกา ) ที่ศึกษาอยู่ที่ญี่ปุ่น เมื่อ16 -25 กรกฏาคม 2549 ทำเรื่องเป็นขออนุมัติประธาน คตง. เดินทางไปราชการต่างประเทศพร้อมทั้งขออนุมัติวงเงินค่าใช้จ่ายรวมค่าตั๋วเครื่องบินของคุณหญิงจารุวรรณฯ จำนวนเงิน 5 แสนบาทแล้วนำบุตรชายไปด้วย โดยให้บุตรชายตั้งเรื่องถึงคุณแม่ ขออนุมัติเดินทางไปกับคุณแม่ โดยคุณหญิงจารุวรรณฯ จะอนุมัติให้คุณลูกร่วมเดินทางไปต่างประเทศด้วยตามที่คุณลูกชงเรื่องขึ้นมา
เมื่อคุณลูกได้รับอนุมัติการเดินทางจากคุณแม่แล้ว ก็ถือว่าเดินทางไปราชการ มีสิทธิ์เบิกค่าใช้จ่ายจากเงินงบประมาณแผ่นดินของ สตง. ทุกประการ ทั้งๆที่ไม่มีระเบียบให้เลขาฯ ส่วนตัวเบิกค่าใช้จ่ายจากเงินหลวงได้ และแม้แต่ประธาน คตง. และคตง.เอง ซึ่งเป็นผู้อยู่เหนือกว่าผู้ว่าการฯ ยังไม่เคยมีใครนำเลขานุการเดินทางไปต่างประเทศ และเบิกเงินจากทางราชการเลย การเบิกจ่ายเงินครั้งนี้จึงไม่มีระเบียบให้เบิกจ่ายสำหรับบุตรของผู้ว่าการจึงเบิกจ่ายไม่ได้ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดมาตรวจสอบ สตง. คุณหญิงจึงใช้อำนาจประธาน คตง. และอำนาจ คตง. 10 คนอนุมัติทุกอย่างเอง อนุมัติการจ่ายเงินเอง เบิกจ่ายเงินตามใจชอบ
การที่คุณหญิงจารุวรรณฯ และบุตรชาย เดินทางไป เมือง โอซากาและกรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 16 -25 กรกฎาคม 2549 เพื่อเยี่ยมบุตรสาว ที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยกรุงโตเกียวในขณะนั้น แต่ตั้งเรื่องว่า จะไปควบคุมการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ สตง. ที่ญี่ปุ่น และขออนุมัติเบิกค่าใช้จ่ายเฉพาะตัวคุณหญิงจารุวรรณ ฯ รวมตั๋วเครื่องบินไป – กลับ ญี่ปุ่นและเบิกค่าใช้จ่ายอื่นรวมเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท แล้วยังเบิกค่าตั๋วเครื่องบินและค่าใช้จ่ายให้บุตรชายจากเงินงบประมาณแผ่นดินด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ คุณหญิงยังได้สั่งการให้นางยุพิน ชลานนท์นิวัฒน์ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบไปขอให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ออกบัตรโดยสารฟรี ออกเงินค่าที่พัก และเบี้ยเลี้ยงเดินทางให้คุณหญิงจารุวรรณ และบุตรชาย อีกด้วย

แล้วก็คือ การไปเยี่ยมบุตรสาวที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวควรออกจ่ายค่าใช้จ่ายเอง แต่กลับใช้อำนาจหน้าที่เบิกค่าใช้จ่ายจากเงินแผ่นดิน ซึ่งเป็นเงินของประชาชนทั้งชาติ เท่านี้ยังไม่พอยังไปขอให้บริษัทการบินไทย ซึ่งเป็นหน่วยรับตรวจจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าพาหนะในญี่ปุ่น ค่าที่พักเบี้ยเลี้ยงให้ตนเองและบุตรชายอีก ผลประโยชน์คือ ไปธุระส่วนตัวที่ญี่ปุ่นไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ยังแถมได้เงินอีก!!
นี่เป็นเพียงตัวอย่างทุจริตเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ปรากฏหลักฐานให้เห็น แล้วที่ทุจริตใหญ่ ๆ ยังไม่ปรากฏหลักฐานใครจะทำหน้าที่ตรวจสอบคุณหญิงได้ ?

8. การขอตั๋วฟรีและขอให้ออกค่าใช้จ่าย ไปมอสโคและโคเปนเฮเกน
คุณหญิงจารุวรรณฯ ให้นางยุพิน ชลานนท์นิวัฒน์ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบประจำสายบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งว่าเจ้าหน้าที่จะไปตรวจบัญชีบริษัทการบินไทยที่สาขามอสโค และ โคเปนเฮเกน โดยมีคุณหญิงจารุวรรณ เป็นผู้ควบคุมการตรวจสอบและมีผู้ติดตามคุณหญิงจารุวรรณ คือนายกิตติวัฒน์ เมณฑกา (บุตรชาย) ระหว่างวันที่ 23 กันยายน 2549 - 8 ตุลาคม 2549 แต่ในวันที่ 19 กันยายน 2549 เกิดปฏิวัติเสียก่อน คุณหญิงจารุวรรณจึงงดการเดินทางแต่กลับให้นาย กิตติวัฒน์บุตรชายเดินทางไปมอสโค และ โคเปนเฮเกนต่อไป โดยค่าใช้จ่ายของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)!
ทั้งๆ ที่ไม่มีหน้าที่ เพราะโดยหน้าที่คือติดตามคุณหญิงจารุวรรณฯ แต่เมื่อคุณหญิงจารุวรรณฯงดการเดินทาง ก็จะต้องสั่งการให้บุตรชายงดการเดินทางด้วย แต่กลับให้บุตรชายเดินทางไปตามปกติเพื่อไปเที่ยวโดยค่าใช้จ่ายของผู้รับตรวจ
พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ...

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้ว ปรากฏว่าหลักฐานที่ผู้เขียนได้รับมาก่อนหน้านั้น เกี่ยวกับพฤติกรรมของยัยเป็ด หัวยักษ์ สอดคล้องข้อความที่ตัดตอนมาให้ท่านดู
หลักฐานถูกต้อง ตรงกันแบบ “โป๊ะเชะ...โป๊ะเชะ!”
ดังนั้น การที่จะปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ ยังอยู่ในตำแหน่ง และใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการเอื้อประโยชน์แก่ตนเอง สร้างความเสื่อมเสียให้แก่หน่วยงานอย่างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน นั้น
เป็นเรื่องที่ “ยอมรับไม่ได้ อย่างเด็ดขาด!”
ฉะนั้น รัฐบาลจะต้องดำเนินการทุกวิถีทาง ให้บุคคลผู้นี้พ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ไปอย่างรวดเร็วที่สุด ถ้าขืนปล่อยให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป ก็ยิ่งจะเป็นภยันตราย ต่อหน่วยงานที่ผู้ปฏิบัติต้องมีความซื่อสัตย์สูง อย่างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
หากท่านผู้อ่านถามว่า “ทำไมถึงจึงเชื่อมั่นว่า ผู้หญิงอย่างจารุวรรณฯ มีพฤติกรรมส่อไปในทางไม่สุจริต?
ตอบได้ว่า
ตัวผู้เขียนเองนั้น เคยเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนและอาจารย์สอนวิชาการสอบสวน มีประสบการณ์และทักษะเรื่องการสอบสวนข้าราชการทุจริตมายาวนาน อีกทั้งเคยเป็นอนุกรรมการฝ่ายตรวจสอบทรัพย์สินของ ป.ป.ป.มาก่อนด้วย
ดังนั้น เมื่อเห็นหลักฐานและทำการสืบสวนด้วยตนเองแล้ว จึงมีความมั่นใจเต็มร้อย จึงพร้อมที่จะพิสูจน์หลักฐานในศาลกัน หากมีคดีฟ้องร้องว่า ข้อความที่ท่านกำลังอ่านนั้น เป็นความเท็จ!
ถ้าจะถามต่อว่า ทำไมผมถึงเชื่อในหลักฐานกรณีบริษัทการบินไทยว่าถูกต้อง ก็ต้องขอตอบแบบตรงไปตรงมา ว่า

“ก็บอร์ดเก่าของบริษัทการบินไทยฯ ตั้งให้ผมเป็นกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง กรณีทุจริตในการบินไทย!!”

แค่นี้... “ชัดเจน” หรือยังล่ะครับ!!!?

.....................

****โปรยตาม
ติดตามวันวางแผงหนังสือของ “วาทตะวัน” ได้จากเว็บไซด์ www.vattavan.com หรือโทรสั่ง หมายเลข 086-2593-939...



ขอขอบคุณPorsche:

Sunday, May 10, 2009

บทความนี้กรุณาอ่านด้วยความเคารพ

บทความนี้กรุณาอ่านด้วยความเคารพ... Fear and loathing marks Thailand’s malicious monarchy http://aftermathnews.wordpress.com/2009/05/08/fear-and-loathing-marks-thailand%E2%80%99s-malicious-monarchy/
ราชวงศ์แห่งประเทศไทย ผู้ซึ่งปรามาสประชาธิปไตย เจมส์ แอนสตรัทเตอร์รายงานเรื่องกษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดช มีการบีบบังคับต่อผู้ที่ไม่เห็นด้วยทั้งหมดอย่างไร
กษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดช แห่งประเทศไทย ทรงแสดงอย่างแน่ชัดถึงความคิดที่จะเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยือนประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา นับตั้งแต่กษัตริย์พระชนมายุ ๘๒ พรรษา ได้ทรงหยุดการเสด็จออกนอกประเทศตั้งแต่ช่วงปี ๒๕๐๓ แม้กระทั่งก่อนหน้านั้นพระองค์ทรงเสด็จไปยังประเทศพันธมิตร ซึ่งจะให้ผลประโยชน์กับการต่อสู้สมัยสงครามเย็นต่อต้านฝ่ายซ้ายในเวลานั้นเท่านั้น และได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศเวียตนามใต้ในปี ๒๕๐๒ แต่ไม่เคยทรงเสด็จไปยังประเทศเวียตนามเหนือ หรือแม้แต่ลาว และกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทย
พระองค์ทรงเข้าใจในความรู้สึกที่ว่าความเป็นธรรมราชา หรือทศพิธราชธรรมของพระองค์นั้นก็เพื่อแผ่นดินของพระองค์ เพื่อทรงปกป้องราชอาณาจักรที่ดูเหมือนกับว่า จะไม่มีการแบ่งแยก และไม่มีความลำบากยากเข็ญ ตัวอย่างเช่น วิกฤติการเมือง ซึ่งได้แสดงออกบนท้องถนนในกรุงเทพในระยะสามปีที่ผ่านมา แต่พระองค์กำลังจะทรงปฎิบัติต่อประเทศอินเดียเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งพระองค์ได้เคยเลี่ยงมาก่อน เนื่องจากนโยบายทางการเมืองเอียงซ้ายของอินเดีย และความมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อสหภาพโซเวียต
กษัตริย์ภูมิพลทรงรับเอาแนวความคิดเรื่องความมีทศพิธราชธรรมมาจากอินเดีย พระองค์ทรงได้รับการเชิดชูจากบรรดาผู้ที่จงรักภักดีว่า พระองค์ทรงอุปมาเหมือนเป็นพระนารายณ์เทพเจ้าแห่งฮินดู (การอวตารของพระวิษณุ) ตามธรรมเนียมของฮินดู ซึ่งหลอมรวมกับราชวงศ์ทางพุทธและความมีทศพิธราชธรรมของกษัตริย์ กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับราชอาณาจักร การเกิดรัฐประหารบ่อยครั้งนับตั้งแต่การเสด็จขี้นครองราชย์ของพระองค์ในปี ๒๔๘๙ หลังการสวรรคตของพระเชษฐาจากกระสุนปืน ซึ่งทรงขี้นครองราชย์ได้เพียงสามเดือน กษัตริย์ภูมิพลนับตั้งแต่ทรงครองราชย์ พระองค์ไม่ได้ทรงเห็นชอบกับการทำรัฐประหารในทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม การรัฐประหารครั้งล่าสุดนี้ เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๔๙ เพื่อขับไล่ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนเดียวแห่งประเทศที่ได้รับการเลือกตั้งมาบริหารประเทศอย่างแท้จริง และเป็นที่แน่ชัดว่าพระองค์ทรงเห็นชอบด้วย
ใน ประเทศไทยได้ให้คำอธิบายกษัตริย์ว่า เป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญมาถึง ๑๗ ฉบับ นับตั้งแต่การสิ้นสุดการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชในปี ๒๔๗๕ รัฐธรรมนูญเหล่านี้ได้ระบุเรื่องระบบรัฐสภา และมีบางฉบับระบุให้เป็นแบบเผด็จการทางทหาร แต่รัฐธรรมนูญทุกฉบับได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับพระราชอำนาจของความเป็นพระสมมุติเทพแห่งกษัตริย์ และรวมถึง�
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา กษัตริย์ไม่ได้เป็นผู้ทรงวางกฎเกณฑ์ในการปฎิบัติเรื่องกฎหมายหมิ่นฯ จะปลอดภัยกว่าถ้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักการเมือง นายพลทั้งหลาย หรือแม้แต่สาธารณชนบางส่วน ข้อกล่าวหาในเรื่องกฎหมายหมิ่นฯตั้งขี้นได้หลายรูปแบบ และตำรวจต้องสอบสวนทุกข้อกล่าวหาที่ได้รับเบาะแส แม้ว่าจะเป็นเพียงการกล่าวหาเพียงเล็กน้อย ละหุโทษอย่างต่ำสุดคือการจองจำ
กษัตริย์ภูมิพลทรงประสูติที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งพระบิดาของพระองค์ทรงกำลังศึกษาในฮาร์เวิร์ด พระองค์ทรงได้รับการศึกษาจากโรงเรียนในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สำหรับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน พระองค์ได้ทรงหันไปหาคนไทยซึ่งเกิดในต่างประเทศเช่นเดียวกัน นั่นก็คืออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วัย ๔๔ ปี เป็นบุตรของนายแพทย์จากวอลเซน อภิสิทธิ์ได้รับการไว้วางใจ
นายกรัฐมนตรีทักษิณที่ถูกปล้นอำนาจจากการทำรัฐประหารครั้งหลังสุด เป็นนักการเมืองของประเทศคนแรกที่มีความทันสมัย ทักษิณได้กระทำการรณรงค์อย่างจริงจังสำหรับผู้ที่ลงคะแนนเสียงให้เขา แทนที่จะพูดเรื่องการเมืองในห้องประชุม รัฐบาลของทักษิณเป็นเพียงรัฐบาลเดียวที่ได้รับเสียงข้างมากในสภา และได้นำนโยบายที่เป็นที่นิยมหลายนโยบาย เพื่อยกระดับสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน อดีต นายตำรวจซึ่งกลายมาเป็นนักธุรกิจมหาเศรษฐี ทักษิณมีบางอย่างในตัวที่ทำให้นึกไปถึงประธานาธิบดีซิลวีโอ แบร์ลุสโกนีแห่งอิตาลี และนโยบายของทักษิณไม่ได้ผ่านไปด้วยดีทั้งหมด การประจันหน้ากับโจรแบ่งแยกดินแดงมุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้ด้วยการใช้ความรุนแรง และการประกาศสงครามยาเสพติด ซึ่งนำไปสู่ความตายที่ควรเลี่ยงได้ แต่ทักษิณเป็นที่นิยมอย่างมหาศาลจากชาวชนบท ไม่ใช่เพราะนโยบายต่างๆที่ทำให้ทักษิณต้องล่มสลาย ในความเป็นจริง เพราะความนิยมชื่นชอบที่มีต่อทักษิณต่างหากที่ทำให้เกิดเรื่อง เมื่อไม่สามารถเอาชนะทักษิณจากการเลือกตั้งได้ รัฐประหารเป็นหนทางเดียวที่จะกำจัดทักษิณได้ นายพลต่างๆกล่าวหาทักษิณว่าฉ้อราษฎร์บังหลวง และแน่นอนกระทำผิดต่อกฎหมายหมิ่นฯ การเดินสายหาเสียงทั่วประเทศของทักษิณ เป็นการทำให้ทักษิณเป็นที่หวาดเกรงของฝ่ายตรงข้าม นายพลทั้งหลายปกครองประเทศเพื่อพวกพ้องตัวเองเป็นเวลานานมากกว่าหนึ่งปี ก่อนที่จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และมีการจัดการเลือกตั้งขี้นมาใหม่ พวกนายพลทั้งหลายสั่งห้ามพรรคการเมืองของทักษิณ แต่พรรคต่อมาของเขาก็ยังคงได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง
รัฐบาลชุดใหม่ถูกโจมตีอย่างไม่หยุดยั้งจากพวกอันธพาลที่คลั่งเจ้าฝ่ายขวาจัด และถูกโจมตีจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่ง แม้กระทั่งนักการเมืองฝ่ายสนับสนุนในสภาบางคนก็ยังถูกซื้อเสียง ตามรายงานมีสิ่งที่บอกว่า นักการเมืองเหล่านี้บางคนอาจจะได้ค่าหัวคนละประมาณ ๑๐ ล้านบาทในการย้ายพรรค และด้วยวิธีการแบบนี้ อภิสิทธิ์ วัย ๔๔ จากอีตัน จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายก ตั้งแต่การทำรัฐประหาร ทักษิณต้องคอยหลบหนีจากอัยการฝ่ายไทยและกองทัพที่หนุนหลังพวกเขา ผู้ซึ่งตัดสินว่าทักษิณมีความผิดในข้อหาที่ไม่ไปปรากฎตัวต่อศาล จากการถูกตัดสินว่ากระทำความผิดในครั้งนี้ ทำให้ทักษิณถูกห้ามเข้าประเทศอังกฤษ หลังจากที่ไทยได้ใช้วิธีทางการทูตกดดันต่ออังกฤษ คุณอาจจะถามว่า แล้วความคิดเรื่องการลี้ภัยทางการเมืองมีไว้เพื่ออะไร ขณะนี้ทักษิณได้เดินทางโดยใช้หนังสือเดินทางการทูตของนิคารากัว และได้ปรากฎตัวในหลายประเทศเช่น ฮ่องกง และดูไบ ที่ซึ่งเขาได้พูดผ่านวิดิโอลิ้งค์ไปยังฝูงชนชาวไทยที่สนับสนุนเขาเป็นจำนวนมหาศาล ประชาชนซึ่งยังร้องเรียกให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อเลือกรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งจากความนิยมอย่างแท้จริง พวกเขาคงไม่มีทางจะได้รับการเลือกตั้งใหม่ จนกว่ารัฐบาลปัจจุบัน จะหาวิธีป้องกันไม่ให้กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับทักษิณได้รับชัยชนะให้ได้เสียก่อน ในขณะเดียวกันรัฐบาลประชาธิปัตย์ซึ่งเชื่อกันว่า ให้การสนับสนุนด้านธุรกิจ กำลังรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจที่กำลังหมุนร่วงลงสู่ก้นเหว แต่กษัตริย์ที่ทรงชราภาพไม่สามารถอยู่ได้ค้ำฟ้า ผู้สืบราชสันตติวงศ์จะนำพาไปสู่ยุคใหม่แห่งความสันติ ความเป็นประชาธิปไตย และความเจริญรุ่งเรืองได้หรือ นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าจะเป็นไปได้ เช่นเดียวกับศักดินาไทยหลายๆคน เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ผู้ทรงมีความประพฤติไม่เหมาะสม ขณะนี้พระชนมายุได้ ๕๖ ปี ทรงเข้ารับการศึกษาจากโรงเรียนมิลฟิลด์ ที่ต้องชำระค่าเรียนในอังกฤษ พระองค์ทรงไม่เป็นที่นิยมและเป็นที่หวาดกลัวทั่วประเทศไทย แม้ว่าพระองค์นั้นจะได้รับการปกป้องจากกฎหมายหมิ่นฯแล้วก็ตาม พระองค์ย่อมทรงต้องการกฎหมายนี้ James Anstruther 7พค จบค่ะ. ขอบคุณ คุณmekaje:

เพียงแค่รากหญ้ารู้จักคำว่าพอเพียง ระบอบอำมาตย์ก็อาจจะพังครืน

เพียงแค่รากหญ้ารู้จักคำว่าพอเพียง ระบอบอำมาตย์ก็อาจจะพังครืน
โถ..นึกว่าสำนึกผิด คิดว่าสำนึกได้ เห็นรัฐบาลทรราช เทพประทานมารอุปถัมภ์ พากันตีปี๊บป่าวประกาศว่าจะ "หยุดทำร้ายประเทศไทย" แต่ที่ไหนได้ ยังแกว่งปากหารองเท้าอยู่หยอยๆ ไล่ถล่มคู่แข่งทางการเมืองอยู่เหย็งๆ

งานการไม่ต้องเป็นอันได้ทำกัน นอกจากจ้อๆๆ แล้วก็จ้อ เอาดีเข้าตัว ป้ายชั่วให้คู่แข่ง นอกนั้นแล้วก็มีแต่ขึ้นภาษี แล้วก็กู้กับกู้ คงกะทุบสถิติ จอมกู้ระดับอินเตอร์ซะก็ไม่รู้

เกิดเป็นคนไทยพ.ศ.นี้มันก็ดีไปอย่าง เรื่องที่กลัวว่าชีวิตจะจืดชืด เป็นอันว่าลืมไปได้ ลืมตาขึ้นมาก็มีแต่เรื่องให้ได้ลุ้น ได้เสียวไม่เว้นแต่ละวัน ก็มันผิดฝาผิดตัวมั่วกันเละเทะ จนน่ากลัวว่าจะพากันแหกโค้ง เทกระจาดเข้าวันไหนยังไม่รู้

มีอย่างที่ไหน เอานายกฯมาคอยรับคำสั่งทหาร เอารัฐมนตรีมาตามล่าทักษิณ แถมยังมีรัฐมนโท เนรวิน จอมเนรคุณ มาคอยทำตัวเป็นริดสีดวงทวาร ให้ลุกนั่งเดินเหินลำบากซะงั้น

ตายกันพอดี นี่แหละคนไทย เขาถึงว่าความเสี้ยนทำให้เสื่อมแท้ๆ เป็นฝ่ายค้านด่าเขามันปากอยู่ดีๆไม่ชอบ อุตริขันอาสามาเป็นฝ่ายบริหารซะเอง เลยงานเข้าจนหน้ามืด คราวนี้ซึ้งหรือยังล่ะ ว่าใช้มือทำงานมันยากกว่าใช้ปากขนาดไหน

แต่อย่างว่า ด่าไปก็เท่านั้น เหมือนเอาไม้จิ้มฟันไปทิ่มหนังแรดระดับเทพ อย่างเก่งถ้าหนังบางหน่อย มันก็แค่คันยิบๆ สู้เอาเวลามาวางกลยุทธสู้ศึกกับอำมาตย์ ยังจะเป็นมรรคเป็นผลกว่ากันเป็นไหนๆ

หลังจากสงกรานต์ทมิฬที่ผ่านมา อำมาตย์ก็ได้ให้บทเรียนโดยไม่คิดสตางค์แล้วว่า การรบกับอำมาตย์นั้น ถ้าขืนบุ่มบ่ามเดินเข้าไปดุ่ยๆ มีแสนก็ตายแสน มีสองแสนก็ตายสองแสน เหตุเพราะว่าอำมาตย์นั้น ไม่เคยเห็นหัวรากหญ้าว่าเป็นคนอยู่แล้ว

ดังนั้น ถ้าอยากชนะโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ จึงต้องพยายามงัดเอาพลังแรดของรากหญ้าที่หลบในอยู่ ออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด

ทำเป็นเล่นไป พลังรากหญ้าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้ารู้จักใช้ให้เป็น ต่อให้ระบอบอำมาตย์ที่ว่าใหญ่คับฟ้า ก็สามารถล้มครืนลงได้ โดยไม่ต้องออกไปล่อเป้าเอ็ม-16 ให้มันเสียวซ่านโดยใช่เหตุ

พูดไปก็จะหาว่าโม้ ที่จริงแล้ว ผู้เสียภาษีรายใหญ่ของประเทศ ก็คือรากหญ้าพี่น้องเรานี่เอง หาใช่บรรดาเจ้าสัวทั้งหลาย ที่พวกนักวิชาเกินพยายามกรอกหู ให้เราเชื่อตามซะเมื่อไหร่ เออ..ถ้าพวกนั้น เอาเงินบิดามารดามันมาจ่ายภาษี จะไม่เถียงซักคำ

แต่นี่ทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป มันเอามาบวกลงในราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ที่รากหญ้าเราซื้อหามากินมาใช้ ไม่มีหายหกตกหล่นแม้แต่น้อย สุดท้ายคนที่จ่ายก็ผู้บริโภคนั่นเอง อย่างนี้ต้องเรียกว่า ผู้เก็บภาษีรายใหญ่แทนรัฐมันถึงจะถูก

อะไรไม่ว่า ทำไปทำมาชักจะลืมตัว นึกว่าภาษีที่ชักค่าต๋งมาเตรียมส่งให้รัฐนั้น เป็นเงินของตัวเลยเกิดเสียดาย หาทางซิกแซ๊กเอาเข้าพกเข้าห่อซะงั้น จากผู้เสียภาษีรายใหญ่ เลยกลายเป็นผู้งาบภาษีรายยักษ์ ไปซะฉิบ

ติ๊งต่างให้เห็นเป็นรูปธรรมก็ได้ว่า กว่าจะมาเป็นบะหมี่ "ม๋าม๋า" 1 ซอง มันต้องผ่านเสือสิงห์กระทิงแรด ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ตั้งแต่อาเฮียแป้งหมี่ อาตี๋ขายซอง อาซ้อโรงพิมพ์ อาซิ้มโรงเกลือ เยอะแยะตาแป๊ะไก๋ จาระไนไม่หมด

ต่างคนต่างงาบ ไล่กันเป็นทอดๆ ผ่านมือใครทีก็ล่อกันคนละหนุบละหนับ นอกจากเก็บส่วยสาอากรส่งเข้ารัฐแล้ว ยังชักกำไรเป็นค่าต๋ง น้ำร้อนน้ำชาของตัวเองอีกต่างหาก เรียกว่าผลักภาระภาษีบวกกำไร ไล่กันไปเป็นลูกระนาด

จนกระทั่งสุดท้าย มาจอดแหมะที่ผู้บริโภค เพราะผลักภาระต่อไปไม่ได้แล้ว เลยจำใจต้องเป็นเจ้าภาพ รับเละแต่เพียงผู้เดียว

จากเงิน 6 บาท ที่ควักออกไปให้อากู๋สหพัด เป็นค่า "ม๋าม๋า" 1 ซอง ตีเป็นค่าของไม่เกิน 2 บาท อีก 4 บาทเป็นค่าภาษี กำไร แป๊ะเจี๊ยะเก๋าเจี๊ยะ ฟาดกันพุงกาง

ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือ ส่วนหนึ่งของเงิน 4 บาทของเรานี่แหละ ที่พวกมันขนเอาไปให้แป๊ะลงทุนกู้ชาติ จนฉิบหายวายป่วง กู่ไม่กลับถึงทุกวันนี้

ในขณะที่ภาครัฐ ถ้าได้รัฐบาลดีก็ดีไป แต่ถ้าได้นอมินีอำมาตย์อย่างทุกวันนี้ มันก็เอาเงินภาษีของเราไปละเลงซะเละเทะ แถมยังประเคนให้ทหารเอาไปซื้ออาวุธ เอามาไล่ยิงกราด คืนกำไรให้ประชาชนอีกต่างหาก

ดังนั้น เพียงแค่รากหญ้าเรารู้จักคำว่าพอเพียง อดใจให้ได้ฟาดม๋าม๋าให้น้อยลงคนละ 1 ซอง ก็ฆ่าตัดตอนเก๋าเจี๊ยะไปได้คนละ 4 บาท ล้านคนก็ 4 ล้านบาท ถ้าเพิ่มความพอเพียงลงไปในสินค้าอีกหลายตัว ก็เจ๊งบ๊งไปอีกหลายล้านบาท

หมั่นทำกันให้เยอะๆ เล่นมันให้บ่อยๆ กลุ่มทุนเก่าอันยิ่งใหญ่ของอำมาตย์ก็เหอะ เจ๋งแค่ไหนก็เป๋ได้เหมือนกัน แถมรัฐบาลโจรอุปถัมภ์ ที่กำลังหน้ามืดไล่กู้จนหัวสั่นหัวคลอน ก็ได้ภาษีน้อยลงไปอีก คราวนี้ถ้าไม่ขายของเก่ากินก็ให้มันรู้ไป

ถ้าแค่นี้ยังพอเพียงไม่ถึงใจ รากหญ้าก็นัดกันลาออกจากงาน กลับตจว.ไปปั้นข้าวเหนียวจิ้มแจ่วปลาร้า ให้มันรู้แล้วรู้รอด เลี้ยงหมูเลี้ยงปลา ทำนาปลูกข้าวกินเอง ไม่ต้องเสียค่าต๋งค่าภาษีซักบาท

ทำการเกษตรแบบธรรมชาติ พ่อค้าแม่ค้าก็อย่าหวังว่าจะได้แอ้มค่าปุ๋ยเคมีซะให้ยาก แทร็คเตอร์ก็ไม่ต้องใช้ อาศัยแรงงานพันธมิตร อ้ายถึกอีทุย ไถดะไถแปรไปตามเรื่อง และที่สำคัญ ต้องอย่าโลภเป็นอันขาด ปลูกข้าวแต่พอกิน ไม่ต้องให้เหลือไปขายใครทั้งสิ้น

อาซิ้มอาซ้อ อาเฮียอากู๋ อยากกินข้าวก็หาปลูกกันเอาเอง เซ้ลฟ์เซอร์วิสกันตามสะดวก

ส่วนสาวโรงงานที่ขัดข้องทางเท็คนิค ไม่สามารถลากลับไปอยู่ตจว.ได้ ก็ยังไม่สิ้นหนทาง ก่อนอื่นก็พยายามไปอยู่กับนายจ้างสีแดง แล้วช่วยกันทำมาหากินตัวเป็นเกลียว เพื่อให้โรงงานสีแดงเจริญรุ่งเรือง จะได้เป็นกำลังสำคัญของพวกเราเอง

แต่ถ้าหลบเลี่ยงไม่ได้ จำใจต้องเป็นลูกจ้างสีเหลืองจริงๆ ก็ขอให้พยายามทำงานอย่างพอเพียง อย่าโลภมากเป็นอันขาด หรือจะนัดกันจัดสัปดาห์ทำงานอย่างพอเพียง ก็เก๋ไปอีกแบบ แค่นี้แหละ..

ไม่ต้องมากไปกว่านั้น แต่อย่าให้น้อยไปกว่านี้ รับรองได้ ไม่นานเกินรอ ระบอบอำมาตย์ มีหวังเจ๊งวินาศสันตะโร...

โดยไม่ต้องออกแรง แม้แต่ปอนด์เดียว

วโรทาห์: 10 พ.ค. 52

วิกฤตการเมืองไทย พ.ศ. 2549-2552 ผลพวงของระบอบรัฐในอดีต

วิกฤตการเมืองไทย พ.ศ. 2549-2552 ผลพวงของระบอบรัฐในอดีต
รัฐประหารที่ได้เกิดขึ้นอีกครั้งส่งผลให้ไทยกลับคืนสู่ยุคทหารปกครอง”

Hannah Beech, นักข่าว, นิตยสาร Time

September 20, 2006





“รัฐประหารอาจจะดูเข้าท่าในทางการเมือง แต่ผลประโยชน์ที่จะได้ในระยะสั้น

อาจจะสร้างผลเสียหายใหญ่หลวงยิ่งในระยะยาว”

Bridget Welsh, ศาสตราจารย์

มหาวิทยาลัย จอห์นส ฮ้อปคิ่นส์

September 21, 2006





1.



วิกฤตการเมืองไทยในปัจจุบันเป็นวิกฤตยืดเยื้อ ยังไม่เคยมีวิกฤตการเมืองครั้งใดในประเทศนี้ที่จะยืดเยื้อเท่าครั้งนี้

นับแต่ พ.ศ. 2475 จนถึงก่อน 19 กันยา พ.ศ. 2549 รวม 74 ปี รัฐไทยเคยมีรัฐประหารแล้วรวม 17 ครั้ง เฉลี่ยราว 4 ปีต่อครั้ง มองจากคนทั่วๆไป โดยเฉพาะคนที่คุ้นชินกับการที่ไทยถูกหยอกล้อในต่างประเทศว่า ประเทศไทยมี 4 ฤดู ไม่ใช่ 3 ฤดูในแต่ละปี คือ นอกจากจะมีฤดูร้อน ฝน และหนาว (Cold season) ยังมีอีกฤดูหนึ่งคือ Coup season (Coup = รัฐประหาร) ดังนั้น เมื่อเกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในวันที่ 19 กันยายน 2549 คนทั่วไปจึงไม่ค่อยประหลาดใจกันนัก

แต่สำหรับคนที่ติดตามการเมืองใกล้ชิดและหวังจะเห็นระบอบประชาธิปไตยของไทยมีเสถียรภาพและก้าวรุดหน้าเช่นอารยประเทศ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ควรเกิดขึ้นและเริ่มห่วงใยตั้งแต่นั้นแล้วว่า จากนี้ไปสังคมไทยจะต้องเผชิญกับความยุ่งยากนานัปการ

วิกฤตการเมืองที่ยืดเยื้อเรื่อยมานับแต่นั้นจึงเป็นประจักษ์พยานอย่างดีของความห่วงใยนั้น

ที่ผ่านมา รัฐไทยมีความสัมพันธ์คุ้นเคยกับประเทศต่างๆ ที่อาจแบ่งได้เป็น 4 แบบใหญ่ๆ คือ 1. กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว (อเมริกาเหนือ-ยุโรปตะวันตก-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้-ออสเตรเลีย) 2. กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านด้านใต้และตะวันตกที่เคยเป็นอาณานิคม (ฟิลิปปินส์-มาเลย์-อินโดนีเซีย-อินเดีย) 3. กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านด้านอีสาน-ตะวันออกที่เคยเป็นสังคมนิยม (จีน-เวียดนาม-ลาว-กัมพูชา) และ 4. ประเทศที่มีลักษณะพิเศษคือ พม่า

แม้ทั้ง 4 แบบนี้จะมีระบอบการเมืองที่ต่างกัน แต่จุดร่วม 2 ประการที่ตรงกันชัดเจนมากคือ 1. เสถียรภาพทางการเมือง ประเทศเหล่านั้น แม้จะมีความขัดแย้งโดยเฉพาะแบบสุดท้ายที่มีการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลและกลุ่มต่างๆในประเทศ แต่ไม่มีมิตรประเทศรายใดของไทยเลย (ไม่ว่าใกล้หรือไกล) ที่ได้เผชิญวิกฤตการเมืองที่ยืดเยื้อเช่นไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

และ 2. ประเทศเหล่านั้นเคยผ่านการปฏิวัติใหญ่ทางการเมืองมาแล้ว มีการต่อสู้หลั่งเลือดมาแล้วในอดีต พม่าอาจเป็นข้อยกเว้น นั่นคือ ได้ต่อสู้เพื่อเอกราชสำเร็จแล้ว แต่กลับสถาปนารัฐเผด็จการทหาร ย่ำยีชนชาติต่างๆที่หลากหลายที่เรียกร้องความเสมอภาค แต่เนื่องจากพม่ามิได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรีเหมือนไทย และชนกลุ่มต่างๆมีมากเกินไปขาดเอกภาพ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของพม่าจึงขาดความเข้มแข็ง ระบอบเผด็จการทหารของพม่าจึงมีเสถียรภาพค่อนข้างมาก ผิดกับพลังต่างๆทางการเมืองในสังคมไทยที่ขาดเสถียรภาพทางการเมืองอย่างหนัก มีการพลิกไปมาระหว่างรัฐประหาร, รัฐบาลทหาร, รัฐบาลเลือกตั้ง และประชาธิปไตยครึ่งใบตลอดช่วง 77 ปีที่ผ่านมา และนับวันจะมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น



2.

ชีวิตของประเทศกับชีวิตของมนุษย์



ชีวิตของประเทศเป็นเหมือนชีวิตของคนเรา คือมีขึ้นมีลง ไม่มีชีวิตของใครที่รุ่งโรจน์ทุกวันทุกคืน ไม่เคยตกอับหรือเศร้าโศก ชีวิตของคนมีสุข-โศก สำเร็จ-ล้มเหลว สมหวัง-ผิดหวัง พบ-พราก หัวเราะ-ร้องไห้ แข็งแรง-เจ็บป่วย ก้าว-หยุด-ถอย มีเงิน-ขาดเงิน ฯลฯ สลับกันไป

แต่สังคมไทยในห้วงร้อยปีเศษที่ผ่านมามีการสั่งสอนให้คนไทยคิดอีกแบบหนึ่ง เช่น ดินแดนแห่งรอยยิ้ม ผู้คนมีน้ำใจ มีความรักสามัคคี รู้จักให้อภัย ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ฯลฯ

ประเทศอื่นๆจะประสบปัญหาอะไร เราก็พร่ำถึงถ้อยคำเยิรยอเหล่านั้น รวมไปถึงว่าบ้านเมืองโชคดี มีพระคุ้มครอง มีความมหัศจรรย์ต่างๆคอยปกป้องตลอดมา

ประเทศเพื่อนบ้านของเรามีปัญหาขัดแย้งทางการเมือง แตกออกเป็นกลุ่มต่างๆ กระทั่งแบ่งออกเป็นฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ทำสงครามต่อสู้กันนานนับทศวรรษ การเข่นฆ่า ทิ้งระเบิดเกิดขึ้นในขอบเขตแทบทั่วประเทศนานนับสิบๆปี ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย อาคารบ้านเรือนพินาศ พืชผลเสียหาย ทำนาไร่ไม่ได้ บนผืนดินมีแต่ทุ่นระเบิดฝังไว้ จะไปไหนก็ลำบาก ฯลฯ

ประเทศของเราไม่เคยพานพบสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่เป็นแดนสวรรค์สำหรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน ผู้คนร่ำรวยจากการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบเสรี การสร้างเขื่อน ทางหลวง และการลงทุนภาคอุตสาหกรรม เศรษฐกิจสงครามในประเทศเพื่อนบ้าน การจัดซื้ออาวุธและระบอบเผด็จการทหารในประเทศของตนทำให้ชนชั้นนำมีรายได้มหาศาลและไม่เคยมีการตรวจสอบ ไม่เพียงเท่านั้น การที่ไทยส่งทหารไปช่วยรบในประเทศเพื่อนบ้านดูเหมือนจะช่วยซ้ำเติมให้บ้านเมืองของเขาเสียหายมากขึ้นด้วย

แล้ววันนี้เป็นอย่างไรเล่า ประเทศของเราเต็มไปด้วยความแตกแยก มีแต่การกล่าวหาโจมตีกัน 4 ปีมานี้ ผู้นำประเทศจะไปไหนมีแต่คนบางกลุ่มไม่ต้อนรับ มีการเดินขบวนยืดเยื้อ การบุกเข้ายึดสถานที่สำคัญ การใช้อาวุธ การปะทะกันระหว่างสีเสื้อต่างๆ ฝ่ายหนึ่งโจมตีว่าบ้านเมืองมี 2 มาตรฐาน อีกฝ่ายว่าไม่มี ฝ่ายหนึ่งเรียกหาประชาธิปไตย อีกฝ่ายเน้นคุณธรรม

นี่หรือคือดินแดนแห่งรอยยิ้ม วันนี้ จะหาคนไทยคนไหนที่ยิ้มได้อย่างสบายใจ

ดูหน้าตาของนายกรัฐมนตรีสิ 3 ปีมานี้ นายกฯคนหนึ่งต้องหลบหนีไปต่างประเทศ จนถึงบัดนี้ก็ยังถูกรัฐบาลตามไล่ล่า นายกฯอีก 2 คนถูกปลดจากตำแหน่ง นายกฯอีกคนไปไหนก็มีรูปเขายายเที่ยงติดที่หน้าผาก นายกฯคนปัจจุบันจะเดินทางไปจังหวัดไหนก็ต้องคิดแล้วคิดอีก

3 ปีเศษที่ผ่านมา มีผู้นำฝ่ายบริหารถึง 5 คน แต่ไม่มีใครยิ้มได้สักคนโดยเฉพาะคนปัจจุบัน

วันนี้ มีรายงานผลการสำรวจทัศนคติของคนไทยที่มีแต่ความหดหู่ เศร้าใจที่บ้านเมืองมีแต่ความแตกแยกทางความคิด ครอบครัวทะเลาะกันเรื่องสี ไม่มีใครฟังใคร ไม่มีใครที่แต่ละฝ่ายพอจะยอมรับได้ หลายคนเสียใจ งุนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดสังคมไทยเป็นเช่นนี้

ก็ไหนว่ามีคนคุ้มครอง มีของดีช่วยปกปักรักษา เกือบ 4 ปีมานี้สิ่งดีๆหายไปไหนหมด

ก็เพราะเรามีทัศนะแบบด้านเดียว คิดว่าชีวิตของประเทศไม่เหมือนชีวิตของเรา ชีวิตคนเรามี 2 ด้าน แต่เรากลับคิดว่าประเทศจะต้องมีด้านเดียว คือด้านที่สวยงาม เป็นเลิศ จะไม่มีวันประสบปัญหาใดๆ เพราะมีแต่สิ่งดีๆช่วยคุ้มครอง แต่เกิดอะไรขึ้นในห้วง 3 ปีที่ผ่านมา

ประเทศอื่นๆประสบปัญหามากมาย แต่พวกเขาก็ฝ่าฟันต่อสู้ตลอดมา แต่ประเทศของเราไม่เคยประสบปัญหา เราหลอกตัวเอง หรือถูกใครหลอก สุดท้าย คนไทยก็เจ็บปวด เพราะชีวิตของประเทศมีทั้งขึ้นและลง แต่เมื่อเราอยู่ในความฝัน มองเห็นแต่ความสำเร็จ ครั้นประเทศประสบปัญหา เกิดความแตกแยก การเมืองขาดเสถียรภาพ เศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก บ้านเมืองไร้ทางออก เราจึงรับไม่ได้ เราไม่ยอมเข้าใจ ทั้งๆที่นั่นคือความจริง

ความจริงที่ว่าวันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มี ทุกหนทุกแห่งมีแต่ฝักฝ่าย ดังนั้น คนไทยจะต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น เร่งค้นหาสาเหตุและเร่งหาทางแก้ไข คนไทยจะต้องช่วยเหลือดูแลกันเอง ไม่มีใครช่วยได้



3.

วิกฤตการเมืองปัจจุบัน: ผลพวงของรัฐในอดีต



รัฐไทยไม่เหมือนรัฐเพื่อนบ้าน ขณะที่รอบบ้านของเราตกเป็นอาณานิคมของประเทศตะวันตก เรายอมลงนามในสัญญาค้าขายกับตะวันตกทั้งๆที่เป็นสัญญาอันไม่เป็นธรรม ไทยจึงไม่ตกเป็นเมืองขึ้น แต่กลายเป็นรัฐกึ่งเมืองขึ้น (Semi- colonial state) ต้องเสียเปรียบอย่างหนักเนื่อง จากสัญญาที่ยอมทำกับประเทศต่างๆถึง 14 ชาติ

การเป็นรัฐกึ่งเมืองขึ้นทำให้ผู้นำและรัฐบาลยังมีอำนาจต่อไป แต่อิสรภาพในการกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจและกฎหมายหลายอย่างต้องหมดไป อยากจะแก้ไขหรือยกเลิกสัญญาดังกล่าวก็ทำไม่ได้ ต้องถูกเขาเอาเปรียบโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ

การเป็นรัฐกึ่งเมืองขึ้น ล้อมรอบด้วยรัฐเมืองขึ้นที่ถูกยึดครองโดยประเทศตะวันตกซึ่งเป็นนักล่าเมืองขึ้นระดับสากล (International colonizers) แต่เนื่องจากในดินแดนแถบนี้ การก่อรูปรัฐสมัยใหม่กำลังเริ่มต้น รัฐกึ่งเมืองขึ้นเช่นไทยซึ่งมีอิสรภาพบางด้านจึงมีลักษณะเฉพาะ 2 ด้านที่แตกต่างจากรัฐเมืองขึ้นทั้งหลาย

ขณะที่รัฐเพื่อนบ้านที่ล้วนเป็นเมืองขึ้นมีลักษณะเดียวคือ รวมพลังกันต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราช ปลดปล่อยประเทศชาติจากการที่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น ลักษณะเฉพาะ 2 ด้านของรัฐไทยคือ ด้านหนึ่ง เนื่องจากเป็นรัฐกึ่งเมืองขึ้น ไม่มีการเปลี่ยนผู้นำและรัฐบาลเหมือนรัฐเมืองขึ้นรอบๆ ผู้นำของรัฐไทยจึงหวั่นไหวยิ่งนักกับปัญหาเอกราช เพราะหากตกเป็นเมืองขึ้น ตนเองก็จะสูญเสียอำนาจทุกอย่าง ปัญหาความมั่นคงของรัฐกับปัญหาความอยู่รอดของผู้นำจึงเป็นเรื่องเดียวกัน ส่งผลให้รัฐไทยไม่สนใจปัญหาการพัฒนาการเมืองเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น สนใจแต่ความมั่นคงของรัฐ (และตนเอง) จึงเร่งพัฒนาความเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolutist state) ที่รวมศูนย์อำนาจการปกครองและการบริหาร เร่งพัฒนากองทัพและระบบกฎหมาย ตลอดจนเร่งพัฒนาการศึกษาเพื่อสร้างข้าราชการ ไม่ใช่สร้างพลเมือง ส่งเยาวชนไปเรียนต่อด้านการทหารและกฎหมายเพื่อกลับมาสร้างรัฐตามเป้าหมายที่กล่าวไว้

อีกด้านหนึ่ง รัฐไทยฉวยโอกาสท่ามกลางความขัดแย้งและการต่อสู้กันระหว่างนักล่าอาณานิคมที่อยู่รอบๆ ด้วยการแสดงบทบาทเป็นนักล่าอาณานิคมระดับภูมิภาค (Regional colonizers) รัฐไทยผนวกดินแดนล้านนา อีสาน และดินแดนมลายูเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง, ยกเลิกฐานะประเทศราชของดินแดนเหล่านั้น และพยายามอย่างหนักที่จะรักษาดินแดนลาว เขมร และลุ่มน้ำสาละวินไว้ให้เป็นของตนเอง แต่ในที่สุดก็ต้องสูญเสียให้อังกฤษและฝรั่งเศส ดังจะได้เห็นการแสดงความโศกาอาลัยอย่างหนักของฝ่ายไทยในช่วงนั้น เป็นความโศกาอาลัยของวิธีคิดแบบนักล่าอาณานิคมที่อยากเห็นราชอาณาจักรไทยกว้างใหญ่ไพศาลครอบครองดินแดนให้มากที่สุด ไม่ว่าดินแดนดังกล่าวจะเป็นของชนชาติใดก็ตาม ร เขมร มลายู และ เชียงตุง เชียงรุ่ง ลาว เวียดนาม เขมร มลายู และมะละกา ปีนัง มะริด ตะนาวศรี

จะเห็นว่าด้านที่สองสนับสนุนด้านที่หนึ่งเป็นอย่างดี ดังนั้น รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงเป็นรัฐรวมศูนย์อำนาจ (Centralized state) ด้วยพร้อมๆกัน เพราะการผนวกดินแดนเหล่านั้นทำให้ท้องถิ่นเหล่านั้นต้องสูญเสียอำนาจการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจให้แก่รัฐไทย เช่น การยกเลิกระบบเจ้าผู้ครองในดินแดนเหล่านั้น การโอนภาษีอากร ที่ดิน และทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดในท้องถิ่นให้ตกเป็นของส่วนกลาง ฯลฯ

นี่คือโอกาสของรัฐกึ่งเมืองขึ้นที่รัฐเมืองขึ้นไม่มี แต่รัฐกึ่งเมืองขึ้นกลับขาดอีกสิ่งหนึ่งที่รัฐเมืองขึ้นมี แต่ตนเองไม่มี นั่นคือ การเรียนรู้และประสบการณ์การต่อสู้ทางการเมือง

การที่รัฐเมืองขึ้นถูกประเทศตะวันตกกดขี่ข่มเหงสารพัด จึงเกิดประสบการณ์ทางการเมืองมีผู้นำการต่อสู้เพื่อเอกราชที่โดดเด่น ประชาชนเกิดสำนึกในความรักชาติ และเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง แต่รัฐกึ่งเมืองขึ้นกลับไม่เคยเห็นคุณค่าของเอกราช เพราะถูกมอมเมาไม่ให้รู้ว่าประเทศของตนตกเป็นรัฐกึ่งเมืองขึ้น ถูกหลอกให้ภูมิใจว่าประเทศของตนเป็นรัฐเอกราช จึงขาดความคิดแบบชาตินิยม ขาดจิตสำนึกทางการเมือง ไม่เคยสนใจและเรียนรู้ปัญหาต่างๆทางการเมือง ไม่เคยมีกิจกรรมทางการเมืองใดๆ เช่นการรวมกลุ่ม การชุมนุม ขณะที่ผู้นำได้ใช้โอกาสนั้นรวมศูนย์อำนาจ เร่งพัฒนาระบบราชการ ใช้ระบบออกคำสั่ง ไม่สนใจพัฒนาระบอบการเมืองเพื่อขยายสิทธิและบทบาททางการเมืองของประชาชน สร้างคนให้เป็นเพียงราษฎร

รัฐรวมศูนย์อำนาจในสมัยรัชกาลที่ 5 พัฒนาขึ้นเป็นรัฐรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป (Over- centralized state) ในสมัยรัชกาลที่ 6 เนื่องจากนโยบายของผู้นำคือต้องการให้เกิดความเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกันในทุกๆด้านทั่วประเทศ ยิ่งทำให้ท้องถิ่นสูญเสียอำนาจมากขึ้น ศาสนาและการศึกษาต้องขึ้นต่อส่วนกลาง ภาษาพูดภาษาเขียนในท้องถิ่นถูกยกเลิก วัฒนธรรมประเพณี ศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมท้องถิ่นถูกครอบงำโดยส่วนกลางมากขึ้นๆเป็นลำดับ

รัฐก็เหมือนร่างกาย รัฐที่เข้มแข็งแต่ส่วนบน แต่ส่วนรากฐานกลับอ่อนแอ ชุมชนท้องถิ่นไม่รู้จักตนเอง ไม่มีอิสระในการบริหารจัดการท้องถิ่นของตนเอง ไม่รู้แม้แต่ประวัติศาสตร์ของตน พูดภาษาแม่ของตนยังไม่ได้ เนื้อหาหลักสูตรการศึกษามีแต่เรื่องราวของส่วนกลาง รัฐแบบนี้จะยืนอยู่อย่างแข็งแกร่งได้อย่างไรในระยะยาว

การปฏิวัติประชาธิปไตย พ.ศ. 2475 แม้จะเปี่ยมด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย และประสบผลสำเร็จ แต่เนื่องจากกำลังการปฏิวัติมีไม่มากนัก ชนชั้นกลางและชนชั้นล่างยังอ่อนแอ ขาดจิตสำนึก ไม่เคยมีบทบาททางการเมืองก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะเป็นระดับชาติหรือท้องถิ่น ในที่สุด ระบอบประชาธิปไตยจึงถูกโค่นล้ม ขณะที่ระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ประกอบด้วยข้าราชการทหารและพลเรือนและวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยมสามารถขยายบทบาทมากขึ้นเป็นลำดับ แต่เนื่องจากคำว่าประชาธิปไตยเป็นคำที่มีความหมายดี แม้ประชาธิปไตยจะถูกทำลาย แต่ชื่อได้กลายเป็นถ้อยคำที่ใครๆก็ชอบใช้ ไม่มีก็ว่ามี มีเพียงน้อยนิด ก็หลอกว่ามีมาก

การสถาปนาระบบราชการแผ่นดิน 3 ส่วนคือส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นในปี พ.ศ. 2476 ทำให้ส่วนกลางและส่วนภูมิภาคสามารถเข้าครอบงำส่วนท้องถิ่นที่อ่อนแอได้อย่างสิ้นเชิง ขณะที่รัฐไทยตั้งแต่สมัย พ.ศ. 2475 เป็นต้นมายังคงดำเนินนโยบายการบริหารประเทศแบบรวมศูนย์อำนาจที่มากเกินไปแบบสมัยรัชกาลที่ 6 ต่อไป

คำถามหนึ่งที่วงการรัฐศาสตร์ไทยไม่เคยสนใจคือ ระบอบประชาธิปไตยดำรงอยู่อย่างไรในรัฐที่มีการรวมศูนย์อำนาจอย่างหนัก ซึ่งในที่สุด ทุกอย่างก็เปิดเผยออกมาว่าฝ่ายไหนอยู่อย่างมั่นคง ฝ่ายไหนล้มลุกคลุกคลาน แล้วเห็นหรือยังว่าการไม่ยอมกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นส่งผลอย่างไรต่อระบอบประชาธิปไตย

ผลพวงของการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 ทำให้เกิดการสถาปนาองค์กรปกครองท้องถิ่นคือเทศบาล ในเขตเมือง (พรบ. เทศบาล พ.ศ. 2476) แต่เนื่องจากขาดการส่งเสริมเศรษฐกิจภาคเมืองอย่างจริงจัง ระบบการศึกษายังคงเป็นแบบเก่าคือสอนให้คนเป็นข้าราชการ ไม่ใช่ให้เป็นพลเมือง นักธุรกิจจึงอ่อนแอ ขาดพลังอิสระ วัดถูกอำนาจรัฐครอบงำ ขณะที่ระบบราชการส่วนภูมิภาคควบคุมการบริหารทุกด้านในเขตทั้งจังหวัด เทศบาลจึงอ่อนแอ และไม่สามารถสร้างพลังประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่นได้ ส่วนในชนบท ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่เคยมีการส่งเสริมให้เกิดการปกครองตนเอง มีแต่การเลือกตั้งกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านที่พอได้รับเลือก ก็ครองตำแหน่งแบบข้าราชการไปจนเกษียณ ประชาชนไม่เคยได้เรียนรู้และมีส่วนใดๆในการบริหารจัดการท้องถิ่นของตนเอง

สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกเมื่อปัจจัยภายนอกมีบทบาทอีกครั้งในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482-2488) เมื่อสหรัฐขยายบทบาทเข้ามาสร้างรัฐไทยให้เป็นรัฐเผด็จการทหารตั้งแต่ พ.ศ. 2490 เป็นต้นมาเพื่อต่อต้านการขยายตัวของอุดมการณ์สังคมนิยมในจีนและอินโดจีน ทำให้ระบอบเผด็จการทหารของไทยเติบใหญ่อย่างต่อเนื่องนานถึง 26 ปี (พ.ศ. 2490-2516) ระบบราชการทหาร-ตำรวจและพลเรือนได้รับการพัฒนาให้เติบใหญ่เพื่อรับใช้นโยบายปราบคอมมิวนิสต์กลไกรัฐยิ่งเติบใหญ่เพื่อให้รับใช้ระบอบเผด็จการทหาร อันเกิดจากทั้งเงินช่วยเหลืออัดฉีดของสหรัฐและรายได้จากการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมแห่งชาติเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ขณะที่ระบอบประชาธิปไตยถูกทำลายอย่างหนัก ไม่มีการสร้างพรรคการเมือง ประชาชนไม่มีสิทธิชุมนุมแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือจัดตั้งชมรม องค์กร ไม่มีสภาผู้แทนที่เป็นปากเสียงของประชาชน ฯลฯ

รัฐไทยนับแต่เริ่มทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก้าวรุดหน้าในด้านเศรษฐกิจเพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบตลาดโลก ภายใต้คำขวัญ “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ” มีทางหลวงกว้างขวาง มีเขื่อนขนาดใหญ่ มีมหาวิทยาลัยถึง 3 แห่งเกิดขึ้นในต่างจังหวัด มีนางงามจักรวาล มีเยาวชนและข้าราชการไปศึกษาต่อและดูงานในประเทศตะวันตกทุกปี การลงทุนจากต่างประเทศขยายตัว มีการส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ คนไทยดูเป็นคนทันสมัยและร่ำรวยแบบตะวันตก พวกเขามองเห็นลาว เขมร และเวียดนาม (ที่กำลังทำสงครามรบพุ่งกับสหรัฐ) เป็นประเทศล้าหลัง ไม่ทันสมัย บ้านเมืองมีแต่ความขัดแย้ง แตกแยกและความหายนะ “สู้ไทยไม่ได้”

แล้วก็ได้พิสูจน์ว่ารัฐไทยที่เป็นกลไกต่อต้านคอมมิวนิสต์ของสหรัฐก็เป็นได้เพียงรัฐที่เจริญทางวัตถุและการบริโภคสินค้าตะวันตก มหาวิทยาลัยก็ผลิตบัณฑิตให้เป็นข้าราชการและช่างเทคนิค แต่กล่าวโดยรวม รัฐไทยที่เป็นรัฐเผด็จการทหารและเสรีทางเศรษฐกิจกลับเต็มไปด้วยประชาชนที่เป็นราษฎรที่ส่วนใหญ่ขาดสำนึกทางการเมือง ไม่เข้าใจคำว่าเอกราชคืออะไร ไม่เคยรู้เลยว่าการเสียเปรียบทางเศรษฐกิจและการค้านั้นมีความหมายอย่างไร ขาดบทบาทในการต่อสู้กับระบอบเผด็จการ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพทางการเมือง และไม่เคยมีบทบาทและกิจกรรมทาง การเมืองอื่นๆ ขณะที่คนจีน-ลาว-เขมร-เวียดนามที่คนไทยดูถูกกลับเป็นคนที่เต็มไปด้วยประสบการณ์การต่อสู้กู้ชาติ-สร้างประเทศ เปี่ยมด้วยจิตสำนึกทางการเมือง กล้าสละแม้ชีวิตเพื่อเอกราชและประเทศชาติของตนเอง มีมานะอดทน ไม่กลัวความยากลำบาก

ในเมื่อรัฐเป็นเผด็จการทหารและรวมศูนย์อำนาจ การปกครองท้องถิ่นจึงอ่อนแอในทุกๆด้าน การปกครองท้องถิ่นเป็นเพียงสถาบันในนามที่มีไว้อวดเวลาต่างชาติมาเยี่ยมดูงาน ในความเป็นจริง นั่นคือแหล่งหารายได้เพิ่มของข้าราชการกระทรวงต่างๆโดยเฉพาะมหาดไทย เทศบาล สภาตำบล และอบจ. ถูกครอบงำโดยข้าราชการส่วนภูมิภาคและส่วนกลางอย่างเกือบสิ้นเชิง เช่น กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านที่ดำรงตำแหน่งจนมีอายุ 60 ปีควบคุมสภาตำบล, นายอำเภอเป็นประธานกรรมการสุขาภิบาลโดยตำแหน่ง, นายกเทศมนตรีถูกครอบงำโดยนายอำเภอและผู้ว่าฯ และผู้ว่าฯเป็นนายก อบจ. โดยตำแหน่ง บุคลากรองค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวง มหาดไทย แทนที่จะได้รับการสอบคัดเลือกในท้องถิ่นและต้องขึ้นต่อท้องถิ่น ฯลฯ

ผลของระบอบเผด็จการทหารและการใช้ระบบราชการเป็นเครื่องมือทำให้รัฐรวมศูนย์อำนาจที่กล่าวข้างต้นยังคงอยู่เพื่อค้ำจุนซึ่งกันและกัน ที่เพิ่มเติมในยุคนี้คือ การจัดตั้งหน่วยงานราชการเพิ่มขึ้นๆทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ตลอดจนการจัดตั้งหน่วยงานส่วนกลางในต่างจังหวัด ขณะที่องค์กรปกครองท้องถิ่นแทบไม่เคยได้รับการพัฒนาใดๆ งบประมาณก็มีจำกัด

รัฐรวมศูนย์ของไทยนับแต่ พ.ศ. 2504 เป็นต้นมาจึงพัฒนาขึ้นเป็นรัฐรวมศูนย์อำนาจที่แยกส่วน (Fragmentedly centralized state) หมายความว่าแต่ละกระทรวงต่างมีอำนาจของตนเองควบคุมสายงานของตนทุกระดับตั้งแต่ส่วนกลางถึงระดับหมู่บ้าน-ตำบล อำนาจอยู่ที่กรมซึ่งคุมงบประมาณทั้งหมดและโครงการต่างๆแต่ละปี เนื่องจากข้าราชการจากแต่ละกระทรวงมีฐานะเท่ากันในแต่ละจังหวัด รวมทั้งผู้ว่าฯ แต่ละกรมจึงต่างคนต่างทำ ผู้ว่าฯที่ว่าเป็นพ่อเมือง ที่จริงเป็นเพียงชื่อ แต่ในทางปฏิบัติเป็นเพียงผู้ประสานงาน ไม่อาจแก้ไขปัญหาใหญ่ๆของจังหวัดได้เพราะงานแต่ละสายขึ้นอยู่กับแต่ละกระทรวง ไม่อาจบังคับบัญชาข้าราชการที่สังกัดกรมและกระทรวงอื่นๆ ประกอบกับการโยกย้ายข้าราชการทุกๆ 2-4 ปี การบริหารจังหวัดจึงไม่เคยมีงานต่อเนื่อง ปัญหาต่างๆของแต่ละจังหวัดจึงทับถมขึ้นเรื่อยๆ

ลักษณะของปัญหา กระทั่งรูปแบบอาคารราชการและเมืองของแต่ละจังหวัดจึงเหมือนกันหมดเพราะทุกอย่างรวมศูนย์ขึ้นต่อส่วนกลางของประเทศ ข้าราชการมาแล้วก็โยกย้ายไป หรือที่อยู่นานก็ทำงานไปเรื่อยๆตามคำสั่ง ไม่ต้องสนใจฟังความคิดเห็นของท้องถิ่น ส่วนคนท้องถิ่นก็ไม่มีบทบาทใดๆในการบริหารจัดการท้องถิ่นของตนเอง เพราะงานต่างๆรับผิดชอบโดยข้าราชการ ส่วนองค์กรปกครองท้องถิ่นก็มีอำนาจและบทบาทจำกัด

ในยุครัฐประหารและรัฐบาลทหาร ประชาชนไม่มีสิทธิแสดงความเห็น แต่ทุกครั้งที่มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ประชาชนในต่างจังหวัดก็จะพากันเดินขบวนไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมที่หน้าทำเนียบหรือกระทรวงในกรุงเทพฯ ก็เพราะส่วนภูมิภาคเป็นเพียงมากินเงินเดือน ทำงานไปวันๆ แก้ไขปัญหาใดๆในท้องถิ่นไม่ได้เพราะการตัดสินใจอยู่ที่ส่วนกลาง อยู่ไปเรื่อยๆ อย่าสร้างปัญหา อีกไม่นาน ก็ย้ายไปกินตำแหน่งสูงขึ้นๆ ส่วนองค์กรปกครองท้องถิ่นเนื่องจากไม่มีอำนาจหรืองบประมาณมากนัก จึงไม่ได้เป็นความหวังของประชาชนในท้องถิ่น

ในช่วง 24 ปีหลัง พ.ศ. 2516 (2516-2540) ความตื่นตัวเพื่อประชาธิปไตยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาและความใส่ใจในระบบเศรษฐกิจต่างๆอันเป็นผลพวงของการต่อสู้ในเขตป่าเขาหลังกรณี 6 ตุลา 2519 ทำให้กระแสประชาธิปไตยของประชาชนเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และแสดงออกในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 เกิดการรณรงค์เพื่อการกระจายอำนาจ เช่น การเลือกตั้งผู้ว่าฯ และการปฏิรูปการเมือง นำไปสู่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกลไกด้านการบริหารประเทศเป็นแบบเดิม เผด็จการจึงกลับมาอีกครั้งในปี พ.ศ. 2519 และครอบงำสังคมไทยด้วยระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบในสมัยพล.อ. เกรียงศักดิ์ และพล.อ. เปรมเป็นนายกฯนานถึง 10 ปี (พ.ศ. 2521-2531) นั่นคือ มีการเลือกตั้งส.ส. มีสภาฯ แต่นายกฯ ต้องเป็นคนนอก คือผู้บัญชาการทหารบก สภาฯมีอำนาจจำกัด แต่อำนาจยังอยู่ในมือของข้าราชการประจำ ไม่ว่าจะเป็นนายทหารหรือข้าราชการสายอื่นที่เป็นนายกฯและรัฐมนตรีทั้งหลายด้วยเหตุนั้น ระบบรวมศูนย์อำนาจแบบแยกส่วนและระบบราชการแต่ละระดับจึงยังคงเดิม ระบบการศึกษาก็ยังคงเข้มข้นที่ปริมาณและการสร้างพิธีกรรมต่างๆ การศึกษายังคงมุ่งสร้างข้าราชการและช่างเทคนิค ยิ่งเรียนสูงยิ่งห่างไกลความเป็นพลเมือง และห่างไกลประชาชน

การจัดตั้ง อบต. ขึ้นในปี พ.ศ. 2537 ซึ่งขยายจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆต่อจากนั้น ติดตามด้วยการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีโดยตรงในปี 2543 การเลือกตั้งนายก อบต. และนายก อบจ. โดยตรงทั่วประเทศ เริ่มในปี พ.ศ. 2546 แม้ว่าขณะนี้จะมีอายุได้ไม่ถึง 10 ปี แต่ก็ควรนับเป็นการปฏิวัติการเมืองการปกครองในเขตต่างจังหวัดครั้งใหญ่ของประเทศในรอบ 1 ศตวรรษ และด้วยความกลัวว่าจะสูญเสียอำนาจ ระบบราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นจึงถ่ายโอนภารกิจต่างๆให้แก่องค์กรปกครองท้องถิ่นอย่างเชื่องช้า โดยอ้างว่าท้องถิ่นไม่พร้อม ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ (ที่ส่วนกลางกำหนด) ฯลฯ แน่นอน ยังมีปัจจัยด้านวัฒนธรรมแบบรวมศูนย์อำนาจที่ดำรงอยู่มายาวนานทำให้เกิดความรู้สึกดูถูกท้องถิ่น และดูถูกนักการเมืองท้องถิ่นในหมู่ข้าราชการหลายส่วน

ระบบราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจึงยังคงเดิมเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา องค์กรปกครองท้องถิ่นได้รับงบประมาณเพียง 20 กว่า % ของงบประมาณทั้งประเทศ ทั้งๆที่ท้องถิ่นมีทั้งพื้นที่และประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ และเป้าหมายของ พรบ. กระจายอำนาจ อยู่ที่การกำหนดให้ท้องถิ่นทั่วประเทศได้รับงบประมาณ 35% ของงบประมาณทั้งประเทศ

กล่าวได้อีกอย่างว่า ปัญหาใหญ่ 2 ประการของระบบการเมืองการปกครองของประเทศนี้ก็คือความไม่เป็นประชาธิปไตยและการรวมศูนย์อำนาจมากเกินไปซึ่งสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก

และแล้วปัญหาก็กลับมาซ้ำเติมอีกครั้ง เมื่อมีรัฐบาลที่สามารถบริหารครบวาระ 4 ปีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมือง (พ.ศ. 2544-2548) และชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 (6 กุมภาฯ 2548) ได้จำนวนที่นั่งมากถึง 377 ที่นั่งในสภาฯ สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทั้งหมดนี้แทนที่จะทำให้ฝ่ายอำนาจนิยมตระหนักว่า ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง และยอมรับกระแสประชาธิปไตยของสังคม (และทั่วโลก) ยอมรับกติกาและการต่อสู้ภายในระบอบประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ กลับทำลายล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน และรื้อฟื้นระบอบเก่าขึ้นมาอีกครั้ง

ผลพวงของการเปิดประเทศสู่เศรษฐกิจเสรีมานาน การได้เห็นความเจริญก้าวหน้าในอารยประเทศที่มีระบบการเมืองแบบเปิด เคารพและส่งเสริมบทบาททางการเมืองของประชาชนการเติบโตของชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง และความปรารถนาของพวกเขาที่จะเห็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้บริหารงานตามนโยบายที่ได้หาเสียง มีวาระการทำงาน การเมืองมีเสถียรภาพ ไม่ต้องการเห็นการแทรกแซงของอำนาจนอกระบบ ไม่ต้องการเห็นระบอบคณาธิปไตย ต้องการเห็นทหารอาชีพ หากต้องการเล่นการเมือง ก็ต้องลาออก ไม่ใช่แอบๆซ่อนๆหรือให้สัมภาษณ์แสดงฝักฝ่ายทางการเมือง ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่วิสัยของข้าราชการไม่ว่ากรมกองใด

หากนักการเมืองทำผิด สภาฯ สื่อมวลชน องค์กรอิสระ ประชาชนวงการต่างๆ กระทั่งข้าราชการที่ถอดเครื่องแบบก็สามารถตรวจสอบได้ ถอดถอนได้ ฟ้องศาลได้ ทุกอย่างมีระเบียบและเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ใช่นำรถถังออกมาล้มด้วยการตัดสินใจลับๆ ของคนเพียงไม่กี่คน แล้วก็สร้างกฎหมู่ขึ้นใหม่โดยเรียกให้ไพเราะว่า รัฐธรรมนูญ เพียงเพื่อทำลายรัฐบาลของคนส่วนใหญ่ สร้างความเสียหายยาวนาน และจะยิ่งเสียหายมากขึ้นในสังคมที่สลับซับซ้อนมากขึ้น

ด้วยความเคยชินที่ปฏิบัติกันมาในอดีต การเข้าแทรกแซงระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ด้วยการใช้กำลังเข้ายึดอำนาจในกรณี 19 กันยา จัดตั้งรัฐบาลของคณะรัฐประหาร และใช้กลุ่มพลัง, กลไก และสถาบันที่หลากหลายล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งถึง 2 ชุดในปี 2550

ที่ซับซ้อนมากขึ้นก็คือการที่นักวิชาการ ข้าราชการระดับกลางและสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยสนับสนุนการโค่นระบบประชาธิปไตย โดยอ้างว่าประชาธิปไตยถูกทำลายไปแล้ว หรือมุ่งเน้นให้เห็นความผิดพลาดของตัวบุคคล การซื้อเสียง การเล่นพวก โดยคิดว่าการโค่นตัวบุคคลและการยุบพรรคการเมือง ด้วยกำลังของกองทัพและศาลจะทำให้เกิดประชาธิปไตยขึ้นได้

แน่นอน ผลของการเตะตัดขาระบอบประชาธิปไตย กำจัดบุคคลและทำลายพรรคการเมือง พร้อมกับเสนอรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำให้สังคมไทยย้อนกลับไปสู่ระบอบรัฐแบบเก่าจะทำให้ลักษณะอำนาจนิยมและการรวมศูนย์อำนาจคงอยู่ต่อไป พร้อมกับการสืบทอดโครงสร้างอำนาจ อภิสิทธิ์ ทรัพย์ศฤงคารและเกียรติยศของคนในระบอบนั้น

คนที่ชื่นชมระบอบดังกล่าวจึงชอบพูดถึงลักษณะเฉพาะของประเทศ พูดถึงการปกปักรักษาความยิ่งใหญ่เหล่านั้น เน้นการทำให้เกิดความสามัคคีปรองดอง และพยายามที่จะบอกว่านั่นคือความภูมิใจและเกียรติภูมิที่ชาติใดก็ไม่มี

พวกเขาเชื่ออย่างนั้นจริงๆ หรือสร้างนิยายขึ้นมาเพื่อหลอกกันเองและหลอกคนอื่น นั่นเป็นประเด็นสำคัญหรือไม่ ยังไม่มีข้อสรุป แต่ประวัติศาสตร์การคลี่คลายของทุกๆประเทศก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่วิกฤตการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศที่เคยน่าอยู่ที่สุดแห่งนี้มีลักษณะสลับซับซ้อนมาก กว่าหลายเท่า ทั่วโลกจึงมีทั้งด้านที่พิศวงและด้านที่ติดตามอย่างไม่กระพริบตา

และหากวิกฤตการเมืองครั้งนี้จะยืดเยื้อต่อไปอีก (และดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น) ก็จะเกิดกรณีศึกษาที่โดดเด่นที่สุดในโลกยุคโลกาภิวัตน์ว่าด้วยประเทศที่มีการปฏิวัติหรือการเปลี่ยนแปลงที่ล่าช้า (Late revolutionizing country) - ประเทศที่ด้านหนึ่งเพียบพร้อมด้วยสินค้าและวิถีการบริโภคและการดำรงชีวิตแบบโลกสมัยใหม่ แต่อีกด้านหนึ่ง กลับล้าหลังอย่างยิ่งในด้านการเมืองการปกครอง

โลกกำลังจับตาดูความยืดเยื้อนั้น แต่ก็ไม่มีใครแน่ใจว่าโลกจะพร้อมเข้ามาเป็นมิตรกับประเทศนี้อีกต่อไปหรือจะผลักไสให้ต้องอยู่โดดเดี่ยวมีแต่คนรังเกียจแบบรัฐทหารที่เป็นเพื่อนบ้าน

แต่ที่แน่ๆในขณะนี้ ความสลับซับซ้อนและลักษณะที่ล้าหลังเหล่านั้นนับวันจะถูกเปิดเผยออกมาให้ทั่วโลกได้รู้มากขึ้นๆ ขณะที่ภายในประเทศนั้น ดูเหมือนว่าระบบการศึกษา, สื่อมวลชนและอำมาตยาธิปไตยเองมองไม่เห็น หรือไม่เข้าใจ ไม่อยากเข้าใจ และคงไม่อยากให้ใครรู้

บันทึกสมุดสีแดง (2)

ว่าด้วยประชาธิปไตยสากล : ไทย และการคอรัปชั่น : สันติวิธีและความรุนแรง

ประชาธิปไตยสากล

พวกอำมาตย์อนุรักษ์นิยมมักอ้างว่า “ประชาธิปไตยตะวันตก” ไม่เหมาะสมกับประเทศไทย แต่ประชาธิปไตยตะวันตกไม่มีจริง มีแต่ประชาธิปไตยสากลเพราะแม้แต่ในประเทศต่างๆของตะวันตก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศษ หรือ สหรัฐอเมริกา ประชาชนจะต้องต่อสู้กับอำมาตย์ของตนเองเพื่อสร้างประชาธิปไตย ในอังกฤษฝ่ายอำมาตย์ได้ฆ่าฟันชนชั้นกรรมาชีพทีเมืองแมนเชตเตอร์ เมื่อคนจนได้ออกมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการเลือกตั้ง ที่ฝรั่งเศษพวกอำมาตย์ได้เข่นฆ่าพลเมืองของปารีสหลังการปราบปรามคอมมูนปารีสจนแม่น้ำเซน แม่น้ำสายหลักกลางเมืองปารีสเปลี่ยนเป็นสีแดงจากเลือดของประชาชนคนจน ในสหรัฐอเมริกาคนผิวดำพึ่งได้สิทธิเสรีภาพเต็มที่เมื่อ 40 ปีก่อน ในแต่ละกรณีนั้นเราจะเห็นชนชั้นกรรมาชีพและคนยากคนจนต้องต่อสู้กับพวกกษัตริย์ ขุนนาง นายทุนใหญ่และชนชั้นกลางอนุรักษ์นิยมของตัวเองก่อนเสมอจึงจะได้ประชาธิปไตยแท้มา และในบางกรณีจำเป็นจะต้องตัดหัวกษัตริย์ด้วย เช่น ในกรณีอังกฤษและฝรั่งเศษ

ในกรณีของรัสเซียซึ่งเป็นประเทศล้าหลังที่ปกครองโดยกษัตริย์ซาร์ผู้ล้าหลังงมงายในศาสนาอันไร้วิทยาศาสตร์ กษัตริย์คนนี้พร้อมจะสังเวยชีพคนจนนับเป็นล้านในสงครามโลกครั้งที่ 1 และปราบปรามเข่นฆ่าขบวนการประชาธิปไตยด้วยความโหดร้ายทารุน แต่ในที่สุดกษัตริย์ซาห์ก็ถูกโค่นล้มในการปฏิวัติของพรรคบอลเชวิคในปี ค.ศ. 1917/ พ.ศ. 2460 และต้องถูกประหารชีวิตเพื่อไม่ให้เป็นหัวขบวนในการล้มสังคมประชาธิปไตยใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น สังคมประชาธิปไตยในยุคนั้นภายใต้การนำของเลนินและทรอตกี้ มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบเพราะประชาชนนอกจากจะเลือกตั้งรัฐบาลของตัวเองได้แล้วยังสามารถบริหารสถานที่ทำงานทุกแห่งได้ผ่านสภาคนงานหรือโซเวียต พูดง่ายๆ ประชาชนทุกคนมีประชาธิปไตยในด้านการเมืองและเศรษฐกิจพร้อมๆกัน และมันเป็นครั้งแรกในโลกที่ผู้หญิงคนจนมีสิทธิในการเลือกตั้งเท่าเทียมกับผู้ชาย เป็นที่น่าเสียดายที่ประชาธิปไตยแบบนี้ได้ถูกทำลายลงโดยสตาลินหลังจากที่เลนินเสียชีวิตไป เราจึงเห็นเผด็จการคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นมาแทน อย่างไรก็ตามชนชั้นปกครองทั่วโลกมองปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นรัสเซียด้วยความเกรงกลัวโดยเฉพาะรัชกาลที่ 6 ในประเทศไทย

ดังนั้นประชาธิปไตยสากลเป็นสิ่งที่เพื่อนๆพี่น้องพลเมืองทั่วโลกใฝ่ฝันถึง ไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนในยุโรพ คนในลาตินอเมริกา หรือคนในเกาหลีใต้ และมาตรฐานของประชาธิปไตยสากลคืออำนาจสูงสุดต้องอยู่ในมือของคนธรรมดา ไม่มีอภิสิทธิ์ชนที่อยู่เหนือกฎหมายและเป็นความพยายามที่จะลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอีกด้วย นี่คือเป้าหมายอันสูงส่งที่คนเสื้อแดงจะต้องยึดถือในการต่อสู้



ประชาธิปไตยไทยๆ

หลัก 19 กันยา พวกนักวิชาการที่รับใช้อำมาตย์เสนอว่าต้องมีประชาธิปไตยแบบไทยๆ ซึ่งแปลว่าประชาชนและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะต้องยอมรับว่าทหารและสถาบันกษัตริย์ จะต้องมีบทบาทนอกกรอบรัฐธรรมนูญในสังคมไทยตลอดกาล ข้อเสนอนี้เราได้ยินมาตั้งแต่สมัยเผด็จการจอมพลสฤษดิ์ และเป็นข้ออ้างของพวกจอมเผด็จการในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ในยุคต่างๆ เช่นเดียวกัน ส่วนคนข้างล่างนั้นมักจะมีบทบาทเรียกร้องประชาธิปไตยให้เต็มใบทั้งในไทยและประเทศต่างๆของเอเชีย แน่นอนนักวิชาการฝ่ายขวาฝ่ายของพวกเขาก็จะยกเหตุผลงี่เง่าร้อยแปดมาอธิบายเพื่อหาความชอบธรรม ชัยอนันต์ สมุทรวนิช นักวิชาการขวาจัด คือ คนที่สร้างนิยายว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรเป็นการกระทำชิงสุกก่อนห่ามเพราะรัชกาลที่ 7 ต้องการจะให้ประชาธิปไตยกับชาวไทยอยู่แล้ว ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง กษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจโลกสมัย 1930 หรือ ราวๆ ช่วง 2475 และมัวแต่ละลายภาษีประชาชนไปกับการเสพสุขในราชวงษ์ ทำให้ประชาชนเดือดร้อนไปทั่ว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองโดยการปฏิวัติ

ผลของการบิดเบือนประวัติศาสตร์และผลพวงของการปล่อยให้พวกนี้มีบทบาทในการกำหนดประชาธิปไตย พวกเราก็จะเจอปรากฎการณ์ความป่าเถื่อนไม่รู้จบไม้รู้สิ้นในรูปแบบต่างๆ จะมีคนที่ทำลายประชาธิปไตยแต่ออกมาพูดเรื่องประชาธิปไตย เช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ สมาชิกคนหนึ่งของชนชั้นปกครองที่มือเปื้อนเลือดมากที่สุด นายเปรมชอบใช้ความธรรมจากกษัตริย์ภูมิพลหรือไสยศาสตร์ มีเกล็ดเล็กๆน้อยๆ ฝากให้คิดและเอาไว้จี้จุดอ่อนเพื่อเพิ่มความดันของพวกชนชั้นกลางขวาจัดที่ดัดจริตชอบคนที่มีการศึกษาดี ตระกูลดีๆ หน้าตาน่ารักๆ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใส่สูตรแสนแพง จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นสูง คุณสมบัติและการศึกษาที่เพียบพร้อมเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของเขาแตกต่างจาก สฤษดิ์ ถนอม ประภาส และพวกนายพลอัปลักษณ์มือเปื้อนเลือดทั้งหลายเลย

ทัศนะของชนชั้นปกครองเชื้อสายเจ้าเชื้อสายราชวงศ์ที่น่าสมเพชอีกคนหนึ่งคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)[1] นายคนนี้เห็นด้วยกับการปิดสนามบินสุวรรณภูมิที่มีคนเดือนร้อนหลายแสนโดยเปรียบเทียบกับสงครามยาเสพติดในยุคสมัยทักษิณ เพื่อทำให้เห็นว่าการปิดสนามบินเป็นความแย่ที่จำเป็น ทั้งๆที่เป็นคนละเรื่องกัน นายสุขุมพันธุ์เห็นด้วยกับระบบเผด็จการสุดขั้วอีกทั้งตำหนิว่าทหารไม่รุนแรงพอ นายสุขุมพันธ์ไม่เห็นด้วยกับระบบการเลือกตั้งฯ นายคนนี้มองว่าความยากจนเป็นเรื่องปกติของสังคม นักการเมืองที่ดีในมุมมองของเขาจะต้องหาทางให้คนจนยอมรับสถานะภาพดังกล่าวของตนเอง และนายสุขุมพันธ์มองว่าสถาบันกษัตริย์จะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีเพราะคนจะไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์บางเรื่องมันกลายเป็นเสาหลักของเสถียรภาพของพวกอภิสิทธิชนทั้งหลาย แต่มันเป็นฝันร้ายของประชาชนคนธรรมดา “ประชาธิปไตยแบบไทยๆโดยเนื้อแท้แล้วมันยอมรับความเสมอภาคของมนุษย์ไม่ได้นั่นเอง”

วิธีคิดแบบนี้มันเลยขั้นไปจากการไม่ยอมบริการประชาชนไปเป็นรับไม่ได้โดยสิ้นเชิงที่จะเห็นความเสมอภาคของคน บาปกรรมล่าสุดของผู้ว่าฯ สโลแกนคืนรอยยิ้มเปื้อนเลือดให้แก่คนกรุง คือ พิธีกรรมล้างซวยเพื่อคืนความสงบให้สังคม ประเด็นการคืนความสงบนั้นมันง่ายนิดเดียงเพียงแค่พรรคประชาธิปัตน์ย์และทหารเลิกปล้นประชาธิปไตยชาวบ้าน ความสงบสุของสังคมก็กลับคืนมาแล้วโดยไม่ต้องหวังพึ่งไสยศาสตร์ ประชาธิปไตยแบบไทยๆ นั้นมันไม่มีเพราะประชาธิปไตย คือ การปกครองของคนธรรมดาเพื่อคนธรรม ถ้าหากเรามีประชาธิปไตยแท้เราจะไม่มี จำพวกหม่อมเจ้าฯทั้งหลายแหล่ สถาบันองค์มนตรี เราไม่จำเป็นต้องมีราชวงศ์ เพราะทุกๆคนจะมีคำนำหน้านามเท่าๆกันทุกคนว่า “คุณ” เท่านั้น

การคอรั่ปชั่น

คอรัปชั่น คือ การใช้ตำแหน่งเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว คนไม่ทำงานมีเงินมหาศาลในขณะที่คนทำงานหนักได้เงินตอบแทนน้อยและไม่มีความมั่นคงในชีวิตการงาน ถ้าหากเราใช้ตรรกะการใช้ตำแหน่งแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ความเหลื่อมล้ำในสังคมเป็นผลมาจากการรอรั่ปชั่นทั้งสังคมใช่หรือไม่ และจะมีการคอรัปชั่นตลอดเวลา ในทุกระดับชั้นของสังคม เราเคยชินกับการคอรัปชั่นอะไรบ้างในสังคมไทย จะขอไล่เรียงจากคนตัวใหญ่ที่คอรัปชั่นมากที่สุดไปหาตัวน้อยๆ

สถาบันกษัตริย์ เป็นสถาบันที่หากินกับความยากจน โดยเสนอว่าตัวเองมีโครงการเพื่อแก้ปัญหาความยากจน ซึ่งถ้านำมาเปรียบเทียบกับการใช้นโยบายจากภาครัฐของรัฐบาลไทยรักไทยแล้ว โครงการตามพระราชดำรินั้นไร้และด้อยประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง โครงการดังกล่าวดำเนินการมาหลายสิบปี ประชาชนก็ยังคงยากจนแต่สถาบันดังกล่าวรวยเอาๆแถมยังใช้โครงการดังกล่าวมาระดมเงินบริจากโดยอ้างว่าเพื่อแก้ปัญหาความยากจน โดยเงินนั้นต้องผ่านกษัตริย์ก่อนแทนที่จะเข้าถึงคนจนโดยตรง เงินบริจากนั้นหายไปไหนไม่สามารถตรวจสอบได้ หรือการให้เงินกษัตริย์แล้วให้กษัตริย์เอาเงินไปใช้ตามใจชอบเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางอ้อมของกลุ่มทุน อันนี้ก็เป็นวิธีในการคอรัปชั่นอีกชนิดหนึ่ง วิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาความจนคือการใช้งบประมาณของรัฐผ่านการออกนโยบายเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตคนจน ซึ่งจะทำให้คนธรรมดามีศักดิ์ศรีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นจากการหากินกับความจนของสถาบันกษัตริย์ที่ลดศักดิ์ศรีคนตลอดเวลา

เราต้องค้นหาคำตอบว่าความร่ำรวยของประเทศชาติเรามาจากไหน มันมาจากการบริหารประเทศของคนชั้นสูงหรือมาจากการทำงานของเกษตรกรกรรมกรและพนักงานต่างๆ ในสถานประกอบการทั่วประเทศหรือไม่ เราไม่ต้องคิดมากเพราะถ้าคนธรรมดาไม่ว่าจะอยู่ในภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรมหรือภาคบริการ ร่วมกันหยุดงานสองอาทิตย์ ไม่ว่าคนชั้นสูงจะขยันทำงานแค่ไหนก็คงผลิตรายได้อะไรไม่ได้ นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าความเหลื่อมล้ำในสังคมมาจากการเกาะกิน ขโมย รีดไถ ของกาฝากชั้นสูงทั้งหลายในสังคม ดังนั้นการที่พวกกาฝากนี้จะมาทำเป็นเมตากรุณาแจกจ่ายของขวัญให้พวกคนจน ทั้งๆที่คนจนเป็นคนที่สร้างของขวัญเหล่านั้นขึ้นมาตั้งแต่แรก จึงเป็นการคอรัปชั่นโกงกินที่สุดจะบรรยายได้

พวกนายทหารชั้นยศนายพลที่ร่วมเกาะกินกับอำมาตย์ก็เป็นอีกพวกที่คอรัปชั่นโกงกินบ้านเมืองอย่างเป็นระบบ ด้วยความต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุคจอมพล ป. และ จอมพลสฤษดิ์ เป็นต้นมา ถ้าพวกนายพลเหล่านี้แค่รับเงินเดือนปกติของกองทัพพวกเขาจะไม่มีวันเติบโตเป็นเศรษฐีได้ นอกเสียจากต้องใช้อำนาจในทางที่ผิด เช่น เข้าไปคุมสื่อหรือกินเบี้ยเลี้ยงสูงๆจากรัฐวิสาหกิจต่างๆ อย่างที่เราเห็นในยุค คมช. และยุคปัจจุบันเขาจะไม่มีวันรวยได้ น่าสมเพชจัง!! สำหรับไอ้พวกที่คิดว่าทหารจะจัดการกับการคอรัปชั่นและทำให้การเมืองไทยขาวสอาด

การคอรั่ปชั่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นสิ่งที่สร้างความหนักใจให้กับประชาชนคนยากคนจน เพราะเราถูกรีดไถเป็นประจำในแต่ละวันๆโดยนายตำรวจชั้นผู้น้อยบนท้องถนน แต่เราต้องพุ่งเป้าไปโทษนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่คอยกดดันและสร้างบรรยากาศให้เกิดการรีดไถแบบนี้ จนตำรวจชั้นผู้นอยต้องคล้อยตามไปกับระบบแบบนี้ เราต้องโทษว่าสาเหตุมันเกิดจากคนใหญ่คนโตที่ได้สร้างตัวอย่างเลวทรามของรูปแบบการคอรั่ปชั่นด้วย และเราต้องเรียกร้องให้นายตำรวจชั้นผู้น้อย ข้าราชการธรรมดาและกรรมกรในโรงงานได้รับเงินเดือนที่เพียงพอสำหรับการเลี้ยงชีพ ไม่ใช่มาเน้น “ความพอเพียง”!!!

ฝ่ายอำมาตย์โกงกินแล้วยังมีหน้ามาอ้างศีลธรรมและเมื่อประชาชนไม่พอใจก็ใช้กฎหมายต่างๆ และกระสุนปืนเพื่อปิดปากประชาชนนี่คือภาพแท้ของการคอรั่ปชั่นในสังคมไทย มีแต่คนเสื้อแดงคนธรรมดาเท่านั้นแหละที่จะสามารถแก้ปัญหาคอรัปชั่นได้

สันติวิธีและความรุนแรง

สันชาตญานของมนุษย์นั้นกลัวความเจ็บและรักตนเอง ถ้าเราโดนความร้อนจากไฟเราจะถอนมือออกจากบริเวณนั้นทันที ฉะนั้นการใช้ความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นมาเพียวๆโดยไม่ถูกกระตุ้น หากจะเข้าใจคนเสื้อแดงจะต้องทำความเข้าใจภายใต้ตรรกะนี้เท่านั้น และการกล่าวเช่นนี้เป็นคนละเรื่องกับการสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง อะไรคือเรื่องเดียวกันกับการสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง สื่อรายงานเข้าข้างรัฐบาลขยันสร้างความเกลียดชังให้เสื้อแดง ทำลายมาตรฐานการใช้เหตุผล ขนทหารเข้ามาปราบปรามประชาชน รัฐบาลจัดตั้งกองกำลังอันพาธเพื่อสร้างให้ม๊อบชนม๊อบ กษัตริย์ภูมิพลนิ่งเฉยดูแผ่นดินเปื้อนเลือด ปัจจัยเหล่านี้ต่างหากที่ก่อให้เกิดการใช้ความรุนแรง ตามประวัติศาสตร์การเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนคนธรรมดาในไทย ฝ่ายที่เลือกใช้ความรุนแรงก่อนเสมอคือรัฐบาลเผด็จการและทหาร “สันติวิธี” ตอนนี้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายขวาเพื่อประณามการกระทำของคนเสื้อแดงเป็นหลักเท่านั้นเอง

เมื่อผู้เขียนเห็น “นโยบายหยุดทำร้ายประเทศไทย” สิ่งที่คิดออกคือ พวกเผด็จการทหารพวกนี้มันทั้งบ้าและป่าเถื่อน มันเหมือนบางฉากในหนังที่พวกผู้ร้ายจับคนบริสุทธิ์ไปทรมาน จับมัดมือมัดตีนเอาไฟฟ้าชอตจากนั้นจับให้กินยากล่อมประสาทเพื่อให้ยอมจำนนต่อพวกมัน นี่คือภาพที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย มันคือการใชความรุนแรงต่อคนเสื้อแดงอย่างเป็นระบบทั้งทางตรงทางอ้อม ความรุนแรงทางตรงที่ใช้นอกจากกองทัพ พวกมันยังได้สร้างยักษ์อันธพาลสีน้ำเงินเพื่อไล่ขยี้สังหารคนเสื้อแดงอีกด้วย ซึ่งอันธพาลติดอาวุธสีน้ำเงินนั้นได้รับการจัดตั้งจากคนของรัฐจากคนที่มีตำแหน่งสูงในรัฐบาล สถานการณ์แบบนี้การตอบโต้ของคนเสื้อแดงในรูปแบบต่างๆนั้นมีความชอบธรรมเต็มที่ไม่มีใครมีสิทธิประณามพวกเขา ข้อเสนอจากบุคคลต่างๆที่แนะให้คนเสื้อแดงเป็นเด็กดีจึงเป็นจุดยืนปัญญาอ่อน คนที่ก่อปัญหาก่อนนั้นไม่ใช่คนเสื้อแดงตั้งแต่แรก หากต้องการให้สังคมสงบก็ต้องปกป้องอุดมการณ์ของคนเสื้อแดง การเลือกที่จะประณามเสื้อแดงก่อนคือพวกนักสันติวิธีจอมปลอม การกระทำของพวกคุณทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจมันมีค่าเพียงแค่การสร้างความชอบธรรมให้กับเผด็จการทหารโดยท้ายที่สุดคุณก็เลือกที่จะอยู่คนละข้างกับเสื้อแดง และคุณพวกไดโนเสาร์ทั้งหลายเอ๋ย ตอนนี้มีคำถามเดียวและมีคำตอบเดียวเท่านั้น ถ้าคุณไม่ใช่พวกเสื้อแดง คุณก็เป็นพวกเหลืองขี้ข้าเผด็จการ!

การรับมือกับอันธพาลเสื้อสีน้ำเงินนับเป็นเรื่องใหญ่มากที่พวกเราต้องให้ความสำคัญ พวกเผด็จการรู้ดีว่ามันมีขีดจำกัดในการใช้ทหารที่สวมเครื่องแบบ ฉะนั้นมันจึงสร้างอีกเครื่องมือหนึ่ง คือ กองทัพกึ่งพลเรือนอย่างเสื้อสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นอาวุธที่สามารถใช้กับคนเสื้อแดงได้ดีกว่า พวกนี้มีหน้าที่สร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับคนเสื้อแดงให้มากที่สุดผ่านการสร้างสถานการณ์ในทิศทางนอกระบบ ป่าเถื่อนที่สุด สยองขวัญที่สุด วิธีการรับมือกับกองกำลังอันธพาลพวกนี้เป็นโจทย์ใหญ่สำหรับคนเสื้อแดงที่จะหาทางรับมือ แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรลืมและจะต้องยืนยันสิทธิว่าคนเสื้อแดงมีสิทธิป้องกันตัวเต็มที่ในรูปแบบต่างๆ แต่วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการมีองค์กรจัดตั้งของคนเสื้อแดง ลักษณะขององค์กรจะเป็นอย่างไร?

พวกนั้นสร้างเสื้อสีน้ำเงินขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา พวกนั้นรับไม่ได้ที่จะต้องกระจายทรัพยากรการลดความเหลื่อมล้ำของสังคมลง(นโยบายไทยรักไทย) เราต้องใช้การเมืองแดงเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เพราะการจับอาวุธสู้เพียงอย่างเดียวมันใช้ไม่ได้ และจะส่งผลเสียในระยะยาว อีกทั้งยังจะสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายเผด็จการในการใช้ทหารและอาวุธมากขึ้น แต่พวกเราคนเสื้อแดงจะต้องป้องกันตัวจากเสื้อสีน้ำเงินในทุกรูปแบบ หัวใจของการสู้กับพวกนี้เราต้องโจมตีผลประโยชน์ของพวกมัน ซึ่งมีหน่ออ่อนของการเริ่มอยู่แล้วเช่น ท่าทีต่อธนาคารกรุงเทพของคนเสื้อแดง หรือ การ strike ไม่บริโภคสินค้าเหลือง ซึ่งยังมีประสิทธิภาพไม่มากพอ เราต้องก้าวไปไกลกว่านั้นโดยทำให้ระบบการผลิตในสังคมหยุด ซึ่งนั่นหมายความว่าเราต้องทำงานร่วมกับสหภาพแรงงานที่ไม่ใช่สีเหลือง ซึ่งส่วนหัวๆถูกคุมโดยพวกขวาเหลืองและใช้คนงานนัดหยุดงานเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยเผด็จการทหาร อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าพวกเหลืองคุมสหภาพแรงงานอีกเป็นจำนวนมากไม่ได้ เราต้องไปชักชวนคนงาน โดยให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายคนเสื้อแดงในชนบท ทำหน้าที่ต้องชักชวนลูกหลานของตนเองให้ชักชวนเพื่อนๆคนงานให้มาเป็นเสื้อแดง หนุนช่วยเสื้อแดง มีอุดมการณ์สีแดง ต้องดึงคนงานรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่พวกเหลืองมาอยู่กับฝ่ายเสื้อแดง หากมีการใช้กำลังกับคนเสื้อแดงจะต้องมีการหยุดงานประท้วง ทิศทางนี้น่าจะเป็นทิศทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะต้องทำควบคู่ไปกับการสร้างพรรคแดงเพื่อถอนรากถอนโคนพวกอำมาตย์ให้หมดไป



(ตอนหน้าพบกับ สื่อ และ จุดอ่อนรัฐบาลภายใต้วิกฤติเศรษฐกิจโลก)








--
Ji Ungpakorn
+44(0)7817034432
http://siamrd.blog.co.uk/
http://redsiam.wordpress.com/
http://wdpress.blog.co.uk/

ความคิดของคนที่ไม่จงรักภักดี... อย่างผม

ความคิดของคนที่ไม่จงรักภักดี... อย่างผม
ผมไม่จงรักภักดีระบอบเผด็จการ
ผมไม่จงรักภักดีคนที่ผมไม่รู้จักเป็นส่วนตัว
ผมไม่จงรักภักดีศัตรูประชาธิปไตย
ผมไม่จงรักภักดีคนที่ทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์
ผมไม่จงรักภักดี... แม้แต่พระเจ้า
แต่ผมมีไมตรีจิตต่อพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทย และอยากให้ท่านปรับเปลี่ยน
สิ่งที่ควรปรับเปลี่ยนเสีย จึงขอเสนอความจริงที่ผมคิดว่า
เป็นความจริงร่วมสมัยที่จ้าวในทุกประเทศควรรับฟัง


สิ่งหลอกลวงกลวงในไม่คงยืด
เพราะกำพืดเผ่ามนุษย์ไม่หยุดนิ่ง
มีเรียนรู้คู่ผิดพินิจจริง
แม้แต่ลิงหลอกเจ้าเขาจับทัน

การคงอยู่คู่ธรรมย่อมนำสุข
การคงอยู่ปูทุกข์ทุกข์ย้อนมั่น
การทำคุณหนุนภักดิ์คนรักพลัน
การแบ่งปันป้อนให้จึงได้คืน

การทำบุญหนุนบุญเป็นทุนเขื่อง
นำรุ่งเรืองร้อยมั่นไม่หวั่นคลื่น
แต่ทำบุญหนุนสร้างหวังถางคืน
บุญปลอมฝืนหลอกไปไม่ได้ยาว

คำเป็นสัจจ์สัตย์ใจมอบให้ท่าน
ไมตรีทานทดให้ไม่เบื่อหาว
เสียงจิ้งจกผกหัวตัวไม่ยาว
ฤาท่านท้าวควรทู่หูทวนลม

ความจริงที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยและราชวงศ์ต้องทรงสดับ

ในศักราชนี้ ประชาชนค่อนประเทศไทย ตระหนักความจริงเหล่านี้แล้ว

หนึ่ง ท่านไม่ได้เหาะลงมาจากท้องฟ้า
และทุกร่างในราชวงศ์เกิดจากการผสมพันธุ์กันเยี่ยง

มนุษย์สามัญชนทั่วไป

สอง ท่านมีที่มาจากการเป็นสามัญชนทั้งสิ้น
ไม่ว่าท่านจะย้อนหาเชื้อเถาว์เผ่าพันธุ์แต่ดึกดำบรรพ์

ตั้งแต่สมัยสุโขทัย
ซึ่งทำให้ดูดีมีความเป็นผู้ปกครองที่เปี่ยมเมตตาและทศพิธธรรม หรือจะย้อน
ไปสมัยอยุธยาที่มีแต่สงครามเลือดและการฉกชิงวิ่งฆ่ากันบนกองกิเลสของโลกียภพ

สาม บุญคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ จะไม่สามารถเกิดจากการสร้างภาพอีกต่อไป
ประชาชนต้องสัมผัสได้ถึงผลที่แท้จริง ถึงประโยชน์ที่แท้จริงที่สถาบันฯ
จะพึงทำให้เกิดขึ้น


สี่ หากสถาบันฯ จะไม่สามารถทำคุณให้สังคมแข่งกับนักการเมืองได้ในการสร้างคุณประโยชน์
ที่สัมผัสได้ให้แก่ประชาชน เพราะท่านไม่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจในการจัดการโดยตรง
ประชาชนจะไม่ว่าอะไรท่านเลย
หากท่านไม่ไปยุ่งกับเรื่องที่ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ
ความเป็นฝักฝ่าย และความเสียหายของประเทศชาติ เช่น
* การลงพระปรมาภิไธยให้ทหารเอากำลังออกไปยึดอำนาจรัฐจากตัวแทนประชาชน ซึ่งท่าน

ได้กระทำมาแล้วเกือบยี่สิบครั้ง ในรอบอายุประชาธิปไตยที่ไม่ถึงแปดสิบปี!
* การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตัวแทนประชาชน
* การละเลย ไม่ดูแลให้คณะองคมนตรีออกไปก้าวก่ายในวงผลประโยชน์ทาง
ธุรกิจและการเมือง
* การปล่อยให้มีคนเอากฎหมายหมิ่นฯ ไปใช้ในนามสถาบันฯ เพื่อผลประโยชน์
ทางการเมือง
* การให้โอวาทแก่คณะหรือองค์กรด้านต่าง ๆ แต่ไม่ได้ทำให้เกิดผลดีชัดเจน เช่น
หลังจากการพระราชท่านพระบรมราโชวาทแก่ศาล แล้วพวกนี้ก็ออกไปทำหน้าที่ล้มล้างอำนาจ
ประชาชนแบบขัดสายตาประชาชนจำนวนมาก ตัดสินคดีความแบบผิดหลักกฎหมายสากลและ
สามัญสำนึกของประชาชน
* ฯลฯ

ห้า การเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยติดอันดับโลก
อาจจะเป็นเกียรติประวัติให้ประเทศชาติได้ แต่มันจะ
เป็นภาพที่น่าเกลียดอย่างยิ่ง หากประเทศไทยยังมีโสเภณีเกลื่อนเมือง
คนจนเกลื่อนถนน คน
รวยมีไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์แต่ครอบครองทรัพย์สินเกินแปดในสิบของชาติทั้งหมด และปัญหา
ประเทศชาติไร้ปัญญาหาเงินมาบริหารได้
จนรัฐบาลที่ประธานองคมนตรีและทหารผู้จงรักภักดี
โปรดปรานนักหนาและชมว่าดีเด่นไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากออกไปกู้ กู้ และกู้ เหมือน
ประเทศไทยเป็นขอทานเยี่ยงที่กำลังเป็นอยู่

หก ภาพที่ทักษิณทำให้เสื้อสีเหลืองเต็มแผ่นดินก่อนหน้ารัฐประหาร
และภาพที่คุณทักษิณไร้
แผ่นดินอาศัย ถูกลอบสังหาร ถูกใส่ร้ายป้ายสีแบบหามูลเหตุไม่ชัด
ถูกตัดสินให้ติดคุกแบบขัด
สายตาและน่าหัวเราะเยาะจากผู้รู้ที่มีใจเป็นธรรม
มันเป็นสิ่งที่ประชาชนคลางแคลงและทำให้
ภาพการเป็นมหาราชผู้ทรงธรรมของท่านไม่สมบูรณ์ แม้แต่พรหมวิหารสี่ก็ดูเหมือนจะขาดหาย
ไปในสังคมไทย มิไยจะต้องมองถึงทศพิธราชธรรม
เมื่อประเทศที่ท่านได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแผ่นดิน
มีคนทำงานหนักจนคนค่อนประเทศรักและศรัทธา กลับมีชะตากรรมเยี่ยงนั้น
ประเทศจึงไม่สง่า
งามสมกับพระราชเกียรติในฐานะ มหาราชาเลย

เจ็ด ประชาชนไทยศักราชนี้ ไม่เหมือนสมัยก่อน
หรือแม้แต่สมัยก่อนหน้ารัฐบาลทักษิณ ทั้ง
ความคิดเห็น ทั้งทัศนคติ ทั้งระดับการศึกษา และการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
ซึ่งยากแก่การปิดกั้น....
ประชาชนเติบโตแล้ว แต่ผู้ปกครองยังตามประชาชนไม่ทัน...

แปด ความจงรักภักดีในศักราชนี้ แต่งปั้นไม่ได้ บังคับไม่เป็นผล
ล้างสมองยิ่งยาก ความจงรัก
ภักดี ต้องเกิดจากใจที่บริสุทธิ์
ต้องมีรากจากความสัมพันธ์การให้และรับที่บริสุทธิ์ และต้องเกิด
จาการทำตัวของผู้ที่จะได้รับมันเป็นสำคัญ

กระทู้นี้ อาจจะไม่มีอายุยืนยาว แต่หากพระองค์่ท่านได้ทรงอ่าน
และตระหนักความจริงเหล่านี้
ที่อยู่ในหัวสมองและหัวใจของผู้คนจำนวนมหาศาล แล้วปรับพระราชฐานะและหาทางช่วย
ประเทศชาติแก้ปัญหาด้วยพระบารมีที่ยังเหลืออยู่
ก็จะเป็นมงคลกับประเทศอย่างยิ่ง และมันก็
จะทำให้อายุและความวัฒนาถาวรของราชวงศ์จักรียืนยาวคู่สังคมไทยไปอีกอย่างน้อยก็ระยะ
หนึ่ง.... ซึ่งจะสั้นยาวก็เนื่องด้วยน้ำหนักความจริงของการมีหรือไม่มีทศพิธราชธรรม

ข้อ9 ให้ ไปหาฟังคลิปเอนกซานฟราน

Monday, May 4, 2009

เจ๊..!! ประกาศิต...ให้นิคคารากัว__UAE ส่งตัวทักษิณมาลงโทษ

เจ๊..!! ประกาศิต...ให้นิคคารากัว__UAE ส่งตัวทักษิณมาลงโทษ
อัยการส่งคำร้องขอตัว "แม้ว" ไปที่"นิการากัว-ยูเออี" แล้ว
นายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กล่าวเมื่อวันที่ 4 พ.ค. ถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาตามหมายจับหลายคดี ว่า
.....ล่าสุด ได้รับการเร่งรัด..จากท่านผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นห่วงความมั่นคงของชาติ ได้อัยการเร่งทำคำร้องผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศ ไปยังประเทศนิการากัว และสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ยูเออี) โดยด่วนที่สุด และเราไม่อยู่ในฐานะที่จะปฏิเสธได้ จึงดำเนินการส่งหนังสือด่วนที่สุดไปยัง 2 ประเทศนั้นแล้ว

ในการประสานขอส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีผ่านช่องทางการทูต เนื่องจากประเทศข้างต้นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน ส่วนประเทศอื่นๆ เจ้าหน้าที่ ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่ามีการเคลื่อนไหวหรือไม่ ทั้งนี้ เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งข้อมูลที่อยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ มา ทางอัยการก็สามารถดำเนินการได้ทันที

..... แหล่งข่าวจากหลังไมร์ ได้รายงานว่า "..ท่านผู้ใหญ่..." ที่กล่าวถึงนั้น เป็น...เจ๊..เจ้าเดียวกับที่โทรไปสั่ง ผบ.ตร.ไม่ให้ปราบ แก๊งเสื้อเหลืองในการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ !!!

...ท่านใด พอไขปริศนา ให้หนายสงสัยหน่อย ได้ไหมว่า...เจ๊..ที่ว่านี้ คือใคร จ๊ะ ???

หยุดทำร้ายประเทศไทยได้แล้ว เจ๊

Sunday, May 3, 2009

พรรคประชาธิปัตย์ในอดีต จนมาถึง ณ.ปัจจุบัน

พรรคประชาธิปัตย์ในอดีต จนมาถึง ณ.ปัจจุบัน
ตามประวัติบุคคลสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์เริ่มตั้งแต่นายควง อภัยวงศ์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นต้น ล้วนมีเกียรติประวัติว่ามีสปิริตทางการเมืองสูงทั้งสิ้น นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคคนแรก เป็นขุนนางและมีบรรพบุรุษเป็นถึงเจ้าประเทศราช จึงไม่เป็นปัญหาว่าแม้จะมีความคิดแบบประชาธิปไตยเข้มข้นจนเข้าร่วมกับคณะราษฎร แต่จิตวิญญาณการเมืองย่อมหนีไม่พ้นอำมาตยาธิปไตย
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นั้นเล่าเป็นเจ้าโดยสายเลือดแม้จะเป็นชั้นปลายแถว และจบการศึกษามาจากประเทศประชาธิปไตย คืออังกฤษ แต่อังกฤษนั้นมีจิตวิญญาณอนุรักษ์นิยมอยู่เต็มตัว ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จึงไม่ยอมขจัดคราบนักประชาธิปไตยอนุรักษ์นิยม หรือในที่สุดก็คืออำมาตยาธิปไตยไปได้เช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 คนนี้ก็มีสปิริตทางการเมืองอย่างที่ใครก็ตำหนิไม่ได้ นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกก่อนที่จะตั้งพรรคประชาธิปัตย์เสียด้วยซ้ำ เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของประเทศไทย และเป็นในตอนปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 คือปี 2487 หลังจากที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ลาออกไป นายควงลาออกจากตำแหน่งนายกฯเมื่อสงครามสิ้นสุดในปี 2488 โดยอ้างเหตุผลว่าได้มีการประกาศสันติภาพตามพระบรมราชโองการแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามประเพณีนิยมแห่งวิถีการเมือง และเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความเหมาะสมในอันที่จะยังมิตรภาพ และดำเนินการเจรจาทำความเข้าใจอันดีกับฝ่ายพันธมิตรเข้าบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบไป การประกาศสันติภาพก็คือ การประกาศไม่ยอมรับความพ่ายแพ้สงครามร่วมกับญี่ปุ่นนั่นเอง ไม่ใช่อะไรอื่น
จะเห็นได้ว่านายควงไม่ยึดติดกับเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเพื่อชาติก็ถอยออกมาทันที และถอยด้วยความเต็มใจ นายควงมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 หลังจากรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จัดให้มีการเลือกตั้ง แล้วตัวท่านพ้นตำแหน่งไป แต่แล้วก็ต้องลาออกเมื่อ 18 มีนาคม 2489 เพราะแพ้มติร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองค่าใช้จ่ายของประชาชนหลังจากตั้งพรรคประชาธิปัตย์แล้ว เมื่อเกิดการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 นายควงนำพรรคประชาธิปัตย์หลวมตัวเข้าเป็นรัฐบาลหุ่นให้คณะรัฐประหาร แต่เมื่อบริหารไปได้พักหนึ่งคณะทหารเกิดความไม่พอใจมาสะกิดขอให้สละอำนาจ นายควงก็นำคณะลาออกโดยง่ายดาย การพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 ครั้งเป็นสปิริตของนักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่มีการอิดออด ไม่มีอาการติดเก้าอี้หรือหลงอำนาจแต่อย่างใดทั้งสิ้นนี่คือสิ่งที่น่าเคารพนับถือได้อย่างบริสุทธิ์ใจ
ส่วน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นั้นเข้าเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2488 ขณะที่มีอายุเพียง 41 ปี เพื่อรับภาระหน้าที่เจรจากับประเทศสัมพันธมิตรหาทางมิให้ไทยต้องตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเท่านั้น เมื่อแก้ปัญหานั้นได้แล้ว ม.ร.ว.เสนีย์ก็ยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ ได้รัฐบาลใหม่โดยที่ตัวเองเป็นนายกฯเพียง 4 เดือนเท่านั้น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช รับหน้าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อนายควง อภัยวงศ์ เสียชีวิตในปี 2511 และได้มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งในปี 2518 เป็นระยะเวลาสั้นๆ เพราะตัดสินใจตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ด้วยรังเกียจพรรคการเมืองอื่นที่เป็นสมุนทรราชแต่แล้วในปี 2519 ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงมากอันดับหนึ่งคือ 114 เสียง ต้องรับภาระจัดตั้งรัฐบาลผสมที่มีเสียงมากพอ แต่เกิดการแตกแยกภายในพรรคร่วมรัฐบาล ประกอบกับการกลับมาของจอมพลถนอม กิตติขจร ในรูปของสามเณร ถูกนิสิตนักศึกษาประท้วงจนเกิดวิกฤต
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ถูกนายวีระ มุสิกพงศ์ ส.ส. ซึ่งเป็นลูกพรรคอภิปรายโจมตีเป็นทำนองว่ารู้เห็นเป็นใจหรือยักคิ้วหลิ่วตาให้จอมพลถนอมกลับมา เป็นการไม่จริงใจต่อประชาชนผู้รักประชาธิปไตยที่ต่อสู้ขับไล่เผด็จการม.ร.ว.เสนีย์จึงลาออกกลางสภาไม่ติดเก้าอี้ และไม่หลงอำนาจ สมเป็นนักประชาธิปไตยคนหนึ่ง ผิดกับผู้นำพรรคประชาธิปัตย์รุ่นหลังที่หน้าด้านกระดานเขียง นั่งบนเก้าอี้เปื้อนเลือดประชาชนผู้รักประชาธิปไตยกันหน้าตาเฉย

นำมาให้อ่านค่ะ

ที่มา: ขอขอบพระคุณ คุณ white_power จากกลุ่มแดงไทย

http://groups.google.com/group/redthai?hl=th

พวกอมาตยาธิปไตยไทยใช้แนวความคิดและการเคลื่อนไหวแบบนาซีเยอรฯ

พวกอมาตยาธิปไตยไทยใช้แนวความคิดและการเคลื่อนไหวแบบนาซีเยอรฯ
ถ้าเราลองศึกษากระบวนการเคลื่อนไหวของพรรคนาซีเยอรมันเพื่อขึ้นครองอำนาจใน เยอรมันนีก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เปรียบเทียบกับขบวนการอมาตยาธิปไตยไทยดูแล้ว จะเห็นความคล้ายคลึงกันค่อนข้างมากในด้านวิธีการ แนวความคิด และเครื่องมือที่ใช้ หากจะบอกว่า ขบวนการอมาตยาธิปไตยไทยนั้นน่าจะนำวิธีการเคลื่อนไหวของพรรคนาซีมาใช้ก็อาจ จะไม่ผิดนัก ลองมาศึกษากันดู
พรรคนา ซีหรือความจริงแปลตรงตัวคือพรรคสังคมชาตินิยมนั้น เน้นหนักลักษณะชนชาติที่เหนือกว่าชนชาติอื่นต้องเป็นผู้นำและผู้ปกครอง ส่วนชนชาติและบุคคลที่ด้อยกว่าต้องอยู่ในฐานะผู้ถูกปกครอง แนวความคิดนี้น่าจะพัฒนามาจากปรัชญาอภิชนนิยมที่เคยมีนักปรัชญาเยอรมันนำ เสนอว่า ชนชั้นปกครองนั้นต้องมีลักษณะส่วนบุคคลที่เหนือกว่าเป็นคนประเภท Super Human และผู้ด้อยกว่าต้องยอมรับผู้อยู่เหนือกว่า ยอมรับการต้องทำหน้าที่อื่นที่ไม่ใช่ผู้ปกครอง

พวกอมาตยาธิปไตยไทยก็ คิดแบบนั้นเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาถือว่าพวกตนเป็นชนชั้นสูงที่มีชาติตระกูลและประสบการณ์สูงกว่าในสังคม เขาเรียกร้องให้คงลักษณะคนพิเศษแบบพวกเขาไว้เป็นที่เชิดชูและผู้ถูกปกครอง ต้องยอมรับในความเป็นทาสไพร่ บางคนแบ่งแยกชัดเจนและเรียกคนเสื้อแดงว่าไพร่ของทักษิณเสียด้วยซ้ำ ถือเป็นไพร่ของพวกไพร่ ไม่ใช่ไพร่ของแผ่นดิน ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงนั้นคนเสื้อแดงที่ไม่เห็นด้วยกับพวกเขานั้นมาจากหลากหลาย ชนชั้น ไม่ได้ต่างจากไพร่ของพวกอำมาตย์ที่เชิดชูพวกเขาอยู่เลย แต่พวกเขาก็ยังถือว่าชนชั้นสูงเท่านั้นที่มีสิทธิที่จะเป็นผู้ปกครอง ไพร่ไม่มีสิทธิ หากจะได้รับคุณประโยชน์จากชนชั้นสูงก็เพราะความเมตตาปราณีอันถือเป็นคุณธรรม สำคัญของการเป็นผู้ปกครองนั้นเมื่อผู้ใดได้รับก็พึงคำนึงถึงด้วยความกตัญญู และต้องตอบแทนความเมตตาของพวกอมาตยาธิปไตยให้เหมาะสมด้วย

การเคลื่อนไหว

หาก พรรคนาซีมีขบวนการเชิ้ตสีน้ำตาลที่ฮิมเลอร์และเกอร์เบิ้ลเป็นผู้นำในการ เคลื่อนไหว พวกอมาตยาธิปไตยไทยก็มีพันธมิตรเสื้อเหลืองที่นำโดยสนธิ จำลอง เป็นผู้นำเช่นกันและเคลื่อนไหวด้วยวิธีที่ไม่แตกต่างกันนั่นคือใช้อำนาจและ อาวุธในการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย และได้รับการปกป้องจากอำนาจของอมาตยาธิปไตยไม่ให้ต้องรับโทษ คนของนาซีเคลื่อนไหวทำร้ายชาวยิวและชนชาติด้อยกว่าตนด้วยวิธีการรุนแรงแบบ ไหน คนของพันํธมิตรเสื้อเหลืองก็กระทำเช่นเดียวกัน อาวุธและอำนาจที่คนพวกนี้ใช้จะถูกนำมาเป็นแนวนำ และมวลชนของพวกเขาจะเป็นผู้หนุนช่วย ไม่ได้ต่างกันเลยที่ผ่านมา

ส่วน การใช้สื่อมวลชนนั้นก็ยิ่งคล้ายคลึงกันมาก สื่อมวลชนขวาจัดกลุ่มของพวกพันธมิตรนั้นกระทำการปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่อ เหมือนกับการกระทำของสื่อมวลชนเยอรมันขวาจัดทั้งกลายกระทำในช่วงของพรรคนาซี ไม่มีผิดเพี้ยน หนังสือ Mein Kempt ของฮิตเลอร์ เป็นคัมภีร์ของพวกนาซี พอ ๆ กับการจัดรายการโทรทัศน์ของ ASTV สื่อมวลชนที่นิยมนาซีกลายเป็นสื่อมวลชนที่หลงเหลืออยู่หลังการครองอำนาจของ ฮิตเลอร์ ที่เหลือถูกไล่ล่าออกนอกประเทศหรือถูกจับกุมคุมขังเป็นนักโทษการเมืองไปสิ้น หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนสีแปรธาตุไปรับใช้นาซีแบบเดียวกับสื่อมวลชนไทยยุคนี้ ไม่มีผิดเพี้ยน

จม. จากคุณ เพียงดิน ถึง อ. ใจ

จม. จากคุณ เพียงดิน ถึง อ. ใจ
โดย admin เมื่อ ศุกร์ 01 พ.ค. 2009 6:52 pm

อาจารย์ใจครับ

ปัญหาในสังคมไทยตอนนี้ก็คือ คนไทยกลัวโดยไร้เหตุผลและบางส่วนก็เป็นฝุ่นโดยหาวี่แววการกลับมาเป็นคนที่มีจิตวิญญาณรู้สึกรู้สิทธิและรู้สร้างสังคมไม่ได้เลย นี่เป็นผลอันชัดเจนยิ่งของการล้างสมอง ฎีกาไม่ได้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ๋ในแง่ผลที่จะเกิดกับคนที่รับ และอาจจะมีผลเล็กน้อยในแง่ที่เรา position ตัวเองอยู่ใต้อุ้งพระบาท ซึ่งไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็นั่นแหละครับแค่จะเงยหน้าขึ้นมาพูดความจริงใตใจ โดยอาศัยความปลอดภัยจากการยอมอยู่ใต้เบื้องพระเกือกก็ยังเป็นเรื่องที่น่ากลัวของคนไทยจำนวนมาก เพราะกลัวว่า หากทำเช่นนั้น มันจะไประคายพระส้นตีน (ขออภัยไม่ทราบศัพย์จริง ๆ ครับ ไม่แน่ใจว่า ส้นพระบาทหรือเปล่า)สังคมไทยเรา sick มากในแง่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร สิทธิความเป็นคนตามระบอบประชาธิปไตยคืออะไร การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ทุกอย่าง เราจึงควรต้องทำ และเราปฎิเสธไม่ได้ว่่า หากไม่ไปเคาะฐานบัลลังก์ให้พระองค์ท่านรู้สึกรู้สาเสียบ้าง ก็จะเกิดการเง่ียบครองเมืองเกิดความสงบสยบความเคลื่อนไหว เกิดการนั่งบนภูดูหมาไพร่กัดกันแบบไม่หยุดหย่อน ทั้ง ๆ ที่ตัวปัญหาจริง ๆ มันไม่ใช่ไพร่ ๆที่เป็นคนก่อ (ไม่ได้แปลว่าผมยอมรับว่าผมเป็นไพร่นะครับแต่ต้องยอมรับอีกว่า นี่เป็นความจริงที่คนไร้อำนาจปกครองถูกยัดเยียดให้)

ปรารถดีเสมอ
เพียงดิน

REPLY


ส่วนตัวผม มันไม่ใช่ว่ากล้าไม่กล้าครับ แต่ผมเซ็นไม่ลงเพราะผมไม่ได้อยู่ใต้ฝุ่นตีนใครแต่ขอให้กำลังใจกับคนเสื้อแดงที่หาทางสู้หลากหลายวิธีครับ

ใจ อึ๊งภากรณ์admin
Administrator

โพสต์: 316
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 08 พ.ย. 2008 11:51 pm